News Update

L2D Page - 2025-09-24T090919.098

สรรพสามิตเปิดฐานรายได้ใหม่ เก็บภาษีรถโบราณ 45% ดันไทยสู่ศูนย์กลางรถคลาสสิก

กรมสรรพสามิตเปิดเกมรุกสร้างฐานรายได้ใหม่ ด้วยการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์โบราณนำเข้าในอัตรา 45% โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างตลาดใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ ควบคู่ไปกับการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางของการจัดแสดงและบูรณะรถยนต์คลาสสิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า มาตรการนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่กรมฯ ได้ออกภาษีประเภทใหม่ โดยรถยนต์โบราณที่นำเข้าจะได้รับสิทธิประโยชน์จากอัตราภาษีศุลกากรที่ 0% ขณะที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตในอัตราที่กำหนด เพื่อให้เกิดการขยายฐานรายได้ในรูปแบบใหม่ พร้อมทั้งตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์

การกำหนดภาษีสำหรับรถยนต์โบราณมีเป้าหมายหลายด้าน ไม่เพียงแต่สร้างความชัดเจนทางภาษี หากยังมุ่งเสริมศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการจัดแสดงและการฟื้นฟูรถโบราณ เนื่องจากประเทศมีช่างฝีมือที่ได้รับการยอมรับจากต่างชาติ และมีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบูรณะให้เติบโต นอกจากนี้ ยังช่วยเปิดโอกาสให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่อง ตั้งแต่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนทดแทน ไปจนถึงการท่องเที่ยวเชิงงานแสดงรถคลาสสิก

สำหรับนิยามของ “รถยนต์โบราณ” นั้น กรมสรรพสามิตอ้างอิงตามมาตรฐานสากล คือ รถที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป และต้องเป็นรถที่สามารถใช้งานได้จริง โดยจะต้องผ่านการตรวจรับรองจากหน่วยงานในต่างประเทศก่อนการนำเข้า เมื่อนำเข้ามาแล้ว รถเหล่านี้จะได้รับการจดทะเบียนพิเศษที่แตกต่างจากรถทั่วไป โดยมีเงื่อนไขการใช้งานเฉพาะ เช่น อนุญาตให้วิ่งบนถนนได้เฉพาะวันหยุดเสาร์–อาทิตย์และวันนักขัตฤกษ์ หากต้องการใช้งานในวันอื่นเพื่อการจัดแสดงหรือกิจกรรมพิเศษ ผู้ครอบครองต้องยื่นคำขออนุญาตเป็นกรณีต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

แม้รถโบราณที่นำเข้าจะมีราคาสูงและตลาดค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม แต่กรมสรรพสามิตประเมินว่ามาตรการใหม่นี้จะสามารถสร้างรายได้จากภาษีสรรพสามิตได้ประมาณ 1,000–2,000 ล้านบาทต่อปี และเมื่อรวมผลกระทบทางอ้อมจากกิจกรรมเศรษฐกิจต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการผลิตชิ้นส่วน อุตสาหกรรมซ่อมบูรณะ ตลอดจนการจัดงานอีเวนต์ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็จะยิ่งช่วยขยายมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

มาตรการภาษีรถยนต์โบราณจึงไม่ได้เป็นเพียงการเก็บรายได้เพิ่มเท่านั้น แต่ยังสะท้อนยุทธศาสตร์การยกระดับภาพลักษณ์ประเทศไทย ให้กลายเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยน การจัดแสดง และการบูรณะรถคลาสสิกในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยสร้างทั้งรายได้ ภาพลักษณ์ และการเติบโตเชิงคุณค่าให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอีกมิติหนึ่ง

L2D Page - 2025-09-24T090516.218

การขนส่งทางน้ำและทางรถไฟ: ยุทธศาสตร์สู่โลจิสติกส์สีเขียวยั่งยืน

แรงกดดันจากการลดการปล่อยมลพิษและความจำเป็นในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นกำลังผลักดันให้การขนส่งทางน้ำและทางรถไฟก้าวขึ้นมาเป็น “กระดูกสันหลังสีเขียว” ของโลจิสติกส์โลก การพัฒนาเส้นทางคมนาคมที่ทันสมัย การนำระบบดิจิทัลมาใช้ และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ล้วนเป็นปัจจัยที่จะเปลี่ยนทิศทางของอุตสาหกรรมนี้อย่างสิ้นเชิง

การประชุม FIATA World Congress 2025 (FWC 2025) ที่จะจัดขึ้น ณ กรุงฮานอย ระหว่างวันที่ 6-10 ตุลาคม ภายใต้หัวข้อ “โลจิสติกส์สีเขียวและยืดหยุ่น” กำลังถูกจับตามองในฐานะเวทีที่กำหนดทิศทางการปรับโฉมของระบบขนส่งโลก หัวข้อสำคัญในการประชุมครั้งนี้คือการส่งเสริมการขนส่งทางน้ำและทางรถไฟ ซึ่งถูกวิเคราะห์ว่าเป็นกุญแจในการแก้โจทย์ใหญ่สองประการ ได้แก่ การสร้างความสามารถในการปรับตัวต่อความผันผวนของห่วงโซ่อุปทาน และการบรรลุเป้าหมายด้านการลดการปล่อยคาร์บอน

