News Update

"คมนาคมเดินหน้าลงทุนรถไฟฟ้า 19 โครงการ วงเงิน 5.8 แสนล้านบาท ภายใต้แผน M-MAP2 เสริมโครงข่าย 245 กิโลเมตรภายในปี 2583"

กระทรวงคมนาคมโดยกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เตรียมเดินหน้าแผนพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภายใต้แผนแม่บทพัฒนารถไฟฟ้าระยะที่ 2 หรือ M-MAP2 ซึ่งได้รับการศึกษาและจัดทำร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) โดยจะลงทุนรวม 19 โครงการ คิดเป็นระยะทางกว่า 245 กิโลเมตร และใช้งบประมาณรวมกว่า 580,000 ล้านบาท ภายในปี 2583

นายอธิภู จิตรานุเคราะห์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง เปิดเผยภายหลังงานสัมมนา “Driving Railway Network and Urban Growth with The Second Mass Rapid Transit Master Plan in Bangkok Metropolitan Region (M-MAP2)” ว่าขณะนี้ผลการศึกษาของแผน M-MAP2 แล้วเสร็จ โดยใช้ประสบการณ์จากญี่ปุ่นในการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ โดยพิจารณาจากความเร่งด่วนด้านปริมาณผู้โดยสาร ความพร้อมด้านงบประมาณ การวางระบบค่าโดยสาร ระบบตั๋วร่วม และการออกแบบสถานีให้ประชาชนเข้าถึงได้สะดวก รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบริเวณสถานีและระบบฟีดเดอร์

แผน M-MAP2 แบ่งโครงการออกเป็น 3 ระยะ โดยในกลุ่ม A1 ซึ่งเป็นโครงการที่มีความพร้อมและจำเป็นเร่งด่วน มีทั้งหมด 4 โครงการ วงเงินลงทุนรวม 63,480 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดง 3 เส้นทาง ได้แก่ รังสิต – ม.ธรรมศาสตร์, ตลิ่งชัน – ศาลายา และตลิ่งชัน – ศิริราช ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว และกำลังเตรียมเอกสารประกวดราคา คาดว่าจะเปิดประมูลได้ภายในเดือนตุลาคมนี้ ขณะเดียวกันยังมีโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ คือ สายสีน้ำตาล ช่วงแคราย – ลำสาลี (บึงกุ่ม) ระยะทาง 22.1 กิโลเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการเร่งด่วนที่เตรียมผลักดันให้เริ่มลงทุนภายในปีนี้ โดยมีวงเงิน 41,721 ล้านบาท

สำหรับกลุ่ม A2 เป็นโครงการที่มีความจำเป็นแต่ยังต้องเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มลงทุนในปี 2572 รวม 6 โครงการ ระยะทางรวม 61.21 กิโลเมตร วงเงิน 178,747 ล้านบาท เช่น โครงการสายสีแดงช่วงบางซื่อ–หัวลำโพง สายสีเขียว สนามกีฬา–ยศเส สายสีเทา วัชรพล–ทองหล่อ สายสีเขียว บางหว้า–ตลิ่งชัน สายสีแดง วงเวียนใหญ่–บางบอน และสายสีเงิน บางนา–สุวรรณภูมิ

กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่ม B ซึ่งเป็นโครงการที่มีศักยภาพในการพัฒนา แต่จะต้องมีการประเมินความเหมาะสมอีกครั้งในปี 2572 โดยอิงจากความคุ้มค่าด้านปริมาณผู้โดยสารและแนวทางการพัฒนา รวมทั้งหมด 9 โครงการ ระยะทางรวม 132.35 กิโลเมตร วงเงินประมาณ 341,182 ล้านบาท เช่น โครงการสายสีฟ้า ดินแดง–สาทร สายสีเทา พระโขนง–ท่าพระ และลำลูกกา–วัชรพล สายสีเขียวขยายไปยังวงแหวนรอบนอกและรัตนาธิเบศร์ รวมถึงสายสีแดงช่วงบางบอน–มหาชัย–ปากท่อ ซึ่งเป็นโครงการที่ใช้วงเงินสูงสุดในกลุ่มนี้

ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางรางคาดว่าการดำเนินงานภายใต้ M-MAP2 จะช่วยยกระดับระบบรางในเขตเมือง เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางของประชาชน ลดปัญหาการจราจร และขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนในอนาคต

“จตุพร” เดินหน้านโยบายพาณิชย์เต็มสูบ รับมือเศรษฐกิจท้าทาย-ภาษีทรัมป์ มั่นใจส่งออกยังโต 1-2%

