admin 2

L2D Page (53)

ไทยแซงจีน ขึ้นแท่นผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศรายใหญ่สุดสู่สหรัฐฯ คาดมูลค่าส่งออกปี 2568 พุ่ง 36%

การส่งออกเครื่องปรับอากาศของไทยไปยังสหรัฐอเมริกากำลังขยายตัวอย่างก้าวกระโดด หลังจากได้รับอานิสงส์จากมาตรการภาษีศุลกากรตอบแทน (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ที่เก็บในอัตรา 19% ซึ่งส่งผลให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าจากจีนได้มากขึ้น ประกอบกับการเร่งส่งออกของผู้ประกอบการก่อนมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ ทำให้มูลค่าส่งออกเครื่องปรับอากาศจากไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวถึง 36% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ในปีเดียวกัน ไทยสามารถแซงหน้าจีนขึ้นเป็นประเทศผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องปรับอากาศแบบ “แอร์หน้าต่าง” (Self-contained system) ซึ่งคิดเป็นกว่า 95% ของปริมาณนำเข้าทั้งหมดของตลาดสหรัฐฯ แตกต่างจากตลาดในประเทศที่นิยมใช้ “แอร์ผนัง” (Split system) มากกว่า ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ไทยมีสัดส่วนการส่งออกเครื่องปรับอากาศไปสหรัฐฯ สูงถึง 59% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด โดยเกือบทั้งหมดเป็นเครื่องปรับอากาศแบบแอร์หน้าต่าง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า การจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบแทน 19% รวมถึงภาษีส่วนประกอบเหล็กในอัตรา 50% ภายใต้ Section 232 ของสหรัฐฯ ส่งผลให้ต้นทุนการส่งออกเครื่องปรับอากาศของไทยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ดี โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบราคาหลังรวมภาษีนำเข้ากับคู่แข่งหลัก พบว่าราคาสินค้าจากไทยยังต่ำกว่าจีนราว 13%–23% ในขณะที่ก่อนหน้านี้ ราคาสินค้าจากไทยกลับสูงกว่าจีนประมาณ 3%–18%

ในตลาดโลก ไทยมีคู่แข่งสำคัญคือจีน เม็กซิโก และอินโดนีเซีย โดยแม้ไทยจะได้เปรียบจีนในด้านโครงสร้างราคา แต่ก็ยังเผชิญการแข่งขันเพิ่มขึ้นจากเม็กซิโกและอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่มีราคานำเข้าบางส่วนต่ำกว่าไทย อย่างไรก็ดี ปริมาณการส่งออกของอินโดนีเซียไปยังสหรัฐฯ ยังมีสัดส่วนน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับไทยและจีน ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดรวมกว่า 86%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า มูลค่าส่งออกเครื่องปรับอากาศของไทยไปสหรัฐฯ ตลอดปี 2568 จะอยู่ที่ราว 651 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งส่งออกก่อนถึงกำหนดเก็บภาษีในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 อย่างไรก็ตาม หลังจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบแทนมีผลบังคับใช้ และเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูกาลปกติ คาดว่าการส่งออกจะชะลอลงราว 70% ในช่วงครึ่งหลังของปี

ในระยะยาว แนวโน้มการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการจีนรายใหญ่เข้ามาลงทุนในไทย ประกอบกับความได้เปรียบด้านโครงสร้างภาษีและห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็ง จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศที่สำคัญของโลก และเป็นจุดยุทธศาสตร์หลักสำหรับการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ในอนาคต

L2D Page (52)

เงินวอนอ่อนค่า–น้ำมันพุ่ง หนุนต้นทุนนำเข้าเกาหลีใต้เพิ่มต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3

ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) เปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมว่า ดัชนีราคานำเข้าในเดือนกันยายนปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ถือเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยสาเหตุหลักมาจากการอ่อนค่าของเงินวอนและการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก

BOK ระบุว่า ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เงินวอนอ่อนค่าลงสู่ระดับเฉลี่ย 1,391.83 วอนต่อดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1,389.66 วอนต่อดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม การอ่อนค่าของค่าเงินส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบดูไบซึ่งเป็นเกณฑ์อ้างอิงสำคัญของเกาหลีใต้ก็ปรับตัวขึ้น 0.9% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 70.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานและการผลิตของประเทศขยับสูงขึ้นตามไปด้วย

ธนาคารกลางเกาหลีใต้ชี้ว่า ราคานำเข้าที่เพิ่มขึ้นถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจะถูกส่งผ่านไปยังราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และอาจกดดันค่าครองชีพของประชาชน

นอกจากราคานำเข้าที่ขยับขึ้นแล้ว ข้อมูลของ BOK ยังระบุว่า ดัชนีราคาส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือนกันยายนก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามเช่นกัน โดยปรับขึ้น 0.6% จากเดือนก่อนหน้า สะท้อนแรงกดดันด้านราคาที่เพิ่มขึ้นทั้งในภาคนำเข้าและส่งออก ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงปลายปีนี้

106052

ไทย–ลาว กระชับสัมพันธ์แน่นแฟ้น ผลักดันคมนาคม–พลังงาน สร้างการเติบโตภูมิภาคอย่างยั่งยืน

วันที่ 16 ตุลาคม 2568 เวลา 09.30 น. ณ สำนักงานนายกรัฐมนตรี และหอคำ ทำเนียบประธานประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คณะผู้แทนไทยนำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือน สปป.ลาว อย่างเป็นทางการ พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เพื่อกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือรอบด้านระหว่างสองประเทศ

ในการเยือนครั้งนี้ คณะผู้แทนไทยได้เข้าหารือเต็มคณะกับนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีลาว และเข้าพบนายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศ สปป.ลาว โดยทั้งสองฝ่ายยืนยันความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน พลังงาน ความมั่นคง และคมนาคมขนส่ง รวมถึงการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของประชาชนไทย–ลาว

