admin 2

L2D Page (99)

คลังสินค้าอัจฉริยะปักกิ่งช่วยขนส่งและจัดส่งรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง

ศูนย์โลจิสติกส์อัจฉริยะของ JD.com ในกรุงปักกิ่งได้รับการพัฒนาให้เป็นหนึ่งในศูนย์ปฏิบัติการล้ำยุคที่สุดในเอเชีย ด้วยการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงและการออกแบบพื้นที่ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ศูนย์แห่งนี้สามารถรองรับคำสั่งซื้อได้มากถึงวันละ 300,000 รายการ โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่ปริมาณคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด การจัดส่งสามารถทำได้ด้วยความเร็วระดับหลายสิบชิ้นต่อวินาที สะท้อนศักยภาพในการประมวลผลและขนส่งสินค้าที่เหนือกว่าระบบแบบดั้งเดิมอย่างชัดเจน

ภายในคลังสินค้า มีหุ่นยนต์กว่า 200 ตัวทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ไล่ตั้งแต่การหยิบสินค้า การเคลื่อนย้าย ไปจนถึงการคัดแยกและจัดวางบนชั้นเก็บขนาดใหญ่ เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบทำให้ศูนย์แห่งนี้มีประสิทธิภาพการคัดแยกสูงกว่าการทำงานด้วยมือถึงสามเท่า ส่งผลให้การจัดการสินค้าคงคลังเป็นไปอย่างแม่นยำ รวดเร็ว และลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดจากการทำงานของมนุษย์

คลังสินค้ามีพื้นที่มากกว่า 3,000 ตารางเมตร พร้อมชั้นวางสินค้าสูงถึง 12 เมตร สามารถรองรับสินค้าได้ประมาณ 10,000 กล่อง ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณสินค้าคงคลังทั้งปีของซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก การออกแบบให้ใช้พื้นที่ในแนวตั้งและบริหารจัดเก็บอย่างชาญฉลาด นับเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของศูนย์โลจิสติกส์อัจฉริยะนี้ให้โดดเด่นเหนือมาตรฐานทั่วไป ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า JD.com ไม่เพียงยกระดับระบบโลจิสติกส์ของตนเอง แต่ยังเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์อัจฉริยะระดับเอเชียอย่างแท้จริง.

L2D Page (98)

รฟท.ลุยล้างหนี้ 2.8 แสนล้าน เดินรถเพิ่มรายได้-งัดที่ดินพัฒนา

รฟท.เร่งทบทวนแผนฟื้นฟูใหม่ แก้หนี้สะสมกว่า 2.8 แสนล้าน มุ่งเพิ่มรายได้–พัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ ดันเป้าขึ้นแท่นผู้นำระบบรางอาเซียนปี 2570
การรถไฟแห่งประเทศไทยเดินหน้าทบทวนแผนฟื้นฟูฉบับใหม่ หลังแบกรับปัญหาหนี้สินสะสมกว่า 2.8 แสนล้านบาท โดยมุ่งยกระดับรายได้ทั้งจากระบบขนส่งและการพัฒนาเชิงพาณิชย์ พร้อมเร่งจัดหาขบวนรถใหม่เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดระบบราง ขณะเดียวกันยังผลักดันให้บริษัทลูกบริหารทรัพย์สินดำเนินงานเชิงรุกเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว แม้ภาวะเศรษฐกิจยังไม่เอื้ออำนวยก็ตาม

รัฐบาลได้เห็นชอบให้รฟท.กู้เงินเพิ่มเติมเพื่อใช้บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 18,000 ล้านบาท เนื่องจากแผนแก้หนี้เดิมยังไม่เพียงพอสำหรับภาระค่าใช้จ่ายประจำปี โดยกระทรวงคมนาคมรายงานว่ารฟท.ขาดทุนต่อเนื่องยาวนาน ส่วนหนึ่งมาจากการต้องนำรายได้ไปชำระดอกเบี้ยและหนี้เงินกู้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่งบที่เหลือถูกใช้ในการซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านราง รวมถึงอาคารสถานที่ รถจักร รถโดยสาร และรถสินค้า ซึ่งมีอายุการใช้งานมายาวนานจนต้องซ่อมบำรุงบ่อยครั้ง ค่าใช้จ่ายด้านการเดินรถ ค่าบริหารจัดการ และค่าใช้จ่ายบำเหน็จบำนาญยังคงสูง ส่งผลให้รายได้ไม่ครอบคลุมต้นทุนการดำเนินงาน

นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยแนวทางแก้ปัญหาหนี้ของรฟท.ว่าแบ่งออกเป็นสองแนวทางสำคัญ แนวทางแรกคือการเพิ่มรายได้จากการเดินรถขนส่งสินค้าและบริการ โดยปัจจุบันรฟท.มีรายได้จากการเดินรถโดยสารเพียงประมาณ 4,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งยังต่ำเมื่อเทียบกับรายจ่ายด้านการซ่อมบำรุงระบบราง ทั้งยังประสบปัญหาในการจัดซื้อรถโดยสารใหม่หลังถูกสั่งให้ทบทวนและเปิดทางให้เอกชนร่วมเดินรถในรูปแบบ PPP ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2569 ทำให้รฟท.ยังไม่สามารถปรับขึ้นราคาค่าโดยสารได้ตามต้นทุนจริงจากค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้น สำหรับรายได้จากการขนส่งสินค้าปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี โดยรฟท.ตั้งเป้าเพิ่มรายได้อีกประมาณ 2,400–2,500 ล้านบาทต่อปี หรือราวร้อยละ 10

นอกจากนั้นรฟทยังเร่งผลักดันรายได้จากการรถไฟท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันมีรายได้เพียง 50 ล้านบาทต่อปี แต่มีศักยภาพเติบโตสูงจากการให้บริการรถไฟท่องเที่ยวพิเศษ เช่น รถไฟญี่ปุ่น KIHA183 รถไฟ Royal Blossom และรถไฟสีน้ำเงินในเส้นทางยอดนิยมช่วงวันหยุด โดยตั้งเป้าผลักดันรายได้จากการท่องเที่ยวให้แตะ 100 ล้านบาทภายในปี 2568 ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องปรับปรุงสภาพขบวนรถและบริการให้มีมาตรฐานมากขึ้น

แนวทางที่สองคือการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ของรฟท.กว่า 38,000 ไร่ ซึ่งมีมูลค่าหลายแสนล้านบาท โดยทั้งหมดถูกโอนให้บริษัทลูกคือ บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด หรือ SRTA ตั้งแต่ปี 2565 เพื่อบริหารจัดการเชิงพาณิชย์และเปิดประมูลพัฒนาโครงการต่าง ๆ หนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงคือสถานีกลางบางซื่อ หรือสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางระบบรางที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รฟท.ตั้งเป้าดึงเอกชนร่วมพัฒนาพื้นที่มิกซ์ยูสประเภทต่าง ๆ หลังจากที่การเปิดประมูลรอบก่อนหน้านี้ไม่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้ต้องปรับแผนและมอบให้ SRTA วางแผนพัฒนาใหม่ทั้งหมด โดยทรัพย์สินจะยังเป็นกรรมสิทธิ์ของรฟท. ส่วนบริษัทลูกจะดูแลสัญญาเช่าและเจรจากับเอกชน โดยแบ่งรายได้ให้รฟท.ในอัตราร้อยละ 5 ตามที่กำหนดไว้

อีกด้านหนึ่งคือการต่อสัญญาเช่าที่ดินบริเวณสามเหลี่ยมพหลโยธินให้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ซึ่งสัญญาจะหมดอายุในปี 2571 โดยเอกชนได้เสนอขอต่อสัญญาใหม่อย่างน้อย 20 ปี และรฟท.จะต้องพิจารณาผลตอบแทนให้ไม่ต่ำกว่าสัญญาเดิม SRTA ยังเตรียมนำข้อเสนอขอต่อสัญญาในแปลงอื่นอีกประมาณสิบแปลง เสนอต่อบอร์ดรฟท.ภายในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ เช่น แปลงโครงการถนนพหลโยธินบริเวณ อตก. และแปลงพื้นที่ย่านชุมทางหาดใหญ่