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประกาศพร้อมรับมือกับเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและสถานการณ์ภายนอก โดยเฉพาะผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันว่า “ภาษีทรัมป์” ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง

ภายใต้แนวคิด “จริงจังจริงใจ จตุพร” รัฐมนตรีพาณิชย์คนใหม่ได้วางนโยบายเชิงรุก 10 ข้อ พร้อมย้ำว่าแม้จะเคยเป็นข้าราชการประจำมาทั้งชีวิต แต่เมื่อได้เข้ามารับตำแหน่งทางการเมือง ก็พร้อมใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมานำพาการบริหารเชิงนโยบายให้ถึงมือประชาชน โดยมองว่า นักการเมืองคือนักกำหนดทิศทาง และข้าราชการคือผู้ลงมือขับเคลื่อน หากทั้งสองฝ่ายสามารถประสานงานกันได้ดี ก็จะทำให้นโยบายสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จตุพรระบุว่า การเข้ามารับตำแหน่งในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่เขาจะทำเต็มที่ โดยเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ปัจจัยต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของระบบเศรษฐกิจไทย เพื่อให้สามารถวางมาตรการได้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

สิ่งสำคัญอย่างแรกคือการปรับปรุงระบบการผลิตของไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพ เช่น ข้าวหอมมะลิที่ยังสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้แม้มีปัจจัยลบจากภายนอก ต่างจากข้าวชนิดอื่นที่ไทยยังสู้คู่แข่งอย่างอินเดียไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องหันมาปฏิรูประบบการผลิตอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน ยังต้องลดต้นทุนที่เป็นอุปสรรค โดยเฉพาะราคาปุ๋ยและยาฆ่าแมลงที่สูงเกินควร ซึ่งได้สั่งการให้กรมการค้าภายในไปศึกษารายละเอียดโครงสร้างราคาและหาทางปรับลดโดยเร็วที่สุด

อีกหนึ่งแนวทางสำคัญ คือ การเร่งหาตลาดใหม่รองรับสินค้าไทย เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิมที่อ่อนไหว โดยสั่งการให้ทูตพาณิชย์ในแต่ละประเทศสำรวจความต้องการสินค้าอย่างละเอียด และกำหนดให้เป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดผลการปฏิบัติงาน พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการรับฟังเสียงของประชาชนเกี่ยวกับสิ่งที่คาดหวังจากกระทรวงพาณิชย์

สำหรับภาพรวมของการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง กระทรวงประเมินว่าคงไม่เติบโตแรงเท่าครึ่งปีแรกที่มีการเร่งส่งออกเพื่อหนีภาษี แต่มั่นใจว่าทั้งปีจะยังขยายตัวได้ร้อยละ 1-2 และไม่ติดลบ ทั้งนี้ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่าในสถานการณ์เช่นนี้ การเติบโตในระดับเลขหลักเดียวถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี

ในด้านการเจรจาการค้า รัฐมนตรีพาณิชย์คนใหม่ระบุว่า ไทยยังคงเดินหน้าผลักดันข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับหลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรป และเกาหลีใต้ รวมถึงการปรับปรุง FTA เดิมให้ทันต่อยุคสมัยและประเด็นใหม่ๆ อย่างสิ่งแวดล้อมหรือการค้าในยุคดิจิทัล พร้อมผลักดันให้ SME ไทยก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างมั่นคง เสริมด้วยแนวนโยบายควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ปราบปรามการค้าไม่เป็นธรรมและธุรกิจนอมินี สร้างระบบบริการภาครัฐที่ทันสมัยด้วยเทคโนโลยี และยกเครื่องกฎหมายด้านพาณิชย์ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมการค้าโลกที่เปลี่ยนไป

แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่าการมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยดูแลหน่วยงานสำคัญอาจเป็นการลดบทบาทของรัฐมนตรีหลัก แต่นายจตุพรย้ำว่า ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ พร้อมกล่าวว่าได้สอบถามความสมัครใจของรัฐมนตรีช่วยทั้งสองท่านก่อนมอบหมายงาน ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ที่ทำให้การทำงานมีความคล่องตัวและตอบโจทย์ได้ตรงจุด

ในประเด็นการเมือง นายจตุพรกล่าวว่า ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกับพรรคโอกาสใหม่หรือไม่ แต่ย้ำว่าต้องการเห็นการเมืองที่เข้าถึงประชาชน และยอมรับว่าการเมืองไทยต้องมีทางเลือกใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ยุคปัจจุบัน พร้อมเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลัก พรรคการเมืองที่เขาพร้อมสนับสนุนต้องเป็นพรรคที่ทันสมัย มีนโยบายเศรษฐกิจใหม่ และสะท้อนความต้องการของคนไทยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เศรษฐกิจโลกกำลังผันผวนเช่นในปัจจุบัน

