admin 2

L2D-Page-96

“โคเปอร์” ประตูใหม่แห่งยุโรปกลาง ดันส่งออกไทยสู่เส้นทางโลจิสติกส์สีเขียว

ประเทศไทยเดินหน้าผลักดันการส่งออกด้วยเส้นทางใหม่ “แหลมฉบัง – โคเปอร์” โดยหวังใช้ท่าเรือโคเปอร์ (Koper) ในสโลวีเนียเป็นประตูสู่ยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก พร้อมชูจุดขาย “โลจิสติกส์สีเขียว” ที่ช่วยลดระยะเวลาขนส่ง ลดต้นทุน และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ตอบโจทย์ยุโรปที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น

สโลวีเนีย แม้เป็นประเทศขนาดเล็กในยุโรปกลาง มีประชากรราว 2 ล้านคน และ GDP อยู่ที่ประมาณ 72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับมีศักยภาพด้านโลจิสติกส์สูง โดยเฉพาะ “ท่าเรือโคเปอร์” ที่ตั้งอยู่ริมทะเลเอเดรียติก ซึ่งสามารถเชื่อมต่อการขนส่งจากเอเชียเข้าสู่เมืองเศรษฐกิจสำคัญของยุโรปตอนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นออสเตรีย ฮังการี สโลวาเกีย เช็ก โครเอเชีย เซอร์เบีย ไปจนถึงเยอรมนีตอนใต้และสวิตเซอร์แลนด์ รวมแล้วมีประชากรครอบคลุมกว่า 73 ล้านคน และมี GDP รวมเฉลี่ยราว 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 ทีมประเทศไทย นำโดยนางสาวภัทรัตน์ หงษ์ทอง เอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ “Thailand – Slovenia: Advancing Economic Partnership for the Future” ณ กรุงลูบลิยานา เมืองหลวงของสโลวีเนีย โดยมี นางสาวอรอนุช ผดุงวิถี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ กรุงเวียนนา ร่วมอภิปรายในหัวข้อ “Unlocking Trade and Investment Opportunities” เพื่อผลักดันการใช้เส้นทางโลจิสติกส์ใหม่ผ่านท่าเรือโคเปอร์ในการกระจายสินค้าจากไทยเข้าสู่ยุโรปอย่างมีประสิทธิภาพ

สคต. ณ กรุงเวียนนา ระบุว่า เส้นทางนี้มีศักยภาพสูงและอาจกลายเป็น “Game-Changer” สำหรับผู้ส่งออกไทย เพราะสามารถย่นระยะทางและเวลาการขนส่งจากไทยไปยังยุโรปกลางได้อย่างมากเมื่อเทียบกับท่าเรือหลักในยุโรปเหนือ เช่น รอตเตอร์ดัม หรือฮัมบวร์ก อีกทั้งยังเป็นเส้นทางที่ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดยุโรปที่เข้มงวดในเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อย ๆ

นอกจากการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานแล้ว เส้นทางแหลมฉบัง – โคเปอร์ ยังช่วยขยายตลาดสินค้าไทยไปสู่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในยุโรป ที่มีอัตราการเติบโตของ GDP และกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งในกลุ่มประเทศบอลข่าน ยุโรปตะวันออก และยุโรปกลาง

สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจใช้ท่าเรือโคเปอร์เป็นช่องทางใหม่ในการนำสินค้าสู่ยุโรป สคต. ณ กรุงเวียนนา แนะนำให้พิจารณาปรับระบบโลจิสติกส์ให้เหมาะสม พร้อมจับมือกับพันธมิตรท้องถิ่นที่สามารถต่อยอดการกระจายสินค้าไปยังประเทศเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่องและราบรื่น

เส้นทาง “โลจิสติกส์สีเขียว” จากแหลมฉบังสู่โคเปอร์ ไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสการค้าให้กับไทยเท่านั้น แต่ยังสร้างความแตกต่างและความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดยุโรปที่ต้องการสินค้าคุณภาพดี เคลื่อนย้ายได้รวดเร็ว และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

L2D-Page-95

ทุนต่างชาติทะลัก! หนุนโลจิสติกส์ไทยคึกคัก ดันการขนส่งทุกมิติเติบโตแรง

ธุรกิจโลจิสติกส์ของไทยกำลังอยู่ในจังหวะขาขึ้น ล่าสุด สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าเผยว่า เดือนกรกฎาคม 2568 มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้าสู่ธุรกิจโลจิสติกส์มากถึง 2,564 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 15% ของการลงทุนโลจิสติกส์ทั้งหมดในประเทศ โดยมีประเทศหลักที่สนใจลงทุน ได้แก่ จีน สิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ และฮ่องกง สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานของไทย และแนวโน้มการเติบโตที่สดใสของภาคการขนส่งและซัพพลายเชนในภูมิภาค

