admin 2

L2D-Page-81

เปิดเส้นทาง 'มอเตอร์เวย์ใหม่' ต่อขยายรังสิต - บางปะอิน

เปิดเส้นทาง “มอเตอร์เวย์ใหม่” ต่อขยายรังสิต–บางปะอิน เชื่อมกรุงเทพฯ สู่ภาคเหนือ–อีสาน เดินหน้าเปิดประมูลปี 2569

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 อนุมัติให้กรมทางหลวง (ทล.) ดำเนินโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต–บางปะอิน ระยะทาง 22 กิโลเมตร ในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP Gross Cost) เพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัดบนถนนพหลโยธินและถนนวิภาวดีรังสิต รวมทั้งเชื่อมต่อการเดินทางจากใจกลางกรุงเทพฯ สู่ภาคกลางตอนบน ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้คล่องตัว สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ตลอดจนสนับสนุนระบบขนส่งโลจิสติกส์และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

นายสุวิชาณ สุระบาล ผู้อำนวยการกองทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เปิดเผยว่า ปัจจุบันกรมทางหลวงได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน (Market Sounding) แล้วเสร็จ โดยมีเป้าหมายจะเปิดประมูลโครงการภายในไตรมาสแรกของปี 2569 และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงปลายปีเดียวกัน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปี และพร้อมเปิดให้บริการภายในปี 2574

สำหรับโครงการนี้เอกชนจะเป็นผู้รับผิดชอบการลงทุนทั้งหมด 100% ตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง บริหารจัดการ และบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน โดยภาครัฐจะชำระคืนให้เอกชนผ่านระบบ Availability Payment (AP) ตลอดอายุสัญญา 34 ปี แบ่งเป็นระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี และระยะเวลาดำเนินงานพร้อมบำรุงรักษาอีก 30 ปี ขณะที่วงเงินลงทุนรวมอยู่ที่ประมาณ 42,000 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 30,080.8 ล้านบาท ค่าการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) 11,955.6 ล้านบาท ค่า Start-up Cost 19.4 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างจุดพักรถ 209.3 ล้านบาท

แนวเส้นทางของมอเตอร์เวย์สายใหม่นี้เป็นส่วนต่อขยายจากทางยกระดับอุตราภิมุข (ช่วงอนุสรณ์สถาน–รังสิต) ที่เปิดให้บริการแล้ว ระยะทาง 7 กิโลเมตร โดยจะต่อเนื่องจากจุดสิ้นสุดของทางยกระดับเดิมบริเวณโรงกษาปณ์ ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ที่กิโลเมตร 33+924 ของถนนพหลโยธิน เส้นทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือผ่านพื้นที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และอำเภอบางปะอิน รวมถึงอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปตามแนวถนนพหลโยธิน จนถึงจุดสิ้นสุดที่ทางแยกต่างระดับบางปะอิน ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ทางหลวงหมายเลข 32 และทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน–นครราชสีมา (M6) ได้โดยตรง

ในอนาคต โครงการยังสามารถเชื่อมต่อกับทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 (ถนนกาญจนาภิเษก) ทั้งด้านตะวันตกและด้านตะวันออก เพื่อรองรับการเดินทางรอบกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้อย่างสมบูรณ์ เส้นทางดังกล่าวจะเป็นทางยกระดับตลอดแนว ขนาด 6 ช่องจราจร (ทิศทางละ 3 ช่องจราจร) รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 29 กิโลเมตร

โครงการกำหนดให้มีตำแหน่งเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางจำนวน 7 แห่ง ได้แก่ รังสิต 1, รังสิต 2, คลองหลวง, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นวนคร, วไลยอลงกรณ์ และประตูน้ำพระอินทร์ พร้อมทั้งมีทางขึ้น–ลงและทางกลับรถยกระดับในจุดสำคัญทั้ง 7 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ทาง รวมถึงจุดพักรถบริเวณรังสิต 1 ที่กิโลเมตร 35+075 ถึง 35+300 ขาเข้ากรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนโครงสร้างทางยกระดับ ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้องน้ำ ศาลาที่พัก พื้นที่จำหน่ายสินค้า สำนักงาน และที่จอดรถสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลและรถโดยสารขนาดใหญ่

นอกจากนี้ โครงการยังมีจุดเชื่อมต่อทางแยกต่างระดับ 2 แห่ง คือ บริเวณรังสิต 1 เพื่อเชื่อมต่อกับทางยกระดับอุตราภิมุขเดิม และบริเวณจุดสิ้นสุดของโครงการที่เชื่อมต่อกับทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 สายบางปะอิน–นครราชสีมา รวมถึงทางหลวงหมายเลข 32 เพื่อรองรับการเดินทางไปยังภาคกลางตอนบนและภาคเหนือได้อย่างสะดวกต่อเนื่อง

