admin 2

news-20241128-03

ไทยตั้งรับ "ทรัมป์" ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน 10% "พิชัย" ย้ำดึงทุนทั่วโลกเข้าไทย

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา  ประกาศจะเริ่มขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มทันทีอีก 10% ว่า เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นประเด็นเดิมคือการกีดกันการค้าจะเพิ่มขึ้นซึ่งทุกฝ่ายก็มีการคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าจะต้องมีการดำเนินการในแบบนี้  โดยในส่วนของประเทศไทยเองก็มีการเตรียมความพร้อมไม่ว่าสหรัฐฯจะขึ้นหรือไม่ขึ้นภาษีกับประเทศคู่ค้าไทย เราก็เตรียมความพร้อมเอาไว้แล้ว และสิ่งที่ไทยเราจะทำเพิ่มก็คือเรื่องของการดึงนักลงทุนจากทั่วโลกให้มาลงทุนในไทย

เมื่อถามถึงกรณีความคืบหน้าเรื่อง การขึ้นภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ซึ่งมีแผนที่จะนำเข้าสู่ ครม.ในช่วงปลายปีนี้ แต่ว่ายังไม่ได้เข้า ครม.และมีกระแสข่าว่ากระทรวงพลังงานไม่เห็นด้วยกับการขึ้นภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และมีการคัดค้านในเรื่องนี้ นายพิชัย   กล่าวว่าเรื่องนี้ไม่น่ามีการคัดค้าน เพราะว่าไม่ได้มีผลกระทบมาก มีผลเพียงเล็กน้อย คิดว่ากระทรวงพลังงานไม่น่าจะคัดค้านในเรื่องนี้

ที่มา - trueid

news-20241128-02

"LEO" เปิดประสบการณ์ใหม่ ที่สุดแห่งนวัตกรรมการจัดเก็บไวน์ด้วยระบบอัจฉริยะ ส่งมอบคุณภาพที่ดีที่สุดให้ผู้ประกอบการ

ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ หลังเปิดตัว LEO COLDBOTIC ศูนย์จัดเก็บและกระจายสินค้า (Logistics Center) ควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะสำหรับไวน์แห่งแรกของประเทศไทย และเป็นคลังสินค้าทัณฑ์บน (Bonded Warehouse) ที่ได้รับ BOI ประเภทกิจการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ได้นำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยในการจัดเก็บไวน์ หวังส่งมอบสินค้าคุณภาพที่ดีที่สุดให้ผู้ประกอบการ

เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ทาง "LEO" ได้จัดงาน "THE WINE JOURNEY OF TOMORROW เส้นทางไวน์สู่ความเป็นเลิศ เปิดประสบการณ์ใหม่แห่งการจัดเก็บไวน์" เปิดตัวมิติใหม่แห่งการจัดเก็บไวน์ที่ดูแลตั้งแต่การขนส่งจาก Wineyard ในต่างประเทศทั่วโลกมายังประเทศไทย จนถึงการจัดเก็บด้วยระบบอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบ พร้อมส่งมอบคุณภาพไวน์ที่ดีที่สุดให้ผู้ประกอบการไวน์และไวน์เลิฟเวอร์ทุกระดับ ชูจุดขายใหม่ Wine Tasting Area ทั้งที่ LEO COLDBOTIC ณ ท่าเรือสหไทย และ LEO WINE STORAGE บนถนนพระราม 4 ที่ออกแบบมาเพื่อเจาะกลุ่มไวน์เลิฟเวอร์โดยเฉพาะ มั่นใจต่อยอดธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics ช่วยสร้างรายได้เพิ่มจากการบริการจัดการด้าน Warehouse / Distribution Center

