เอกชนผวาการเมืองสะดุด หลังยุบสภา หวั่นเศรษฐกิจชะลอ เจรจาภาษีสหรัฐเลื่อน ความเชื่อมั่นลงทุนสั่นคลอน
ภาคเอกชนแสดงความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจ หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ส่งผลให้รัฐบาลเข้าสู่สถานะรักษาการ ซึ่งมีข้อจำกัดในการอนุมัติโครงการและมาตรการใหม่ โดยภาคธุรกิจหวั่นว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองจะทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสะดุด การเจรจาการค้าระหว่างประเทศล่าช้า และเม็ดเงินลงทุนใหม่ชะลอตัว
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ระบุว่า แม้การยุบสภาจะมีเหตุผลในเชิงการเมือง แต่ในมุมเศรษฐกิจภาคเอกชนยังคาดหวังให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลวางไว้สามารถเดินหน้าต่อเนื่องอย่างน้อยถึงต้นปีหน้า เนื่องจากหลายมาตรการกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ยังไม่มีความชัดเจนหรืออยู่ในขั้นพิจารณาอาจต้องชะลอเพื่อรอการวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หากถูกมองว่ามีผลทางการเมือง ก็อาจต้องหยุดชั่วคราว ซึ่งจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศชะงักงัน
ในด้านการส่งออก ภาคเอกชนมีความกังวลเป็นพิเศษต่อการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเดิมตั้งเป้าจะปิดดีลภายในสิ้นปีนี้ แต่สถานการณ์ทางการเมืองอาจทำให้การเจรจาถูกเลื่อนออกไป โดยผลกระทบที่น่าห่วงที่สุดคือความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายใหญ่จากต่างประเทศ ซึ่งหลายรายอยู่ระหว่างการพิจารณาเข้ามาลงทุนในไทย แต่ขณะนี้จำเป็นต้องชะลอการตัดสินใจเพื่อรอดูทิศทางรัฐบาลชุดใหม่ ความไม่แน่นอนเพียงหนึ่งถึงสองเดือนอาจทำให้เงินลงทุนถูกเลื่อนหรือย้ายไปยังประเทศอื่น ส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปีหน้า
นายธนากรย้ำว่า สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องให้ความสำคัญที่สุดคือ “ความต่อเนื่อง” ของนโยบายและโครงการที่ผ่านการพิจารณาแล้ว ไม่ควรเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด เพราะจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักในช่วงเวลาที่เปราะบาง พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่เร่งสร้างความเชื่อมั่น เพื่อดึงดูดการลงทุนกลับมาโดยเร็ว
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แสดงความกังวลว่า ช่วงรัฐบาลรักษาการซึ่งยาวประมาณ 60 วัน อาจลดความเข้มข้นในการขับเคลื่อนมาตรการเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่เศรษฐกิจไทยยังอ่อนแรง สะท้อนจากตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ที่ขยายตัวเพียง 1.2% ต่ำกว่าคาดการณ์ ส.อ.ท.มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาแล้วถือว่าถูกทาง แต่จำเป็นต้องติดตามว่าการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองจะกระทบต่อการเดินหน้ามาตรการเหล่านี้มากน้อยเพียงใด
นายเกรียงไกรระบุเพิ่มเติมว่า ปัญหาสำคัญหลายเรื่องยังคงคาราคาซังและต้องการรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูพื้นที่ภาคใต้หลังอุทกภัย สถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่กระทบต่อการค้า การท่องเที่ยว และนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
ขณะเดียวกัน ภาคอุตสาหกรรมยังต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งมาตรการภาษีจากสหรัฐ ปัญหาสินค้าทุ่มตลาดและการสวมสิทธิ์ส่งออก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หนี้ครัวเรือน ค่าเงินบาทแข็ง ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างสังคมสูงวัย ระบบการศึกษา และกฎหมายที่ล้าสมัย ซึ่งล้วนซ้ำเติมความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย
ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนเข้าใจเหตุผลทางการเมืองในการยุบสภา แต่ขอเรียกร้องให้มีการจัดการเลือกตั้งและตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว เพื่อให้ประเทศมีรัฐบาลอำนาจเต็มในการผลักดันกฎหมายสำคัญและการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เช่น การเจรจาภาษีกับสหรัฐ และความตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป ซึ่งมีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
นายพจน์ย้ำว่า ในช่วงรัฐบาลรักษาการ รัฐบาลยังสามารถดำเนินมาตรการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้แล้วได้ ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ หรือการดูแลสถานการณ์ชายแดน โดยต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องไม่ให้เกิดสุญญากาศทางนโยบาย พร้อมเชื่อมั่นว่าหากทุกฝ่ายร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ ข้าราชการ และเอกชน จะสามารถประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้จนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่
ภาคเอกชนเห็นตรงกันว่า สิ่งสำคัญที่สุดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้คือการรักษาความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุน เพื่อไม่ให้การยุบสภากลายเป็นปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากทั้งในและต่างประเทศ.