เมื่อโครงการมอเตอร์เวย์ M5 ส่วนต่อขยายรังสิต–บางปะอินเปิดใช้งานเต็มรูปแบบ จะช่วยลดปัญหาการจราจรแออัดบริเวณถนนพหลโยธินและวิภาวดีรังสิต เชื่อมโครงข่ายคมนาคมสำคัญระหว่างกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่าง ๆ ส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว

L2D-Page-84

LEO กวาดรายได้346 ลบ.เร่งสปีด Non-Freight / Non-Logistics ต่อเนื่อง

ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ เผยรายได้ไตรมาส 3/68 แตะ 346 ล้านบาท มั่นใจโค้งสุดท้ายปีโตแรง เดินหน้าขยายธุรกิจ Non-Freight และขนส่งทางราง สู่การเติบโตยั่งยืน

บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568) มีรายได้รวม 346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่มีกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 2.3 ล้านบาท โดยนายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า แม้ในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกเผชิญความผันผวนจากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนของภาษีนำเข้าสหรัฐฯ แต่ภาพรวมเริ่มฟื้นตัว หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ในเดือนกันยายน ทำให้เห็นสัญญาณการส่งออกของไทยที่เติบโตขึ้นอย่างชัดเจน สอดคล้องกับตัวเลขการส่งออกที่ขยายตัวถึง 19% ในเดือนเดียวกัน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 48 เดือน

ในส่วนของการดำเนินงาน LEO ยังคงขยายธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics อย่างต่อเนื่อง โดยการลงทุนในโครงการใหม่ช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นและลดความผันผวนจากธุรกิจขนส่งหลัก (Freight) โดยเฉพาะในธุรกิจขนส่งทางรางที่เติบโตโดดเด่นในปีนี้ ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้จากการขนส่งทางรางเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 134 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทในเครือ LaneXang Express ทำรายได้ 31 ล้านบาท ส่วน Sritrang LEO Multimodal Logistics มีรายได้ 165 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่าจากปีก่อน

ธุรกิจลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ภายใต้บริษัท YJC Depot Services ก็มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 จากไตรมาส 2 และสูงขึ้นถึงร้อยละ 73 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 4/2568 และปี 2569 จากการขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ธุรกิจศูนย์จัดเก็บและกระจายสินค้าอัจฉริยะ “LEO Coldbotic” สำหรับไวน์ก็เติบโตดีต่อเนื่อง และจะเร่งตัวในช่วงเทศกาลปลายปี ซึ่งเป็น High Season ของธุรกิจไวน์และร้านอาหาร อีกทั้งบริษัทเตรียมรับรู้รายได้ใหม่จากโครงการให้บริการเช่า Power Bank ของบริษัทร่วม “LEO JITU” ที่จะเริ่มดำเนินงานในไตรมาส 4 นี้เช่นกัน

นายเกตติวิทย์กล่าวว่า ธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ของกลุ่มมีพัฒนาการตามแผนและเริ่มสร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างรายได้ระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจ Freight มีความผันผวนตามเศรษฐกิจโลกและอัตราค่าระวางเรือ การกระจายความเสี่ยงจึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ LEO ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง แม้ธุรกิจใหม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและใช้เวลาสร้างฐานลูกค้า แต่ถือเป็นการวางรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต

สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 4/2568 ซีอีโอ LEO มองว่าแนวโน้มรายได้และกำไรมีทิศทางดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคการค้าและขนส่งระหว่างประเทศ โดยบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถขยายธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และใช้ช่วงปลายปีนี้เป็นจุดพิสูจน์ศักยภาพการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กร

ในปี 2569 LEO เตรียมเดินหน้าขยายเครือข่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในหลายประเทศ เพื่อขยายเส้นทางขนส่งไปยังตลาดศักยภาพสูงในเอเชียและยุโรป รวมถึงแผนพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามแดน (Cross-Border Logistics) และการขนส่งทางรางระหว่างไทย–จีน รองรับการเติบโตของภาคการค้า การผลิต และอีคอมเมิร์ซในภูมิภาค การเชื่อมโยงเครือข่ายขนส่งทางรางยังช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่สู่ตลาดจีนตอนใต้และยุโรปผ่านเส้นทางรถไฟจีน–ลาว

พร้อมกันนี้ บริษัทยังวางแผนต่อยอดธุรกิจในเครือทั้งด้าน Logistics และ Non-Logistics รวมถึงการพัฒนาแนวทาง Green Logistics และธุรกิจที่เน้น ESG เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจและความยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อน LEO สู่อนาคตอย่างมั่นคง.