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) เปิดเผยว่า "LEO" ได้ต่อยอดธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics โดยได้ทุ่มงบ 160 ล้านบาท เพื่อเปิดตัว "LEO COLDBOTIC" การให้บริการคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า (Warehouse / Logistics Center) แบบครบวงจร ที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะด้วยคอมพิวเตอร์ และใช้หุ่นยนต์ทำงานแทนมนุษย์ด้วยระบบ 4-Ways Shuttle Automatic เพื่อใช้จัดเก็บสินค้าประเภท Wine & Spirit รายแรกของประเทศไทย สามารถจัดเก็บสินค้าประเภทไวน์ในระหว่างช่วงอุณหภูมิตั้งแต่ 15-18 องศาเซลเซียสได้ถึง 1.2 ล้านขวด เทคโนโลยีที่ทันสมัยจะทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำ พร้อมการรักษาคุณภาพไวน์ภายใต้มาตรฐานระดับโลก ทำให้สามารถส่งมอบรสชาติไวน์ที่คงคุณภาพได้อย่างแท้จริง การใช้ระบบ Automation & Robot นี้จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ในเรื่องของการจัดหาบุคลากรในระดับแรงงานที่นับวันก็จะยิ่งหายาก และยังทำให้การจัดเก็บสินค้าในคลังมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสำหรับไวน์ที่มีมูลค่าสูง สามารถให้บริการอย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำ สนองตอบความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จุดเด่นของ "LEO COLDBOTIC" คือตั้งอยู่ในบริเวณท่าเรือสหไทย จังหวัดสมุทรปราการ โดยสามารถนำเสนอบริการโลจิสติกส์ได้อย่างครบวงจรในลักษณะ End-to-End Global Logistics สามารถรับสินค้าจาก Wineyard ของผู้ผลิตจากต่างประเทศมายังประเทศไทยและเป็นคลังสินค้าที่ได้รับการอนุมัติจากทางกรมศุลกากรให้เป็นคลังสินค้าทัณฑ์บน (Bonded Warehouse) ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการสามารถได้รับสิทธิประโยชน์ในเรื่องภาษีนำเข้าและสรรพสามิตของการใช้คลังสินค้าทัณฑ์บนทุกประการ และเป็น Bonded Cold Chain Logistics Center สำหรับไวน์ ที่ตั้งอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจและการค้าของกรุงเทพมหานครมากที่สุด นอกจากนี้ LEO COLDBOTIC ได้รับสิทธิประโยชน์ BOI ประเภทกิจการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย (Distribution Center: DC)" อีกด้วย

สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่มาจัดเก็บไวน์ที่ "LEO COLDBOTIC" และ "LEO WINE STORAGE" สามารถใช้บริการห้อง Wine Tasting พื้นที่นำเสนอและชิมไวน์ในบรรยากาศหรูหรา รวมถึงมีห้องประชุมสำหรับจัดกิจกรรมพูดคุยเรื่องธุรกิจเพิ่มเติมด้วย เหมาะสำหรับลูกค้าในกลุ่มผู้นำเข้าไวน์ ธุรกิจซูเปอร์มาร์เกต โรงแรม ร้านอาหาร และไวน์เลิฟเวอร์เป็นอย่างยิ่ง

ภายในงานจะมี Wine Expert ตัวจริงในแต่ละด้านมาเป็นวิทยากรเพื่อให้ความรู้ในมิติต่างๆ เช่น การเก็บไวน์ให้มีคุณภาพที่เหมาะสม การลงทุนในไวน์ และมูลค่าของการจัดเก็บไวน์ในระยะยาว พร้อมการรักษาคุณภาพไวน์ในระดับพรีเมียม โดยแนะนำและชูจุดเด่นของ LEO COLDBOTIC & LEO WINE STORAGE ในการใช้เทคโนโลยีมาควบคุมอุณหภูมิและควบคุมความชื้นที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำให้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการและไวน์เลิฟเวอร์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้นำเข้าไวน์ ผู้บริหารธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และผู้ลงทุนรายใหญ่ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการจัดเก็บไวน์อย่างถูกต้อง เนื่องจากการเก็บรักษาไวน์ที่ดีทำให้สามารถส่งมอบรสชาติไวน์ที่คงคุณภาพได้อย่างแท้จริง

