News

news-20250526-03

รฟท. เตรียมเปิดหวูดทางคู่ “ลพบุรี-ปากน้ำโพ” เสริมแกร่งการเดินทางสายเหนือ เชื่อมเศรษฐกิจ-ขนส่ง-ท่องเที่ยวครบวงจร

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เดินหน้าผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบรางสมัยใหม่เต็มรูปแบบ โดยล่าสุดเตรียมเปิดให้บริการ “รถไฟทางคู่” ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กิโลเมตร อย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนาเครือข่ายระบบรางสายเหนือ เพื่อรองรับการเดินทางที่รวดเร็ว ปลอดภัย และทันสมัยยิ่งขึ้น

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ รฟท. เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจความพร้อมว่า ในช่วงแรกจะเปิดให้บริการ 5 ขบวน พร้อมเปลี่ยนตารางเวลาเดินรถใหม่ โดยยังใช้เส้นทางผ่านสถานีลพบุรี 1 ก่อนจะเปลี่ยนเข้าสู่ “สถานีลพบุรี 2” ซึ่งอยู่ขนานกับถนนหมายเลข 366 ในวันที่ 5 ธันวาคม 2568 พร้อมเปิดใช้งานระบบอาณัติสัญญาณ “E-Token” อัจฉริยะ ซึ่งไทยนับเป็นประเทศแรกในโลกที่นำระบบนี้มาใช้จริง

จุดเด่นสำคัญของเส้นทางนี้คือ “ทางรถไฟยกระดับ” ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดยยกระดับจากสถานีบ้านกลับ จังหวัดสระบุรี ไปจนถึงสถานีโคกกระเทียม จังหวัดลพบุรี ระยะทางกว่า 19 กิโลเมตร สูงเฉลี่ย 10-20 เมตร ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มความเร็วในการเดินทาง แต่ยังลดผลกระทบต่อชุมชนและการจราจรในพื้นที่

เมื่อโครงการรถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพเปิดใช้งาน จะสามารถลดระยะเวลาการเดินทางจากเดิมที่ใช้เวลาราว 4-5 ชั่วโมง เหลือเพียง 3-4 ชั่วโมง และหากเปิดใช้โครงการเฟส 2 จากปากน้ำโพถึงเชียงใหม่ได้ครบถ้วน ก็จะยิ่งลดเวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่จากกว่า 14 ชั่วโมง เหลือเพียงราว 7 ชั่วโมงครึ่ง หากใช้รถไฟที่มีสมรรถนะสูง

ทั้งนี้ โครงการรถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญาหลัก ครอบคลุมทั้งเส้นทางระดับพื้น ยกระดับ ระบบสถานีใหม่ ศูนย์ควบคุมการเดินรถ และคลังสินค้าที่สถานีเขาทอง โดยมีสถานีหลักรวม 19 แห่ง และจุดหยุดรถอีก 5 จุด ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์แบบครบวงจร

นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางแล้ว เส้นทางรถไฟสายใหม่นี้ยังมีความหมายต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมอย่างมาก เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมต่อสู่โครงข่ายรถไฟทางคู่สายเหนือเฟสถัดไป ตั้งแต่ปากน้ำโพ-เด่นชัย และเด่นชัย-เชียงใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนขออนุมัติโครงการ โดยหากทั้งระบบเสร็จสมบูรณ์ จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของระบบรางเดี่ยวเดิม เพิ่มความตรงต่อเวลา ลดการรอหลีกทาง และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์และท่องเที่ยวได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในอนาคต รฟท. ยังวางแผนเชื่อมการเดินทางระหว่างสถานีลพบุรี 1 และลพบุรี 2 ด้วยระบบรถเชื่อมต่อ (Feeder) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงให้สถานีลพบุรี 1 ทำหน้าที่รองรับขบวนรถท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง

การเปิดหวูดรถไฟทางคู่ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทย ในการขับเคลื่อนประเทศด้วยระบบรางสมัยใหม่ที่เชื่อมโยงทั้งคน เมือง และเศรษฐกิจ เข้าด้วยกันอย่างยั่งยืน

ที่มา - thaipost

news-20250526-02

ส่งออกไทยเมษายนโตแรง 10.2% สะท้อนเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง - จับตาครึ่งปีหลังเจอแรงเสี่ยงภาษีสหรัฐ

