ประเทศไทยเดินหน้าผลักดันการส่งออกด้วยเส้นทางใหม่ “แหลมฉบัง – โคเปอร์” โดยหวังใช้ท่าเรือโคเปอร์ (Koper) ในสโลวีเนียเป็นประตูสู่ยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก พร้อมชูจุดขาย “โลจิสติกส์สีเขียว” ที่ช่วยลดระยะเวลาขนส่ง ลดต้นทุน และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ตอบโจทย์ยุโรปที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น
สโลวีเนีย แม้เป็นประเทศขนาดเล็กในยุโรปกลาง มีประชากรราว 2 ล้านคน และ GDP อยู่ที่ประมาณ 72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับมีศักยภาพด้านโลจิสติกส์สูง โดยเฉพาะ “ท่าเรือโคเปอร์” ที่ตั้งอยู่ริมทะเลเอเดรียติก ซึ่งสามารถเชื่อมต่อการขนส่งจากเอเชียเข้าสู่เมืองเศรษฐกิจสำคัญของยุโรปตอนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นออสเตรีย ฮังการี สโลวาเกีย เช็ก โครเอเชีย เซอร์เบีย ไปจนถึงเยอรมนีตอนใต้และสวิตเซอร์แลนด์ รวมแล้วมีประชากรครอบคลุมกว่า 73 ล้านคน และมี GDP รวมเฉลี่ยราว 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 ทีมประเทศไทย นำโดยนางสาวภัทรัตน์ หงษ์ทอง เอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ “Thailand – Slovenia: Advancing Economic Partnership for the Future” ณ กรุงลูบลิยานา เมืองหลวงของสโลวีเนีย โดยมี นางสาวอรอนุช ผดุงวิถี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ กรุงเวียนนา ร่วมอภิปรายในหัวข้อ “Unlocking Trade and Investment Opportunities” เพื่อผลักดันการใช้เส้นทางโลจิสติกส์ใหม่ผ่านท่าเรือโคเปอร์ในการกระจายสินค้าจากไทยเข้าสู่ยุโรปอย่างมีประสิทธิภาพ
สคต. ณ กรุงเวียนนา ระบุว่า เส้นทางนี้มีศักยภาพสูงและอาจกลายเป็น “Game-Changer” สำหรับผู้ส่งออกไทย เพราะสามารถย่นระยะทางและเวลาการขนส่งจากไทยไปยังยุโรปกลางได้อย่างมากเมื่อเทียบกับท่าเรือหลักในยุโรปเหนือ เช่น รอตเตอร์ดัม หรือฮัมบวร์ก อีกทั้งยังเป็นเส้นทางที่ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดยุโรปที่เข้มงวดในเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานแล้ว เส้นทางแหลมฉบัง – โคเปอร์ ยังช่วยขยายตลาดสินค้าไทยไปสู่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในยุโรป ที่มีอัตราการเติบโตของ GDP และกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งในกลุ่มประเทศบอลข่าน ยุโรปตะวันออก และยุโรปกลาง
สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจใช้ท่าเรือโคเปอร์เป็นช่องทางใหม่ในการนำสินค้าสู่ยุโรป สคต. ณ กรุงเวียนนา แนะนำให้พิจารณาปรับระบบโลจิสติกส์ให้เหมาะสม พร้อมจับมือกับพันธมิตรท้องถิ่นที่สามารถต่อยอดการกระจายสินค้าไปยังประเทศเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่องและราบรื่น
เส้นทาง “โลจิสติกส์สีเขียว” จากแหลมฉบังสู่โคเปอร์ ไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสการค้าให้กับไทยเท่านั้น แต่ยังสร้างความแตกต่างและความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดยุโรปที่ต้องการสินค้าคุณภาพดี เคลื่อนย้ายได้รวดเร็ว และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง