admin 2

L2D-Page-90

ธนาคารโลกชู 5 โอกาสเศรษฐกิจใหม่ เปิดรับ “คนร่วมคิด” กำหนดอนาคตไทยผ่านกิจกรรม Foresight

ในเดือนตุลาคมปี 2569 ประเทศไทยกำลังจะก้าวขึ้นสู่เวทีโลกในฐานะเจ้าภาพการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และกลุ่มธนาคารโลก (World Bank Group) งานระดับนานาชาตินี้ไม่ได้เป็นเพียงเวทีเจรจานโยบายการเงินระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็น “จังหวะสำคัญ” ที่ไทยจะได้แสดงวิสัยทัศน์ใหม่ เสริมบทบาททางเศรษฐกิจ และผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นในมิติต่างๆ

โลกกำลังเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นทุกวัน เครื่องยนต์เศรษฐกิจแบบเดิมไม่สามารถพาประเทศไปได้ไกลเหมือนในอดีต ไทยจึงจำเป็นต้องสร้างโอกาสใหม่ เพิ่มคุณค่าทางเศรษฐกิจ และเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รายงานประจำปีของธนาคารโลกประจำประเทศไทย “Building Thailand’s Future Today” จึงชี้ให้เห็นทิศทางสำคัญผ่าน 5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีศักยภาพจะเป็นหัวใจของการเติบโตยุคใหม่

อุตสาหกรรมบริการดิจิทัลเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพ เปิดทางให้ธุรกิจและบุคลากรไทยสามารถสร้างบริการใหม่ ๆ ในตลาดโลกได้มากขึ้น ขณะเดียวกันภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นกลไกเศรษฐกิจที่ไทยมีความได้เปรียบ แต่ต้องยกระดับสู่การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยใช้จุดแข็งด้านวัฒนธรรม ความเป็นมิตรของผู้คน และศักยภาพด้านการแพทย์ผสมผสานเข้าด้วยกัน

อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญคือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งไม่ใช่เพียงการผลักดัน Soft Power แต่ยังรวมถึงการพัฒนานโยบายที่ใช้วัฒนธรรม ศิลปะ อาหาร และนวัตกรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้อย่างยั่งยืน ด้านเกษตรและอาหารซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจดั้งเดิมของไทย ก็ต้องเร่งขยับเข้าสู่มาตรฐานใหม่ของโลกในด้านความยั่งยืน ความปลอดภัย และคุณภาพ เพื่อรักษาสถานะ “ครัวของโลก” ไว้อย่างมั่นคงและเพิ่มโอกาสในการส่งออกอาหารคุณภาพสูง

ในภาคอุตสาหกรรม ไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันระดับโลกที่รุนแรงขึ้น ฐานการผลิตเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป การพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง เช่น เทคโนโลยีชั้นสูง หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ จึงเป็นแนวทางสำคัญที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของประเทศ

แม้ภาพรวมเหล่านี้จะเป็นแนวทางที่ไทยควรเริ่มลงมือทำทันที แต่สิ่งที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริงคือ “การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน” ธนาคารโลกร่วมกับ FutureTales Lab จึงออกแบบกิจกรรมด้าน Foresight เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไปมาร่วมกันจินตนาการ อภิปราย และสร้างฉากทัศน์อนาคตของประเทศไทย เพื่อหาเส้นทางใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของยุคสมัยและสะท้อนมุมมองของสังคมไทยอย่างแท้จริง

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่ท้าทายแต่เต็มไปด้วยโอกาส การประชุม IMF–World Bank ในปี 2569 อาจกลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่นำไปสู่การกำหนดทิศทางใหม่ของเศรษฐกิจไทย และเปิดประตูสู่บทบาทที่โดดเด่นกว่าเดิมบนเวทีโลก หากเราสามารถใช้โอกาสนี้เร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังและร่วมมือกันทุกฝ่ายอย่างเป็นระบบ.

L2D-Page-89

ทล.เปิดแผน 10 ปีผุด”วงแหวนมอเตอร์เวย์” ปี 69 ดันประมูล 3 สายใหม่ 1.4 แสนล้านบาท เติมโครงข่ายเชื่อม”เหนือ อีสาน ใต้ “ไร้รอยต่อ

แผนมอเตอร์เวย์ไทยก้าวสู่โครงข่ายเชื่อมประเทศ เดินหน้าก่อสร้าง–เปิดใช้–ประมูล PPP ครบวงรอบในทศวรรษหน้า
มอเตอร์เวย์ หรือทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่มีบทบาทสำคัญต่อการเชื่อมต่อภูมิภาค การขนส่งสินค้า และการยกระดับระบบโลจิสติกส์ของประเทศ กรมทางหลวงได้จัดทำแผนแม่บท MR–MAP ครอบคลุมระยะทางกว่า 6,800 กิโลเมตร โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นการพัฒนาเส้นทางคู่ขนานระบบราง เพื่อเพิ่มศักยภาพโครงข่ายคมนาคมของไทยอย่างยั่งยืน

