News

L2D Page (33)

สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าอินเดียพุ่ง 50% ปมซื้อน้ำมันรัสเซีย เสี่ยงดันราคาน้ำมันโลกพุ่งแรง

สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียเพิ่มอีก 25% ส่งผลให้ภาษีรวมอยู่ที่ 50% โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า อินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงต้องปรับภาษีนำเข้าให้เป็นไปตามกฎหมายการค้าของสหรัฐฯ

ในอดีต สหรัฐฯ เคยสนับสนุนให้อินเดียซื้อน้ำมันดิบรัสเซีย เนื่องจากน้ำมันดิบไม่ได้ถูกคว่ำบาตรเช่นเดียวกับ LNG แต่ต้องซื้อขายภายใต้กรอบราคาที่จำกัดรายได้รัฐบาลมอสโก ข้อมูลจากบริษัท Kpler ระบุว่า อินเดียเป็นหนึ่งในผู้ซื้อน้ำมันรัสเซียรายใหญ่ที่สุด โดยนำเข้าประมาณ 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปริมาณส่งออกรวมของรัสเซียราว 3.35 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่จีนอยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน

Bob McNally ประธานบริษัท Rapidan Energy Group และอดีตที่ปรึกษาด้านพลังงานทำเนียบขาวในยุคประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช มองว่าท่าทีของสหรัฐฯ อาจสร้างความสับสนให้กับอินเดีย เพราะก่อนหน้านี้ โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยเดินทางไปอินเดียหลังรัสเซียรุกรานยูเครน และขอร้องให้อินเดียซื้อน้ำมันรัสเซียเพื่อช่วยควบคุมราคาน้ำมันโลก

ในระยะใกล้ ตลาดน้ำมันยังมีความเสี่ยงจากทั้งการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะลดปริมาณการส่งออกน้ำมัน ซึ่งอาจดันราคาน้ำมันดิบเบรนท์ขึ้นสู่ระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แม้ผลกระทบทางเศรษฐกิจอาจไม่รุนแรงนัก

อินเดียยืนยันว่าปฏิบัติตามมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศทั้งหมด และการซื้อน้ำมันจากรัสเซียช่วยรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันโลก พร้อมโต้ว่า หากต้องหยุดนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย จำเป็นต้องมีแผนรองรับเพื่อชดเชยอุปทานที่หายไปและป้องกันความผันผวนของตลาดพลังงาน

Giovanni Staunovo นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์จาก UBS ให้ความเห็นว่า หากอินเดียลดการซื้อน้ำมันรัสเซีย โรงกลั่นน้ำมันจะหันไปพึ่งแหล่งน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางเช่นเดิม เนื่องจากคุ้นเคยกับการใช้น้ำมันจากภูมิภาคนี้ก่อนปี 2565 และไม่น่าจะมีผู้ซื้อรายใหม่เข้ามาแทนที่

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมอินเดียเตือนว่า หากน้ำมันรัสเซียถูกดึงออกจากตลาด ราคาน้ำมันโลกอาจพุ่งทะลุ 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อผู้บริโภคทั่วโลกอย่างรุนแรง

ไทยปักหมุดยุทธศาสตร์ “เครื่องมือแพทย์–AI ทางการแพทย์” ลดนำเข้า 1,500 ล้าน ดันนวัตกรรมใช้เองทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พร้อมภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสมาคมเฮลท์เทคไทย จัดงาน Kick-off แผนงานมุ่งเป้าระดับประเทศ เพื่อผลักดันเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ด้านเครื่องมือแพทย์ บริการทางการแพทย์ และยา มุ่งเพิ่มศักยภาพการผลิตและจำหน่ายนวัตกรรมทางการแพทย์และเทคโนโลยี AI ภายในประเทศ ลดการนำเข้ารวมมูลค่า 1,500 ล้านบาท และเปิดโอกาสให้ประชาชนกว่า 8.5 ล้านคนเข้าถึงเทคโนโลยีที่พัฒนาโดยคนไทยภายในปี 2569

พิธีเปิดจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมี นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมเป้าหมายสำคัญด้านเครื่องมือแพทย์ บริการทางการแพทย์ และยา เป็นประธาน พร้อมเน้นย้ำว่า AI ทางการแพทย์จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับระบบสุขภาพและเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะเมื่อประเทศมีจุดแข็งด้านฐานข้อมูลขนาดใหญ่จากโรงพยาบาลชั้นนำ และมีนักวิจัยที่มีศักยภาพสูง รวมถึงความร่วมมือจากหลายภาคส่วนตั้งแต่งานวิจัย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการขยายสู่เชิงพาณิชย์และการใช้งานจริงในวงกว้าง

หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จคือ “นวัตกรรมการวิเคราะห์ภาพรังสีทรวงอกด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)” ซึ่งได้รับการบรรจุเป็นสิทธิประโยชน์บริการทางการแพทย์ขั้นสูงในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามมติบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 และจะเริ่มให้บริการในโรงพยาบาลภาครัฐ 167 แห่งในปีงบประมาณนี้ ด้วยงบ 55 ล้านบาท ก่อนขยายครอบคลุมทั่วประเทศ กรณีนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานจากราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย อย. และ Singapore FDA และขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยเรียบร้อยแล้ว โดย สปสช.มีแผนขยายให้ครอบคลุมโรงพยาบาล 887 แห่งทั่วประเทศภายใน 3 ปี เพื่อช่วยคัดกรองโรคสำคัญอย่างวัณโรคและมะเร็งปอด ลดภาระงานของแพทย์ และเพิ่มความรวดเร็วในการวินิจฉัย

ดร.จิตติ์พร ธรรมจินดา ผู้อำนวยการ TCELS กล่าวเสริมว่า การขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านการแพทย์ โดยเฉพาะ AI จำเป็นต้องเชื่อมโยงทุกภาคส่วนให้ทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ กรณี AI Chest X-ray ถือเป็นโครงการนำร่องที่แสดงผลลัพธ์เชิงประจักษ์ และจะเป็นต้นแบบสำหรับการขยายสู่นวัตกรรมอื่น ๆ โดยตลาดภาครัฐถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ก่อนต่อยอดสู่ตลาดสากล

ด้าน นพ.อาทิตย์ คำจันทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเกาะเต่า ยืนยันจากประสบการณ์ใช้งานจริงว่า AI อ่านฟิล์มเอกซเรย์มีความแม่นยำสูง ใช้งานง่าย และช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากทุกโรงพยาบาลได้ใช้นวัตกรรมประเภทนี้ จะช่วยยกระดับการรักษาและคุณภาพชีวิตประชาชนได้อย่างชัดเจน

ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เครื่องมือแพทย์และ AI ทางการแพทย์ของไทยไปสู่การใช้งานจริงทั้งในประเทศและเวทีโลก พร้อมสร้างความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพประชาชน

L2D Page (31)

LEO โชว์ผลงบไตรมาส 2 รายได้ 337 ล้าน เดินหน้าธุรกิจใหม่-ลุย Green Logistics ครึ่งปีหลัง

บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2/2568 (สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2568) โดยมีรายได้รวม 337.3 ล้านบาท และกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 5.4 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรขั้นต้น 113.1 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน อันเป็นผลจากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนด้านอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกไปยังสหรัฐฯ รวมถึงสินค้าจากจีนที่ขนส่งผ่านไทยลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ยังเผชิญผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงไตรมาสดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม LEO มีการเติบโตเด่นในธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ที่ช่วยลดความผันผวนจากธุรกิจหลัก โดยรายได้จากการขนส่งทางรางในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 151.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 576% จากปีก่อน ขณะที่บริษัทร่วม LaneXang Express ทำรายได้ในไตรมาส 2/2568 ถึง 19.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6 เท่าจากไตรมาสก่อน ส่วน Sritrang Leo Multimodal Logistics ทำรายได้จากการขนส่งทางรางภายในประเทศ 57.6 ล้านบาทในไตรมาส 2/2568 ขณะเดียวกัน Logicam LEO ในกัมพูชาเพิ่มรายได้ถึง 60% จากไตรมาสก่อน

