กลายเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การค้าโลก เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา แถลงข่าวอย่างเป็นทางการที่สวนกุหลาบในทำเนียบขาว เมื่อเวลา 16.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณตี 3 ตามเวลาไทย โดยประกาศชัดว่า “วันนี้คือวันแห่งการปลดแอก” ของสหรัฐฯ จากการเสียเปรียบทางการค้ากับนานาชาติมานานกว่า 50 ปี พร้อมเปิดตัวมาตรการเก็บภาษีนำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทรัมป์ระบุว่า มาตรการภาษีใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ สร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน และเพิ่มรายได้รัฐกว่า 600,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยสหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าทุกชนิดขั้นต่ำ 10% มีผลตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 5 เมษายนเป็นต้นไป และหากเป็นสินค้ากลุ่มยานยนต์ที่ผลิตจากต่างประเทศ จะถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% ทันที
ที่น่าตกใจคือ ระหว่างการแถลงข่าว ทรัมป์ได้โชว์ “กระดานภาษี” ที่แสดงให้เห็นว่า ประเทศต่างๆ ถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่แตกต่างกันตามการประเมินว่าแต่ละชาติเก็บภาษีกับสินค้าสหรัฐฯ มากน้อยเพียงใด โดยใช้สีแยกเพื่อแสดงความแตกต่างระหว่างภาษีที่ชาติอื่นเรียกเก็บจากสหรัฐฯ กับภาษีที่สหรัฐฯ จะเก็บตอบโต้
สำหรับกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายชาติถูกจัดเก็บในอัตราที่สูงมาก เช่น กัมพูชา 49%, ลาว 48%, เวียดนาม 46%, เมียนมา 44% และไทยถูกเก็บภาษีสูงถึง 36% ซึ่งถือว่าอยู่ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด และยังสูงกว่าจีนที่เจอภาษีใหม่ 34% และเดิมถูกเก็บอยู่แล้ว 20% รวมเป็น 54% โดยมีการยืนยันจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ว่าตัวเลขนี้คือภาษีรวมที่จีนต้องเผชิญจริง
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ไทยถือว่าโดนแรงกว่าหลายชาติ เช่น อินเดีย (26%), เกาหลีใต้ (25%), ญี่ปุ่น (24%), มาเลเซีย (24%) และสิงคโปร์ (10%) ขณะที่ฝั่งยุโรป สวิตเซอร์แลนด์ถูกเก็บ 31%, สหภาพยุโรป 20% และสหราชอาณาจักร 10%
คำประกาศของทรัมป์ครั้งนี้ส่งแรงสะเทือนไปทั่วโลก โดยเฉพาะคู่ค้ารายใหญ่ที่ต่างเตรียมมาตรการตอบโต้ทันที สหภาพยุโรปแถลงว่าจะดำเนินการตอบโต้เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ด้านนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ ก็ประกาศว่ารัฐบาลของเขาจะพิจารณาทางเลือกทุกอย่างอย่างรอบคอบ เพราะไม่ต้องการให้สงครามการค้าบานปลายไปไกลกว่านี้ ขณะที่ในเม็กซิโก ภาคประชาชนเริ่มเคลื่อนไหวด้วยการเปิดตัวแคมเปญ “ผลิตในเม็กซิโก” เพื่อเสริมแกร่งให้กับอุตสาหกรรมในประเทศ ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
รายงานจากทางการสหรัฐฯ ยังเปิดเผยว่า ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีตัวเลขขาดดุลการค้ากว่า 130,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 34% โดยมีการนำเข้าสินค้าทะลุ 400,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจเป็นผลจากการกักตุนสินค้าก่อนที่มาตรการภาษีจะมีผลบังคับใช้ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของทรัมป์ ไม่เพียงแต่จะจุดไฟให้สงครามการค้าในระดับโลกกลับมาเดือดอีกครั้ง แต่ยังสะเทือนไปถึงระบบซัพพลายเชน การค้าชายแดน และเศรษฐกิจของทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประเทศอย่างไทย ที่กำลังเผชิญกับอัตราภาษีตอบโต้ในระดับที่ไม่เคยเจอมาก่อน
ที่มา - thaipbs