News

สองสมาคมเกษตรกรค้านนำเข้าหมูสหรัฐฯ วอนรัฐอย่าเปิดทางสารเร่งเนื้อแดง เตรียมนำม็อบ 5,000 คนกดดัน รมว.สาธารณสุข

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมโคเนื้อแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้เข้าพบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านการนำเข้าหมูจากสหรัฐอเมริกา ภายใต้เงื่อนไขภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเปิดทางให้มีการนำเข้าหมูที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง ซึ่งเคยถูกห้ามภายใต้กฎหมายไทย

นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังรับหนังสือร้องเรียนจากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติว่า ขณะนี้ได้มีการนัดหารือกับทางสมาคม เพื่อพิจารณาข้อกังวลที่เกิดจากผลกระทบของมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ โดยย้ำว่าทุกการเจรจาจะยึดผลประโยชน์ของเกษตรกรไทยเป็นหลัก และจะต้องไม่สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเกษตรกรรมภายในประเทศ พร้อมยืนยันว่าไทยยังคงให้ความสำคัญกับมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยของผู้บริโภค

ทั้งนี้ แม้จะมีท่าทีว่ารัฐบาลอาจเปิดตลาดสินค้าสุกรให้สหรัฐฯ ในสัดส่วนประมาณ 1% ของการบริโภคในประเทศ แต่ทั้งสองสมาคมยังคงคัดค้านอย่างหนัก โดยเฉพาะในประเด็นของการเปิดทางให้มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง ซึ่งถูกห้ามโดยกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข (ประกาศฉบับที่ 269 พ.ศ. 2546) เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้บริโภคและอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยอย่างรุนแรง

นายสุรชัย เปี่ยมคล้า เลขานุการสมาคมโคเนื้อแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สมาคมต้องการคำชี้แจงจากรัฐบาลเกี่ยวกับผลกระทบจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่ไทยต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตรา 19% ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างทันที รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 450,000-500,000 ล้านบาท โดยเฉพาะภาคการเลี้ยงโคเนื้อที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ทั้งที่ไทยมีวัวเลี้ยงอยู่ถึง 10 ล้านตัว

เขาระบุเพิ่มเติมว่า หากสหรัฐฯ สามารถส่งเนื้อวัวเข้ามาในไทยโดยไม่เสียภาษีนำเข้า ก็จะทำให้ราคาเนื้อในประเทศตกต่ำยิ่งขึ้น ขณะที่ภาคเกษตรกรรมไทยต้องเผชิญราคาตกต่ำติดต่อกันมากว่า 3 ปี และยังไม่มีทิศทางฟื้นตัวที่ชัดเจน แม้ว่ารัฐบาลพยายามเร่งผลักดันการส่งออกก็ตาม อีกทั้งยังมีความกังวลว่ารัฐบาลจะปลดล็อกกฎหมายห้ามปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและครอบครัวกว่า 2 ล้านคนทั่วประเทศ

ด้านนายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า ทางสมาคมมีแผนจะนำสมาชิกประมาณ 5,000 คน เดินทางไปยังสองกระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงพาณิชย์ ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อเรียกร้องความชัดเจนจากรัฐบาล และแสดงจุดยืนคัดค้านการเปิดตลาดสุกรจากสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านอาหารและสุขภาพของประชาชน

สมาคมเสนอให้รัฐบาลใช้กลไกทางกฎหมายของมาตรฐานระหว่างประเทศ หรือ Codex โดยการยื่นคำสงวนย้อนหลัง เพื่อรักษากฎหมายภายในประเทศให้ยังสามารถห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงได้ต่อไป พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐเพิ่มปริมาณการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี และกากถั่วเหลือง โดยเฉพาะส่วนที่ไม่สามารถผลิตได้เพียงพอภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ และส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร รวมถึงผู้บริโภคในระยะยาว

ผู้ประกอบการชู “โลจิสติกส์อัจฉริยะ” ยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทย สู้ศึกตลาดโลก

กรุงเทพฯ, 6 สิงหาคม – นายธวัช จินาพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธวัช เทคโนโลยี ซิสเต็มส์ จำกัด ผู้ให้บริการออกแบบ วางระบบ และบูรณาการเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ความปลอดภัย และลดต้นทุนในโรงงานอาหาร เครื่องดื่ม ยา เคมีภัณฑ์ และพลาสติก เผยว่า ในช่วง 1–2 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของไทยได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากการเข้ามาของเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ลดต้นทุน และตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความรวดเร็วและการตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน

เขาระบุว่า ประเทศไทยในฐานะ “ครัวของโลก” มีจุดแข็งด้านวัตถุดิบคุณภาพสูง ความหลากหลายทางวัฒนธรรมอาหาร และมาตรฐานการผลิตที่เป็นที่ยอมรับ แต่หากต้องการรักษาความได้เปรียบและขยายสู่ตลาดใหม่ จำเป็นต้องยกระดับระบบโลจิสติกส์และคลังสินค้าให้ทันสมัย เพื่อรองรับการส่งออกแบบครบวงจรและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาระบบเหล่านี้ไม่เพียงช่วยรักษาคุณภาพสินค้า ลดของเสีย และควบคุมต้นทุน แต่ยังช่วยให้อุตสาหกรรมอาหารไทยปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกและพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก รวมถึงมาตรการของสหรัฐที่ปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทยเป็น 19% ซึ่งกระทบต่อการส่งออกโดยตรง นายธวัชจึงเห็นว่าจำเป็นต้องมีความร่วมมืออย่างจริงจังระหว่างภาครัฐและเอกชนในการวางแผนปรับตัวและขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น เช่น ยุโรป แอฟริกา และอเมริกาใต้ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดหลัก พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้สินค้าภายในประเทศให้มากขึ้น เขามองว่าวิกฤตเหล่านี้แม้จะเป็นความท้าทาย แต่ก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและวางรากฐานสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

นายธวัชเน้นย้ำว่า ผู้ประกอบการในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร ควรเร่งพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการลดต้นทุน ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพ ผ่านการปรับปรุงระบบการผลิตและโลจิสติกส์ให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้เทคโนโลยีอย่าง AI, ระบบอัตโนมัติ และการบูรณาการข้อมูลแบบเรียลไทม์ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน

เขายังเปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 15–17 ตุลาคม 2568 จะมีการจัดงาน LogiMAT & LogiFOOD Southeast Asia 2025 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ซึ่งบริษัทเตรียมนำเสนอนวัตกรรมใหม่ด้านโลจิสติกส์อัจฉริยะ พร้อมการสาธิตกระบวนการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปครบวงจร (End-to-End) ตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบจนถึงขั้นตอนจัดเตรียมเพื่อขนส่ง โดยเน้นการเชื่อมโยงระบบการผลิตเข้ากับโลจิสติกส์อย่างไร้รอยต่อ เพื่อแสดงให้เห็นถึงบทบาทของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพของระบบโลจิสติกส์และคลังสินค้าไทยบนเวทีโลก

DHL จับมือ FIA เป็นพันธมิตรโลจิสติกส์ระดับโลก ยกระดับการขนส่งมอเตอร์สปอร์ตสู่มาตรฐานความยั่งยืน

กรุงเทพฯ – DHL ผู้นำด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ระดับโลก ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Fédération Internationale de l’Automobile (FIA) ซึ่งเป็นองค์กรกำกับดูแลการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตและสหพันธ์ยานยนต์ที่มีสมาชิกครอบคลุมกว่า 240 องค์กรใน 144 ประเทศทั่วโลก ความร่วมมือนี้จะทำให้ DHL กลายเป็นพันธมิตรโลจิสติกส์ระดับโลกอย่างเป็นทางการของ FIA โดยมีบทบาทครอบคลุมทั้งการขนส่ง การติดตั้ง และการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันชั้นนำระดับโลก อาทิ Formula 1, Formula 2 และ Formula 3

ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว DHL จะเป็นผู้รับผิดชอบการขนส่งและจัดการอุปกรณ์สำคัญของ FIA ตั้งแต่สำนักงานเคลื่อนที่ (mobile offices) โรงจอดรถ (garages) ระบบสัญญาณในสนาม (trackside signalling equipment) ไปจนถึงอุปกรณ์สนับสนุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการแข่งขัน ทั้งนี้ การดำเนินงานจะผสานแนวคิดด้านความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญ โดยในยุโรป DHL จะใช้รถบรรทุกที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงชีวภาพจากน้ำมันพืช (Hydrotreated Vegetable Oil – HVO) ทั้งหมด 7 คัน ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ

