News

L2D Page (133)

Hyundai เปิดตัวหุ่นยนต์ Mobile Eccentric Droid (MobED) เวอร์ชันผลิตจริง กับงานส่งของและโลจิสติกส์

Hyundai เปิดตัว MobED เวอร์ชันผลิตจริง เตรียมปฏิวัติงานโลจิสติกส์ด้วยหุ่นยนต์อัจฉริยะ
Hyundai Robotics LAB เปิดตัว “Mobile Eccentric Droid” หรือ MobED เวอร์ชันผลิตจริงในงานที่กรุงโตเกียว นับเป็นอีกก้าวสำคัญหลังจากแนวคิดต้นแบบถูกเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อน การเปิดตัวครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า Hyundai จริงจังกับการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ามาสร้างระบบขนส่งและโลจิสติกส์รูปแบบใหม่ในอนาคต

หัวใจของ MobED คือระบบเคลื่อนที่แบบ Eccentric Control Mechanism ที่ช่วยให้ล้อทั้งสี่สามารถขยับและปรับระดับได้อย่างอิสระ ทำให้หุ่นยนต์รักษาสมดุลแม้ต้องวิ่งผ่านพื้นเอียง พื้นที่ไม่เรียบ หรือพื้นผิวเปลี่ยนระดับกะทันหัน อีกทั้งยังติดตั้งกล้อง เซ็นเซอร์ LiDAR และระบบตรวจจับสิ่งกีดขวางด้วยปัญญาประดิษฐ์ ทำให้ MobED สามารถเคลื่อนไหวอย่างแม่นยำในพื้นที่คับแคบหรือสภาพแวดล้อมที่หนาแน่นได้อย่างลื่นไหล

Hyundai เปิดตัว MobED ในสองรุ่น โดยรุ่น Basic มาพร้อมขนาดกะทัดรัด น้ำหนักรวม 78 กิโลกรัม รับน้ำหนักบรรทุกได้สูงสุด 57 กิโลกรัม และควบคุมด้วยรีโมต ขณะที่รุ่น Pro ออกแบบให้สูงกว่าและมีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ แม้น้ำหนักบรรทุกจะต่ำลงเหลือ 47 กิโลกรัม แต่รุ่นนี้เน้นความสามารถในการทำงานแบบอิสระที่เหมาะกับงานส่งของหรือทำงานในคลังสินค้าโดยไม่ต้องมีพนักงานควบคุม

ทั้งสองรุ่นใช้แบตเตอรี่ขนาด 1.47 kWh ที่รองรับการทำงานต่อเนื่องได้ถึง 4 ชั่วโมง และสามารถชาร์จจากระดับ 10% ไปถึง 90% ได้ภายในราวสองชั่วโมงครึ่ง ทำให้ MobED พร้อมปฏิบัติงานได้แทบตลอดทั้งวันในรอบการใช้งานแบบอุตสาหกรรม นอกจากนี้ Hyundai ยังออกแบบให้ตัวหุ่นยนต์มีรางสำหรับติดตั้งอุปกรณ์เสริม ทำให้ MobED สามารถปรับบทบาทได้ตั้งแต่งานขนส่งชิ้นส่วนในโรงงาน ไปจนถึงงานจัดเก็บสินค้าในคลัง ทำให้ลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มความแม่นยำในการทำงานซ้ำ ๆ

Hyundai คาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 แม้ยังไม่ได้เปิดเผยราคาจำหน่าย แต่สัญญาณชัดเจนว่าบริษัทมอง MobED ไม่ใช่แค่การทดลองทางเทคโนโลยี หากแต่เป็นหุ่นยนต์ใช้งานจริงที่เตรียมเข้ามาเป็นแรงงานดิจิทัลรุ่นใหม่ของวงการโลจิสติกส์ ซึ่งอาจเข้ามาช่วยทดแทนงานบางส่วนของมนุษย์ในอนาคตอันใกล้

L2D Page (132)