ปัจจุบันประเทศไทยมีมอเตอร์เวย์เปิดใช้งานแล้ว 3 สาย รวม 282 กิโลเมตร ได้แก่ M7 กรุงเทพฯ–บ้านฉาง, M9 วงแหวนรอบนอกด้านตะวันออก และดอนเมืองโทลล์เวย์ ส่วนโครงการที่กำลังก่อสร้างมีอีก 3 สายทาง รวม 317 กิโลเมตร ประกอบด้วย M6 บางปะอิน–นครราชสีมา ที่คืบหน้าเกือบเต็มร้อยและมีแผนให้ประชาชนใช้ฟรีในช่วงปีใหม่ 2569, M81 บางใหญ่–กาญจนบุรี ซึ่งงานโยธาเสร็จสิ้นและเปิดทดสอบตลอดสายตั้งแต่ปลายปี 2568 และ M82 บางขุนเทียน–บ้านแพ้ว ที่บางช่วงเปิดบริการแล้วและจะเปิดครบเส้นทางในช่วงสงกรานต์ปี 2569

กรมทางหลวงยังเดินหน้าการลงทุนด้านระบบควบคุมและการบำรุงรักษา (O&M) รวมถึงการพัฒนาพื้นที่บริการริมทาง โดยเตรียมเปิดประมูล PPP งานระบบของ M82 และพื้นที่พักริมทาง M6–M81 ภายในปี 2568 หลังปรับเกณฑ์ RFP ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงด้านปริมาณจราจรของเส้นทางใหม่ โดยทั้งหมดคาดว่าจะเปิดใช้งานเต็มรูปแบบได้ในช่วงปี 2570–2571

ในด้านโครงสร้างพื้นฐานใหม่ รัฐเตรียมผลักดัน “มอเตอร์เวย์ M8 นครปฐม–ปากท่อ” ระยะทาง 61 กิโลเมตร วงเงินกว่า 5.4 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นเส้นทางลัดสู่ภาคใต้ โดยกรมทางหลวงอยู่ระหว่างรวบรวมความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอครม.ในปี 2569 ตั้งเป้าเริ่มจัดกรรมสิทธิ์ปีเดียวกันและเริ่มก่อสร้างในปี 2570 ก่อนทยอยเปิดใช้ช่วงแรกในปี 2575

ด้านยุทธศาสตร์ระยะยาว ประเทศไทยมีเป้าหมายสร้าง “วงแหวนมอเตอร์เวย์รอบกรุงเทพฯ” ให้ครบภายใน 10 ปี โดยเชื่อมกับเส้นทางหลักทุกภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ อีสาน ตะวันตก และใต้ ผ่านโครงการ M5, M6, M7, M8, M9 และ M82 เพื่อสร้างโครงข่ายสมบูรณ์ รองรับเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและการเดินทางระหว่างภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

แผนแม่บท MR–MAP ยังวางโครงข่ายมอเตอร์เวย์ “กระดูกสันหลัง” ของไทยอีกสี่เส้นทาง ได้แก่ MR1 เชียงราย–นราธิวาส เชื่อมภาคเหนือและใต้ผ่านเส้นสุพรรณบุรี–ชัยนาท–นครสวรรค์ และนครปฐม–ปากท่อ–ชะอำ–ปราณบุรี, MR2 กรุงเทพฯ/ชลบุรี–หนองคาย ซึ่งมี M6 และโครงการ M61 เป็นแกนหลักเชื่อมพื้นที่ EEC เข้าสู่อีสาน, MR9 สุราษฎร์ธานี–พังงา–ภูเก็ต ที่จะยกระดับทางหลวงหมายเลข 44 ให้เป็นมอเตอร์เวย์ยุทธศาสตร์สองฝั่งทะเล และ MR10 วงแหวนรอบนอก กทม. รอบที่สาม ซึ่งจะเป็นโครงข่ายใหญ่ที่สุดของประเทศครอบคลุมกว่า 331 กิโลเมตร

การลงทุนมอเตอร์เวย์ต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาล ทั้งงานโยธา ระบบควบคุม และค่าบำรุงรักษาตลอดอายุโครงการ ปัจจุบันรายได้กองทุนมอเตอร์เวย์จาก M7 และ M9 ราว 9 พันล้านบาทต่อปี แม้มีภาระด้าน O&M สูง แต่เมื่อ M6, M81 และ M82 เปิดใช้งานเต็มรูปแบบ รายได้ในกองทุนจะเพิ่มขึ้น ช่วยรองรับการขยายโครงข่ายในอนาคตได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี เพื่อให้การลงทุนมีความยั่งยืน กรมทางหลวงจึงเน้นการใช้รูปแบบร่วมลงทุน PPP มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพางบประมาณรัฐ และเร่งผลักดันไทยเข้าสู่ยุคโครงสร้างพื้นฐานมาตรฐานใหม่อย่างเต็มรูปแบบในทศวรรษหน้า

