News Update

MPI มิ.ย. โตต่อเนื่อง 3 เดือนติด รับแรงหนุนยานยนต์-ส่งออกฟื้น สศอ. แนะรัฐเร่งหนุนอุตฯ รับมือภาษีทรัมป์

นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ระดับ 97.35 ขยายตัว 0.58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม สะท้อนถึงทิศทางการฟื้นตัวของภาคการผลิต โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 59.58%

ในภาพรวมของไตรมาส 2 ดัชนี MPI เฉลี่ยอยู่ที่ 96.75 ขยายตัว 1.47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเติบโตถึง 17.02% จากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดที่เพิ่มขึ้นในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงแรงหนุนจากคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกก่อนมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะมีผล

ขณะเดียวกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็มีส่วนกระตุ้นภาคการผลิตในประเทศให้ฟื้นตัว นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ไม่รวมทองคำ อาวุธยุทโธปกรณ์ และอากาศยานรบ ยังคงขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 โดยในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นกว่า 15% จากการเร่งส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม สศอ. เตือนว่าภาคอุตสาหกรรมยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ประกอบกับภาคท่องเที่ยวยังไม่กลับสู่ระดับปกติ ซึ่งกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ส่วนในระดับสากล เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังมีความไม่แน่นอนสูงจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่มีแรงกดดันจากการไหลทะลักของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว สศอ. เสนอให้ภาครัฐเร่งผลักดันการใช้สินค้าในประเทศ โดยเฉพาะในระบบจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ และส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนและวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศให้มากขึ้น พร้อมทั้งผลักดันมาตรการสนับสนุนการรับรองคุณภาพสินค้า เช่น การออกใบรับรองให้กับพลอยเจียระไนและเครื่องประดับ เพื่อยกระดับคุณภาพและขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ลดการพึ่งพาตลาดเดิมที่มีความเสี่ยงสูง

แม้ภาพรวมหลายอุตสาหกรรมสำคัญมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ยังมีบางอุตสาหกรรมที่หดตัว เช่น เครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปจากคำสั่งซื้อที่ลดลง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจากความต้องการที่ลดลง และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากการหยุดซ่อมบำรุงของผู้ผลิตรายใหญ่

สศอ. ระบุเพิ่มเติมว่า จากการประเมินสถานการณ์ผ่านระบบเตือนภัยเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคม 2568 ภาพรวมยังอยู่ในระดับ “เฝ้าระวัง” และเน้นย้ำว่าภาครัฐจำเป็นต้องเดินหน้าออกมาตรการเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับอุตสาหกรรมไทย และผลักดันสินค้าใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ เครื่องประดับระดับพรีเมียม และถุงมือยางชนิดพิเศษ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว

ราคาส่งออก-นำเข้าไทย มิ.ย. 68 ขยายตัวต่อเนื่อง จากแรงเร่งนำเข้า-ส่งออกก่อนสหรัฐฯ ปรับภาษี

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าของไทยในเดือนมิถุนายน 2568 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากการเร่งสำรองสินค้าของประเทศคู่ค้า ก่อนที่มาตรการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะมีผลเต็มรูปแบบ รวมถึงการเพิ่มปริมาณนำเข้าสินค้าวัตถุดิบเพื่อผลิตส่งออกและรองรับการบริโภคภายในประเทศ

ดัชนีราคาส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ระดับ 111.3 เพิ่มขึ้น 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากสินค้าอุตสาหกรรมที่เร่งส่งออกก่อนปรับภาษีสหรัฐฯ โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ประกอบ ส่วนทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ได้รับความนิยม ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ความต้องการเครื่องปรับอากาศในหลายประเทศเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิที่สูงขึ้น ก็เป็นอีกแรงหนุนสำคัญ

ในกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าอย่างอาหารทะเลกระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ยังคงเติบโตตามแนวโน้มความต้องการสินค้าสุขภาพและไลฟ์สไตล์ แต่ขณะเดียวกัน หมวดแร่และเชื้อเพลิง รวมถึงสินค้าเกษตรบางชนิด เช่น ข้าวและมันสำปะหลัง กลับมีราคาลดลงจากภาวะอุปทานส่วนเกิน และแรงกดดันด้านการแข่งขันราคาในตลาดโลก

ด้านดัชนีราคานำเข้าเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 115.4 เพิ่มขึ้น 2.4% จากปีก่อนหน้า โดยมีแรงผลักจากการนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร และอุปกรณ์เพื่อรองรับการผลิตและคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ รวมถึงความต้องการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัว หนุนให้เกือบทุกหมวดสินค้านำเข้าปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ยา เครื่องประดับ และสินค้าเบ็ดเตล็ดทั่วไป

ในหมวดวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ราคาทองคำยังขยับขึ้นจากความกังวลต่อสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง และนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่แผงวงจรไฟฟ้า และปุ๋ย ก็เป็นอีกกลุ่มที่ขยายตัวตามความต้องการในอุตสาหกรรมผลิตและภาคเกษตร สำหรับหมวดสินค้าทุน เช่น เครื่องจักรกล และคอมพิวเตอร์ ยังเติบโตได้ดี สะท้อนถึงการลงทุนที่สอดรับกับเทคโนโลยีดิจิทัล ส่วนหมวดยานพาหนะขยายตัวเล็กน้อยตามการเติบโตของอุตสาหกรรม EV ในประเทศ ขณะที่หมวดเชื้อเพลิงกลับลดลงกว่า 10% จากความคาดหวังว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะสูงเกินอุปสงค์

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 3 ปี 2568 สนค. คาดว่าดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าจะยังขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยมีแรงหนุนจากความต้องการสินค้าเกษตรแปรรูป อาหาร และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI, Data Center และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งยังคงเติบโตในตลาดโลก ประกอบกับต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มขยับสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบการขยายตัวราคายังต้องจับตา ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ แนวโน้มอุปทานส่วนเกินในสินค้าเกษตรบางชนิด และการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อภาคการส่งออกไทยในช่วงถัดไป

ไปรษณีย์ไทยชูบทบาทเชื่อมไทย-จีน ดัน SME บุกตลาดด้วยโลจิสติกส์และ Soft Power

ปี 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ดำเนินมายาวนานถึง 50 ปี ตลอดช่วงเวลาครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่างสองประเทศได้เบ่งบานในหลากหลายมิติ ทั้งด้านการเมือง สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ โดยมี “บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด” เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้เชื่อมโยงความสัมพันธ์อย่างแนบแน่น จากบทบาทผู้ส่งสารในอดีต สู่การเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ทรงพลัง

ในช่วงเวลาที่การสื่อสารยังไม่ไร้พรมแดนเช่นในปัจจุบัน ไปรษณีย์ไทยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการส่งต่อจดหมาย โปสการ์ด และพัสดุจากคนไทยเชื้อสายจีนถึงครอบครัวในแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสื่อแห่งความคิดถึงเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานของความไว้วางใจ ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเศรษฐกิจโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและการค้าออนไลน์กลายเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน ไปรษณีย์ไทยได้ปรับตัวอย่างรวดเร็วและพัฒนาบทบาทสู่การเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั้งทางบกและทางอากาศ เชื่อมโยงไทย–จีนอย่างไร้รอยต่อ ระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งนี้ไม่ได้ตอบโจทย์เพียงแค่ผู้ส่งออกขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ของไทยสามารถเข้าสู่ตลาดจีนที่มีศักยภาพสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เหตุการณ์สำคัญที่ตอกย้ำความสามารถในการปรับตัวของไปรษณีย์ไทยคือการกลับมาเปิดเส้นทางขนส่งสู่ประเทศจีนได้อย่างรวดเร็วหลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งไม่เพียงแต่แสดงถึงศักยภาพด้านการบริหารจัดการเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการไทยว่า ห่วงโซ่อุปทานจะไม่สะดุด และการส่งออกสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง

หนึ่งในโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการรายย่อยต้องเผชิญคือปัญหาด้านโลจิสติกส์ในช่วง "ไมล์แรก" และ "ไมล์สุดท้าย" ไปรษณีย์ไทยได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ผ่านเครือข่ายจุดบริการกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศ ทำให้ไม่ว่าผู้ประกอบการจะอยู่พื้นที่ใด ก็สามารถเข้าถึงบริการที่ได้มาตรฐานและเชื่อมต่อกับระบบขนส่งระหว่างประเทศได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง ThailandPostMart ที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรและผู้ผลิตสินค้าชุมชนสามารถเข้าสู่ตลาดออนไลน์ เชื่อมต่อกับระบบขนส่งของไปรษณีย์ไทยได้ครบวงจร ส่งเสริมให้สินค้าเกษตร ผลไม้สด ผลิตภัณฑ์แปรรูป และสินค้า OTOP ของไทย เดินทางไปถึงมือผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างสดใหม่และรวดเร็ว

นอกเหนือจากบทบาทในเชิงเศรษฐกิจ ไปรษณีย์ไทยยังสานต่อภารกิจการเป็น “ทูตวัฒนธรรม” ผ่านการจัดทำแสตมป์ที่ระลึก เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญและสื่อถึงมิตรภาพระหว่างสองชาติ ล่าสุดในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ได้จัดทำแสตมป์ชุดพิเศษ “50 ปี ไทย–จีน” ที่ออกแบบอย่างงดงาม โดยนำพญานาค ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของไทย และมังกร ตัวแทนของจีน มาผสานเป็นเลข 50 อย่างมีศิลปะ พร้อมองค์ประกอบทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่สะท้อนความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง เช่น ภาพการเชิดสิงโต พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญในพระราชวังบางปะอิน และอาคารสถาปัตยกรรมจีน–โปรตุเกสในจังหวัดภูเก็ต

