News

L2D Page (137)

สภาธุรกิจไทย-เมียนมา (TMBC) ลงนามความร่วมมือ กับ 3 สมาคมในเมียนมา ได้แก่ TBAM, MTBC, MIFFA

สภาธุรกิจไทย-เมียนมา (TMBC) ได้ลงนามความร่วมมือกับสามสมาคมสำคัญของเมียนมา ได้แก่ สมาคมนักธุรกิจไทยในเมียนมา (TBAM), สภาธุรกิจเมียนมา-ไทย (MTBC) ภายใต้สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมเมียนมา (UMFCCI) และสมาคมผู้ประกอบการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศของเมียนมา (MIFFA) โดยพิธีลงนามจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18–19 พฤศจิกายน 2568 ณ กรุงย่างกุ้ง ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือภาคเอกชนไทย–เมียนมาในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

การลงนามครั้งนี้มุ่งส่งเสริมการค้าการลงทุน เพิ่มช่องทางความร่วมมือ และสร้างกลไกแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจของทั้งสองฝ่าย โดยทั้งสี่องค์กรเห็นพ้องที่จะจัดประชุมคณะกรรมการร่วมอย่างน้อยปีละสองครั้ง รวมถึงร่วมกันจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมธุรกิจ การค้า การขนส่ง และการลงทุน เพื่อพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจร่วมกันในระยะยาว

ในเชิงผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็น “โอกาสเชิงกลยุทธ์” สำหรับผู้ประกอบการไทย เนื่องจากช่วยสร้างช่องทางสื่อสารกับภาคเอกชนเมียนมาโดยตรง ทำให้สามารถติดตามทิศทางตลาด ความต้องการสินค้า และแนวทางพัฒนาธุรกิจได้แม่นยำขึ้น พร้อมทั้งช่วยเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มโอกาสการเจรจาและการจับคู่ธุรกิจในอนาคต ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการขยายการค้าและการลงทุนของไทยในเมียนมาอย่างมีนัยสำคัญ

แม้เมียนมาจะยังมีความท้าทายหลายด้าน ทั้งสถานการณ์ภายในประเทศ ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบการนำเข้า การขอใบอนุญาตนำเข้า (Import License) การจับคู่กับรายได้ส่งออก (Export Earning) รวมถึงปัญหาการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ แต่ตลาดเมียนมายังคงมีศักยภาพสูง เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าไทยและให้ความนิยมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ระบบขนส่งบางเส้นทางที่ได้รับผลกระทบ เช่น ด่านเมียวดี–แม่สอด (สะพานมิตรภาพ 2) ที่ปิดชั่วคราวตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 ยังสามารถใช้เส้นทางทดแทนได้ เช่น ท่าเรือระนอง–ย่างกุ้ง ท่าเรือแหลมฉบัง–ย่างกุ้ง หรือด่านแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก เพื่อให้การค้าไม่สะดุด

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง (สคต.ย่างกุ้ง) ยืนยันพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาด ฝ่าความท้าทายด้านกฎระเบียบและสถานการณ์ พร้อมผลักดันให้ธุรกิจไทยสามารถใช้ประโยชน์จากความร่วมมือครั้งนี้ได้อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างการเติบโตของการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและเมียนมาอย่างยั่งยืนในระยะต่อไป.

L2D Page (136)

ครม. เศรษฐกิจเคาะแล้ว“คนละครึ่งพลัสเฟส 2”

ครม.เศรษฐกิจไฟเขียว “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” ควบคู่เปิดรอบใหม่บัตรสวัสดิการรัฐ เตรียมชง ครม. พรุ่งนี้ พร้อมเดินหน้าแพ็กเกจออมลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท

การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความคืบหน้าอย่างสำคัญ หลังในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบ “โครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2” พร้อมทั้งโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ โดยทั้งสองมาตรการเตรียมนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (9 ธ.ค. 2568)

นอกจากมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายแล้ว ที่ประชุมยังรับทราบความก้าวหน้าและเห็นชอบในหลักการของมาตรการ “Quick Big Win” ซึ่งมุ่งเสริมสร้างฐานะทางการเงินและโอกาสการออมของประชาชน ผ่านแนวคิดการออมรูปแบบใหม่ที่กระทรวงการคลังเตรียมนำเสนอให้ ครม. พิจารณาในวันเดียวกัน โดยมาตรการนี้จะช่วยขยายทางเลือกด้านการออมให้หลากหลายขึ้น เพิ่มแรงจูงใจให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง สามารถวางแผนการเงินเพื่อชีวิตหลังเกษียณได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐในด้านสวัสดิการผู้สูงอายุในระยะยาว

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า รูปแบบการออมที่เสนอครั้งนี้อ้างอิงจากการศึกษาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้โมเดล Individual Saving Account (ISA) ที่เปิดโอกาสให้ผู้เสียภาษีเลือกลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยง ทั้งหลักทรัพย์ หุ้น พันธบัตร หรือผลิตภัณฑ์การเงินอื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดจะถูกรวมเป็นเพดานลดหย่อนภาษีร่วมกับรายการออมเพื่อเกษียณที่มีอยู่เดิม เช่น TISA, RMF, SSF, เบี้ยประกันชีวิต–สุขภาพ และดอกเบี้ยบ้าน โดยทุกประเภทจะถูกรวมกันภายใต้เพดาน 800,000 บาทต่อปี

ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ผลของนโยบาย Quick Big Win ได้ส่งแรงกระเพื่อมเชิงบวกต่อเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยดัชนีความเชื่อมั่นทั้งสามกลุ่มหลักล้วนฟื้นตัว ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภูมิภาคที่ขยับจากระดับ 65.9 ในเดือนกันยายนขึ้นสู่ 71.1 ในเดือนตุลาคม ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นจาก 50.7 มาอยู่ที่ 53.2 ในเดือนพฤศจิกายน และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ SMEs ปรับตัวดีขึ้นจาก 48.0 ในเดือนกันยายนแตะระดับ 53.2 ในเดือนพฤศจิกายน

การประชุมในครั้งนี้จึงถือเป็นสัญญาณเชิงรุกของรัฐบาลในการเดินหน้าทั้งมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อและการสร้างเสถียรภาพทางการเงินระยะยาว ซึ่งจะถูกตัดสินชี้ขาดโดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ว่าจะเริ่มเดินหน้าอย่างเป็นทางการภายในช่วงต้นปีหน้าหรือไม่

L2D Page (135)

หาดใหญ่อ่วม ยอดจองปีใหม่หายเกือบ 100% เศรษฐกิจพังเฉียดหมื่นล้าน

หาดใหญ่เผชิญวิกฤตท่องเที่ยวหนัก ยอดจองปีใหม่หายเกือบทั้งหมด ขยะล้นเมือง–ฟื้นตัวล่าช้า เสี่ยงความเสียหายแตะหมื่นล้านบาท

สถานการณ์หลังน้ำท่วมใหญ่ในอำเภอหาดใหญ่ยังคงทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้ทั่วเมือง แม้ว่าน้ำจะลดลงและธุรกิจหลายแห่งเริ่มกลับมาเปิดให้บริการ แต่บรรยากาศโดยรวมยังห่างไกลจากภาวะปกติ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงกว่าที่คาด เมื่อยอดจองช่วงเทศกาลปีใหม่ถูกยกเลิกแทบทั้งหมด ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ชะงักงันเกือบทั้งเมือง

นายสิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่–สงขลา เปิดเผยว่า แม้หลายฝ่ายคาดหวังให้เมืองหาดใหญ่ฟื้นตัวทันช่วงไฮซีซั่นปลายปี แต่ปัญหาขยะและตะกอนโคลนที่ถูกน้ำท่วมพัดมากองตามพื้นที่ต่าง ๆ กลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ขยะจำนวนมหาศาลยังคงตกค้าง ส่งกลิ่นเหม็นและเสี่ยงต่อการระบาดของเชื้อโรค ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับมาได้ แม้โรงแรม ร้านอาหาร และบริการอื่น ๆ จะกลับมาเปิดให้บริการแล้ว แต่ภาพรวมเมืองยังไม่พร้อมรองรับผู้มาเยือน