ในช่วง CEO Talk: Why LEO COLDBOTIC & LEO WINE STORAGE? From Feature to Benefits โดย คุณเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ Chief-Executive Office/Founder ของ LEO Global Logistics ก็ได้กล่าวถึงบริการจาก LEO Global Logistics อย่าง LEO COLDBOTIC & LEO WINE STORAGE ที่ได้ชูจุดแข็งที่จะมาช่วยตอบโจทย์ให้กับเหล่าผู้ประกอบการและผู้ที่รักในการจัดเก็บไวน์ ทั้งในแง่ข้อได้เปรียบทั้งทำเลและเครือข่ายจากพาร์ตเนอร์ทั่วทั้งโลก รวมไปถึงในแง่ของประสิทธิภาพและประโยชน์ที่บริการนี้จะตอบโจทย์กับโอกาสทางตลาดไวน์หรืออุตสาหกรรมของร้านอาหารหรือโรงแรมในภาพรวม

บนเวทีเสวนาได้ อ.ไพรัช อินทะพุฒ ผู้ก่อตั้งและนายกสมาคมซอมเมอร์ลิเย่แห่งประเทศไทย ในฐานะตัวแทนผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ระดับประเทศ, กัปตันแหลม - นภสูร ชยันตรดิลก เจ้าของร้าน Bangkok Wine Bar ตัวแทนผู้ประกอบการผู้นำเข้าไวน์ และ อ.วงศ์สถิตย์ แก้วนาค ตัวแทนผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ระดับประเทศ มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากด้านไวน์โดยเฉพาะ โดยที่ดำเนินการเสวนานี้โดย คุณอนันต์ ลือประดิษฐ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ The People

ในแง่มุมของอายุไวน์ (Wine Aging) ที่เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนารสชาติและคุณภาพของไวน์โดย อ.ไพรัช อินทะพุฒ ก็ได้อธิบายถึงปีนี้ ในฐานะปีที่เป็นขาขึ้นของอุตสาหกรรมไวน์ แต่ถ้าจะยกระดับโอกาสในครั้งนี้ไปยิ่งกว่าเดิม การเก็บรักษาและการมองไวน์ในฐานะ ‘สิ่งมีชีวิต’ ก็ถือเป็นกระบวนการที่สำคัญยิ่ง โดยเฉพาะการจัดเก็บไวน์อย่างสมดุลเพื่อเอื้อต่อการเจริญไวน์และหลีกเลี่ยงต่ออันตรายทั้ง 5 ที่จะทำให้คุณภาพของไวน์เสื่อมถอย ตั้งแต่แสง อุณหภูมิ การสั่นสะเทือน กลิ่น และความชื้น ดังนั้น การจัดเก็บไวน์แบบมีคุณภาพและห่างจากภัยเหล่านี้ได้ ไวน์ในขวดก็จะเติบโตไปอย่างมีคุณภาพและไม่เสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

ในส่วนของกิจการร้านอาหารอย่าง กัปตันแหลม - นภสูร ชยันตรดิลก ที่ว่าด้วยเรื่องของไวน์ในมิติของการลงทุนและตลาดของไวน์ในไทย ก็ได้กล่าวว่า ในยุคสมัยนี้คึกคักขึ้นเพราะคนรุ่นใหม่เริ่มหันมาดื่มไวน์มากขึ้น ซึ่งเป็นทั้งประโยชน์และโอกาสต่อตลาดของไวน์และผู้ประกอบการเองด้วย และเมื่อพูดถึงการลงทุนในไวน์ (Wine Investment) การจัดเก็บไวน์ในโกดังที่มีทำเลที่เหมาะสมและได้เปรียบในเชิงเก็บรักษาก็จะนำไปสู่ความเชื่อใจในการลงทุนมากกว่าเดิม โดยเฉพาะการลงทุนในไวน์ที่มีราคาสูง ที่ตามมาด้วยความละเอียดอ่อนที่ต้องใส่ใจไม่น้อย นอกจากนั้น กัปตันแหลมก็ได้แบ่งเทคนิคในการลงทุนในไวน์เป็นสามประเภทที่ประกอบไปด้วย ไวน์ดื่ม ไวน์เก็บ และไวน์บูชา ซึ่งทั้งไวน์เหล่านั้นก็ล้วนอาศัยการจัดเก็บที่มีคุณภาพ

