News Update

รัสเซียเร่งส่งออกทองและโลหะมีค่า พุ่งกว่า 80% จีนกลายเป็นตลาดหลักแทนตะวันตก

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การส่งออกสินแร่โลหะมีค่าของรัสเซียไปยังจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยมีอัตราเติบโตสูงถึง 80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดส่งออก หลังจากที่ชาติตะวันตกพากันใช้มาตรการคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้การรุกรานยูเครนของรัสเซีย

ข้อมูลจาก Trade Data Monitor ซึ่งอ้างอิงจากสำนักงานศุลกากรจีน ระบุว่าการนำเข้าสินแร่โลหะมีค่าจากรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือเงิน มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 28% นับตั้งแต่ต้นปี โดยมีแรงหนุนหลักจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงยืดเยื้อ ความตึงเครียดทางการค้าในระดับโลก ตลอดจนแรงซื้อจากธนาคารกลางและกองทุน ETF ทั่วโลก

ภายหลังถูกตัดออกจากตลาดการซื้อขายทองคำหลักของโลกอย่างลอนดอนและนิวยอร์กตั้งแต่ปี 2565 ทำให้รัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ด้วยกำลังการผลิตมากกว่า 300 ตันต่อปี จำเป็นต้องหาตลาดใหม่ในการระบายสินค้าทดแทน และจีนได้กลายเป็นหนึ่งในตลาดหลักที่สำคัญยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ธนาคารกลางรัสเซีย ซึ่งเคยเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ของโลก ยังไม่กลับเข้าสู่ตลาดในปริมาณที่มีนัยสำคัญ

นอกจากตลาดต่างประเทศแล้ว ความต้องการทองคำภายในรัสเซียก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภครายย่อยที่มองหาวิธีปกป้องมูลค่าเงินออมจากความผันผวนของเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้ยอดการซื้อทองคำภายในประเทศในปี 2567 พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ในอีกมุมหนึ่ง บริษัทเหมืองแร่รายใหญ่ของรัสเซียอย่าง MMC Norilsk Nickel PJSC ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตแพลเลเดียมและแพลทินัมรายสำคัญของโลก ก็ได้เร่งขยายการส่งออกไปยังตลาดจีนอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ สอดรับกับราคาของโลหะทั้งสองชนิดที่เพิ่มขึ้นถึง 38% และ 59% ตามลำดับ ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณชัดเจนของการปรับทิศทางทางเศรษฐกิจของรัสเซียหลังเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติอย่างต่อเนื่อง

พาณิชย์รุกตลาดสหรัฐฯ เจาะดีลยักษ์ใหญ่ Food Service “Clark Associates” หวังดันส่งออกเฟอร์นิเจอร์-เครื่องครัวไทยแตะพันล้านดอลลาร์

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวล่าสุดของกระทรวงในการเดินหน้าผลักดันการส่งออกสินค้าไทยสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา โดยเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 คณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ได้เข้าพบหารือกับผู้บริหารของบริษัท Clark Associates Inc. ณ นครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ ด้านอุปกรณ์และเครื่องใช้ในอุตสาหกรรม Food Service การหารือครั้งนี้จัดขึ้นตามนโยบายเร่งด่วน 1 ใน 10 ข้อ ที่มุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าการส่งออก และรุกตลาดต่างประเทศอย่างเป็นระบบ

Clark Associates Inc. เป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในตลาดอเมริกา โดยในปีที่ผ่านมา มีการนำเข้าสินค้าจากไทยมูลค่ากว่า 628 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1,100 ล้านดอลลาร์ในอนาคตอันใกล้ หรือคิดเป็นกว่า 37,000 ล้านบาท ทั้งนี้ สินค้าที่บริษัทให้ความสนใจและมีความต้องการนำเข้าอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ตู้แช่เชิงพาณิชย์ เครื่องทำความเย็น เตาอบ ไมโครเวฟ ชั้นวางอาหาร กล่องอาหาร แก้วน้ำ แก้วไวน์ ถุงมือแพทย์ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และโต๊ะกลางแจ้ง ซึ่งล้วนเป็นสินค้าที่ไทยมีความเชี่ยวชาญในการผลิตและมีศักยภาพในการส่งออกอย่างมีคุณภาพ

