admin 2

news-20250619-02

วิกฤตเศรษฐกิจไทย! "สินค้าจีนล้นทะลัก" ผนวก "3,000 โรงงานสวมสิทธิ์" คุกคามภาคผลิตไทยอย่างหนัก

SCB EIC ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ "สินค้าจีนล้นทะลัก" (China Flooding) อย่างรุนแรง ซึ่งกำลังกัดเซาะภาคการผลิตภายในประเทศโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องแข่งขันกับสินค้าจีนที่มีต้นทุนต่ำ ขณะเดียวกัน การส่งออกของไทยที่ดูเหมือนจะขยายตัวสวนทางกับมูลค่าการผลิตเพื่อส่งออกในภาคอุตสาหกรรมไทยที่กลับไม่เติบโตและปรับตัวลง ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมการ "สวมสิทธิ์" ที่เริ่มส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

รายงานดังกล่าวยังเผยอีกว่า มีโรงงานในประเทศไทยกว่า 3,000 แห่ง หรือคิดเป็นประมาณ 5% ของสถานประกอบการทั่วประเทศ ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็น "ช่องทางสวมสิทธิ์" ให้สินค้าจากจีน โดยมีการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปจากจีนเข้ามาเพื่อเปลี่ยนฉลาก หรือมีการประกอบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่จะส่งออกต่อไปยังประเทศที่สามในฐานะสินค้า "Made in Thailand" พฤติกรรมนี้พบมากในอุตสาหกรรมสำคัญๆ เช่น แผงวงจรไฟฟ้า, แผงโซลาร์เซลล์, พลาสติก, อะลูมิเนียม และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวต่อการแข่งขันจากจีนโดยตรง

สถานการณ์เช่นนี้กำลังเปลี่ยนบทบาทของไทยจาก "ฐานการผลิต" ให้กลายเป็นเพียง "ทางผ่าน" ของสินค้าจากเอเชียขนาดใหญ่ ในขณะที่ผู้ผลิตในประเทศกลับต้องเผชิญกับการเบียดบังทางการตลาดและการถูกแทนที่อย่างเงียบงัน ท่ามกลางระบบการค้าที่มีการแข่งขันรุนแรงขึ้นทุกขณะ

จีนถล่มตลาดไทย: นำเข้าสูงสุดในอาเซียน ขาดดุลมากสุดในรอบ 2 ปี
SCB EIC ชี้ว่า ปัจจุบันไทยกำลังก้าวสู่บทบาทใหม่ในภูมิภาคในฐานะจุดยุทธศาสตร์หลักของจีนสำหรับการกระจายสินค้าส่งออกไปยังตลาดโลก ข้อมูลล่าสุดระบุว่า มูลค่าการส่งออกจากจีนมายังไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 เติบโตสูงถึง 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงที่สุดในกลุ่มอาเซียน สะท้อนให้เห็นว่าไทยได้กลายเป็นปลายทางสำคัญของสินค้า "เมดอินไชน่า" ในภูมิภาค

แนวโน้มนี้ไม่ใช่แค่ความผันผวนระยะสั้น แต่เป็นกระแสที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2562–2567 โดยในช่วงเวลาดังกล่าว มูลค่าการส่งออกของจีนมายังไทยเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 14% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 7% และของอาเซียนที่ 10% เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน ไทยยังมีอัตราการนำเข้าสินค้าจากจีนที่เติบโตเร็วที่สุดในไตรมาสแรกของปี 2568 ที่ 18% ในขณะที่เวียดนามอยู่ที่ 16%, อินโดนีเซีย 12% และมาเลเซียเพียง 3% ตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะตลาดสำคัญที่ขับเคลื่อนการส่งออกของจีนในอาเซียน

นอกจากนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 จีนยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเติบโตของมูลค่านำเข้ารวมของไทย โดยมีส่วนร่วมต่อการขยายตัวถึง 7 จุดเปอร์เซ็นต์ จากการเติบโตโดยรวมที่ 9.6 จุดเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ภูมิภาคอื่น เช่น อาเซียนและสวาซิแลนด์ มีบทบาทน้อยกว่ามาก (1.8 และ 1.7 จุดเปอร์เซ็นต์ตามลำดับ) ตรงกันข้ามกับประเทศและภูมิภาคอย่าง EU28, ไต้หวัน, แอฟริกาใต้ และกลุ่มประเทศอื่น ๆ ที่กลับส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการเติบโตของการนำเข้ารวมของไทย

news-20250619-01

ส่งออกญี่ปุ่นร่วงหนักสุดใน 8 เดือน! รถยนต์ไปสหรัฐฯ ดิ่งเกือบ 25% นักวิเคราะห์เตือน “สงครามการค้า” ฉุดเศรษฐกิจแดนซามูไร

การส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคม 2568 ดิ่งลงอย่างน่าตกใจถึง 1.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 ข้อมูลล่าสุดนี้ตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้าที่กำลังฉุดรั้งเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่หดตัวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี

แม้ตัวเลขการลดลงนี้จะน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 3.8% แต่ก็สวนทางกับการส่งออกที่เคยเติบโต 2% ในเดือนเมษายนอย่างสิ้นเชิง

สหรัฐฯ และจีน: ตลาดหลักที่ชะลอตัว

ข้อมูลจากกระทรวงการค้าของญี่ปุ่นเผยว่า การส่งออกไปยัง สหรัฐฯ ยังคงน่าเป็นห่วง โดยลดลงถึง 11.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกไปยัง จีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ก็ลดลง 8.8%

ที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ การส่งออกรถยนต์ทั่วโลกของญี่ปุ่นลดลง 6.9% โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกรถยนต์ไปยัง สหรัฐฯ ที่ร่วงหนักถึง 24.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่นคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 28.3% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดไปยังสหรัฐฯ ในปี 2567

เผชิญศึกภาษีซ้ำซ้อน

นอกจากภาษีนำเข้า 25% ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากรถยนต์และเหล็กจากญี่ปุ่นแล้ว ญี่ปุ่นยังต้องเผชิญกับ อัตราภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) 24% สำหรับสินค้าส่งออกอื่นๆ ทั้งหมด ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ ยิ่งเพิ่มความท้าทายให้กับการส่งออกของญี่ปุ่น

BOJ ส่งสัญญาณเตือน เศรษฐกิจซบเซา

ข้อมูลการส่งออกที่น่าผิดหวังนี้ถูกเผยแพร่เพียงหนึ่งวันหลังจากที่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ออกแถลงการณ์นโยบายการเงิน โดยระบุว่า "การเติบโตของเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะชะลอตัว" อันเนื่องมาจากปัจจัยด้านการค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและกำไรของภาคธุรกิจภายในประเทศ

BOJ ยังแสดงความกังวลว่า "เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนอย่างยิ่งว่า นโยบายการค้าและปัจจัยอื่นๆ ในแต่ละประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และเศรษฐกิจโลกจะตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้อย่างไร" โดยการส่งออกที่ลดลงได้ส่งผลกระทบต่อ GDP ของญี่ปุ่นแล้ว ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัว 0.2% ในไตรมาสที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการหดตัวเชิงไตรมาสครั้งแรกในรอบ 1 ปี

ดุลการค้าขาดดุลหนัก การเจรจายังไร้ข้อสรุป

ในเดือนพฤษภาคม การนำเข้าของญี่ปุ่นก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลง 7.7% ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ของรอยเตอร์คาดไว้ ส่งผลให้ดุลการค้าของญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ขาดดุล 6.376 แสนล้านเยน ซึ่งแม้จะน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็ยังคงเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงภาวะการค้าที่อ่อนแอ

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้แสดงความเห็นว่า ญี่ปุ่นเข้มงวดในการเจรจาการค้า หลังจากที่มีการเจรจาถึง 6 รอบระหว่างนายเรียวเซ อากาซาวะ หัวหน้าคณะเจรจาของญี่ปุ่น กับรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ฮาวเวิร์ด ลัตนิก และรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ ได้