ในเวียดนาม นายกรัฐมนตรีได้ประกาศแถลงการณ์ 113/CD-TTg ยืนยันบทบาทของการขนส่งทางน้ำว่าเป็นกลไกสำคัญในการลดต้นทุนการขนส่งและลดการพึ่งพาการขนส่งทางถนน โดยมีการวางแนวทางชัดเจนให้พัฒนาทั้งโครงสร้างพื้นฐาน กองยานพาหนะ เทคโนโลยี และบุคลากร เพื่อดึงดูดการลงทุนภาคเอกชนและยกระดับระบบขนส่งภายในประเทศให้สอดรับกับเป้าหมาย “Net Zero” ในปี 2593

ในมิติสิ่งแวดล้อม ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) และสภาการขนส่งระหว่างประเทศ (ITF) แสดงให้เห็นว่า การขนส่งทางรางสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 75-80% เมื่อเทียบกับถนน ขณะที่การขนส่งทางน้ำก็โดดเด่นในด้านการประหยัดพลังงานและการขนส่งปริมาณมากอย่างคุ้มค่า ทั้งยังสอดคล้องกับแรงกดดันใหม่จากสหภาพยุโรปภายใต้กลไกการปรับคาร์บอนที่ชายแดน (CBAM) ที่บังคับให้ผู้ส่งออกต้องแสดงข้อมูลการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทานอย่างละเอียด

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคยังคงมีอยู่ ทั้งข้อจำกัดด้านความเร็วและความจุของระบบรางในเวียดนาม ปัญหาคอขวดในท่าเรือแม่น้ำ รวมถึงความจำเป็นในการขุดลอกร่องน้ำและปรับปรุงกองเรือให้ทันสมัย การลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ระบบรางและระบบน้ำสามารถแข่งขันได้ทั้งในด้านต้นทุนและเวลา

อนาคตของโลจิสติกส์สีเขียวไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้วิธีการขนส่งเพียงรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หากแต่เป็นการสร้าง การขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) ที่บูรณาการถนน ราง และน้ำเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ พร้อมระบบดิจิทัลที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างท่าเรือ ศูนย์โลจิสติกส์ และเครือข่ายรถไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งที่ FWC 2025 ต้องการเน้นย้ำคือ การส่งเสริมการขนส่งทางน้ำและทางรถไฟไม่ใช่เพียงทางเลือกด้านสิ่งแวดล้อม แต่คือยุทธศาสตร์การค้าโลกที่จะทำให้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ยั่งยืนและปรับตัวได้จริง หากสามารถก้าวข้ามอุปสรรคด้านโครงสร้างพื้นฐาน มาตรฐาน และการบริหารจัดการ การขนส่งทางน้ำและทางรางจะไม่เพียงเป็น “กระดูกสันหลังสีเขียว” ของโลจิสติกส์เท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ที่เน้นสมดุลระหว่างการแข่งขันและความยั่งยืน

L2D Page - 2025-09-23T091405.180

ยูเอ็นดีพีชี้ภาษีทรัมป์ซ้ำเติมการส่งออกอาเซียน เวียดนามกระทบหนักสุดลดลงกว่า 20%

โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นดีพี) เปิดเผยรายงานล่าสุดที่สะท้อนให้เห็นผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยมาตรการดังกล่าวได้ส่งแรงสั่นสะเทือนต่อการส่งออกของหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเวียดนามที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุด การส่งออกไปยังสหรัฐซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของเวียดนามหดตัวลง 2% เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมของปีเดียวกัน

สินค้าในกลุ่มรองเท้า ซึ่งเวียดนามครองตำแหน่งผู้ส่งออกใหญ่อันดับสองของโลก ได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด โดยมูลค่าการส่งออกหดตัวถึง 5.5% หลังจากที่ก่อนหน้านี้ตัวเลขการส่งออกยังคงขยายตัวต่อเนื่องก่อนที่ภาษีใหม่ของสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ ทั้งนี้ ยูเอ็นดีพีคาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีนี้ การส่งออกของเวียดนามไปยังตลาดสหรัฐอาจหดตัวลงมากถึง 19.2% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ย 9.7% ที่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคต้องเผชิญ

สำหรับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในอาเซียน ยูเอ็นดีพีประเมินว่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐอาจลดลง 12.7% มาเลเซีย 10.4% และอินโดนีเซีย 6.4% โดยผลกระทบนี้อาจยังไม่สะท้อนออกมาเต็มรูปแบบในทันที แต่จะค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้นในอีกหลายปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม รายงานของยูเอ็นดีพีชี้ว่า ผลกระทบดังกล่าวอาจถูกบรรเทาลงจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้ส่งออกบางรายยอมรับภาระต้นทุนไว้เอง การปรับตัวกระจายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงการขยายการบริโภคภายในประเทศ ขณะเดียวกัน รายงานฉบับนี้ยังไม่ได้รวมผลกระทบจากภาษีในอัตราที่สูงกว่าที่สหรัฐประกาศเก็บเพิ่มเติม โดยพุ่งเป้าไปยังสินค้าจากจีน แต่กระทบต่อประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการส่งออกผ่านเส้นทางเหล่านี้ด้วย ซึ่งหากถูกนำมารวมคำนวณ ผลกระทบต่อภูมิภาคนี้อาจยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

