admin 2

L2D Page (160)

ราคาบ้านสูงลิ่วดันคนเช่ามากกว่าซื้อ เศรษฐกิจผันผวนทำคนพับแผนซื้อบ้านขอเก็บเงินตั้งหลักก่อน

เศรษฐกิจผันผวน-บ้านแพง ดันคนไทยชะลอซื้อ หันเช่ารอความพร้อมทางการเงิน

กำลังซื้อผู้บริโภคไทยในปี 2568 ยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ส่งผลให้หลายครัวเรือนต้องระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นภาระทางการเงินระยะยาว สะท้อนผ่านข้อมูลจาก “ดีดีพร็อพเพอร์ตี้” (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ที่ระบุว่าผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยเลือกชะลอแผนซื้อบ้านออกไปก่อน เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสมและสร้างความมั่นคงทางการเงินให้มากขึ้น

สอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่พบว่าอุปสงค์สะสมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 หดตัวลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภทมีจำนวน 227,106 หน่วย ลดลง 9.3% และมีมูลค่า 617,768 ล้านบาท ลดลง 12.4% สะท้อนว่ากำลังซื้อในตลาดอสังหาฯ ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้ความต้องการมีที่อยู่อาศัยยังคงอยู่ แต่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้เข้ามากระทบแผนการเงินของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยยังไม่ได้หายไปทั้งหมด โดยข้อมูลจากผู้เข้าชมเว็บไซต์ DDproperty พบว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี ความต้องการซื้อในหลายพื้นที่ยังเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยกรุงเทพฯ มีอัตราการค้นหาซื้อเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 26% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงจับตาตลาดและรอช่วงเวลาที่เหมาะสม ทั้งในด้านความพร้อมทางการเงินและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ

ขณะเดียวกัน แบบสำรวจล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ระบุว่า ผู้ที่สนใจซื้อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่กว่า 82% มองหาที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับโครงการที่มีราคาจับต้องได้ สอดคล้องกับกำลังซื้อที่แท้จริงภายใต้ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

แม้จะมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐ แต่ความผันผวนทางเศรษฐกิจยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคต้องทบทวนแผนการซื้อ โดยกว่า 28% ของผู้ตอบแบบสำรวจตัดสินใจเลื่อนการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อน เนื่องจากเงินออมได้รับผลกระทบและไม่ต้องการแบกรับภาระหนี้ก้อนใหญ่ในระยะยาว

ผลจากการชะลอการซื้อ ส่งให้เทรนด์ “Generation Rent” เติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดอสังหาฯ ผู้บริโภคกลุ่มผู้เช่ากว่า 23% ระบุว่าราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับสูงขึ้นเกินเอื้อมเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เลือกเช่าแทนการซื้อ ขณะที่อีก 20% มองว่ายังไม่มีเงินเก็บเพียงพอ และบางส่วนเห็นว่ายังไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในช่วงเวลานี้

สำหรับแผนการอยู่อาศัย ผู้เช่าส่วนใหญ่กว่า 57% ตั้งใจเช่าไม่เกิน 2 ปีก่อนจะกลับมาพิจารณาซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในอนาคต โดยต้องการใช้เวลาสร้างความพร้อมทางการเงินและประเมินทิศทางเศรษฐกิจ ขณะที่บางส่วนวางแผนเช่าในระยะ 2-5 ปี และมีเพียงส่วนน้อยที่ยังไม่แน่ใจกรอบเวลาในการตัดสินใจ

ด้านอัตราค่าเช่าที่ได้รับความนิยมสูงสุดอยู่ในช่วง 5,001-10,000 บาทต่อเดือน สะท้อนพฤติกรรมผู้เช่าที่ยินดีจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อแลกกับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทำเลใกล้ที่ทำงาน การเดินทางที่สะดวก หรือสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

L2D Page (161)

คมนาคม เข้ม ‘FIT TO DRIVE’ รับปีใหม่ 69 ตั้งเป้าลดอุบัติเหตุ 5% ตรวจรถ–คนขับทั่วประเทศ