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกยินดีและภูมิใจที่ได้เยือนลาวอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรี พร้อมขอบคุณรัฐบาลลาวที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ไทย–ลาวมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นเสมือนเครือญาติ และในปีนี้ซึ่งครบรอบ 75 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต ถือเป็นโอกาสสำคัญในการสานต่อความร่วมมือให้เกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ด้านนายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศลาว แสดงความยินดีต่อการเยือนของคณะไทย พร้อมยืนยันความพร้อมที่จะเข้าร่วมพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ–บอลิคำไซ) ในช่วงปลายปี 2568 โดยจะมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานฝ่ายไทย ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนสายสัมพันธ์อันมั่นคงระหว่างสองประเทศ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงทิศทางความร่วมมือด้านคมนาคมว่า การเชื่อมโยงโครงข่ายระหว่างไทยและลาวเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค เพราะไม่เพียงแต่สร้างโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังเป็นเส้นทางแห่งมิตรภาพที่เปิดโอกาสทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนสองฝั่งโขง

ในส่วนของความคืบหน้าโครงการสำคัญ สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ–บอลิคำไซ) ก่อสร้างแล้วเสร็จและเตรียมเปิดใช้งานในเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาและต้นทุนขนส่ง เชื่อมโยงเส้นทางไทย–ลาว–เวียดนาม ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้าชายแดนภาคอีสาน นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 1 (หนองคาย–เวียงจันทน์) เพื่อเพิ่มน้ำหนักบรรทุกจาก U15 เป็น U20 และยกระดับประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยการขนส่งสินค้า ส่วนโครงการสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้สะพานแห่งที่ 1 ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาออกแบบรายละเอียดและจัดทำรายงาน EIA โดยตั้งเป้าเริ่มก่อสร้างปี 2570 แล้วเสร็จในปี 2573 เพื่อรองรับระบบรถไฟความเร็วสูงลาว–จีน

ขณะเดียวกัน โครงการทางรถไฟเวียงจันทน์–นครหลวงเวียงจันทน์ ระยะทาง 10 กิโลเมตร ซึ่งจะปิด “missing link” ของระบบรางในภูมิภาค อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาลลาวว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร ทั้งนี้ เป้าหมายหลักของความร่วมมือทั้งหมดคือการทำให้ประชาชนเดินทางได้สะดวกขึ้น การขนส่งและการค้าเกิดประสิทธิภาพ เมืองชายแดนคึกคัก และเยาวชนมีโอกาสทางอาชีพเพิ่มขึ้น

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงคมนาคมพร้อมเร่งดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อขยายความร่วมมือด้านถนน รถไฟ และระบบขนส่งสาธารณะกับ สปป.ลาว โดยมีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือการสร้างประโยชน์ให้ประชาชนทั้งสองประเทศ ได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง เพิ่มโอกาสในการค้าขายและประกอบอาชีพ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทย–ลาวอย่างยั่งยืน

L2D Page (51)

ทรัมป์ขู่ระงับนำเข้าน้ำมันปรุงอาหารจากจีน ตอบโต้ปักกิ่งหยุดซื้อถั่วเหลืองสหรัฐฯ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ออกมาโจมตีจีนอีกครั้ง โดยกล่าวหาว่าจีนตั้งใจหยุดซื้อนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เพื่อกดดันทางเศรษฐกิจ พร้อมระบุว่าเขากำลังพิจารณามาตรการตอบโต้ โดยอาจสั่งระงับการนำเข้าน้ำมันปรุงอาหารจากจีน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรอเมริกัน

ทรัมป์โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อวันอังคารที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ระบุว่าการกระทำของจีนเป็น “การเป็นปฏิปักษ์ทางเศรษฐกิจ” และสหรัฐฯ กำลังพิจารณา “ยกเลิกการทำธุรกิจกับจีน” โดยเฉพาะในส่วนของน้ำมันปรุงอาหารและสินค้าเกษตรบางประเภท ทรัมป์กล่าวว่า “เราสามารถผลิตน้ำมันปรุงอาหารเองได้ง่าย ๆ เราไม่จำเป็นต้องซื้อจากจีน”

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้เปิดเผยว่าเขาจะหยิบยกประเด็นการหยุดนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ของจีนมาหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระหว่างการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่ประเทศเกาหลีใต้ในช่วงปลายเดือนตุลาคม โดยระบุว่านี่เป็น “วาระสำคัญ” ที่ต้องหาทางออกอย่างเร่งด่วน

เกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองในสหรัฐฯ ยังคงได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสงครามการค้าระหว่างสองประเทศที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลทรัมป์ โดยจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดของโลก เคยนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ มากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตทั้งหมด แต่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จีนได้หันไปนำเข้าจากประเทศในอเมริกาใต้ เช่น บราซิลและอาร์เจนตินาแทน ส่งผลให้ราคาถั่วเหลืองในตลาดสหรัฐฯ ผันผวนและรายได้ของเกษตรกรลดลง

ถ้อยแถลงของทรัมป์ครั้งนี้ถือเป็นการกลับมาใช้ท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้เขาเพิ่งออกมาส่งสัญญาณผ่อนคลาย โดยกล่าวว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะราบรื่น” อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากจีนประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้ทรัมป์ตอบโต้ด้วยการขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 100%

แรงกดดันดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงในวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา สะท้อนถึงความวิตกของนักลงทุนต่อแนวโน้มสงครามการค้าระลอกใหม่ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ ขณะที่ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างเตรียมใช้เวทีการประชุมเอเปคปลายเดือนนี้ เพื่อหาทางลดแรงปะทะทางเศรษฐกิจและเปิดประตูสู่การเจรจาอีกครั้ง

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us