เขาระบุว่า สิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้คือการเร่งเก็บและกำจัดขยะออกจากพื้นที่ชุมชน หากรัฐบาลตั้งกรอบทำความสะอาดให้แล้วเสร็จภายในเจ็ดวัน ก็ต้องทำให้ได้จริง เพราะธุรกิจทุกภาคส่วนต้องอาศัยความชัดเจนเพื่อวางแผนการฟื้นตัวต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินจากสภาพพื้นที่จริง ปริมาณขยะและตะกอนโคลนที่ท่วมเมืองจำนวนมากทำให้ยังไม่มั่นใจว่าการทำความสะอาดจะแล้วเสร็จตามกำหนด ส่งผลให้หาดใหญ่เสี่ยงเสียโอกาสทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม

ผลกระทบครั้งนี้ยังลามไปถึงกิจกรรมระดับประเทศ อย่างการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ปี 2025 ที่เดิมมีชื่อจังหวัดสงขลาเป็นเจ้าภาพบางรายการ แต่ต้องย้ายไปจัดที่กรุงเทพฯ แทน เพราะเมืองยังไม่พร้อม เป็นตัวอย่างความเสียหายที่มิใช่เพียงแค่ทรัพย์สิน แต่เป็นภาพลักษณ์และโอกาสทางเศรษฐกิจที่สูญเสียไป

เบื้องต้นสมาคมประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจจากน้ำท่วมและผลกระทบต่อการท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นเหตุจนถึงเดือนธันวาคมอยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท และอาจพุ่งขึ้นแตะ 10,000 ล้านบาท หากการฟื้นฟูไม่แล้วเสร็จภายในต้นปีหน้า ส่วนความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนและกิจการ โดยเฉพาะโรงแรม คาดว่ามีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท และยังไม่รวมธุรกิจบริการอื่น ๆ ที่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างหนัก

ด้านการท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ซึ่งปกติถือเป็นคีย์ซีซั่นสร้างรายได้สำคัญให้เมือง ถูกกระทบเต็มแรง ยอดจองห้องพักถูกยกเลิกเกือบทั้งหมดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วงเดียวกันถือว่าเต็มแทบทั้งเมือง บรรยากาศในตัวจังหวัดจึงยังคงเงียบเหงา แม้บางกลุ่มลูกค้ายังไม่ยกเลิกการจองทันที แต่ส่วนใหญ่กำลังรอดูสถานการณ์ และมีแนวโน้มจะยกเลิกเพิ่มเติมเนื่องจากภาพรวมเมืองยังไม่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว

นายสิทธิพงษ์ย้ำว่า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ การเร่งฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับมาสะอาดและปลอดภัยคือกุญแจสำคัญต่อการฟื้นตัวทั้งระบบ หากยังปล่อยให้ขยะกองสูงตามถนนและชุมชน เมืองย่อมไม่สามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ และความเสียหายทางเศรษฐกิจจะยืดเยื้อเกินกว่าที่ควรเป็น พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง เพื่อหยุดความเสียหายไว้ที่ระดับปัจจุบัน ก่อนที่หาดใหญ่จะสูญเสียโอกาสสำคัญอีกหลายเดือนข้างหน้า

L2D Page (134)

“สังคมสูงวัย” พลิกโครงสร้างเศรษฐกิจ หนุนธุรกิจแพทย์–ดูแลผู้สูงอายุ

โลกก้าวสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ นักเศรษฐศาสตร์เตือนแรงกดดันระบบบำนาญ ไทยเสี่ยงหนักกว่าหลายประเทศ พร้อมชี้โอกาสธุรกิจแพทย์–ดูแลผู้สูงอายุโตแรง
นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์เตือนว่าโครงสร้างประชากรโลกกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า โดยภายในปี 2593 หรือปี 2050 จำนวนประชากรอายุเกิน 60 ปีทั่วโลกจะพุ่งขึ้นกว่า 2,100 ล้านคน คิดเป็นราวหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมด แนวโน้มนี้กำลังกดดันระบบบำนาญและสวัสดิการของหลายประเทศซึ่งเริ่มเผชิญปัญหาความยั่งยืนทางการเงิน นักเศรษฐศาสตร์จึงเสนอให้เร่งปฏิรูประบบบำนาญและเตรียมปรับรูปแบบการทำงาน รวมถึงการขยายอายุเกษียณให้สอดรับกับความเป็นจริงใหม่ของสังคมสูงวัย