ในการเจรจา กระทรวงพาณิชย์ได้เน้นย้ำถึงความพร้อมของไทยในฐานะฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่มีมาตรฐานระดับสากล โดยเฉพาะในกลุ่มอุปกรณ์ครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ พร้อมกันนี้ ได้เชิญชวนผู้บริหารระดับสูงของ Clark Associates ให้เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเยี่ยมชมโรงงานของผู้ผลิตไทยและเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ซึ่งทางภาครัฐพร้อมสนับสนุนและอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการของตลาดสหรัฐฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง รวมถึงหารือเกี่ยวกับแนวทางการลดอุปสรรคทางการค้าและโลจิสติกส์ อาทิ มาตรการภาษี มาตรฐานสินค้า และกระบวนการทางศุลกากร โดยไทยยินดีรับฟังข้อคิดเห็นจากภาคเอกชนสหรัฐฯ เพื่อหาแนวทางปรับปรุงระบบร่วมกัน

นายจตุพรยังกล่าวว่า การหารือกับบริษัท Clark Associates ถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของการขยายตลาดสินค้าไทยเชิงรุก โดยอาศัยความร่วมมือกับภาคเอกชนต่างประเทศที่มีศักยภาพสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย และเปิดโอกาสให้สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดอเมริกาได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

สำหรับบริษัท Clark Associates Inc. ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1971 ที่เมือง Hatville รัฐเพนซิลเวเนีย โดย Glenn และ Lloyd Clark เริ่มจากธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ในภาคบริการอาหาร ก่อนจะขยายธุรกิจสู่การติดตั้งและบริการซ่อมบำรุง ปัจจุบันบริษัทมีสำนักงานใหญ่ที่เมือง Lancaster รัฐเพนซิลเวเนีย มียอดขายรวมกว่า 3,200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 100,000 ล้านบาท มีสินค้าวางจำหน่ายเกือบ 500,000 รายการ และมีพนักงานกว่า 8,200 คน โดยลูกค้ารายสำคัญของบริษัทครอบคลุมทั้งภาคบริการและธุรกิจระดับโลก เช่น Disney, Marriott Hotel, Starbucks, Subway และ Chick-fil-A เป็นต้น

“จีนส่งออกแม่เหล็กแร่หายากพุ่ง 158% หลังลดตึงเครียดการค้าสหรัฐ ท่ามกลางแรงกดดันจากทั่วโลก”

จีนกลับมาเร่งการส่งออกแม่เหล็กแร่หายาก (rare earth magnets) อย่างชัดเจนในเดือนมิถุนายน 2568 โดยข้อมูลจากศุลกากรจีนเผยว่าปริมาณการส่งออกพุ่งขึ้นเป็น 3,188 ตัน เพิ่มขึ้นกว่า 158% จากเดือนพฤษภาคมที่มีเพียง 1,238 ตัน ถือเป็นสัญญาณสำคัญหลังจากที่ปักกิ่งผ่อนคลายมาตรการควบคุมการส่งออกบางส่วน โดยเฉพาะต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับผลกระทบจากการจำกัดแร่หายากอย่างรุนแรงในช่วงก่อนหน้า

การส่งออกแม่เหล็กจากจีนไปยังสหรัฐเพิ่มขึ้นจาก 46 ตันในเดือนพฤษภาคม เป็น 353 ตันในเดือนมิถุนายน แม้ปริมาณดังกล่าวยังต่ำกว่าระดับเฉลี่ยก่อนจีนใช้มาตรการควบคุมในเดือนเมษายน แต่ก็สะท้อนถึงความพยายามของทั้งสองประเทศในการคลี่คลายความขัดแย้งด้านการค้า โดยเฉพาะหลังจากการเจรจาที่นครเจนีวา ซึ่งนำไปสู่ข้อตกลงเบื้องต้นที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า “จีนจะกลับมาส่งออกแร่หายากและแม่เหล็กอย่างเต็มรูปแบบ”