สถานการณ์การส่งออกที่ย่ำแย่และการเจรจาการค้าที่ยังไม่คืบหน้า กำลังเป็นแรงกดดันสำคัญต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

news-20250512-01

ส่งออกไทยพุ่งทำสถิติใหม่! พ.ค. ทะลุ 1 ล้านล้านบาท โต 18.4% สูงสุดในรอบ 38 เดือน "พิชัย" มั่นใจปีนี้โต 2 หลัก


ส่งออกไทยพุ่งทำสถิติใหม่! พ.ค. ทะลุ 1 ล้านล้านบาท โต 18.4% สูงสุดในรอบ 38 เดือน "พิชัย" มั่นใจปีนี้โต 2 หลัก

การส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม สร้างสถิติใหม่ด้วยมูลค่าสูงถึง 31,044.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.025 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการขยายตัวถึง 18.4% และเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 โดยนับเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 38 เดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.) การส่งออกมีมูลค่ารวม 138,202 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 4.640 ล้านล้านบาท ขยายตัวได้ 14.9% โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการเติบโตของสินค้าอุตสาหกรรมถึง 22.9% เช่น คอมพิวเตอร์และแผงวงจรไฟฟ้า นอกจากนี้ ตลาดส่งออกที่เติบโตโดดเด่นคือ สหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น 35.1% และ จีนที่เพิ่มขึ้น 28.0%

นายพิชัยแสดงความมั่นใจว่าปีนี้จะเป็น "ปีทองของการส่งออก" โดยไม่ได้มาจากเพียงแค่นโยบายต่างประเทศของบางประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นผลมาจากการนำเข้าสินค้าทุนและการลงทุนที่ส่งเสริมให้การส่งออกเติบโตเป็นบวก และมั่นใจว่าสิ้นปีนี้ตัวเลขส่งออกจะขยายตัวแตะสองหลัก หรือไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งดีกว่าที่หลายหน่วยงานคาดการณ์ว่าจะติดลบ

ด้าน นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวเสริมว่า ในเดือนพฤษภาคม การนำเข้าของไทยมีมูลค่า 29,928 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 18% หรือคิดเป็น 1.001 ล้านล้านบาท ทำให้ไทยเกินดุลการค้า 1,116 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หากต้องการให้การส่งออกทั้งปีขยายตัวได้ 10% ช่วง 7 เดือนที่เหลือของปีนี้จะต้องส่งออกให้ได้เฉลี่ยเดือนละ 27,482.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า อยู่ที่ระดับ 88.1 ซึ่งลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 89.9 แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงในภาคอุตสาหกรรมบางส่วน

news-20250423-01

"คมนาคม" คว้างบกระตุ้นเศรษฐกิจ 4 หมื่นล้าน! พร้อมลุยโครงการลงทุนขนาดเล็ก ก.ค. นี้

กระทรวงคมนาคม ภายใต้การนำของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เตรียมรับจัดสรรงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 4 หมื่นล้านบาท จากวงเงินรวม 1.57 แสนล้านบาท ที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองงบประมาณฯ ได้พิจารณาในส่วนของกระทรวงคมนาคม ซึ่งเดิมเสนอขอไป 6 หมื่นล้านบาท

นายสุริยะ เปิดเผยว่า กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ได้จัดเตรียมโครงการและขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างไว้พร้อมแล้ว เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันการลงทุนระยะสั้น และเร่งให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาด 5-15 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ตามกำหนดในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้ โดยจะต้องรอผลสรุปยอดจัดสรรที่ชัดเจนจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันพรุ่งนี้

นอกจากนี้ นายสุริยะยังกล่าวถึงกรณีที่คิงเพาเวอร์เสนอขอแก้ไขสัญญาร้านค้าปลอดอากรในสนามบินภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ ซึ่งอยู่ในความดูแลของ AOT ว่า ต้องการให้ผู้บริหารทั้งสององค์กรเจรจาเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ทำให้ AOT ยังคงมีรายได้เท่าเดิม โดยหลีกเลี่ยงการเปิดประมูลหรือทำสัญญาใหม่ เนื่องจากยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า AOT จะได้รับผลประโยชน์เท่าเดิมหรือไม่หากมีการเปลี่ยนแปลงสัญญา

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us