คมนาคมยกระดับ “FIT TO DRIVE” รับปีใหม่ 2569 คุมเข้มรถ–คนขับทั่วประเทศ ตั้งเป้าลดอุบัติเหตุไม่ต่ำกว่า 5%

กระทรวงคมนาคมเดินหน้ายกระดับมาตรการความปลอดภัยรับเทศกาลปีใหม่ 2569 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเดินทางหนาแน่นที่สุดของปี ภายใต้แคมเปญ “FIT TO DRIVE ร่วมสร้างสุขทั่วไทย ปลอดภัยทุกเส้นทาง” เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนตลอดการเดินทาง โดยตั้งเป้าลดอุบัติเหตุทางถนนลงอย่างน้อย 5% และลดจำนวนผู้เสียชีวิตให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดเตรียมความพร้อมด้านระบบขนส่งอย่างรอบด้าน ทั้งการจัดรถเสริม การบริหารจัดการปริมาณผู้โดยสาร และการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ เพื่อดูแลประชาชนตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง โดยกรมการขนส่งทางบกจะดำเนินการตรวจสอบความพร้อมของรถโดยสารและพนักงานขับรถผ่านจุดอำนวยความสะดวกและจุดตรวจความปลอดภัยกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งช่วงขาไปและขากลับ

นายพิพัฒน์ ระบุว่า เทศกาลปีใหม่ยังคงเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุสูง จึงขอความร่วมมือประชาชน โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ให้สวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง งดขับขี่ขณะมึนเมา และช่วยกันดูแลเตือนกันในสังคม เพื่อลดความสูญเสีย โดยกระทรวงคมนาคมตั้งเป้าให้การขนส่งสาธารณะทุกประเภทมีอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตเป็นศูนย์ เพื่อให้การเดินทางในช่วงปีใหม่เป็นไปอย่างปลอดภัยและอุ่นใจ

ด้านนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมฯ ได้ดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องและเข้มงวด ทั้งการตรวจความพร้อมรถโดยสาร ณ สถานประกอบการ การซักซ้อมการปฏิบัติงานของผู้จัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง หรือ TSM รวมถึงการใช้ระบบรายงานตรวจสอบความพร้อมรถและพนักงานขับรถออนไลน์ “เช็กชัวร์ Ready to go” เพื่อยกระดับการตรวจความพร้อมก่อนปล่อยรถออกให้บริการทุกวัน

สำหรับช่วงเทศกาลปีใหม่ กรมการขนส่งทางบกจะเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบและกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัย ณ สถานีขนส่งผู้โดยสาร จุดจอดรถ จุดตรวจ และจุดพักรถ รวมทั้งสิ้น 219 แห่งทั่วประเทศ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากความประมาทและความไม่พร้อมของรถหรือผู้ขับขี่

นอกจากนี้ ยังมีการใช้ระบบ GPS ตรวจสอบพฤติกรรมการขับรถของพนักงานขับรถตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติผ่านแอปพลิเคชัน DLT GPS Notice เพื่อควบคุมความเร็วและลดพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ขณะเดียวกันได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าให้หลีกเลี่ยงการขนส่งในช่วงเทศกาล และงดใช้รถเปล่า เพื่อลดปัญหาการจราจรหนาแน่นบนถนนสายหลัก

ในส่วนของรถโดยสารสองชั้น กรมการขนส่งทางบกได้กำหนดข้อจำกัดด้านความปลอดภัยอย่างชัดเจน โดยไม่อนุญาตให้วิ่งผ่านเส้นทางที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เส้นทางภูเขาและทางลาดชัน พร้อมกำหนดความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และติดตามการเดินรถผ่านระบบ GPS ทุกคันอย่างใกล้ชิด

นายสรพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กรมการขนส่งทางบกอยู่ระหว่างเร่งออกมาตรการบังคับติดตั้งอุปกรณ์แจ้งเตือนด้านความปลอดภัย เพื่อยกระดับการป้องกันอุบัติเหตุและคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้กับรถใหม่ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2569 ส่วนรถที่จดทะเบียนก่อนหน้านี้จะให้มีผลบังคับใช้ภายในรอบการต่ออายุภาษีรถ

L2D Page (159)

ส่องเส้นทางการค้าใหม่ ไทย-บังกลาเทศ-อินเดีย-ภูฏาน

เปิดระเบียงการค้าใหม่ ไทย–บังกลาเทศ–อินเดีย–ภูฏาน จุดเปลี่ยนโลจิสติกส์เอเชียใต้
การลงนามข้อตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าผ่านแดนระหว่างภูฏานและบังกลาเทศในปี 2566 นับเป็นจุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียใต้ โดยเฉพาะต่อประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลอย่างภูฏาน ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวได้เปิดประตูสู่ทางเลือกใหม่ในการเชื่อมต่อกับตลาดโลก ลดการพึ่งพาเส้นทางดั้งเดิมผ่านอินเดีย และช่วยกระจายความเสี่ยงด้านโลจิสติกส์ในระยะยาว

ในขณะเดียวกัน บังกลาเทศได้ยกระดับบทบาทของตนเองขึ้นเป็นศูนย์กลางการขนส่งผ่านแดนที่มีศักยภาพของภูมิภาค โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มประเทศในเทือกเขาหิมาลัยตะวันออก ความร่วมมือครั้งนี้ตั้งอยู่บนรากฐานความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ที่แน่นแฟ้น ภูฏานเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่รับรองเอกราชของบังกลาเทศเมื่อปี 2514 และในปัจจุบัน บังกลาเทศถือเป็นคู่ค้าอันดับสองของภูฏานรองจากอินเดีย

การยกระดับความสัมพันธ์จากการพึ่งพาโครงสร้างโลจิสติกส์ของอินเดียเพียงฝ่ายเดียว ไปสู่การสร้างระเบียงเศรษฐกิจที่มีกรอบกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน จึงถือเป็นก้าวสำคัญของภูมิภาคนี้

กรอบกฎหมายที่ปูทางสู่เส้นทางการค้าใหม่
การเปิดเส้นทางการค้าใหม่นี้ตั้งอยู่บนรากฐานของข้อตกลงทางกฎหมายหลายฉบับที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ โดยข้อตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าผ่านแดนที่ลงนามในปี 2566 ถือเป็นแกนหลักของความร่วมมือ เปิดให้มีการขนส่งหลายรูปแบบ ทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ พร้อมกำหนดจุดผ่านแดนเข้า–ออกที่ชัดเจน และมีอายุข้อตกลง 10 ปี พร้อมกลไกคณะกรรมการเทคนิคร่วมทำหน้าที่กำกับดูแล

ขณะเดียวกัน ข้อตกลงการค้าพิเศษระหว่างบังกลาเทศและภูฏาน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2565 ได้สร้างแรงจูงใจด้านภาษี โดยให้สิทธิยกเว้นอากรแก่สินค้าทั้งสองฝ่าย ส่งผลให้เกิดความหลากหลายของสินค้าและปริมาณการค้าซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากเส้นทางใหม่นี้ได้โดยตรง

นอกจากนี้ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการใช้เส้นทางน้ำภายในประเทศ ซึ่งอนุญาตให้ภูฏานใช้ท่าเรือจิตตะกองและมองลาของบังกลาเทศ ยังเปิดโอกาสให้เกิดการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ซึ่งมีศักยภาพในการลดต้นทุนรวมเมื่อเทียบกับการใช้รถบรรทุกเพียงอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม กรอบนโยบายที่ชัดเจนในเชิงเอกสารยังต้องผ่านบททดสอบจากการปฏิบัติจริง ซึ่งนำไปสู่การทดลองขนส่งสินค้าผ่านแดนครั้งแรก

