News

L2D Page (22)

พิพัฒน์ สั่งด่วนคมนาคม 4 เดือน ลดค่าเดินทาง–เร่งโครงการโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบนโยบายเร่งด่วนต่อผู้บริหารกระทรวงคมนาคม เดินหน้ามาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนในด้านการเดินทาง พร้อมเร่งรัดการก่อสร้างโครงการคมนาคมที่ล่าช้า และผลักดันแผนประมูลโครงสร้างพื้นฐานใหม่ทั่วประเทศ เพื่ออัดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

ภายใต้นโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง กระทรวงคมนาคมได้รับมอบหมายให้ดำเนินการ “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ลดภาระประชาชน และวางโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่” โดยเริ่มต้นจากการขยายมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทั้งสายสีแดงและสายสีม่วง ไปจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2568 ขณะเดียวกันยังตั้งคณะทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับมาตรการค่าโดยสารใหม่ ซึ่งอาจพัฒนาเป็นระบบตั๋วร่วมในอนาคต

นอกจากนี้ยังมีการเดินหน้าโครงการเปลี่ยนรถเมล์ร้อนเป็นรถโดยสารไฟฟ้า (EV) จำนวน 1,520 คัน ภายใต้แผนของ ขสมก. โดยจะต้องพิจารณาโครงสร้างค่าโดยสารที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ นักเรียน นักศึกษา และกลุ่มคนเพิ่งเริ่มทำงาน มาตรการดังกล่าวมุ่งหวังให้ระบบขนส่งสาธารณะมีคุณภาพ จูงใจประชาชนให้หันมาใช้บริการมากขึ้น ช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรและลดมลพิษในเขตเมืองใหญ่

ในส่วนของโครงการโครงสร้างพื้นฐาน กระทรวงคมนาคมได้รับมอบหมายให้เร่งเปิดใช้มอเตอร์เวย์ M82 ช่วงบางขุนเทียน–บ้านแพ้ว ระยะทางรวมกว่า 24 กิโลเมตร โดยเฟสแรกจะเปิดให้บริการภายในเดือนตุลาคมนี้ และอีกส่วนก่อนเทศกาลสงกรานต์ปี 2569 ขณะเดียวกันยังเร่งรัดมอเตอร์เวย์สาย M81 บางใหญ่–กาญจนบุรี ที่จะเปิดในเดือนตุลาคม และสาย M6 บางปะอิน–โคราช ที่มีกำหนดเปิดต้นปีหน้า รวมถึงสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 5 จังหวัดบึงกาฬ และการผลักดันโครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้และภาคอีสาน รวมถึงโครงการทางพิเศษภูเก็ตเพื่อแก้ปัญหาจราจร

ในระยะยาว กระทรวงคมนาคมยังมีแผนพัฒนาโครงการใหญ่ เช่น LANDBRIDGE ที่จะเชื่อมการคมนาคมทางราง ถนน ท่าเรือ และท่อขนส่ง เพื่อผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค ตลอดจนการสร้างทางรถไฟสายใหม่ รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ–โคราช การต่อขยายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และการขยายสนามบินหลักทั้งสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และเชียงใหม่

นายพิพัฒน์ย้ำว่า นโยบายคมนาคมภายใต้รัฐบาลชุดนี้จะเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ขณะเดียวกันยังมอบหมายให้นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กำกับดูแล 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมท่าอากาศยาน กรมการขนส่งทางบก บริษัท ขนส่ง จำกัด และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด

ด้านนางสาวมัลลิกา ยืนยันว่ากระทรวงคมนาคมพร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดกับทุกฝ่ายเพื่อให้ทุกโครงการเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน โดยย้ำว่า “ทุกโครงการต้องทำได้จริง และประชาชนต้องได้ประโยชน์จริง”

L2D Page (21)

กกร.กังวลบาทแข็ง ฉุดส่งออกไทย ส่อปรับเป้าประมาณการใหม่

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยล่าสุดยังคงคาดการณ์การส่งออกปี 2568 ไว้ที่ระดับ 2-3% แต่ยอมรับว่าแรงกดดันจากเงินบาทแข็งมีน้ำหนักต่อทิศทางการค้าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร. เปิดเผยว่า หากสามารถดูแลเสถียรภาพค่าเงิน และทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ จะเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้การส่งออกปรับตัวสูงขึ้น พร้อมย้ำว่ากกร.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและอาจทบทวนประมาณการใหม่ในการประชุมเดือนหน้า

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568 กกร. ยังคงประเมินการขยายตัวไว้ที่ 1.8-2.2% ใกล้เคียงกับคาดการณ์เดิม โดยมีเงื่อนไขสำคัญอยู่ที่การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ให้ได้ประมาณหนึ่งในสามของวงเงินภายในสิ้นปีนี้ ควบคู่กับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ถึง 34 ล้านคน รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส การสนับสนุน SMEs และการผลักดัน Made In Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล

กกร. เชื่อว่าหากมาตรการทั้งหมดเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 เติบโตใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำได้ 2.5% แม้ต้องเผชิญความท้าทายจากค่าเงินบาทแข็งที่ยังเป็นแรงกดดันหลักในระยะสั้น

L2D Page (20)

สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้ายา 100% บีบยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ต้องตั้งโรงงานในอเมริกาเท่านั้น

