News

L2D Page (18)

“ธรรมนัส” ประกาศชัด ไม่เห็นด้วยการนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ ที่ใช้สารเร่งเนื้อแดง

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าหมูจากสหรัฐอเมริกาที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง พร้อมยืนยันว่า “ผมสนใจเกษตรกรไทย” ซึ่งถือเป็นคำประกาศที่สร้างความมั่นใจและกำลังใจแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูในประเทศ

ประเทศไทยมีกฎหมายห้ามใช้และห้ามนำเข้าสารเร่งเนื้อแดงมานานกว่า 20 ปี ถือเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่ชัดเจน แต่ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลชุดก่อนมีข้อตกลงกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการนำเข้าหมู โดยแม้จะระบุว่าเป็นเพียงสัดส่วนไม่ถึงร้อยละหนึ่ง แต่ก็กลายเป็นประเด็นที่สังคมและเกษตรกรให้ความกังวลอย่างมาก

ประเด็นนี้จึงนับเป็นบททดสอบสำคัญว่ารัฐบาลภายใต้การนำของร้อยเอก ธรรมนัส จะเจรจากับสหรัฐฯ อย่างไร เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรไทยโดยไม่ให้กระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากการปฏิเสธการนำเข้าอาจทำให้สินค้าเกษตรประเภทอื่นของไทย เช่น ข้าว ผลไม้ และสินค้าประมง เผชิญมาตรการตอบโต้หรือกำแพงภาษีในตลาดโลกได้

อีกประเด็นที่ถูกจับตามองคือปัญหาการลักลอบนำเข้าหมูผิดกฎหมายในประเทศ แม้ที่ผ่านมาจะมีการจับกุมผู้กระทำผิด แต่ส่วนใหญ่เป็นเพียงผู้ค้ารายย่อย ขณะที่ผู้มีอิทธิพลหรือกลุ่มทุนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังยังไม่ถูกดำเนินการอย่างจริงจัง การจัดการปัญหานี้อย่างเด็ดขาดจึงเป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังจากรัฐบาลชุดปัจจุบัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าการประกาศไม่ยอมรับหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงจากต่างประเทศจะไม่กลายเป็นเพียงถ้อยคำทางการเมือง

นอกจากนี้ ภายในกระทรวงเกษตรฯ กำลังมีการจับตาความเคลื่อนไหวเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงหลังการเกษียณ โดยคาดว่าจะมีผู้ใหญ่ในวงการเกษตร 2 ราย กลับมารับตำแหน่งสำคัญอีกครั้ง ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อโครงสร้างการทำงานภายในกระทรวง

การประกาศจุดยืนของร้อยเอก ธรรมนัส ครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการปกป้องผู้เลี้ยงหมูไทยเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงสมดุลที่รัฐบาลต้องรักษาระหว่างการดูแลเกษตรกรภายในประเทศและการเจรจาความสัมพันธ์ทางการค้าบนเวทีระหว่างประเทศด้วย

L2D Page (17)

“ท่าเรือชินโจว กว่างซี: ศูนย์กลางการนำเข้าผลไม้จากอาเซียน สะท้อนกระแสความต้องการทุเรียนไทยในตลาดจีน”

ท่าเรือชินโจว ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทางตอนใต้ของจีน กำลังยกระดับบทบาทเป็นศูนย์กลางการนำเข้าผลไม้จากอาเซียนอย่างชัดเจน โดยในปีนี้มูลค่าการนำเข้าทุเรียนผ่านท่าเรือแห่งนี้พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 50 แสดงให้เห็นถึงความนิยมผลไม้จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เพิ่มสูงขึ้นในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน

หนิง เหยียน ผู้บริหารบริษัทกว่างซี หวงยี่ว์ อินเทอร์เนชั่นแนล ลอจิสติกส์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการนำเข้าผลไม้จากอาเซียน เปิดเผยว่า ความต้องการทุเรียนจากไทยและผู้ผลิตในภูมิภาคอื่น ๆ พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ส่งออกทุเรียนไทยสามารถจัดส่งทุเรียนหมอนทองคุณภาพพรีเมียม มูลค่ากว่า 20 ล้านหยวน หรือราว 90 ล้านบาท ไปยังจีนผ่านท่าเรือชินโจวในปีนี้ โดยทุเรียนส่วนใหญ่ถูกกระจายไปยังภูมิภาคเศรษฐกิจสำคัญอย่างสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีและสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียง

ท่าเรือชินโจวถือเป็นประตูสำคัญในการเชื่อมโยงจีนกับอาเซียน และยังเป็นศูนย์กลางของระเบียงการค้าเชื่อมทางบกและทางทะเลสายใหม่ เดิมเมื่อสิบปีก่อน ท่าเรือแห่งนี้มีปริมาณการขนส่งไม่ถึง 100 ล้านตันต่อปี แต่ด้วยศักยภาพการเติบโตที่สูง ทำให้ในปี 2560 ท่าเรือได้รับการกำหนดให้เป็นจุดนำเข้าผลไม้อย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ตัวเลขการนำเข้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

สถิติในปี 2567 ระบุว่า กว่างซีนำเข้าผลไม้จากอาเซียนกว่า 2.488 ล้านตัน มูลค่ากว่า 34,890 ล้านหยวน หรือประมาณ 157,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสามของการนำเข้าผลไม้ทั้งหมดจากภูมิภาคนี้ของจีน ปัจจุบันท่าเรือชินโจวได้กลายเป็นท่าเรือหลักสำหรับผลไม้อาเซียน โดยเพิ่มหมวดหมู่สินค้านำเข้าและส่งออกใหม่มากถึง 239 รายการ ปริมาณการขนส่งผ่านท่าเรือทะลุ 200 ล้านตัน ขณะที่การเชื่อมต่อระบบรถไฟและทางทะเลในรูปแบบ intermodal ขยายตัวมากกว่า 10,000 เที่ยว ครอบคลุมพื้นที่ทางการค้าใหม่อย่างกว้างขวาง มูลค่าการนำเข้าและส่งออกของเมืองและมณฑลตามแนวระเบียงการค้าผ่านท่าเรือแห่งนี้ยังเติบโตสูงถึงร้อยละ 31.3 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