L2D-Page-83

อินเดียทุ่ม 6.7 พันล้านดอลลาร์ ปั้นท่าเรือ"รัฐมหาราษฏระ"ดันเป็นฮับทะเลตะวันตก

อินเดียทุ่ม 6.7 พันล้านดอลลาร์ พัฒนาท่าเรือรัฐมหาราษฏระ หนุนศักยภาพโลจิสติกส์ฝั่งตะวันตก เปิดโอกาสผู้ส่งออกไทยเชื่อมตรงมุมไบ

อินเดียประกาศลงทุนมูลค่า 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 56,000 โครรูปี) เพื่อพัฒนาท่าเรือในรัฐมหาราษฏระ โดยมี Adani Ports & SEZ (APSEZ) เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดด้วยวงเงินกว่า 5.1 พันล้านดอลลาร์ เป้าหมายของโครงการคือการขยายขีดความสามารถของท่าเรือ ลดระยะเวลาการขนถ่ายสินค้าและต้นทุนการดำเนินงาน เพื่อยกระดับรัฐมหาราษฏระให้เป็นศูนย์กลางทางทะเลหลักทางฝั่งตะวันตกของประเทศ และผลักดันให้อินเดียก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าทางเรือระดับโลก

การลงทุนครั้งนี้ได้รับการประกาศภายในงาน India Maritime Week 2025 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านท่าเรือและโลจิสติกส์ในพื้นที่มุมไบ–JNPT–Dighi ซึ่งเป็นแนวระเบียงเศรษฐกิจทางทะเลที่สำคัญของอินเดีย การขยายขีดความสามารถดังกล่าวจะช่วยลดระยะเวลาการหมุนเวียนของเรือได้ราว 25–30% (เฉลี่ยลดลง 1 วัน) ลดต้นทุนดำเนินงานลง 8–12% และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของท่าเรืออินเดียขึ้นจากระดับ 35% เป็น 45–50% ขณะเดียวกันยังมีการวางแผนขุดร่องน้ำให้ลึกขึ้นเพื่อรองรับเรือขนาดใหญ่ และยกระดับการเชื่อมโยงกับพื้นที่ตอนในของประเทศ (hinterland connectivity) ผ่านโครงข่ายทางถนน รถไฟ และคลังสินค้า

ก่อนการประกาศลงทุนครั้งนี้ รัฐมหาราษฏระมีท่าเรือหลักอยู่แล้ว ได้แก่ JNPT, Mumbai และ Dighi ซึ่งแม้จะมีบทบาทสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังเผชิญปัญหาความแออัดและข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการขนถ่ายสินค้า การลงทุนของ APSEZ จึงมีเป้าหมายชัดเจนในการแก้ไขจุดอ่อนดังกล่าว โดยคาดว่าปริมาณการขนส่งสินค้าของบริษัทจะเพิ่มจากระดับ 450 ล้านตัน (MMT) ในปีงบประมาณ 2568 ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะกลาง

ในเชิงยุทธศาสตร์ โครงการนี้จะช่วยให้อินเดียสามารถดึงดูดเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศโดยตรง ลดการพึ่งพาท่าเรือกลาง (transshipment hubs) ในประเทศอื่น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์และการส่งออกในเวทีโลก ขณะเดียวกันก็เป็นแรงหนุนต่อการผลิตเพื่อการส่งออก (export-led manufacturing) และการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคของอินเดียตะวันตก

สำหรับประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สคต.) ณ เมืองมุมไบ มองว่า การลงทุนครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญของผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะในภาคสินค้าเกษตรแปรรูป อาหารทะเลแช่เย็นและแช่แข็ง รวมถึงชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เนื่องจากการเชื่อมต่อเส้นทางเดินเรือโดยตรงระหว่างไทยกับชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย จะช่วยลดความจำเป็นในการใช้ท่าเรือกลาง ทำให้ระยะเวลาในการขนส่งสั้นลง ต้นทุนต่อคอนเทนเนอร์ลดลง และช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดไปยังภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียได้รวดเร็วขึ้น

ปัจจุบันไทยพึ่งพาท่าเรือแหลมฉบังเป็นหลัก ซึ่งมีปริมาณการขนส่งกว่า 9.46 ล้าน TEU ต่อปี ขณะที่ท่าเรือกรุงเทพและมาบตาพุตทำหน้าที่รองรับสินค้าบางประเภท การที่อินเดียเร่งพัฒนาท่าเรือในรัฐมหาราษฏระจึงอาจกลายเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการสร้างเส้นทางขนส่งตรง (feeder/direct services) ระหว่างไทยกับอินเดีย รวมทั้งการร่วมลงทุนด้านคลังเย็นและระบบโลจิสติกส์สมัยใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งสองประเทศในระยะยาว

แม้จะมีโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่โครงการนี้ก็มาพร้อมความท้าทาย โดยเมื่ออินเดียสามารถเสริมสร้างฐานโลจิสติกส์และการผลิตภายในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น ผู้จัดหาสินค้าหรือวัตถุดิบบางประเทศอาจเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้นจากผู้ผลิตอินเดีย อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวม การลงทุนมูลค่า 6.7 พันล้านดอลลาร์ในรัฐมหาราษฏระนับเป็นก้าวสำคัญที่ยืนยันบทบาทของอินเดียในฐานะ “ประตูการค้าทางทะเลฝั่งตะวันตก” และเปิดเส้นทางใหม่ให้ไทยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโลจิสติกส์อินเดียเพื่อขยายตลาดในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียและเอเชียใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น.