ความร่วมมือนี้ไม่เพียงช่วยเสริมประสิทธิภาพด้านการขนส่ง แต่ยังสะท้อนถึงความตั้งใจของทั้งสององค์กรในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมมอเตอร์สปอร์ตไปสู่การลดคาร์บอนและเพิ่มความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม DHL ในฐานะผู้นำด้านโลจิสติกส์สำหรับกีฬามอเตอร์สปอร์ต ยังคงรักษาสถานะพันธมิตรหลักของรายการแข่งขันระดับโลกอย่าง Formula 1, Formula E และ World Endurance Championship (WEC) ซึ่งมีตารางแข่งขันครอบคลุมหลายทวีปและต้องอาศัยระบบขนส่งที่ซับซ้อนและแม่นยำสูง

Paul Fowler หัวหน้าฝ่าย Global Motorsports Logistics ของ DHL กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า FIA เป็นเสาหลักของวงการมอเตอร์สปอร์ตมานานหลายทศวรรษ การได้รับแต่งตั้งเป็นพันธมิตรโลจิสติกส์ระดับโลกถือเป็นความเหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากทั้งสององค์กรมีค่านิยมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย คุณภาพ ความเร็ว และความแม่นยำ ที่สำคัญคือการยึดมั่นในเป้าหมายด้านความยั่งยืน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นผ่านการใช้เชื้อเพลิงทางเลือก การพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนรูปแบบใหม่เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน และการวางตารางแข่งขันตามภูมิภาคเพื่อลดการเดินทางข้ามทวีปโดยไม่จำเป็น

ด้าน Craig Edmondson ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของ FIA เปิดเผยว่า การจับมือกับ DHL ไม่เพียงแต่เป็นการเสริมความแข็งแกร่งในด้านการจัดการเบื้องหลังที่เป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขัน แต่ยังเป็นการยกระดับมาตรฐานความยั่งยืนในอุตสาหกรรมมอเตอร์สปอร์ตและยานยนต์ FIA ให้ความสำคัญกับการปลูกฝังแนวทางการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผนจัดการแข่งขัน การบริหารโลจิสติกส์ ไปจนถึงการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีค่านิยมสอดคล้องกัน เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ความร่วมมือระหว่าง DHL และ FIA จึงเป็นมากกว่าการสนับสนุนด้านการขนส่ง แต่มุ่งหมายที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวงการมอเตอร์สปอร์ตให้สอดรับกับแนวโน้มของโลกที่ต้องการความรวดเร็ว ความแม่นยำ และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน ความร่วมมือนี้คาดว่าจะช่วยเสริมความพร้อมของการแข่งขันระดับโลก ทั้งในด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และการลดผลกระทบต่อโลกใบนี้ในอนาคต

โลจิสติกส์ไทยมาแรง คลังสินค้าผงาดสู่ศูนย์กลางโลก เชื่อม EEC ถึงเชียงแสน ปลดล็อกการค้าสู่จีน

กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลก ประเทศไทยกำลังก้าวสู่บทบาทใหม่ในฐานะศูนย์กลางคลังสินค้าและโลจิสติกส์ระดับโลก การย้ายฐานการผลิตและจัดจำหน่ายของนักลงทุนจากญี่ปุ่น จีน และยุโรป ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ตอบโจทย์ทั้งด้านทำเล โครงสร้างพื้นฐาน และมาตรฐานการให้บริการที่เทียบเท่าสากล การเติบโตของภาคโลจิสติกส์ไทยในครึ่งปีแรกของปีนี้สะท้อนศักยภาพอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์อย่างแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ที่เชื่อมโยงโดยตรงกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ผู้ประกอบการรายใหญ่เร่งลงทุนขยายพื้นที่รับความต้องการที่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง SCX Corporation บริษัทในเครือ SC Asset วางแผนลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาทในช่วงปี 2568–2572 และสามารถปล่อยเช่าพื้นที่คลังสินค้าได้แล้วกว่า 110,000 ตารางเมตรในครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้นถึง 260% จากปีก่อน โดยคาดว่าจะทะลุ 150,000 ตารางเมตรภายในสิ้นปีนี้ ความสำเร็จของโครงการ SCX Logistics Bangna Km.23 ที่ถูกเช่าเต็ม 100% ตั้งแต่เปิดตัว สะท้อนจุดแข็งในการดึงดูดลูกค้าหลากหลายสัญชาติและธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน โลจิสติกส์ การผลิต หรือดาต้าเซ็นเตอร์

