การส่งออกเครื่องปรับอากาศของไทยไปยังสหรัฐอเมริกากำลังขยายตัวอย่างก้าวกระโดด หลังจากได้รับอานิสงส์จากมาตรการภาษีศุลกากรตอบแทน (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ที่เก็บในอัตรา 19% ซึ่งส่งผลให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าจากจีนได้มากขึ้น ประกอบกับการเร่งส่งออกของผู้ประกอบการก่อนมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ ทำให้มูลค่าส่งออกเครื่องปรับอากาศจากไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวถึง 36% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ในปีเดียวกัน ไทยสามารถแซงหน้าจีนขึ้นเป็นประเทศผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องปรับอากาศแบบ “แอร์หน้าต่าง” (Self-contained system) ซึ่งคิดเป็นกว่า 95% ของปริมาณนำเข้าทั้งหมดของตลาดสหรัฐฯ แตกต่างจากตลาดในประเทศที่นิยมใช้ “แอร์ผนัง” (Split system) มากกว่า ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ไทยมีสัดส่วนการส่งออกเครื่องปรับอากาศไปสหรัฐฯ สูงถึง 59% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด โดยเกือบทั้งหมดเป็นเครื่องปรับอากาศแบบแอร์หน้าต่าง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า การจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบแทน 19% รวมถึงภาษีส่วนประกอบเหล็กในอัตรา 50% ภายใต้ Section 232 ของสหรัฐฯ ส่งผลให้ต้นทุนการส่งออกเครื่องปรับอากาศของไทยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ดี โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบราคาหลังรวมภาษีนำเข้ากับคู่แข่งหลัก พบว่าราคาสินค้าจากไทยยังต่ำกว่าจีนราว 13%–23% ในขณะที่ก่อนหน้านี้ ราคาสินค้าจากไทยกลับสูงกว่าจีนประมาณ 3%–18%
ในตลาดโลก ไทยมีคู่แข่งสำคัญคือจีน เม็กซิโก และอินโดนีเซีย โดยแม้ไทยจะได้เปรียบจีนในด้านโครงสร้างราคา แต่ก็ยังเผชิญการแข่งขันเพิ่มขึ้นจากเม็กซิโกและอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่มีราคานำเข้าบางส่วนต่ำกว่าไทย อย่างไรก็ดี ปริมาณการส่งออกของอินโดนีเซียไปยังสหรัฐฯ ยังมีสัดส่วนน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับไทยและจีน ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดรวมกว่า 86%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า มูลค่าส่งออกเครื่องปรับอากาศของไทยไปสหรัฐฯ ตลอดปี 2568 จะอยู่ที่ราว 651 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งส่งออกก่อนถึงกำหนดเก็บภาษีในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 อย่างไรก็ตาม หลังจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบแทนมีผลบังคับใช้ และเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูกาลปกติ คาดว่าการส่งออกจะชะลอลงราว 70% ในช่วงครึ่งหลังของปี
ในระยะยาว แนวโน้มการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการจีนรายใหญ่เข้ามาลงทุนในไทย ประกอบกับความได้เปรียบด้านโครงสร้างภาษีและห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็ง จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศที่สำคัญของโลก และเป็นจุดยุทธศาสตร์หลักสำหรับการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ในอนาคต