L2D-Page-82

เปิดแผนสกัดสวมสิทธิส่งออกสหรัฐ ‘พาณิชย์’ ลุยตรวจ 'RVC' 8 พันฉบับต่อเดือน

ครม.เศรษฐกิจเตรียมมาตรการรับมือสหรัฐเข้มงวดถิ่นกำเนิดสินค้า ป้องกันผลกระทบตลาดส่งออก 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์

รายงานจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.ฝ่ายเศรษฐกิจ) เตรียมเสนอชุดมาตรการสำคัญเพื่อรักษาตลาดส่งออกสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 55,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หลังรัฐบาลสหรัฐเข้มงวดการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างเข้มข้น และเริ่มจัดเก็บอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff: RT) ในอัตรา 19% สำหรับสินค้าทุกประเภทที่ส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐ ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา

มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการสูญเสียตลาดส่งออกหลักของไทย หลังพบว่าหากสหรัฐตรวจสอบพบสินค้าสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า (Transshipment) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี อาจถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 40% ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของผู้ประกอบการไทยและภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะคู่ค้าสำคัญ

ทั้งนี้ สหรัฐมีแนวโน้มจะปรับหลักเกณฑ์การพิจารณาถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) จากเดิมที่พิจารณาตามกระบวนการผลิต (Substantial Transformation) มาเป็นการพิจารณาจากสัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content หรือ RVC) เพื่อป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งอาจสร้างความท้าทายใหม่ต่อผู้ส่งออกไทย

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศได้จัดทำโครงการ “เพิ่ม Local Content ไทย สร้างโอกาสใหม่ในตลาดสหรัฐ (RVC-Up)” ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 และต่อเนื่องถึงปี 2569 โดยมีผู้ประกอบการส่งออกสินค้ากลุ่มเป้าหมายประมาณ 6,000 ราย ครอบคลุม 3 แผนงานหลัก

แผนงานสำคัญคือ “UP System” การพัฒนาระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการตรวจสอบ รองรับปริมาณคำขอออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ภายใต้มาตรการใหม่นี้ กรมการค้าต่างประเทศจะเป็นหน่วยงานหลักเพียงแห่งเดียวในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไปยังสหรัฐ

ปัจจุบัน กรมฯ ตรวจสอบคำขอเฉลี่ย 90 ฉบับต่อเดือน ใช้เวลาประมาณ 3 วันต่อฉบับ แต่เมื่อมาตรการใหม่มีผลบังคับใช้ คาดว่าปริมาณคำขอจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 8,000 ฉบับต่อเดือน ทำให้ต้องใช้เวลาตรวจสอบเฉลี่ยถึง 24 วัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนและระยะเวลาการส่งออกของผู้ประกอบการ

เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงพาณิชย์จึงเสนอใช้งบประมาณ 12.9 ล้านบาท จากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ 2569 สำหรับพัฒนาระบบดังกล่าว พร้อมมาตรการเสริมอื่น ๆ ได้แก่ การให้ความรู้ผู้ประกอบการ การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการจัดตั้งคณะกรรมการสาธารณกิจการค้าต่างประเทศ (คสธก.) เพื่อบูรณาการการปราบปรามธุรกิจนอมินีและการดำเนินธุรกิจต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมาย รวมทั้งตรวจสอบเส้นทางการเงินร่วมกับสำนักงาน ปปง.

มาตรการเหล่านี้จะถูกนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเร็ว ๆ นี้ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อพิจารณาเห็นชอบแนวทางของกระทรวงพาณิชย์ในการรับมือกับมาตรการภาษีของสหรัฐ และรักษาความเชื่อมั่นในตลาดส่งออกที่มีความสำคัญสูงสุดต่อเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน

เมื่อโครงการมอเตอร์เวย์ M5 ส่วนต่อขยายรังสิต–บางปะอินเปิดใช้งานเต็มรูปแบบ จะช่วยลดปัญหาการจราจรแออัดบริเวณถนนพหลโยธินและวิภาวดีรังสิต เชื่อมโครงข่ายคมนาคมสำคัญระหว่างกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่าง ๆ ส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว.

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us