การส่งออกของไทยในเดือนเมษายน 2568 ยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยขยายตัว 10.2% คิดเป็นมูลค่า 25,625.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 857,700 ล้านบาท ถือเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันที่การส่งออกขยายตัว สะท้อนถึงศักยภาพของภาคเศรษฐกิจไทยที่ยังแข็งแกร่ง แม้จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่เริ่มส่งแรงกดดันเข้ามา

หากตัดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัยออก การส่งออกยังเติบโตถึง 7.1% โดยกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรมยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ สินค้าสำคัญที่มีการเติบโต อาทิ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยาง แผงวงจรไฟฟ้า และอัญมณี (ไม่รวมทองคำ) ซึ่งหนุนให้ภาพรวม 4 เดือนแรกของปีนี้การส่งออกขยายตัว 14% หรือ 12.1% หากไม่รวมสินค้าในกลุ่มพิเศษ

ตลาดส่งออกหลักยังคงเติบโตได้ดี ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อาเซียน และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะอาเซียนที่โตต่อเนื่อง 2 เดือนที่ 7.8% เอเชียใต้โต 8.7% สหภาพยุโรปขยายตัว 6.1% และญี่ปุ่น 5.5% ส่วนจีนโต 3.2% ติดต่อกันถึง 7 เดือนแล้ว

ในด้านการค้า กระทรวงพาณิชย์เตรียมเปิดฉากเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรปอย่างจริงจัง หวังสรุปภายในสิ้นปี 2568 โดยรมว.พาณิชย์ เตรียมเข้าพบกรรมาธิการการค้าของอียู และองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพื่อเร่งให้การเจรจาเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเปิดประตูโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในขณะเดียวกัน นายพิชัยยังระบุว่า การเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อให้ไทยได้รับสิทธิทางภาษีเท่าเทียมกับประเทศอื่นๆ คืบหน้าไปมาก และอาจได้ข้อสรุปภายใน 90 วันข้างหน้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทยในตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ด้านนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า แม้การส่งออกจะเติบโต แต่การนำเข้าก็ขยายตัวแรงเช่นกัน โดยเดือนเมษายนมีมูลค่า 28,946.4 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 16.1% ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 3,321.3 ล้านดอลลาร์ สำหรับช่วง 4 เดือนแรกของปี การนำเข้ารวมอยู่ที่ 109,397.8 ล้านดอลลาร์ ขาดดุลการค้าสะสมที่ 2,240.3 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรอุตสาหกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ 8.4% แม้สินค้าบางกลุ่มยังเติบโตได้ เช่น ยางพารา ไก่แปรรูป น้ำตาล และอาหารสัตว์เลี้ยง แต่สินค้าหลักอย่างข้าว ผลไม้สด และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังยังคงติดลบอย่างต่อเนื่อง

ตรงกันข้ามกับสินค้าอุตสาหกรรมที่ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง 16.6% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 สะท้อนถึงแนวโน้มการผลิตเพื่อส่งออกที่ยังมีแรงหนุน แม้สินค้าบางกลุ่มเริ่มชะลอตัว เช่น รถยนต์ เครื่องจักรกล และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางประเภท

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งออกในทุกมิติ ทั้งการกระจายตลาด การเร่งเจรจา FTA และการลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้า เพื่อให้ไทยสามารถรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจไว้ได้ แม้จะเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลังที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น

ที่มา - thaipbs

news-20250526-01

ทรัมป์เลื่อนเส้นตายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าอียู 50% ออกไปถึง 9 ก.ค. หวังเจรจาคลี่คลายตึงเครียด

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขยายเส้นตายการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปเป็น 50% ออกไปจนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 หลังหารือทางโทรศัพท์กับอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป โดยเขาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวระหว่างเดินทางกลับกรุงวอชิงตันว่า “เราได้พูดคุยกันอย่างดี และผมตกลงที่จะเลื่อนการเจรจาออกไป”

ฟอน แดร์ ไลเอิน เองก็โพสต์ข้อความในวันเดียวกันผ่านแพลตฟอร์ม X ว่ายุโรปพร้อมเจรจาอย่างเร่งด่วนและเด็ดขาด โดยย้ำว่า “ข้อตกลงที่ดี ต้องใช้เวลา” พร้อมชี้ว่าช่วงเวลาแห่งความผ่อนปรนนี้จะสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่การพักชั่วคราวในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าระดับ 10% จะครบ 90 วัน