 
สำหรับ อ.วงศ์สถิตย์ แก้วนาค ที่ได้กล่าวถึงความสำคัญของการมีโกดังเก็บรักษาไวน์ในธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม ก็ได้กล่าวไปในทางเดียวกันว่าตลาดของไวน์กำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการไวน์ โดยเฉพาะในแง่ของการนำเข้าไวน์จากประเทศอื่นๆ ที่มักไม่ถูกนำเข้ามาในประเทศมากนัก แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือฟังก์ชันในการเก็บไวน์ที่เป็นปัจจัยที่สำคัญเป็นอย่างมากในการยกระดับคุณภาพของร้านอาหาร อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อกลไกดำเนินธุรกิจหลังบ้าน โดยเฉพาะในการรักษาคุณภาพและการประหยัดต้นทุน

สำหรับงานในครั้งนี้ เพื่อให้บุคคลในวงการไวน์ ทั้งผู้นำเข้าไวน์, กลุ่มธุรกิจลูกค้าโรงแรม, ร้านอาหาร HoReCa (Hotels Restaurants & Catering) และนักสะสมไวน์ในกลุ่ม Fine Wine ที่ได้มารวมตัวกันครั้งสำคัญ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กลุ่มเป้าหมายหรือผู้มีความสนใจด้านไวน์ ได้รับรู้ถึงความตั้งใจในการเปลี่ยนโฉมมาตรฐานให้อุตสาหกรรมไวน์และพัฒนา Wine Community ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการเก็บรักษาไวน์ที่ดีที่สุดในประเทศของ LEO COLDBOTIC และ LEO WINE STORAGE อย่างแท้จริง

news-20241128-01

'คมนาคม' ผุดของขวัญปีใหม่ แก้ตั๋วเครื่องบินแพง จัดส่วนลด 30% จำกัด 50,000 ที่นั่ง

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ (27 พ.ย. 2567) ได้เรียกประชุมสมาคมสายการบินแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมกันจัดทำ “มาตรการแก้ไขปัญหาตั๋วเครื่องบินแพง” ในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ 2568 ที่จะถึงนี้ โดยมีความต้องการให้ราคาตั๋วเครื่องบินมีราคาถูกลงและเหมาะสม เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ในการ “คมนาคมขนส่งทางอากาศ” ให้กับประชาชนได้เดินทางโดยมีต้นทุนการเดินทางที่ลดลงรวมถึงสะดวก ปลอดภัย ตลอดการเดินทาง

การประชุมกับสมาคมสายการบินประเทศไทย ประกอบด้วย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ไทยแอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยไลอ้อนแอร์ ไทยเวียตเจ็ท และการบินไทย ได้ข้อสรุปว่า กระทรวงคมนาคมพร้อมด้วยทุกสายการบินได้ร่วมกันจัดทำมาตรการตั๋วโดยสารราคาพิเศษ

โดยมีที่นั่งรวมทั้งสิ้นประมาณ 50,000 ที่นั่ง ในเส้นทางไป – กลับ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่, กรุงเทพฯ – เชียงราย, กรุงเทพฯ – ภูเก็ต, กรุงเทพฯ – กระบี่, กรุงเทพฯ – หาดใหญ่, กรุงเทพฯ – สมุย, กรุงเทพฯ – อุดรธานี, กรุงเทพฯ – อุบลราชธานี, กรุงเทพฯ – ขอนแก่น และกรุงเทพฯ – น่าน

เพื่อเปิดโอกาสให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ต้องการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2567 – 5 มกราคม 2568 โดยมีส่วนลด 30% จากราคาค่าโดยสารสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าว แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องทำการสำรองที่นั่งโดยตรงกับสายการบินและผ่านช่องทางที่กำหนด ในช่วงระหว่างวันที่ 5 – 7 ธันวาคม 2567 เท่านั้น

นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้กรมท่าอากาศยาน (ทย.) บริษัท ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) จัดการด้านการรองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยสั่งการให้ ทย. และ ทอท. เตรียมพร้อมการบริการภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกของผู้โดยสาร รวมถึงสัมภาระ พร้อมทั้งยืดหยุ่นเวลาปิดท่าอากาศยาน 8 แห่ง

ประกอบด้วย ท่าอากาศยานอุบลราชธานี ท่าอากาศยานขอนแก่น ท่าอากาศยานอุดรธานี ท่าอากาศยานตรัง ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ขณะที่ บวท. ได้เตรียมความพร้อมปฏิบัติการด้านการบินและสิ่งอำนวยความสะดวกทุกด้าน ส่วนสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ให้ติดตามสถานการณ์ค่าโดยสารอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำและราคาต้องเป็นธรรมกับผู้โดยสาร

