News

news-20250702-03

ขนส่งสินค้าทางอากาศไทยพุ่ง 100%! ทอท. เร่งหาพันธมิตรใหม่เสริมคลังสินค้าสุวรรณภูมิ รับดีมานด์พุ่ง 2.7 ล้านตัน

อุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าทางอากาศของประเทศไทยกำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง จากรายงานของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) พบว่าในปี 2567 ปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศของไทยฟื้นตัวสูงถึง 101.63% เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 โดยแบ่งเป็นการขนส่งภายในประเทศกว่า 30,500 ตัน และการขนส่งระหว่างประเทศสูงถึง 1.48 ล้านตัน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันมหาศาลของธุรกิจคาร์โก้

จากแนวโน้มการเติบโตนี้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ในฐานะประตูสำคัญในการรองรับการขนส่งสินค้าทางอากาศ ได้เล็งเห็นโอกาสในการขยายขีดความสามารถของท่าอากาศยาน โดยเฉพาะ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางหลักของเที่ยวบินขนส่งสินค้า เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางอากาศของภูมิภาคอย่างแท้จริง

เพื่อรองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ทอท. จึงได้ออกประกาศสรรหาเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนใน โครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นรายที่ 3 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ พ.ศ. 2562 คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนกรกฎาคม 2568 และมีเป้าหมายลงนามสัญญาร่วมลงทุนภายในเดือนเมษายน 2569 นอกจากนี้ ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังได้อนุมัติให้ ทอท. เปิดให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) ใน โครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 เพื่อทดแทนสัญญาเดิมที่จะหมดอายุในเดือนตุลาคม 2569 ซึ่ง ทอท. จะเร่งดำเนินการคัดเลือกโดยเร็วที่สุด เนื่องจากบริการคลังสินค้าเป็นส่วนสำคัญในการรองรับความต้องการขนส่งที่กำลังขยายตัวอย่างมาก

นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. คาดหวังว่าสัญญาใหม่นี้จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีและระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาบริหารจัดการคลังสินค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับสินค้าได้มากขึ้นเป็นเท่าตัว โดยปัจจุบันคลังสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสามารถรองรับสินค้าได้ 2.2 ล้านตันต่อปี และเฉพาะส่วนของผู้ประกอบการรายที่ 2 มีขีดความสามารถอยู่ที่ 5 แสนตันต่อปี หากมีการนำระบบ AI เข้ามาใช้ คาดว่าจะเพิ่มขีดความสามารถเป็น 1 ล้านตันต่อปี และเมื่อรวมกับผู้ประกอบการรายที่ 3 ที่กำลังจะเข้ามา จะทำให้ขีดความสามารถโดยรวมของคลังสินค้าที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 2.7 ล้านตันต่อปี ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพการขนส่งสินค้าทางอากาศของไทยในอนาคต

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250702-02

จีนเร่งปั้น “ฉงชิ่ง” สู่ฮับโลจิสติกส์ทางรางระดับโลก เชื่อมยุโรป-จีน-อาเซียน รับมือความปั่นป่วนเศรษฐกิจโลก

ท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาที่พยายามสกัดกั้นการเติบโตของเศรษฐกิจจีน มหาอำนาจเอเชีย จึงเร่งสร้าง “เส้นทางการค้าใหม่” โดยมีนครฉงชิ่ง มหานครขนาดใหญ่ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เป็นหมากตัวสำคัญในกระดานยุทธศาสตร์ โดยรัฐบาลจีนมุ่งพัฒนาฉงชิ่งให้กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางรางระดับโลกที่สามารถเชื่อม “ยุโรป จีน และอาเซียน” ได้อย่างไร้รอยต่อ

ใจกลางของแผนนี้อยู่ที่โครงการรถไฟข้ามพรมแดน 2 สายหลัก: หนึ่งทอดไปถึงเยอรมนี และอีกสายลงใต้สู่สิงคโปร์ เส้นทางที่โดดเด่นอย่าง “Asean Express” วิ่งจากเวียดนามผ่านลาว ไทย มาเลเซีย จนถึงจีน ใช้เวลาเพียง 5 วันถึงฉงชิ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปยังโปแลนด์ในอีก 2 สัปดาห์ ความคล่องตัวของระบบนี้ไม่เพียงช่วยให้จีนกระจายสินค้าได้รวดเร็วขึ้น แต่ยังเปิดประตูใหม่ให้กับอาเซียนในการเจาะตลาดจีน

แต่เส้นทางสายไหมยุคใหม่ทางรางนี้ก็ไม่ไร้อุปสรรค ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทำให้บริษัทขนส่งในยุโรปหลายแห่งลังเลที่จะใช้เส้นทางที่ผ่านแดนรัสเซีย ขณะเดียวกัน การห้ามสินค้ากลุ่มเครื่องกลและอิเล็กทรอนิกส์ผ่านรัสเซีย ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากถูกยึด และยอดการขนส่งจีน-ยุโรปลดลงกว่า 22% ในช่วงต้นปี 2568

เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ จีนจึงหันมาผลักดันเส้นทาง “Middle Corridor” ซึ่งหลีกเลี่ยงรัสเซียโดยขนส่งผ่านทะเลแคสเปียน แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านสภาพอากาศและความล่าช้าในการตรวจสอบศุลกากร แต่ก็ยังถูกมองว่าเป็นทางเลือกสำรองที่มีศักยภาพในระยะยาว

สุดท้าย แม้ภูมิรัฐศาสตร์จะท้าทายแผนการของจีน แต่ “ฉงชิ่ง” ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคงในฐานะ “คลองสุเอซทางราง” ของเอเชีย ย้ำชัดว่าจีนพร้อมปรับตัวทุกมิติ เพื่อรักษาบทบาทผู้นำบนเวทีการค้าโลกในยุคที่ภูมิรัฐศาสตร์กลายเป็นตัวแปรสำคัญ

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250702-01

30 ก.ย. นี้ เริ่มใช้ “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” เชื่อมทุกสีทั่วกรุงเทพฯ ลงทะเบียนผ่านแอป “ทางรัฐ” ได้ตั้งแต่สิงหาคมนี้

กระทรวงคมนาคมเตรียมเดินหน้านโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 30 กันยายน 2568 โดยนายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เปิดเผยว่า โครงการนี้จะครอบคลุมรถไฟฟ้าทุกสายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งสายสีเขียว สีม่วง สีแดง สีชมพู สีเหลือง สีทอง สีน้ำเงิน และสายแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (ARL) เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพและส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากยิ่งขึ้น

สำหรับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิ์ จะต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ภายในเดือนสิงหาคม 2568 โดยกรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลัก พร้อมระบุบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตรโดยสารที่ต้องการใช้งานร่วมกับระบบรถไฟฟ้า หากไม่ลงทะเบียนภายในเวลาที่กำหนดหรือกรอกข้อมูลไม่ครบถ้วน จะไม่ได้รับสิทธิ์ค่าโดยสารราคาพิเศษนี้

สิทธิ์ในการใช้ “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” จะเชื่อมโยงกับระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ โดยประชาชนสามารถใช้บัตรที่ลงทะเบียนไว้ในการเดินทางได้ทันทีตั้งแต่วันที่ 30 กันยายนเป็นต้นไป โดยไม่จำกัดจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์ และยังเปิดรับการลงทะเบียนอย่างต่อเนื่องในภายหลัง สำหรับผู้ที่อาจพลาดช่วงแรก

แอปฯ “ทางรัฐ” รองรับทั้งระบบ iOS และ Android เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงได้อย่างสะดวกที่สุด โดยรัฐบาลตั้งเป้าว่าโครงการนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในเขตเมือง ลดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง และช่วยกระจายผู้โดยสารไปยังเส้นทางต่างๆ อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

โครงการนี้ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างระบบขนส่งมวลชนที่บูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชน ผ่านการใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบสิทธิ์อย่างแม่นยำและโปร่งใส ทั้งยังส่งสัญญาณเชิงบวกว่ารัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาค่าครองชีพอย่างเป็นรูปธรรม และใกล้ตัวประชาชนมากขึ้นในทุกๆ วัน

ที่มา - thansettakij

news-20250701-03

BOI ไฟเขียวลงทุนครั้งใหญ่! "Data Center - ขนส่งอากาศ" 2.8 หมื่นล้านบาท พร้อมหนุน "Local Content" ดันไทยสู่ศูนย์กลางดิจิทัล-โลจิสติกส์

คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนสองโครงการยักษ์ใหญ่ในภาคบริการ คือ กิจการ Data Center และ กิจการขนส่งทางอากาศ รวมมูลค่ากว่า 28,000 ล้านบาท ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทยให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การอนุมัติครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ แต่ยังรวมถึงการผลักดัน "มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content)" โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนหันมาใช้วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานระดับโลก และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจภายในประเทศ

ภายใต้มาตรการใหม่นี้ โครงการผลิต BEV ที่ใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่า 40%, PHEV ที่ใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่า 45% และชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศมากกว่า 15% ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด และได้รับการรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand: MiT) จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะได้รับสิทธิพิเศษจาก BOI

นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอยังได้ปรับปรุงประเภทกิจการบางประเภท โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเบาและกิจการที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ให้มีความรอบคอบมากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาสมดุลในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ และที่สำคัญคือมีการเห็นชอบให้จัดตั้ง "ทีมตรวจสอบพิเศษ" ซึ่งจะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยตรวจสอบการปฏิบัติตามเงื่อนไขของผู้ได้รับการส่งเสริมอย่างเข้มข้น เพื่อลดความเสี่ยงที่ไทยจะถูกมาตรการทางการค้าจากต่างประเทศในอนาคต

ที่มา - thansettakij

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us