กัมพูชายอมผ่อนปรนนำเข้าสินค้าไทย หลังวิกฤตขาดแคลนบีบให้ถอย

ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาที่เริ่มต้นจากเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ได้ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งทางการทูตและเศรษฐกิจ เมื่อทั้งสองประเทศเริ่มดำเนินมาตรการตอบโต้กัน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้าชายแดน โดยเฉพาะฝั่งกัมพูชาที่ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์สินค้าขาดแคลนอย่างหนักในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังเริ่มปิดด่าน

กัมพูชาประกาศปิดด่านสำคัญโดยไม่แจ้งล่วงหน้าในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ด่านบ้านแหลม จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงการค้าหลัก ทำให้รถบรรทุกสินค้าจากฝั่งไทยไม่สามารถข้ามแดนได้ ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นอีกเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 สมเด็จฮุนเซน เผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาระหว่างตนกับนายกรัฐมนตรีของไทย ทำให้นายกรัฐมนตรีฝ่ายไทยต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น

แม้ว่ากัมพูชาจะตั้งเงื่อนไขหลายประการในการรับมือ หากไทยไม่เปิดด่านกลับ เช่น การแบนสินค้าไทย การหาตลาดใหม่รองรับสินค้าเกษตร ส่งผู้ป่วยไปรักษาในประเทศอื่น และการเรียกแรงงานกลับจากไทย แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏภายในไม่กี่วันหลังปิดด่านชี้ให้เห็นว่า มาตรการของรัฐบาลกัมพูชาเริ่มส่งผลกระทบภายในประเทศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่วนใหญ่พึ่งพาการนำเข้าจากไทย

นมสดยี่ห้อเมจิซึ่งเป็นที่นิยมในกัมพูชาเริ่มขาดตลาดทันที เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีอายุการเก็บรักษาสั้น แม้จะมีความพยายามนำเข้านมจากเวียดนามทดแทน แต่ราคาที่สูงกว่าทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย นอกจากนี้ยังพบการลักลอบขนนมเมจิเข้ามาในกัมพูชา เช่นกรณีเมื่อเช้าวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 รถยนต์หมายเลขทะเบียน 2B-7437 บ้านใต้มีชัย ถูกจับกุมในเขตอำเภอมาลัยพร้อมนมเมจิ 496 ขวด พร้อมผู้ต้องสงสัย 2 ราย ซึ่งสารภาพว่านำเข้านมจากคลังในไทย

ความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการเริ่มเปลี่ยนไป โดยมีการหาทางลำเลียงสินค้าอ้อมผ่านประเทศลาว สินค้าจากฝั่งอุบลราชธานีถูกส่งผ่านด่านช่องเม็ก เข้าสู่ลาว แล้วเข้าสู่กัมพูชาทางภาคเหนือ ก่อนกระจายสู่กรุงพนมเปญ เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากการปิดด่านทางตรงกับไทย

ต่อมาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 กรมศุลกากรและสรรพสามิตของกัมพูชาได้ออกประกาศรายการสินค้าจากประเทศไทยที่ห้ามนำเข้า โดยจำกัดเฉพาะผัก ผลไม้ และน้ำมันเชื้อเพลิงบางประเภทเท่านั้น เช่น เบนซิน ดีเซล แก๊ส LPG และ LNG ขณะที่สินค้าประเภทอื่นสามารถนำเข้าได้ตามปกติ หากดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดผ่านจุดข้ามแดนที่ได้รับอนุญาต

แม้ว่ากัมพูชาจะเคยประกาศแบนสินค้าไทยอย่างแข็งกร้าว แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ เช่น การแจกจ่ายสินค้าเกษตรฟรีที่เคยเตรียมส่งออก การขาดแคลนสินค้าในท้องตลาด และภาพของเจ้าหน้าที่กัมพูชายังคงใช้สินค้าจากไทย ต่างสะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดของมาตรการแบนดังกล่าว ที่ไม่อาจทดแทนการพึ่งพาไทยในระยะเวลาอันสั้นได้จริง

ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ของไทย ได้พิจารณาผ่อนปรนมาตรการควบคุมการผ่านแดนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราด เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการค้า การลงทุน และห่วงโซ่อุปทาน โดยอนุญาตให้ยานพาหนะที่เกี่ยวข้องกับภารกิจมนุษยธรรม เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม เดินทางเข้าออกผ่านพรมแดนได้ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคมเป็นต้นไป

ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากสถานการณ์ภายในกัมพูชาที่ไม่สามารถแบกรับภาระของการแบนสินค้าไทยได้อย่างยาวนาน แม้รัฐบาลพยายามรักษาหน้าด้วยการตั้งเงื่อนไขและเลือกแบนบางรายการ แต่ก็ต้องยอมผ่อนปรนเพื่อนำเข้าสินค้าที่จำเป็นกลับเข้าประเทศ การฟื้นคืนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและกัมพูชาจึงกลายเป็นประเด็นสำคัญในระดับรัฐบาล และจะเป็นตัวแปรชี้วัดความยั่งยืนของเสถียรภาพภายในของทั้งสองประเทศต่อไป

เวียดนามเดินหน้าเสริมศักยภาพขนส่งทางน้ำ หวังลดต้นทุนโลจิสติกส์และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม นายกรัฐมนตรีฝ่าม มิญ จิ่ง ของเวียดนาม ได้ลงนามในหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการ เลขที่ 113/CD-TTg ซึ่งมุ่งเน้นแนวทางการพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการส่งเสริมโลจิสติกส์และการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยเนื้อหาของหนังสือแจ้งดังกล่าวระบุถึงความจำเป็นในการแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ภายในระบบขนส่งทางน้ำ และเน้นย้ำการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดต้นทุนในภาคโลจิสติกส์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามในระยะยาว

นายกรัฐมนตรีระบุว่า เวียดนามมีศักยภาพสูงในด้านการขนส่งทางน้ำ ด้วยแนวชายฝั่งยาวกว่า 3,260 กิโลเมตร และระบบแม่น้ำที่สามารถใช้งานได้อีกประมาณ 42,000 กิโลเมตร ทำให้การขนส่งทางน้ำถือเป็นรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลประเมินว่าภาคส่วนนี้ยังไม่ได้รับความสำคัญและการลงทุนที่เพียงพอ ปัญหาที่พบ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่ล้าหลัง กองเรือที่มีขนาดจำกัด และการขาดแคลนทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ

เพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลง นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานภาครัฐในทุกระดับ รวมถึงกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะกระทรวงก่อสร้างซึ่งได้รับมอบหมายให้ทบทวนและปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการเดินเรือและขนส่งทางน้ำ เพื่อเปิดทางให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนมากขึ้น โดยมีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ปี 2568 นอกจากนี้ ยังต้องปรับปรุงแผนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเน้นการพัฒนาเส้นทางขนส่งสายหลัก และจัดทำรายการโครงการลงทุนที่สำคัญในท่าเรือตามเส้นทางแม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำแดง แม่น้ำไซง่อน และเส้นทางไก๋เม็ป-ทีวาย

ในด้านทรัพยากรทางการเงิน กระทรวงการคลังได้รับมอบหมายให้จัดสรรงบลงทุนสาธารณะในช่วงปี 2569-2573 ให้เหมาะสมกับโครงการสำคัญ รวมถึงพิจารณามาตรการภาษี ค่าธรรมเนียม และกลไกสนับสนุนสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมประสานกับบริษัทชั้นนำอย่าง Saigon Newport Corporation และ Vietnam National Shipping Lines เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนพัฒนาท่าเรือสำคัญและศูนย์ขนส่งทางน้ำภายในประเทศ

ด้านกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมมีภารกิจในการปรับปรุงกระบวนการจัดสรรพื้นที่และลดระยะเวลาในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าต้องกำหนดนโยบายส่งเสริมให้ภาคธุรกิจหันมาใช้การขนส่งทางน้ำมากขึ้น ส่วนกระทรวงความมั่นคงสาธารณะได้รับคำสั่งให้ดูแลด้านความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในการดำเนินโครงการต่าง ๆ

ในระดับท้องถิ่น ประธานคณะกรรมการประชาชนของแต่ละจังหวัดและเมืองที่อยู่ภายใต้การบริหารโดยตรงของรัฐบาลกลาง จะต้องตรวจสอบและจัดสรรพื้นที่สำหรับโครงการโลจิสติกส์ พร้อมทั้งบูรณาการการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งทางน้ำ เพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ

การดำเนินงานทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของรองนายกรัฐมนตรี เจิ่น ฮอง ฮา โดยมีสำนักงานรัฐบาลร่วมมือกับกระทรวงก่อสร้างเพื่อเร่งรัดและติดตามความคืบหน้า พร้อมรายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะ เพื่อให้แนวทางการพัฒนานี้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us