แร่หายากและแม่เหล็กถาวรถือเป็นวัตถุดิบเชิงกลยุทธ์ที่จำเป็นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า สมาร์ทโฟน และระบบอาวุธทันสมัย การขาดแคลนในช่วงที่จีนจำกัดการส่งออกทำให้หลายโรงงานทั่วโลกต้องชะลอหรือหยุดการผลิต ส่งผลกระทบลุกลามไปยังห่วงโซ่อุปทานโลก ความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนจึงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในฐานะศูนย์กลางการผลิตแม่เหล็กแร่หายากที่คิดเป็นสัดส่วนถึง 90% ของกำลังผลิตทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม การส่งออกที่เพิ่มขึ้นในเดือนมิถุนายนไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับสหรัฐ แต่ยังรวมถึงอินเดียที่มียอดนำเข้าเพิ่มเป็น 172 ตัน จาก 150 ตันในเดือนก่อนหน้า แม้ว่าจีนยังไม่อนุมัติใบอนุญาตใหม่แก่ผู้ผลิตรถยนต์อินเดียเลยนับตั้งแต่เดือนเมษายน โดยยังมีใบสมัครค้างอยู่ถึง 30 ฉบับ

ในฝั่งยุโรป สหภาพยุโรปเริ่มเห็น “สัญญาณบวกเล็กน้อย” จากจีนเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตส่งออกแม่เหล็ก หลังการหารือระหว่างนายมารอช เซฟโควิช หัวหน้าฝ่ายการค้าของ EU กับรัฐมนตรีพาณิชย์จีน หวัง เหวินเทา เมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยคาดว่าปัญหานี้จะถูกหยิบยกขึ้นหารืออีกครั้งในการประชุมสุดยอด EU-จีน ณ กรุงปักกิ่งในสัปดาห์นี้

ในขณะที่ประเทศตะวันตกเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาแร่หายากจากจีน กระทรวงกลาโหมสหรัฐจึงตัดสินใจลงทุนในบริษัท MP Materials Co. ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่หายากเพียงรายเดียวในประเทศ เพื่อสร้างโรงงานแม่เหล็กถาวรในสหรัฐให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

ทางด้านจีนแม้จะพยายามสื่อสารว่าเศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายใน ไม่ได้ต้องการครอบงำตลาดโลก แต่การที่รัฐบาลประกาศใช้นโยบาย “ไม่ยอมผ่อนปรน” ต่อการลักลอบขนแร่หายากออกนอกประเทศ รวมถึงการควบคุมการถ่ายโอนเทคโนโลยีอย่างเข้มงวด ก็ยิ่งทำให้หลายประเทศมองว่าจีนยังคงใช้แร่หายากเป็นเครื่องมือเชิงนโยบาย

การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในของจีนผ่านโครงการขนาดใหญ่ เช่น การสร้างเขื่อนในทิเบตที่มีมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านหยวน หรือกว่า 167,000 ล้านดอลลาร์ ก็ยิ่งสร้างแรงกดดันต่อระบบนิเวศและความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอินเดีย

ขณะที่ภาษีนำเข้าของสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับเฉลี่ยสูงถึง 40% ก็ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของการค้าเต็มรูปแบบระหว่างสองประเทศ แม้จะมีความคืบหน้าในบางส่วนแล้วก็ตาม

สถานการณ์แร่หายากในครั้งนี้จึงสะท้อนความเปราะบางของระบบอุตสาหกรรมโลก และตอกย้ำความสำคัญของการกระจายความเสี่ยงด้านทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ในยุคที่เศรษฐกิจและความมั่นคงระดับโลกเชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้น

“รถไฟจีน–เวียดนามโตแรง 283% ดันการค้าอาเซียนพุ่ง เปิดโอกาสใหม่โลจิสติกส์ไทย” กิโลเมตรภายในปี 2583"

ความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างจีนและเวียดนามกำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ในการขยายตัวของการค้าในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ที่การขนส่งสินค้าผ่านระบบรถไฟระหว่างประเทศของทั้งสองประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยสามารถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ได้มากถึง 18,870 ตู้ เพิ่มขึ้นกว่า 283% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงการเพิ่มบทบาทของระบบขนส่งทางรางในห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค

สินค้าที่มีการส่งออกหลักผ่านเส้นทางนี้ ได้แก่ ชิ้นส่วนยานยนต์และแผ่นไม้ MDF ซึ่งมีการเติบโตของปริมาณขนส่งสูงถึง 100% และ 398% ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ผลิตจากมณฑลสำคัญของจีน เช่น เจียงซูและกวางตุ้ง ก่อนลำเลียงเข้าสู่เวียดนามผ่านท่าเรือนานาชาติหนานหนิงที่กลายเป็นศูนย์กลางหลักในการเชื่อมต่อโลจิสติกส์ระหว่างจีนกับภูมิภาคอาเซียน