ด้านภาพรวมธุรกิจโลจิสติกส์ในไทยปัจจุบัน มีนิติบุคคลจดทะเบียนรวม 46,570 ราย โดยในเดือนกรกฎาคม มีผู้ประกอบการเปิดกิจการใหม่ 327 ราย ลดลงเล็กน้อย 2.1% ขณะที่กิจการที่ปิดตัวลงอยู่ที่เพียง 69 ราย ลดลงเกือบ 15% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน กลุ่มธุรกิจที่ยังคงเติบโตโดดเด่นคือการขนส่งและขนถ่ายสินค้า รวมถึงการขนส่งผู้โดยสาร ซึ่งมีการเปิดกิจการใหม่ถึง 194 ราย เพิ่มขึ้นกว่า 38% นับเป็นสัญญาณบวกของตลาดที่ยังคงมีแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ที่เติบโตต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน หลายประเทศทั่วโลกต่างเดินหน้าปรับโครงสร้างโลจิสติกส์ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและยุโรป ตัวอย่างเช่น จีนที่ยกระดับด่านรถไฟนานาชาติหวายฮั่ว พร้อมพัฒนาคลองผิงลูในกว่างซีจ้วง เพื่อเชื่อมการขนส่งจากแผ่นดินใหญ่สู่ทะเลโดยตรง ขณะที่อินเดียทุ่มงบกว่า 1.5 ล้านล้านรูปี พัฒนา “คลัสเตอร์อุตสาหกรรมต่อเรือ” ตลอดแนวชายฝั่ง 5 รัฐ และเวียดนามเปิดเส้นทางเรือชายฝั่งใหม่ระหว่าง Hai Phong – Nghi Son ลดต้นทุนโลจิสติกส์ถึง 15% และลดคาร์บอนได้กว่า 70%

ในส่วนของไทยเอง การรถไฟแห่งประเทศไทยได้เริ่มทดลองขยายบริการรถไฟชานเมืองสู่จังหวัดราชบุรี ขณะที่ท่าเรือแหลมฉบังเตรียมติดตั้งระบบ Truck Queue เพื่อลดความแออัดของรถบรรทุก และท่าเรือกรุงเทพเตรียมนำระบบใบสั่งปล่อยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (NSW e-D/O) มาใช้ รองรับแนวคิด “Smart Port” อย่างเต็มรูปแบบ

สถิติการค้าระหว่างประเทศล่าสุดยังสะท้อนความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยการขนส่งทางอากาศมีมูลค่าการค้า 545,747 ล้านบาท เติบโต 11.8% ส่วนการขนส่งทางถนนมีมูลค่า 176,759 ล้านบาท เติบโต 3% โดยเฉพาะตลาดจีนที่เติบโตมากถึง 47.5% ขณะที่การขนส่งทางเรือยังครองสัดส่วนสูงสุดถึง 60% ของการค้าระหว่างประเทศ แม้จะลดลง 11.8% จากปีก่อน

ที่น่าจับตามองที่สุดคือการขนส่งทางราง ซึ่งแม้จะมีสัดส่วนเพียง 0.22% ของการค้ารวม แต่กลับเติบโตพุ่งถึง 40% โดยเฉพาะเส้นทางเชื่อมจีนที่มีสัดส่วนสูงถึง 90.6% แสดงให้เห็นถึงโอกาสมหาศาลในการต่อยอดการค้าระหว่างประเทศของไทย ผ่านระบบรางที่มีต้นทุนต่ำและมีเสถียรภาพสูง

เมื่อนำทุกองค์ประกอบมารวมกัน ทั้งเงินทุนต่างชาติ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และตัวเลขเติบโตในมิติต่าง ๆ ล้วนสะท้อนว่า “โลจิสติกส์ไทย” กำลังเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่งที่ดึงดูดการลงทุน พร้อมผลักดันไทยให้ก้าวสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคอย่างแท้จริง

ที่มา - thansettakij

ผู้ส่งออกข้าวไทยร้องรัฐ–แบงก์ชาติ เร่งแก้บาทแข็ง ฉุดขีดความสามารถแข่งขันในตลาดโลก

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกำลังบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลก และส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของเกษตรกรไทยนับล้านครัวเรือน นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 7% โดยจาก 34.33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ลดลงมาอยู่ที่ 31.68 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างอินเดีย เวียดนาม และปากีสถาน กลับเผชิญภาวะค่าเงินอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์