บทเรียนจากการทดลองขนส่งสินค้าผ่านแดน
การทดลองขนส่งครั้งแรกซึ่งดำเนินการโดยบริษัท Abit Trading ของภูฏาน เป็นการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากประเทศไทย ผ่านท่าเรือแหลมฉบังไปยังท่าเรือจิตตะกอง ก่อนลำเลียงต่อทางบกผ่านบังกลาเทศ อินเดีย และเข้าสู่เมืองโพนโชลิงของภูฏาน เส้นทางดังกล่าวครอบคลุมการขนส่งทั้งทางทะเลและทางบกหลายช่วง

ผลลัพธ์ในเชิงศักยภาพสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หากกระบวนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างราบรื่น ระยะเวลาการขนส่งสามารถลดลงจากประมาณ 40 วัน เหลือเพียงราว 15 วัน เมื่อเทียบกับเส้นทางดั้งเดิมผ่านท่าเรือโกลกาตาของอินเดีย ถือเป็นจุดขายสำคัญในเชิงโลจิสติกส์

อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติจริงได้เผยให้เห็น “จุดติดขัด” ที่สำคัญหลายประการ ตั้งแต่ความล่าช้าที่ท่าเรือจิตตะกองซึ่งกินเวลานานเกือบสองเดือน อันเกิดจากการขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานและข้อกำหนดเรื่องค่าธรรมเนียมที่ไม่ชัดเจน ปัญหาการประสานงานไตรภาคีที่ชายแดนบังกลาเทศ–อินเดีย ตลอดจนต้นทุนแฝงจากการคุ้มกันสินค้าตลอดเส้นทาง และข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานของด่านชายแดน

การทดลองครั้งนี้จึงถือเป็นการพิสูจน์แนวคิดในเชิงกายภาพ ขณะเดียวกันก็สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงกระบวนการและกฎระเบียบข้ามพรมแดน

สมการการค้าใหม่ของเอเชียใต้
ผลกระทบของข้อตกลงนี้ขยายวงกว้างเกินกว่าการค้าระหว่างภูฏานและบังกลาเทศ โดยกำลังปรับเปลี่ยนพลวัตด้านโลจิสติกส์และภูมิรัฐศาสตร์ของทั้งภูมิภาค สำหรับภูฏาน เส้นทางใหม่นี้คือเครื่องมือสำคัญในการลดการพึ่งพาอินเดีย และเพิ่มอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจในระยะยาว

สำหรับบังกลาเทศ เส้นทางการขนส่งผ่านแดนเปิดโอกาสให้เกิดรายได้ใหม่จากค่าธรรมเนียมและบริการโลจิสติกส์ โดยมีการประเมินว่าหากเพียงส่วนหนึ่งของการขนส่งไปภูฏานหันมาใช้เส้นทางนี้ ก็อาจสร้างรายได้ระดับพันล้านตากาต่อปี พร้อมทั้งวางตำแหน่งประเทศเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค โดยมีเนปาลเป็นเป้าหมายถัดไป

ขณะที่อินเดียยังคงเป็นปัจจัยชี้ขาดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ บทบาทในฐานะประเทศทางผ่านทำให้ความร่วมมือของหน่วยงานอินเดียเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จของระเบียงเศรษฐกิจนี้ และเป็นบททดสอบเชิงปฏิบัติของกรอบความร่วมมือ BBIN อย่างแท้จริง

โอกาสและความเสี่ยงสำหรับภาคธุรกิจโลจิสติกส์
การเปิดเส้นทางการค้าใหม่นี้สร้างโอกาสให้กับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ตัวแทนออกของ และผู้ประกอบการขนส่ง ในการพัฒนาบริการเฉพาะทาง ลดระยะเวลาการขนส่ง และเข้าถึงตลาดประเทศที่สามได้สะดวกขึ้น อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ในรูปของความไม่แน่นอนด้านกระบวนการ โครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่สอดคล้องกัน ต้นทุนแฝง และข้อจำกัดด้านนโยบายสิ่งแวดล้อมของภูฏาน