เดิมที ทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอียูเป็น 50% ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนนี้ โดยให้เหตุผลว่าสหภาพยุโรปดำเนินการเจรจาการค้าล่าช้าและออกกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นธรรมกับบริษัทอเมริกัน ซึ่งการขู่ขึ้นภาษีรอบนี้ครอบคลุมมูลค่าการค้าระหว่างสองฝ่ายสูงถึง 321,000 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะกระทบเศรษฐกิจสหรัฐราว 0.6% พร้อมดันราคาสินค้าให้พุ่งขึ้นกว่า 0.3% ตามการวิเคราะห์ของ Bloomberg

แม้สหภาพยุโรปจะพยายามเสนอข้อตกลงใหม่ที่ครอบคลุมทั้งภาษีศุลกากรและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี เช่น กฎระเบียบภายในประเทศ หรือขั้นตอนทางกฎหมายของแต่ละชาติสมาชิก แต่ทรัมป์ยังคงย้ำว่า ปัญหาหลักอยู่ที่ “อุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี” และการเจรจากับกลุ่มประเทศแบบสหภาพยุโรปนั้น “ซับซ้อนและล่าช้า”

เจ้าหน้าที่สหรัฐบางราย เช่น ไมเคิล ฟอลเคนเดอร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยังมองว่าความท้าทายในการเจรจาอยู่ที่การต้องดีลทั้งในระดับกลุ่มประเทศและประเทศรายบุคคล ซึ่งยิ่งทำให้กระบวนการยุ่งยากมากขึ้น

นอกจากการขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไปแล้ว ทรัมป์ยังเคยกล่าวถึงการขึ้นภาษีนำเข้าสมาร์ตโฟนจากบริษัทอย่าง Apple และ Samsung เพิ่มอีก 25% เพื่อกดดันให้บริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตกลับมาสู่สหรัฐ แต่ล่าสุดก็แสดงท่าทีผ่อนปรนมากขึ้น โดยกล่าวเห็นด้วยกับรัฐมนตรีคลังสหรัฐ สก็อตต์ เบสเซนต์ ว่าสหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องดึงอุตสาหกรรมสิ่งทอกลับมา เช่น การผลิตรองเท้าผ้าใบหรือเสื้อยืด แต่ควรเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมหลักที่มีศักยภาพสูง อย่างชิปคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ทางทหาร และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

บรรยากาศการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับอียูยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทว่าอย่างน้อยการขยายเส้นตายในครั้งนี้ก็ช่วยเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายเดินหน้าเจรจาเพื่อหาจุดลงตัว ลดแรงกดดันต่อตลาดโลก และรักษาสมดุลของห่วงโซ่อุปทานในระยะสั้นไว้ได้อีกระยะหนึ่ง

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250523-02

อสังหาฯ ไทยติดเครื่องยนต์ใหม่ แห่บุก “โลจิสติกส์-คลังสินค้า-นิคมสีเขียว” รับคลื่นอุตสาหกรรมแสนล้าน

ในขณะที่เศรษฐกิจโลกผันผวนและตลาดที่อยู่อาศัยในไทยชะลอตัวลงอย่างหนัก กลุ่มบิ๊กอสังหาริมทรัพย์ไทยกลับเร่งเดินหน้าหา “เครื่องยนต์ใหม่” เพื่อกระจายความเสี่ยงและต่อยอดการเติบโต โดยหันมาจับธุรกิจโลจิสติกส์ คลังสินค้า และนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการสูงในยุคอีอีซีเฟสใหม่ โดยเฉพาะตามแนวโครงข่ายเศรษฐกิจสำคัญอย่างโซนบางนา-ตราด ที่กำลังกลายเป็น “เกตเวย์” เชื่อมกรุงเทพฯ สู่เมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

ล่าสุด บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเกมรุกสู่ธุรกิจโลจิสติกส์สีเขียว ด้วยการร่วมทุนกับยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น “มิตซูบิชิ โลจิสติคส์” พัฒนาโครงการ “SENA MLC 1” คลังสินค้าและโรงงานขนาดใหญ่ย่านบางนา กม.23 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มิตซูบิชิ โลจิสติคส์ เข้ามาร่วมทุนกับภาคเอกชนไทย ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานโลจิสติกส์ไทยให้เข้าสู่ระดับสากล