ความแตกต่างดังกล่าวทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่งมากกว่า 10% ตัวอย่างเช่น หากผู้ส่งออกไทย อินเดีย เวียดนาม และปากีสถาน ต่างขายข้าวขาว 5% ในราคา FOB ที่ 350 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันเท่ากัน รายได้ที่แปลงเป็นเงินสกุลท้องถิ่นกลับแตกต่างกันชัดเจน ไทยมีรายได้เพียง 11,025 บาทต่อตัน ในขณะที่อินเดียและเวียดนามสามารถมีรายได้มากกว่าไทยถึง 1,200 บาทต่อตัน และปากีสถานมากกว่าไทยกว่า 1,000 บาทต่อตัน ทั้งที่ราคาข้าว FOB เท่ากันทุกประเทศ ความแตกต่างนี้ไม่ได้เกิดจากราคาข้าว แต่เป็นผลจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยตรง

นายเจริญชี้ว่า ผลกระทบดังกล่าวไม่เพียงทำให้คำสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศลดลง แต่ยังอาจซ้ำเติมสถานการณ์ราคาข้าวในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงนาปีปลายปีนี้ที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาด หากไม่มีคำสั่งซื้อใหม่เข้ามารองรับ ราคาข้าวในประเทศมีแนวโน้มลดต่ำลงอย่างรุนแรง และเกษตรกรจะเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยจึงเรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินมาตรการเพื่อดูแลค่าเงินบาทโดยด่วน โดยไม่เพียงควบคุมไม่ให้เงินบาทแข็งค่ามากเกินไป แต่ควรปรับให้ค่าเงินอ่อนลงในระดับที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพไม่ให้เกิดความผันผวนรุนแรง เพราะสถานการณ์ครั้งนี้ถือเป็นวาระเร่งด่วน หากปล่อยให้เงินบาทแข็งต่อเนื่องโดยไม่มีมาตรการแก้ไข ข้าวไทยจะเสียเปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก และเกษตรกรไทยจะต้องเผชิญกับรายได้ที่ลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

L2D Page (93)

“สุริยะ” ฝากรัฐมนตรีคมนาคมคนใหม่ เร่งสานต่อถนนพระราม 2–M82 พ้อเสียดายนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทใกล้สำเร็จแต่ยังไม่ทันใช้

ที่กระทรวงคมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เข้ากราบลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และกล่าวอำลาผู้บริหาร ข้าราชการในสังกัด หลังสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยนายสุริยะได้ย้อนถึงผลงานเกือบสองปีที่ผ่านมา ว่ากระทรวงคมนาคมได้เร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านโครงสร้างพื้นฐานในหลายมิติ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบรางซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงจากการขนส่งทางถนน พร้อมแก้ปัญหาที่ประชาชนเผชิญในชีวิตประจำวัน เช่น การลดความแออัดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผ่านการติดตั้งเครื่องอำนวยความสะดวกและการเพิ่มช่องตรวจคนเข้าเมืองเพื่อให้การเดินทางคล่องตัวขึ้น

นายสุริยะกล่าวต่อว่า ภารกิจหลายอย่างยังคงค้างอยู่และจำเป็นต้องได้รับการสานต่อ โดยเฉพาะโครงการถนนพระราม 2 และทางด่วนพิเศษระหว่างเมืองสาย M82 ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหาจราจรติดขัดและเป็นเส้นทางหลักเชื่อมต่อสู่ภาคใต้ จึงอยากฝากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนใหม่เร่งเดินหน้าให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ พร้อมทั้งมอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นกำลังสำคัญในการติดตามงานอย่างใกล้ชิด

ในส่วนของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น นายสุริยะยอมรับว่าเป็นเรื่องที่รู้สึกเสียดาย เนื่องจากได้ผลักดันมาอย่างยาวนานจนเกือบถึงขั้นบังคับใช้ แต่ยังคงต้องรอการตัดสินใจของรัฐมนตรีคนใหม่ว่าจะดำเนินการต่อหรือไม่ ขณะที่นางมนพรเสริมว่า นโยบายนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของกระทรวงคมนาคม โดยร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งเปรียบได้กับ “มวยที่ชกมาถึงยก 4 เหลือเพียงยก 5” หากกฎหมายเหล่านี้ผ่านความเห็นชอบก็จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญให้รัฐบาลใหม่สานต่อโครงการได้โดยไร้รอยต่อ

นอกจากนั้นยังมีกฎหมายที่รอการผลักดันต่อเนื่อง อาทิ ร่าง พ.ร.บ.การท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่ไม่ได้รับการแก้ไขมานานกว่า 70 ปี และขณะนี้ผ่านการพิจารณาหลักการของวุฒิสภาแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงาน ตลอดจนร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ที่เตรียมเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนถึงโครงการต่อเนื่องที่หากได้รับการสานต่อจากรัฐบาลใหม่ ก็จะช่วยสร้างความต่อเนื่องในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างแท้จริง

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us