แสตมป์ชุดพิเศษนี้จึงไม่ใช่เพียงของสะสมหายาก หากแต่เป็นสื่อ Soft Power ที่ทรงพลัง ถ่ายทอดเรื่องราวของมิตรภาพข้ามพรมแดนได้อย่างลึกซึ้ง เป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือที่ต่อเนื่องจากแสตมป์ชุดพิเศษในวาระครบรอบ 20 ปี และเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่าบทบาทของไปรษณีย์ไทยนั้นลึกซึ้งกว่าที่หลายคนเคยมอง

การเดินทางตลอด 50 ปีของความสัมพันธ์ไทย–จีน ภายใต้มุมมองของไปรษณีย์ไทย จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของการส่งสารหรือขนส่งพัสดุ แต่คือการเชื่อมโยงผู้คน เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งและยั่งยืน ไปรษณีย์ไทยได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ที่พร้อมสนับสนุนทั้งการค้าและการสื่อสารวัฒนธรรมในระดับภูมิภาค สู่การเติบโตอย่างมั่นคงในอีก 50 ปีข้างหน้า

การส่งออกของไทยเดือนมิถุนายน 2568: เติบโตต่อเนื่องท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการค้า

การส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน 2568 ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งที่ร้อยละ 15.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน โดยมีมูลค่า 28,649.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 938,533 ล้านบาท แรงหนุนสำคัญมาจากการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีใหม่ที่อาจมีผลในอนาคต การชะลอการใช้มาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ผู้นำเข้าเร่งตุนสินค้าไทยไว้ล่วงหน้า

อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนการเติบโตยังคงเป็นภาคอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของเทคโนโลยีดิจิทัลทั่วโลก นอกจากนี้ สินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้สด แช่แข็ง มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม น้ำตาลทราย ไก่แปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยง ก็กลับมาฟื้นตัวและขยายตัวได้ดีในหลายตลาดสำคัญ รวมถึงจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเวียดนาม

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกไทยรวมอยู่ที่ 166,851.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตร้อยละ 15.0 ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 166,914.1 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 11.6 ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลเล็กน้อยที่ 62.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากคิดเป็นเงินบาท มูลค่าส่งออกในช่วงเดียวกันอยู่ที่ 5,578,959 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.6 ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 5,651,241 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 4.6

การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในช่วงเวลาดังกล่าวเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลไม้สดและแปรรูปที่เติบโตในระดับสูงในหลายตลาด เช่น จีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์มีอัตราการเติบโตถึง 124.2% ขณะที่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลัง อาหารสำเร็จรูป และน้ำตาลทรายก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับข้าวและอาหารทะเลกระป๋องที่กลับมาหดตัว

ในด้านสินค้าอุตสาหกรรม การเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 17.6 นำโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง โดยสินค้ากลุ่มนี้ขยายตัวในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม บางหมวดสินค้าสำคัญยังคงเผชิญภาวะหดตัว เช่น รถยนต์และชิ้นส่วน อุปกรณ์กึ่งตัวนำ และเครื่องรับโทรทัศน์

ตลาดส่งออกหลักของไทยส่วนใหญ่ยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่ขยายตัวร้อยละ 41.9 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 21 สะท้อนถึงความต้องการสินค้าด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเบาอย่างต่อเนื่อง จีนและสหภาพยุโรปก็มีการนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ตลาดรองอย่างเอเชียใต้และรัสเซียยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ตลาดบางแห่ง เช่น ออสเตรเลีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา และตะวันออกกลาง กลับมาเผชิญภาวะหดตัวอีกครั้งในเดือนนี้

ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดเริ่มใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ไทยได้ยื่นข้อเสนอใหม่ที่เปิดตลาดมากขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับเชิงบวกจากสหรัฐฯ คาดว่าการเจรจาจะนำไปสู่การลดอัตราภาษีอย่างเหมาะสม ช่วยให้ไทยยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค

ในระยะยาว ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นโอกาสในการยกระดับโครงสร้างการส่งออกของไทยให้ไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และส่งเสริมการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

สำหรับปัจจัยอื่นที่อาจส่งผลต่อทิศทางการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังคงสูง ผลไม้ตามฤดูกาลที่ทยอยออกสู่ตลาด สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง การชะลอการลงทุนเพื่อรอดูผลการเจรจาการค้า และการปรับตัวของผู้ส่งออกให้สอดคล้องกับเงื่อนไขใหม่ของสหรัฐฯ รัฐบาลไทยยังเตรียมมาตรการรองรับเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจและเกษตรกรรมในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us