ขณะเดียวกัน บมจ. มั่นคงเคหะการ ก็ประกาศลงทุนกว่า 6,500 ล้านบาท พัฒนานิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ย่านบางนา-ตราด กม.19 บนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ โดยจับมือกับกลุ่มบีทีเอสและบริษัทในเครือ พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ ที่เชี่ยวชาญธุรกิจนิคมโดยเฉพาะ พร้อมปิดฉากพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อมุ่งสู่ธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว

แสนสิริเองก็ไม่รอช้า ร่วมทุนกับพรอสเพคฯ ตั้งบริษัทร่วมทุน “บีเอฟทีแซด บางปะกง” พัฒนาพื้นที่คลังสินค้ากว่า 1 แสนตารางเมตร ด้วยเงินลงทุน 500 ล้านบาท ตอบโจทย์กลุ่มอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่กำลังมองหาพื้นที่คลังใกล้โซนอุตสาหกรรมใหญ่

ส่วนยักษ์ใหญ่อย่าง เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ภายใต้การนำของ “ปณต สิริวัฒนภักดี” ได้เดินหน้าพัฒนา “อารยะ ดิ อิสเทิร์น เกตเวย์” บนพื้นที่กว่า 4,600 ไร่ย่านบางนา-ตราด กม.32 ร่วมกับสวนอุตสาหกรรมโรจนะและนิคมเอเชีย มุ่งสร้างเมืองนวัตกรรมและอุตสาหกรรมครบวงจร ด้วยงบเฟสแรกกว่า 2 หมื่นล้านบาท และเริ่มมีนักลงทุนต่างชาติทยอยซื้อที่ดินแล้ว

อีกด้านหนึ่ง SC Asset ภายใต้ตระกูลชินวัตร เปิดตัว “SCX” บริษัทลูกใหม่ ลุยธุรกิจคลังสินค้าร่วมกับ Flash Group พร้อมดึง “โตเกียว ทาเทโมโนะ” ยักษ์อสังหาฯ จากญี่ปุ่นเข้าร่วมทุนในสองทำเลทอง คือ บางนา-ตราด กม.20 และแหลมฉบัง เพื่อรองรับดีมานด์จากอีคอมเมิร์ซและอุตสาหกรรมยานยนต์

Origin Property ก็ขยายฐานผ่านการร่วมทุนกับ JWD พัฒนาโครงการคลังสินค้าบนถนนพหลโยธิน กม.33 โดยมี Tokyu Land Asia เข้าร่วมลงทุนด้วย เป้าหมายคือสร้างคลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่ากว่า 1 ล้านตารางเมตรในระยะยาว

ฝั่งของ Pruksa ก็ร่วมกับ Capitaland SEA และ Mitsui O.S.K. Lines จัดตั้งกองทุน CapitaLand SEA Logistics Fund เพื่อพัฒนาอาคารคลังสินค้าให้เช่าทั้งในไทยและอาเซียน ด้วยเงินทุนเริ่มต้นกว่า 10,000 ล้านบาท

ไม่เว้นแม้แต่ Singha Estate ที่พัฒนา “นิคมอุตสาหกรรมเอส อ่างทอง” บนพื้นที่กว่า 1,700 ไร่ เพื่อรองรับการลงทุนของกลุ่มอุตสาหกรรมในอนาคต

นายสุรเชษฐ กองชีพ จาก Cushman & Wakefield ประเทศไทย สะท้อนว่า การที่กลุ่มอสังหาฯ หันมารุกธุรกิจโลจิสติกส์ เป็นเพราะยังเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมไทย แม้ต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ แต่ไทยและอาเซียนยังถือเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนที่มองหาสาธารณูปโภคที่พร้อมและการเชื่อมต่อภูมิภาคที่มีประสิทธิภาพ

เมื่อผสานกับความต้องการของผู้ผลิตและซัพพลายเชนยุคใหม่ โอกาสในธุรกิจโลจิสติกส์จึงไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” ของธุรกิจอสังหาฯ อีกต่อไป แต่คือ “ทางรอด” และ “ทางรวย” ที่ทุกคนกำลังเร่งปักหมุดครองตลาด

ที่มา - thansettakij

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us