ธุรกิจ Self-Storage และลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ก็ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทย่อย YJC Depot Services มีรายได้เพิ่มขึ้น 58% จากไตรมาส 1/2568 และเติบโตถึง 100% จากปีก่อน นอกจากนี้ ศูนย์จัดเก็บและกระจายสินค้าอัจฉริยะ LEO Coldbotic และการส่งออกทุเรียนไปจีนผ่าน LEO Sourcing & Supply Chain ก็เริ่มสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO ระบุว่า การเติบโตของกลุ่มธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics เป็นไปตามแผน และถือเป็นหัวใจสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างรายได้ระยะยาว เนื่องจากธุรกิจ Freight ยังคงมีความผันผวนสูงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก บริษัทจึงมุ่งกระจายความเสี่ยงและเดินหน้าขยายธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งนอกจากช่วยลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจหลักแล้ว ยังเป็นโอกาสสร้างกำไรขั้นต้นในระดับที่เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับครึ่งปีหลัง 2568 บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการจะดีขึ้น โดยเฉพาะไตรมาส 3 และ 4 หลังจากที่สหรัฐฯ มีการประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่ชัดเจน พร้อมเดินหน้าโครงการ Green Logistics ใช้รถบรรทุกไฟฟ้า (EV Truck) ให้บริการลูกค้า สนับสนุนการขนส่งแบบยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และออกเอกสาร Carbon Emission Statement ตามมาตรฐาน ISO 14067 ให้ลูกค้าในไตรมาส 4

LEO ตั้งเป้าผลักดันรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้มีสัดส่วน 30-35% ของรายได้รวมภายในปีนี้ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

รมช.คมนาคมลงพื้นที่ตรวจท่าอากาศยานอุบลราชธานี เดินหน้าแผนพัฒนาสู่สนามบินนานาชาติ ศูนย์กลางการบินภาคอีสาน

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานที่ท่าอากาศยานอุบลราชธานี เพื่อติดตามมาตรการด้านความปลอดภัยและประเมินความพร้อมในการยกระดับสนามบินแห่งนี้สู่มาตรฐานนานาชาติ ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการผลักดันจังหวัดอุบลราชธานีให้เป็นศูนย์กลางการบินของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ระหว่างการตรวจเยี่ยม รมช.คมนาคมได้สั่งการให้กรมท่าอากาศยานปรับปรุงอาคารผู้โดยสารและจัดพื้นที่รองรับด่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ พร้อมทั้งดึงดูดสายการบินเปิดเส้นทางบินใหม่ เชื่อมโยงอุบลราชธานีกับเมืองสำคัญทั้งในและต่างประเทศ

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม นางมนพรพร้อมคณะผู้บริหารได้เยี่ยมชมศูนย์ควบคุมการบินอุบลราชธานี และรับฟังการบรรยายเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา พร้อมเน้นย้ำให้บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เร่งพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากร เพื่อสนับสนุนบทบาทของสนามบินในฐานะศูนย์กลางการบิน รวมถึงการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย

นอกจากนี้ รมช.คมนาคมยังได้กำชับให้กรมท่าอากาศยานและ บวท. เข้มงวดมาตรการด้านความมั่นคง โดยเน้นการควบคุมการใช้โดรนในเขตสนามบิน การเพิ่มความถี่ในการตรวจการณ์ และการซ้อมแผนฉุกเฉินร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของผู้โดยสารและบุคลากรทุกฝ่าย

ด้านนายดนัย เรืองสอน อธิบดีกรมท่าอากาศยาน เปิดเผยว่าท่าอากาศยานอุบลราชธานีมีศักยภาพรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 1,050 คนต่อชั่วโมง หรือราว 3 ล้านคนต่อปี และสามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ได้พร้อมกันถึง 5 ลำ ปัจจุบันมีเที่ยวบินภายในประเทศเชื่อมต่อสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิจากหลายสายการบิน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งรถเช่า รถแท็กซี่ และรถซิตี้บัส

สำหรับแผนพัฒนาในปี 2568 กรมท่าอากาศยานได้จัดสรรงบประมาณเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย ด้วยการติดตั้งเครื่องตรวจอาวุธและวัตถุระเบิดแบบ Dual View X-Ray กล้องตรวจการแบบ Panorama และยานพาหนะตรวจจับสิ่งแปลกปลอมบนทางวิ่ง (FOD Vehicle) เพื่อให้สนามบินมีระบบความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานสากล รองรับทั้งการเดินทางภายในประเทศและต่างประเทศอย่างมั่นใจ

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us