จากพัฒนาการดังกล่าว ท่าเรือชินโจวจึงไม่เพียงเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งที่สำคัญของกว่างซี หากยังกลายเป็น “ศูนย์กลางผลไม้อาเซียน” ที่สะท้อนถึงโอกาสทางการค้าอันมหาศาล โดยเฉพาะทุเรียนไทยที่ยังคงครองความนิยมสูงสุดในตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง

L2D Page (16)

ส่งออกข้าว–มันสำปะหลังดิ่ง มูลค่าติดลบหนัก เหตุผลผลิตล้น-ราคาตลาดโลกกดดัน

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยสถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–สิงหาคม) ว่า การส่งออกข้าวยังคงเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก โดยมีปริมาณส่งออกเพียง 5.04 ล้านตัน ลดลงถึง 23.98% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีมูลค่า 2,987 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 99,061 ล้านบาท หดตัว 30.58% สาเหตุหลักมาจากหลายประเทศผู้ส่งออกและผู้นำเข้ามีผลผลิตเพิ่มขึ้นจนทำให้ปริมาณข้าวในตลาดโลกล้น ขณะที่ความต้องการซื้อกลับลดลง โดยเฉพาะผู้นำเข้าหลักอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่ชะลอการนำเข้า อีกทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าก็ยิ่งซ้ำเติมความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย

กรมการค้าต่างประเทศยังคงเร่งผลักดันการส่งออกข้าวเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด โดยเดินหน้าการเจรจากับคู่ค้าสำคัญอย่างญี่ปุ่นและจีน รวมทั้งการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐกับคอฟโกของจีนที่ยังคงเหลือสัญญาส่งออกอีก 280,000 ตัน นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการหารือกับผู้นำเข้าข้าวในฮ่องกง เพื่อขยายตลาดข้าวขาวและข้าวนึ่งไปยังอิรักและซาอุดีอาระเบีย โดยตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวทั้งปีที่ 7.5 ล้านตัน

สำหรับสินค้ามันสำปะหลัง ช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มีปริมาณการส่งออก 6.37 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 36.70% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ส่งออกเพียง 4.66 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกกลับลดลง เนื่องจากราคามันสำปะหลังในตลาดโลกลดลงตามแรงกดดันจากราคาข้าวโพดเลี้ยง โดยปีนี้มีมูลค่าส่งออกเพียง 69,888.12 ล้านบาท ลดลง 12.93% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีมูลค่า 80,266.47 ล้านบาท

กรมฯ ยืนยันว่าจะยังคงเดินหน้าแผนส่งเสริมการตลาดตลอดทั้งปี 2568 โดยมุ่งเน้นการเปิดตลาดใหม่ที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมต่อเนื่องหลายด้าน อาทิ อาหารสัตว์ อาหารคน เคมีภัณฑ์ กาว และกระดาษ โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะจัดคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนเดินทางไปเจรจาเชิงพาณิชย์ในญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน รวมถึงทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป เพื่อผลักดันการส่งออกมันสำปะหลังให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ที่ 7.5 ล้านตันในปีนี้

L2D Page (15)

ทรัมป์กดดันนำเข้า ขึ้นภาษีไม้ 10%–เฟอร์นิเจอร์ 25% หนุนการผลิตในประเทศ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าใหม่ โดยกำหนดอัตรา 10% สำหรับไม้ซุงเนื้ออ่อนและไม้แปรรูป และ 25% สำหรับตู้ครัว เคาน์เตอร์ห้องน้ำ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ไม้บุผ้า การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นมาตรการล่าสุดของทำเนียบขาวในการใช้ภาษีนำเข้าเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศสหรัฐอเมริกา

ภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคมเป็นต้นไป และมีแผนที่จะปรับเพิ่มภาษีบางส่วนเพิ่มเติมในวันที่ 1 มกราคมปีหน้า การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้เปิดการสอบสวนนำเข้าไม้และผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยอ้างอิงอำนาจตามมาตรา 232 ของพระราชบัญญัติการขยายการค้า ซึ่งเปิดทางให้ประธานาธิบดีสามารถกำหนดภาษีนำเข้าเพื่อปกป้องความมั่นคงแห่งชาติได้

มาตรการภาษีนำเข้าล่าสุดแตกต่างจากภาษีศุลกากรแบบตอบโต้หรือภาษีเฉพาะประเทศที่ทรัมป์เคยใช้ในอดีต เพราะครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางกฎหมายมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ศาลฎีกากำลังพิจารณาคดีซึ่งอาจนำไปสู่การเพิกถอนภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ของรัฐบาลก่อนหน้า เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารจึงกำลังเตรียมระบบทางเลือกเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว

การประกาศขึ้นภาษีครั้งนี้นับเป็นอีกแรงกดดันต่อผู้ส่งออกไม้และเฟอร์นิเจอร์ทั่วโลก และมีแนวโน้มจะสร้างแรงกระเพื่อมต่ออุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างและการตกแต่งภายในสหรัฐฯ ในขณะที่รัฐบาลทรัมป์ย้ำว่ามาตรการนี้เป็นก้าวสำคัญในการลดการพึ่งพาการนำเข้าและกระตุ้นการจ้างงานในประเทศ

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us