สงครามการค้าด้านเภสัชภัณฑ์ปะทุอีกครั้ง เมื่อสหรัฐอเมริกาเริ่มจัดเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาที่มีตราสินค้าและได้รับสิทธิบัตรในอัตราสูงถึง 100% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป มาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “America First” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งผลักดันให้บริษัทยาข้ามชาติย้ายฐานการผลิตเข้าสู่สหรัฐฯ

ทรัมป์ประกาศชัดเจนผ่าน Truth Social เมื่อวันที่ 25 กันยายนว่า บริษัทที่ต้องการหลีกเลี่ยงการถูกจัดเก็บภาษีจำเป็นต้องมีโรงงานผลิตยาในสหรัฐฯ และต้องอยู่ในสถานะ “กำลังก่อสร้าง” หรือ “อยู่ระหว่างการก่อสร้าง” เท่านั้น หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ผลิตภัณฑ์ยาที่มีสิทธิบัตรทั้งหมดจะถูกเก็บภาษีนำเข้าเต็มอัตรา

การเคลื่อนไหวครั้งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อห่วงโซ่อุปทานยาทั่วโลก บริษัทยารายใหญ่ต่างเร่งออกมาประกาศลงทุนก่อสร้างและขยายโรงงานในสหรัฐฯ มูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางการค้า ขณะที่นักวิเคราะห์เตือนว่า แม้มาตรการนี้จะไม่ครอบคลุมถึงยาสามัญ (Generic Drugs) แต่ยาที่มีสิทธิบัตรและเป็นยาหลักจำนวนมากจะมีราคาสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผลกระทบที่ตามมาคือ ผู้ป่วยในสหรัฐฯ อาจต้องเผชิญกับราคายาที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันตลาดยาทั่วโลกก็อาจได้รับแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตและการค้าสินค้าทางการแพทย์ครั้งใหญ่ ซึ่งถือเป็นการใช้กำแพงภาษีในรูปแบบที่เข้มข้นที่สุดของรัฐบาลทรัมป์ เพื่อผลักดันการผลิตกลับสู่ภายในประเทศ

L2D Page (19)

ดัชนีราคาส่งออกเดือนสิงหาคมขยายตัว 0.4% สนค.เตือนจับตาความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกและค่าเงินบาทแข็ง

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยดัชนีราคาส่งออกเดือนสิงหาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 111.1 ขยายตัว 0.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ยังสะท้อนถึงความต้องการสินค้าไทยในตลาดโลกที่มีทิศทางเป็นบวก แต่เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวจากหลายปัจจัยกดดัน ทั้งการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายกีดกันทางการค้า รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทที่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย

ดัชนีราคาส่งออกที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคมได้รับแรงหนุนจากหมวดสินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัว 1.6% โดยเฉพาะทองคำที่ได้รับอานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน ทำให้ความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าเทคโนโลยีอย่างคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ได้แรงหนุนจากความต้องการใช้งานด้าน AI และ Big Data รวมถึงเครื่องปรับอากาศที่ความต้องการทั้งในครัวเรือนและเชิงพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน หมวดอุตสาหกรรมการเกษตรก็ขยายตัว 1.1% โดยมีแรงขับเคลื่อนจากอาหารทะเลกระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

ในทางกลับกัน หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับลดลง ได้แก่ หมวดแร่และเชื้อเพลิงที่ลดลงถึง 9.3% โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูปที่ราคาปรับตัวตามทิศทางน้ำมันดิบโลกซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำจากภาวะอุปทานส่วนเกิน รวมทั้งหมวดสินค้าเกษตรที่ลดลง 5.6% จากราคาข้าว ผลไม้สดแช่เย็นและแปรรูป รวมถึงยางพาราที่เผชิญภาวะอุปทานเกินความต้องการ ขณะที่ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังได้รับแรงกดดันจากราคาตลาดโลกที่อ่อนตัวและการแข่งขันด้านราคากับประเทศเพื่อนบ้าน

ด้านดัชนีราคานำเข้าเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 115.8 เพิ่มขึ้น 2.7% ปัจจัยหนุนหลักมาจากหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขยายตัว 7.5% โดยมีการนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม รวมถึงเครื่องประดับอัญมณีเพื่อรองรับการบริโภคและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว นอกจากนี้ หมวดสินค้าทุนขยายตัว 5.2% ตามความต้องการเครื่องจักรและอุปกรณ์ด้านอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับการผลิตและการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัล ส่วนหมวดวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 4.9% โดยเฉพาะทองคำที่ยังคงมีแรงซื้อจากธนาคารกลางหลายประเทศ รวมถึงปุ๋ยและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ความต้องการปรับเพิ่มตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมโลก อย่างไรก็ดี หมวดสินค้าเชื้อเพลิงปรับลดลง 8.9% ตามราคาน้ำมันดิบที่ยังอ่อนตัวจากภาวะอุปทานล้นตลาด

สำหรับแนวโน้มเดือนกันยายน 2568 สนค.ประเมินว่าดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูปที่ยังคงเติบโต รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ศูนย์ข้อมูล และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ยังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก แต่ในขณะเดียวกัน ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ มาตรการด้านการค้าของสหรัฐฯ และประเทศต่าง ๆ ที่หันมาเน้นสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ ตลอดจนมาตรการสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่า ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อภาคการส่งออกไทยในระยะถัดไป

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us