ที่มา - khaosod

news-20241127-02

"หุ่นยนต์ - รางรถไฟ" ปรับโฉมโลจิสติกส์เวียดนาม หลังติดรองบ๊วย 6 ชาติอาเซียน

หุ่นยนต์และรางรถไฟกำลังยกระดับการขนส่งในประเทศเวียดนามที่ประสิทธิภาพการขนส่งอยู่ในอันดับท้าย ๆ ในหมู่ชาติที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของอาเซียน ในสถานการณ์ที่ต้องรับมือกับอีคอมเมิร์ซที่กำลังขยายห่วงโซ่การผลิตและโรงงานที่ย้ายมาผลิตสินค้าในเวียดนามกันมากขึ้น

นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า หุ่นยนต์และรางรถไฟกำลังปรับโฉมหน้าและพัฒนาระบบขนส่งในเวียดนาม ซึ่งผู้ผลิตหลายรายกำลังขยายซัพพลายเชนและอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะแบรนด์อย่างช้อปปี้ (Shopee) และชีอิน (SHEIN) กำลังได้รับความนิยม

บริษัทเวียตเทล โพสต์ (Viettel Post) ซึ่งทำธุรกิจขนส่งสัญชาติเวียดนาม อวดโดรนส่งของและหุ่นยนต์คัดแยกสินค้าว่า กำลังช่วยยกขีดความสามารถการประมวลผลของบริษัทขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ โดยยกตัวอย่างด่านพรมแดนอัจฉริยะที่ทหารเป็นเจ้าของนั้น วางแผนที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ตามแผนของรัฐบาลที่จะปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานโดยรวมของประเทศ ซึ่งเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีโลจิสติกส์เลวร้ายมากที่สุดในอาเซียน

แผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานของทางการเวียดนามอาจเร่งการขนส่งสินค้า ตั้งแต่รางรถไฟแห่งใหม่ที่เชื่อมต่อกับจีน ไปจนถึงทางด่วนที่กำลังก่อสร้างเชื่อมระหว่างภาคเหนือและใต้ ซึ่งการขนส่งสินค้าภายในประเทศที่มีความยาว 3,000 กิโลเมตรอาจมีต้นทุนสูงกว่าการขนส่งระหว่างเวียดนามและสิงคโปร์

เวียตเทล โพสต์ระบุอีกว่า ภาคโลจิสติกส์ของเวียดนามยังคงมีข้อจำกัดจำนวนมาก ต้นทุนโลจิสติกส์คิดเป็นสัดส่วนกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ขั้นตอนการคัดแยกสินค้ายังคงใช้มือทำหรือเป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ ส่วนการนำระบบอัตโนมัติมาใช้อยู่ที่ 10 เปอร์เซ็นต์

แม้ว่าเทมู (TEMU) และชีอิน (SHEIN) จะเผชิญกับกระแสตอบรับเชิงลบจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีน แต่ทั้ง 2 บริษัทก็เป็นส่วนหนึ่งของกระแสการจับจ่ายซื้อของออนไลน์ที่เรียกร้องให้มีการขนส่งที่ดีขึ้นในเวียดนาม ซึ่งจากข้อมูลงานวิจัยที่เป็นความร่วมมือระหว่าง Google, Temasek and Bain ระบุว่า ยอดขายสินค้าออนไลน์ของเวียดนามเติบโตขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์ จากปี 2023 ถึงปี 2024

จอห์น แคมป์เบลล์ (John Campbell) หัวหน้าฝ่ายบริการอุตสาหกรรมของซาวิลส์ (Savills) กล่าวว่า สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการจัดเก็บสินค้าเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากความต้องการด้านโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้น โดยโรงงานต่าง ๆ กำลังย้ายไปยังเวียดนามเพื่อผลิตสินค้าส่งออก ตัวอย่างเช่น หูฟังสำหรับบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กอย่างเมตา และเลนส์ถ่ายภาพสำหรับบริษัทแทมรอน (Tamron) ของญี่ปุ่น

ที่มา - prachachat

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us