L2D Page (100)

พาณิชย์คุมเข้มการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สร้างมาตรการสิ่งแวดล้อมลดปัญหา PM2.5

กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ เตรียมบังคับใช้มาตรการใหม่เกี่ยวกับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป โดยผู้นำเข้าจะต้องมีหลักฐานยืนยันว่าข้าวโพดที่นำเข้ามาจากกระบวนการผลิตที่ปลอดการเผา เพื่อลดการก่อฝุ่นพิษ PM2.5 ข้ามพรมแดน มาตรการดังกล่าวถือเป็นการปกป้องสุขภาพประชาชนและยกระดับมาตรฐานการค้าไทยให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

ในช่วงแรกจะเป็นระยะเปลี่ยนผ่าน โดยผู้นำเข้าสามารถรับรองตนเองได้ หรือใช้เอกสารจากหน่วยงานรัฐของประเทศผู้ส่งออก หรือองค์กรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเป็นผู้รับรอง พร้อมทั้งต้องบันทึกข้อมูลการเพาะปลูกและที่ตั้งแปลงเพื่อการตรวจสอบย้อนกลับ หากเกิดเหตุอันควรสงสัย ต่อมาเมื่อพระราชบัญญัติอากาศสะอาดและกฎหมายลูกมีผลบังคับใช้ จะยกระดับความเข้มงวดมากขึ้น โดยกำหนดให้ต้องใช้ใบรับรองจากหน่วยงานของประเทศผู้ส่งออกเท่านั้น และต้องแนบแผนที่แปลงเพาะปลูกประกอบการนำเข้า

มาตรการนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ไทยใช้แนวทางด้านสิ่งแวดล้อมกับการนำเข้าสินค้าเกษตร โดยเกิดจากความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน เกษตรกร และนักลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้มาตรการมีประสิทธิภาพ ตรวจสอบได้ และไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันยังสอดคล้องกับพันธกรณีในกรอบอาเซียนและองค์การการค้าโลก (WTO) ทั้งนี้ เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนข้าวโพดสำหรับผลิตอาหารสัตว์ หากการนำเข้ามีปัญหา กรมฯ พร้อมเสนอแนวทางขยายโควตาในกรอบ WTO และลดภาษีนำเข้าลงเหลือ 0% ภายใต้การกำหนดของคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ)

ในส่วนของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในประเทศ กรมฯ ยังคงใช้มาตรการป้องกันผลกระทบเช่นเดิม โดยกำหนดให้ผู้นำเข้าต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน ต่อการนำเข้าข้าวโพดหรือข้าวสาลีจากต่างประเทศ 1 ส่วน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จึงยังคงเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ โดยปีการผลิต 2567/2568 ไทยมีผลผลิตในประเทศ 4.558 ล้านตัน ต่อความต้องการใช้ 8.436 ล้านตัน ส่วนปี 2568/2569 คาดว่ามีผลผลิต 4.739 ล้านตัน ต่อความต้องการใช้ 9.201 ล้านตัน ทำให้ต้องมีการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยเมียนมาเป็นแหล่งนำเข้าหลักกว่า 87%

นอกจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว กรมการค้าต่างประเทศยังเตรียมบังคับใช้ระบบใบอนุญาตส่งออก (Export License) สำหรับสินค้าสองทาง (Dual-Use Items: DUI) ที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์และอาจนำไปใช้ผลิตอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงได้ โดยเบื้องต้นจะควบคุมสินค้าหมวด 0 เช่น เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ อุปกรณ์แขนกล และยูเรเนียมธรรมชาติ ครอบคลุมประมาณ 204 พิกัดศุลกากร ผู้ส่งออกต้องตรวจสอบว่าสินค้าของตนเข้าข่ายหรือไม่ ผ่านระบบ e-Classification และหากเข้าข่ายจะต้องยื่นขอใบอนุญาตผ่านระบบ e-DUI Licensing ที่กรมฯ พัฒนาขึ้น

มาตรการดังกล่าวสอดคล้องกับมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) 1540 และพระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2562 โดยในปี 2567 มูลค่าส่งออกสินค้าหมวดนี้อยู่ที่กว่า 4.37 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ ไต้หวัน จีน มาเลเซีย และญี่ปุ่น การบังคับใช้มาตรการจะเริ่มตั้งแต่ปลายปี 2568 และขยายการควบคุมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวได้ ก่อนครอบคลุมสินค้าสองทางครบทั้ง 10 หมวดในอนาคต

มาตรการใหม่ทั้งสองด้านจึงเป็นก้าวสำคัญของไทย ทั้งในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน ตลอดจนการสร้างความเชื่อมั่นต่อมาตรฐานการค้าของไทยในเวทีโลก โดยผสานเป้าหมายการค้า การเกษตร และความมั่นคงเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us