L2D-Page-88

กกร. คงเป้าจีดีพีปีนี้โต 2.2% ชี้ส่งออกโต 10% เป็นภาพลวงตา

กกร. ห่วงเศรษฐกิจปี 2568 โตต่ำเพียง 1.8–2.2% แม้ส่งออกพุ่ง แต่หนุน GDP จำกัด จี้รัฐเร่งเบิกงบ–เดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ร่วมกับนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมฯ และนายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยผลประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่ามีแนวโน้มขยายตัวเพียง 1.8–2.2% ใกล้เคียงกับประมาณการเดิม แม้การส่งออกจะมีโอกาสเติบโตสูงถึง 9.5–10.5% จากแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวกว่าคาด แต่สินค้ากลุ่มที่ขยายตัวเด่นส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ มีสัดส่วนวัตถุดิบไทยไม่มาก รวมถึงทองคำซึ่งไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในประเทศอย่างแท้จริง ขณะที่การนำเข้าขยายตัวถึง 10.2% ยิ่งจำกัดแรงหนุนต่อ GDP

ภาพรวมเงินเฟ้อปีหน้าอยู่ในช่วง -0.1% ถึง 0.1% ตามทิศทางราคาพลังงานที่ชะลอลง แม้ปัจจัยภายนอกจะเอื้อด้านการค้า แต่ภาคแรงงานไทยยังเผชิญความเปราะบาง ทั้งอัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้นและแรงกดดันต่อเด็กจบใหม่ซึ่งหางานยากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม

กกร. เห็นว่าหากรัฐบาลสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ควบคู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส มาตรการสนับสนุน SMEs และนโยบายส่งเสริมสินค้า Made In Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะมีโอกาสขยายตัวได้ใกล้ 2.5% เท่ากับปีก่อนหน้า และช่วยพยุงความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของหลายประเทศ

แม้เศรษฐกิจโลกปี 2568 จะถูก IMF ปรับคาดการณ์ให้โตเพิ่มเป็น 3.2% แต่สำหรับไทย การเติบโตจากภาคส่งออกยังส่งผลต่อ GDP ได้ไม่มาก เพราะโครงสร้างสินค้าไทยที่เติบโตแรงยังไม่สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศเท่าที่ควร จึงทำให้เศรษฐกิจโดยรวมยังฟื้นตัวได้อย่างจำกัดในระยะสั้น

L2D-Page-87

ส่งออกเดือน ส.ค. ทะลุ 8.8 แสนล้าน สินค้าไทยไปสหรัฐฯ จีน อาเซียน ขยายตัวต่อเนื่อง

“ครม. รับทราบรายงานส่งออกเดือนสิงหาคม มูลค่าแตะ 8.89 แสนล้านบาท สหรัฐฯ–จีน–อาเซียนหนุนโตต่อเนื่อง ข้าวไทยยังฮอตในตลาดตะวันออกกลาง–แอฟริกา”

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการส่งออกของไทยประจำเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทางการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 27,743.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 889,014 ล้านบาท ขยายตัว ร้อยละ 4.8 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 แม้จะชะลอตัวเล็กน้อยจากแรงกดดันของภาษีศุลกากรต่างตอบแทนที่สหรัฐฯ เริ่มบังคับใช้ แต่ภาพรวมยังสะท้อนความแข็งแกร่งของภาคการค้าไทยในตลาดโลก

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ เปิดเผยว่า การขยายตัวของการส่งออกในเดือนดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากการวางแผนจัดการความเสี่ยงด้านราคาที่มีความชัดเจนมากขึ้นของผู้นำเข้าสหรัฐฯ แม้ว่าระดับสินค้าคงคลังในตลาดสหรัฐฯ จะปรับเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์ที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ แต่สินค้าในหมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ายังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง ส่วนสินค้าเกษตรอย่างข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง แม้เผชิญการแข่งขันด้านราคาสูงขึ้น แต่ยังสามารถรักษาตลาดหลักไว้ได้

ในภาพรวมของช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกของไทยขยายตัว ร้อยละ 13.3 และหากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย การขยายตัวยังคงอยู่ในระดับเดียวกัน สะท้อนว่าภาคการค้าปกติของไทยยังคงมีแรงขับเคลื่อนที่มั่นคง

ด้านตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และอาเซียน ยังคงเป็นแรงหนุนหลัก โดยตลาดใหม่อย่าง กลุ่ม CLMV ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะ ข้าวไทย ซึ่งได้รับความต้องการเพิ่มสูงในตลาดตะวันออกกลางและแอฟริกา เนื่องจากคุณภาพและความน่าเชื่อถือของแหล่งผลิต ขณะที่สินค้าเกษตรอื่นๆ อย่างผลไม้ไทย ยังคงเป็นที่ต้องการในหลายประเทศ

กระทรวงพาณิชย์คาดว่า แนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปีจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง ภายใต้แรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ทยอยฟื้นตัว การท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก และการลงทุนภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการส่งเสริมการค้า การเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่ และการสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงตลาดโลกมากขึ้น

ทั้งนี้ ภาครัฐยืนยันว่า “การส่งออก” ยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และจะได้รับการผลักดันต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และวางรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว.

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us