ในเวลาเดียวกัน บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจคลังสินค้ามากว่า 60 ปี ได้เปิดตัว “พูลพิพัฒน์ สาขาแหลมฉบัง 1 (LCB1)” บนพื้นที่กว่า 34,200 ตารางเมตร ใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง ออกแบบตามมาตรฐานสากล พร้อมแนวคิด Green Warehouse เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนและ ESG รวมถึงแผนขยายอีกสองแห่ง รวมพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร ขณะที่ SINO Logistics Corporation เร่งเพิ่มพื้นที่คลังสินค้าปลอดอากรในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังเกือบ 6,000 ตารางเมตร เพื่อตอบรับความต้องการจากกลุ่มยานยนต์และโลจิสติกส์นำเข้า–ส่งออก ซึ่งเมื่อรวมกับพื้นที่เดิมจะทำให้มีคลังสินค้าปลอดอากรรวม 23,000 ตารางเมตรจากพื้นที่ทั้งหมด 33,000 ตารางเมตร

ปี 2568 คาดว่าจะมีพื้นที่คลังสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดรวมกว่า 150,000 ตารางเมตร โดยกว่า 72% อยู่ในพื้นที่ EEC จากแรงขับของอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุปโภคบริโภคที่หมุนเวียนรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภาคตะวันออก ภาคเหนือก็กำลังถูกยกระดับให้เป็นประตูการค้าสำคัญ ผ่านการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ของท่าเรือเชียงแสนและเชียงของ เพื่อเชื่อมโยงไทยเข้ากับจีนและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงอย่างไร้รอยต่อ

ข้อมูลระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการค้าชายแดนผ่านท่าเรือเชียงแสนอยู่ที่ 5,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5% จากปีก่อน ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 (CSP2) มีกำลังรองรับ 6 ล้านตันต่อปี มากกว่าท่าเรือเดิมถึง 10 เท่า แต่ยังใช้ศักยภาพไม่เต็มที่เพราะข้อจำกัดการเดินเรือในแม่น้ำโขง อย่างไรก็ดี การที่จีนอนุมัติให้ท่าเรือกวนเหล่ยในมณฑลยูนนานเป็นด่านนำเข้าผลไม้อย่างเป็นทางการเมื่อ 29 กรกฎาคม 2567 ถือเป็นการปลดล็อกสำคัญ ทำให้ผลไม้ไทยสามารถเดินทางตรงจากเชียงแสนสู่จีนโดยลดขั้นตอนทางพิธีการ คาดว่าปีนี้ปริมาณนำเข้าผลไม้ผ่านท่าเรือกวนเหล่ยจะสูงถึง 150,000 ตัน และแตะ 300,000 ตันในปี 2573 โดยทุเรียน มังคุด และลำไยครองสัดส่วนถึง 88% ของการส่งออกทั้งหมดจากภาคเหนือไปจีน

อำเภอเชียงของก็กำลังถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์หลายรูปแบบและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เชื่อมโยงการขนส่งทางถนน ทางน้ำ และในอนาคตคือทางรถไฟ การมาของรถไฟจีน–ลาวตั้งแต่ปลายปี 2564 เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส เพราะสามารถลดต้นทุนขนส่งได้ถึง 50% และย่นเวลาส่งผลไม้จากคุนหมิงสู่กรุงเทพฯ เหลือเพียง 55 ชั่วโมง ทำให้เส้นทางน้ำต้องปรับตัวไปเน้นสินค้าบางประเภทที่ได้เปรียบด้านต้นทุน

การเติบโตของธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์นี้ไม่เพียงสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ยังสร้างงานและรายได้ให้ประชาชน ส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ และช่วยลดต้นทุนสินค้าให้ผู้บริโภค ขณะเดียวกัน แนวโน้มการสร้างคลังสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและใช้พลังงานสะอาดก็สะท้อนถึงการพัฒนาที่คำนึงถึงสุขภาพและคุณภาพชีวิตในระยะยาว

ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่าการปลดล็อกศักยภาพเชียงแสนและเชียงของต้องเร่งเจรจากับจีนเพื่อยกเลิกข้อจำกัดสินค้าควบคุมอุณหภูมิ ปรับเวลาทำการด่านร่วมกับลาว และเร่งสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าที่เชียงของ รวมถึงโครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของให้แล้วเสร็จตามแผน ควบคู่กับความร่วมมือจัดการแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน Cold Chain เพื่อรองรับสินค้าเกษตร

ด้วยทิศทางนี้ ไทยกำลังเดินหน้าอย่างมั่นคงสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ครบวงจรของภูมิภาค พร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลกและใช้โอกาสที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนอย่างยั่งยืน

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us