สำหรับพื้นที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ แผนงานถูกแบ่งออกเป็นสองโซน ได้แก่ แปลง E ซึ่งเป็นพื้นที่เกี่ยวข้องกับแผนสัญญาเช่าของกระทรวงคมนาคม และพื้นที่ด้านข้างแปลง E ที่ SRTA ได้รับมอบหมายให้ศึกษาเพิ่มเติม ขณะที่แปลง G ซึ่งใช้ก่อสร้างโครงการบ้านพักคนไทย ยังอยู่ระหว่างจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการออกแบบ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสองเดือน ก่อนประเมินความคุ้มค่าการลงทุน

พื้นที่ศักยภาพอื่นที่สร้างรายได้ให้รฟท. เช่น ที่ดินย่านรัชดา 186 ไร่ ซึ่งมีอาคารสูง โรงแรม และสถานบริการเช่าพื้นที่อยู่หลายแห่ง โดยบางสัญญาใกล้หมดอายุและต้องเจรจาต่อสัญญาใหม่ รวมถึงกรณีที่เอกชนต้องการเปลี่ยนรูปแบบการใช้ประโยชน์ เช่น การดัดแปลงเป็นโรงแรมสามดาว ทำให้ต้องปรับสัญญาให้สอดคล้องกับรูปแบบพัฒนาใหม่ นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาที่ดินบริเวณรองสถานีธนบุรี เนื้อที่รวม 148 ไร่ ซึ่งรฟท.เตรียมพัฒนาเป็นมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ให้เอกชนเช่าระยะยาว 30 ปี โดยอาศัยศักยภาพทำเลใกล้โรงพยาบาลศิริราช แม่น้ำเจ้าพระยา และจุดตัดของรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกกับสายสีแดง รวมถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์อื่นในย่านตลาดน้อยฝั่งธนบุรี

ส่วนกรณีข้อเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดเอกชนเข้ามาประมูลบริหารสินทรัพย์ของรฟท.นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานเพิ่มเติม โดยยังใช้มติ ครม.เดิมที่กำหนดให้บริษัท SRTA เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ระหว่างนี้รฟท.จึงได้มอบหมายให้ SRTA เข้าหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อกำหนดแนวทางบริหารสินทรัพย์ร่วมกัน ซึ่งคาดว่าคณะกรรมการชุดใหม่ของบริษัทลูกจะเริ่มงานภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2568

ที่ผ่านมา รฟท.ได้มอบหมายให้ SRTA ศึกษาความเหมาะสมในการพัฒนาที่ดินแปลงขนาดใหญ่จำนวน 28 แปลง ซึ่งรวมถึงพื้นที่บางซื่อ–คลองตัน (RCA) และโครงการศิลาอาสน์แปลงย่อย โดยทั้งหมดถูกนำมาพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูรายได้ในระยะยาว เพื่อให้รฟท.สามารถเดินหน้าลดภาระหนี้ และก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้ให้บริการระบบรางที่ดีที่สุดในอาเซียนภายในปี 2570

L2D Page (97)

ไทย ปักหมุดตลาดตะวันออกกลาง นำทัพเอกชนลุยส่งออกมันสำปะหลัง

ไทยรุกเปิดตลาดมันสำปะหลังในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หวังสร้างดีมานด์ล่วงหน้ารับผลผลิตปี 2568/69
กรมการค้าต่างประเทศร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนและนักวิชาการรวมกว่า 22 ราย เดินทางเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อขยายตลาดส่งออกสินค้ามันสำปะหลังไทยสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าสร้างความต้องการล่วงหน้าก่อนผลผลิตฤดูกาลใหม่ปี 2568/69 ออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนธันวาคม 2568 ถึงมีนาคม 2569

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันตามนโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกเพื่อเปิดตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และเพิ่มมูลค่าการค้าสินค้ามันสำปะหลังของไทยให้รองรับปริมาณผลผลิตที่จะออกมากในฤดูกาลนี้ ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพราคาให้เกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคณะเดินทางประกอบด้วยผู้ส่งออกมันสำปะหลังรายสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีด้านการแปรรูปมันสำปะหลังเป็นอาหารสัตว์ รวมถึงสื่อมวลชนที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ เพื่อร่วมเจรจาขยายตลาดในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมอาหาร กระดาษ และกาว

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ถือเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากมีอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีกำลังซื้อสูง และเปิดกว้างต่อการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบคุณภาพดี อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในตะวันออกกลาง ซึ่งจะเอื้อต่อการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้ามันสำปะหลังไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมปลายน้ำที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น นับเป็นการต่อยอดจากภารกิจบุกตลาดซาอุดีอาระเบียเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อขยายฐานการส่งออกสู่ภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับภารกิจระหว่างวันที่ 18–22 พฤศจิกายน 2568 คณะเดินทางมีกำหนดหารือกับผู้นำเข้ารายใหญ่ในกรุงอาบูดาบีและนครดูไบ ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมที่ใช้แป้งเป็นวัตถุดิบ โดยจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการตลาด มุมมองธุรกิจ และแนวทางสร้างความร่วมมือทางการค้า เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเพิ่มการส่งออกสู่ตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มากขึ้น การดำเนินงานดังกล่าวคาดว่าจะช่วยกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงไม่กี่ประเทศ พร้อมเสริมความสามารถในการแข่งขันของสินค้ามันสำปะหลังไทยในเวทีการค้าโลกอย่างยั่งยืน

L2D Page (96)

เอกชนชงขนส่งทางเรือหนุนการค้า -ดิจิทัลช่วย

รายงานจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ภาพรวมธุรกิจโลจิสติกส์ในเดือนกันยายน 2568 มีจำนวนธุรกิจสะสมทั้งประเทศ 47,075 ราย โดยเดือนดังกล่าวมีธุรกิจเปิดใหม่ 338 ราย และมีธุรกิจปิดกิจการ 79 ราย สาเหตุสำคัญของการปิดกิจการส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านโลจิสติกส์ในพื้นที่

ในด้านโครงสร้างการขนส่ง การขนส่งทางเรือยังคงครองบทบาทสูงสุดคิดเป็นสัดส่วน 56.8% ของมูลค่าการค้าทั้งหมด หรือประมาณ 1,120,692.18 ล้านบาท และยังมีอัตราการเติบโต 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน แนวโน้มดังกล่าวมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากสินค้าคงคลังของผู้นำเข้าสำคัญอย่างสหรัฐเริ่มลดลง หลังมีการเร่งนำเข้าสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีตอบโต้ก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกัน ช่วงปลายปียังเป็นฤดูกาลจับจ่าย ส่งผลให้ความต้องการสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น และทำให้การขนส่งทางเรือคาดว่าจะยังคงคึกคัก นอกจากนี้ ค่าระวางเรือเส้นทางสู่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐปรับตัวลดลงต่อเนื่องจนแตะระดับลดลงราว 30% ในเดือนกันยายน ซึ่งถือเป็นปัจจัยช่วยลดต้นทุนและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขยายการขนส่งได้มากขึ้น

ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) พร้อมคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ ได้เข้าพบนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและยกระดับระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคส่งออกไทย

การหารือมุ่งเน้นไปที่การเสริมความสามารถในการแข่งขันสามประเด็นสำคัญ โดยประเด็นแรกคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความแออัดของท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญด้านการส่งออกของไทย รวมถึงการเร่งรัดความคืบหน้าของสัญญาสัมปทานไอซีดีลาดกระบัง และเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางรางภายใต้โครงการ Single Rail Transport Operator (SRTO) เพื่อช่วยลดปัญหาจราจรภายในพื้นที่ท่าเรือ

ด้านกฎหมายและกฎระเบียบ สรท. เห็นพ้องให้ผลักดันการปลดล็อกเรื่องการถ่ายลำตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนส่งออกได้ประมาณปีละ 1,000 ล้านบาท จากเดิมที่ผู้ประกอบการไทยต้องเสียเปรียบด้านต้นทุนค่าระวางตู้ เนื่องจากต้องใช้บริการเรือ Feeder สู่ท่าเรือในต่างประเทศ การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 6 ฉบับแรกจากทั้งหมด 17 ฉบับจึงถูกเร่งผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

สำหรับด้านการพัฒนาดิจิทัล กระทรวงคมนาคมกำลังเดินหน้าพัฒนาระบบ Port Community System (PCS) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเตรียมเชื่อมต่อกับระบบจัดการคิวรถบรรทุก (Truck Queue) เพื่อแก้ปัญหาความแออัดภายในท่าเรือแหลมฉบัง การดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายในการยกระดับประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางเรือของไทย ซึ่งถือเป็นประตูการค้าสำคัญสู่ตลาดโลก

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us