การตัดสินใจใช้เส้นทางนี้จึงต้องอาศัยการประเมินต้นทุน ความเสี่ยง และความพร้อมของเครือข่ายพันธมิตรในทั้งสามประเทศอย่างรอบด้าน

แนวโน้มในอนาคตและบทสรุป
การที่ Abit Trading ขออนุมัติทดลองขนส่งเพิ่มเติมสะท้อนว่า ภาคเอกชนมองเห็นศักยภาพของเส้นทางนี้ แต่ยังต้องการความชัดเจนในการปฏิบัติจริง ระเบียงเศรษฐกิจนี้จึงไม่ใช่เพียงการทดสอบระบบโลจิสติกส์ หากแต่เป็นบททดสอบความร่วมมือทางภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียใต้

หากสามารถแก้ไขจุดติดขัดเชิงโครงสร้างและกฎระเบียบได้สำเร็จ เส้นทางการค้าใหม่นี้จะกลายเป็นกลไกสำคัญในการบูรณาการเศรษฐกิจของภูมิภาค และตอกย้ำบทบาทของบังกลาเทศในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสใหม่ให้ประเทศอย่างไทยสามารถเชื่อมโยงการค้าไปสู่ตลาดภูมิภาคหิมาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

L2D Page (158)

"หัวเว่ย"พบ"พิพัฒน์" อัปเดตข้อมูล-เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพ"ระบบคมนาคมไทย"

คมนาคมเปิดเวทีรับเทคโนโลยี “หัวเว่ย” เสริมระบบจราจรอัจฉริยะ ยกระดับความปลอดภัยการเดินทางของไทย

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดโอกาสให้บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เข้าพบเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและรับฟังพัฒนาการด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับระบบคมนาคมขนส่งของไทยในอนาคต โดยมีนายวิลเลี่ยม จาง รองประธานกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัทหัวเว่ยฯ พร้อมคณะเข้าร่วมหารือ ณ กระทรวงคมนาคม

การหารือครั้งนี้มีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อาทิ ปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้แทนจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร โดยมุ่งเน้นการติดตามแนวโน้มเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สามารถนำมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และคุณภาพการให้บริการด้านการเดินทางและการขนส่งของประเทศ

นายพิพัฒน์กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญกับการเปิดรับองค์ความรู้และนวัตกรรมจากภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ซึ่งมีศักยภาพในการยกระดับการบริหารจัดการระบบคมนาคม ทั้งในด้านการจราจร ความปลอดภัย และการให้บริการประชาชน โดยเป้าหมายสำคัญคือการอำนวยความสะดวก ลดความเสี่ยงในการเดินทาง และลดต้นทุนของประชาชนในชีวิตประจำวัน

ในการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ มีการนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ในการบริหารจัดการจราจรและระบบความปลอดภัย การพัฒนาระบบควบคุมและติดตามการเดินทางแบบเรียลไทม์ รวมถึงการเชื่อมโยงและบริหารจัดการข้อมูลด้านคมนาคมอย่างเป็นระบบ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมการขนส่งทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ

นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ให้มีความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ภัยพิบัติหรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อระบบการเดินทางและการขนส่งของประเทศ

นายพิพัฒน์ย้ำว่า การเปิดรับฟังแนวคิดจากผู้เชี่ยวชาญและภาคเอกชนเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมเชิงนโยบาย เพื่อผลักดันระบบคมนาคมไทยให้ทันสมัย มีความปลอดภัย และตอบโจทย์การใช้ชีวิตของประชาชนได้อย่างยั่งยืน พร้อมขอบคุณบริษัทหัวเว่ยฯ ที่ให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับหน่วยงานภาครัฐไทยอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้รายงานความคืบหน้าเชิงแนวคิดเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากรและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเชิงนโยบายในอนาคต โดยมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมบุคลากรภาครัฐให้สามารถปรับตัวและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม รองรับการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยในระยะต่อไป

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us