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า สถานการณ์ของไทยมีความรุนแรงมากกว่าค่าเฉลี่ยโลก เนื่องจากสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นรวดเร็ว ขณะที่จำนวนประชากรวัยทำงานลดลงอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ปัญหาขาดแคลนแรงงานและความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น

อัตราส่วนการพึ่งพิงผู้สูงอายุของไทยเพิ่มจาก 10.7% ในปี 2537 ขึ้นมาอยู่ที่ 31.1% ในปี 2567 หมายความว่าประชากรวัยทำงานทุก 100 คน ต้องรับภาระดูแลผู้สูงอายุถึง 31 คน ระดับดังกล่าวสะท้อนแรงกดดันต่อระบบเศรษฐกิจและสวัสดิการในระยะยาว และจะยิ่งรุนแรงขึ้นหากไม่มีการปรับปรุงระบบบำนาญและการออมเพื่อวัยเกษียณ

แม้โครงสร้างประชากรสูงวัยจะสร้างภาระต่อระบบเศรษฐกิจ แต่ในอีกด้านหนึ่งยังเปิดโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาตนเองเป็นศูนย์กลางบริการแพทย์และการดูแลผู้สูงอายุในภูมิภาค ซึ่งอาจกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญในอนาคต หากการพัฒนาเดินควบคู่ไปกับการสร้างระบบสวัสดิการที่เพียงพอสำหรับผู้สูงอายุในประเทศ

งานศึกษาทางเศรษฐศาสตร์เปรียบเทียบระหว่างประเทศชี้ว่าคุณภาพสุขภาพของประชากรเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยพบว่าเมื่ออายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10% สามารถช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตเพิ่มขึ้น 0.3–0.4% ต่อปี ประเทศที่มีอายุขัยเฉลี่ยสูงมักเติบโตได้ดีกว่าประเทศที่สุขภาพประชากรอ่อนแออย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในระบบสาธารณสุข บริการแพทย์ และการดูแลผู้สูงอายุจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสร้าง “เศรษฐกิจผู้สูงอายุ” หรือ Longevity Economy ซึ่งกำลังก่อกำเนิดขึ้นทั่วโลกและจะเป็นแหล่งสร้างงานและรายได้รูปแบบใหม่ในอนาคต

การปฏิรูประบบสวัสดิการและสถาบันทางเศรษฐกิจให้รองรับสังคมสูงวัยจึงมีความสำคัญกว่ามาตรการระยะสั้น โดยเฉพาะการยกระดับระบบการออมเพื่อวัยชรา การขยายฐานสมาชิกประกันสังคมมาตรา 40 และการพิจารณาขยายอายุเกษียณในภาคเอกชน ซึ่งเป็นทิศทางที่หลีกเลี่ยงได้ยาก นอกจากนี้ การสร้างระบบสวัสดิการสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย ควบคู่กับการพัฒนาระบบการออมหลังเกษียณ จะช่วยลดความเสี่ยงความยากจนในวัยชรา ลดภาระทางการคลังของรัฐ และเพิ่มพื้นที่ให้รัฐบาลลงทุนด้านการศึกษาและสุขภาพได้มากขึ้น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการยกระดับคุณภาพทรัพยากรมนุษย์และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว

งานศึกษาของ D.W. Dunlop ยังชี้ว่าการยกระดับสุขภาพประชากรผ่านการลงทุนด้านโภชนาการ การศึกษา และการลดมลพิษ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศได้อย่างชัดเจน ขณะที่การวิจัยของ C.E. Phelps พบว่ารายได้ต่อหัวที่สูงขึ้นทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพและการศึกษาที่มีคุณภาพมากขึ้น และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและรายได้ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us