การรถไฟของจีนและเวียดนามได้เร่งยกระดับสมรรถนะของระบบขนส่งร่วม โดยเพิ่มความสามารถในการลากจูงขบวนรถไฟจาก 1,000 ตันเป็น 1,300 ตันต่อขบวน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 และเพิ่มความถี่ของขบวนรถไฟระหว่างประเทศจาก 5 เที่ยวต่อสัปดาห์เป็น 14 เที่ยวต่อสัปดาห์ ทำให้การขนส่งจากเมืองหนานหนิงถึงสถานีเยนเวียนในกรุงฮานอย ใช้เวลาไม่เกิน 14 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนา “บริการครบวงจร” ซึ่งครอบคลุมการวางแผน ชั่งน้ำหนัก และออกเอกสารในระบบเดียว ช่วยให้การดำเนินคำสั่งซื้อลดเวลาจากหลายชั่วโมงเหลือไม่ถึง 5 นาที สร้างความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างชัดเจน

โครงสร้างการขนส่งใหม่นี้ไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อจีนเท่านั้น แต่ยังเอื้อให้เวียดนามสามารถขยายตลาดส่งออก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร เช่น ผลไม้สดอย่างทุเรียน มะม่วง และแก้วมังกร ซึ่งต้องการระบบขนส่งที่รวดเร็วและรักษาคุณภาพสูง การใช้รถไฟด่วนทำให้สินค้าสามารถถึงมือลูกค้าในจีนภายใน 48 ชั่วโมง เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกว่า 150% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ความคืบหน้าของระบบรถไฟจีน–เวียดนามจึงสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านของภูมิทัศน์โลจิสติกส์ในภูมิภาค ที่เน้นความเร็ว ประสิทธิภาพ และการเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ อีกทั้งยังส่งผลต่อการค้าในระดับภูมิภาค โดยขยายการเชื่อมต่อจากจีนเข้าสู่ลาว ไทย และประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนมากกว่า 25 มณฑลของจีน ทำให้ระบบรถไฟระหว่างประเทศกลายเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ใหม่ของการค้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในบริบทดังกล่าว ผู้ประกอบการไทยกำลังเผชิญกับโอกาสสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกผลไม้สดและสินค้าเกษตรที่ต้องพึ่งพาการขนส่งที่มีความรวดเร็วและรักษาคุณภาพสินค้าได้ดี การใช้เส้นทางรถไฟจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เช่น หนองคาย มุกดาหาร หรืออุบลราชธานี เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบรถไฟของเวียดนามผ่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาว ก่อนเดินทางต่อไปยังสถานีเยนเวียน และเข้าสู่ระบบโลจิสติกส์ของจีนโดยตรง เป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูงในการลดต้นทุน เพิ่มความยืดหยุ่น และขยายตลาดไปยังภูมิภาคตะวันตกของจีน รวมถึงเอเชียกลาง

ยิ่งไปกว่านั้น การวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อใช้ประโยชน์จากแนวโน้มนี้สามารถต่อยอดได้ด้วยการลงทุนร่วมกับพันธมิตรเวียดนามหรือจีนในรูปแบบของศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้าอุณหภูมิควบคุม หรือโรงแปรรูปสินค้าเกษตรในพื้นที่ใกล้แนวเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศ โดยเฉพาะบริเวณสถานีเยนเวียนหรือด่านผิงเสียง เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันให้กับสินค้าไทย ตอบโจทย์ด้านคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานของตลาดจีน

การเติบโตอย่างรวดเร็วของระบบรถไฟจีน–เวียดนามในปี 2568 ไม่เพียงเป็นสัญญาณของการฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ยังบ่งชี้ถึงการเร่งเครื่องสู่ยุคโลจิสติกส์ใหม่ของภูมิภาคอาเซียน ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัว วางกลยุทธ์ และเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายขนส่งข้ามพรมแดนนี้ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้าอย่างยั่งยืนในระยะยาว

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us