ยุโรปปิดดีล ยุตินำเข้าก๊าซธรรมชาติรัสเซีย ภายในปลายปี 2570

สหภาพยุโรปบรรลุข้อตกลงร่วมกันเพื่อยุติการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียภายในช่วงปลายปี 2570 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียที่ดำเนินมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ ข้อตกลงดังกล่าวได้ข้อสรุปเมื่อวันพุธที่ 3 ธันวาคม 2568 หลังตัวแทนรัฐบาลสหภาพยุโรปและรัฐสภายุโรปหารือและลงนามร่วมกัน โดยเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการที่คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอไว้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน เพื่อยุติการนำเข้าก๊าซจากประเทศที่เคยเป็นผู้จัดหาส่วนใหญ่ของยุโรปก่อนเกิดสงครามในยูเครนเมื่อปี 2565

ตามกรอบข้อตกลง สหภาพยุโรปจะยุติการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG จากรัสเซียภายในสิ้นปี 2569 และจะยุติก๊าซที่ส่งผ่านท่อทั้งหมดภายในสิ้นเดือนกันยายน 2570 พร้อมกันนี้ยุโรปยังตั้งเป้าขยายมาตรการไปสู่การยุติการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียด้วย เพื่อจำกัดรายได้ที่สนับสนุนการทำสงครามของมอสโก เออร์ซูลา วอน แดร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่า การเดินหน้าแผนดังกล่าวจะช่วยทำให้ทุนสงครามของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินลดลง พร้อมย้ำว่ายุโรปยังยืนหยัดเคียงข้างยูเครน และมุ่งค้นหาความร่วมมือด้านพลังงานรูปแบบใหม่ที่ยั่งยืนกว่าเดิม

แม้การนำเข้าก๊าซจากรัสเซียจะถูกลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 45% ก่อนสงครามยูเครน เหลือเพียง 12% ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่หลายประเทศในสหภาพยุโรป เช่น ฮังการี ฝรั่งเศส และเบลเยียม ยังคงมีการรับก๊าซจากรัสเซียอยู่บางส่วน ขณะเดียวกันคณะกรรมาธิการยุโรปยังเตรียมเดินหน้ายุติสัญญานำเข้าน้ำมันที่ยังเหลืออยู่ภายในปี 2570 โดยจะนำเสนอร่างกฎหมายชุดใหม่ในช่วงต้นปีหน้า

ภายใต้ข้อตกลงที่เพิ่งสรุป สมาชิกสหภาพยุโรปแต่ละประเทศจะต้องจัดทำ “แผนการกระจายแหล่งพลังงานแห่งชาติ” สำหรับการจัดหาน้ำมันและก๊าซ แล้วส่งให้คณะกรรมาธิการยุโรปภายในวันที่ 1 มีนาคม 2569 นอกจากนี้ยังต้องแจ้งอย่างชัดเจนว่ามีสัญญาซื้อก๊าซจากรัสเซียอยู่หรือไม่ รวมถึงมีมาตรการห้ามการนำเข้าในระดับประเทศอย่างไรบ้าง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเกิดขึ้นอย่างโปร่งใสและเป็นระบบ

L2D Page (131)

คมนาคม สั่งลุยฟื้นฟูถนนในจังหวัดภาคใต้ หลังน้ำลด คืนเส้นทางให้ประชาชนเร็วที่สุด

คมนาคมเดินหน้าฟื้นฟูถนนในจังหวัดภาคใต้หลังสถานการณ์น้ำลด เร่งคืนเส้นทางสัญจรให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า สถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดสงขลาและหลายพื้นที่ของภาคใต้ยังคงต้องติดตามใกล้ชิด กระทรวงคมนาคมจึงมอบหมายให้กรมทางหลวงชนบทเร่งลงพื้นที่สำรวจ ฟื้นฟู และซ่อมแซมถนนที่ได้รับความเสียหาย เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยอีกครั้ง พร้อมกำชับให้ติดตั้งป้ายเตือนทุกจุดเสี่ยง และประสานงานกับจังหวัด ตำรวจ ทหาร และหน่วยงานป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง ทั้งยังเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานติดตามระดับน้ำและสภาพเส้นทางตลอด 24 ชั่วโมง

นายพิชิต หุ่นศิริ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ระดมเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรจากสำนักงานทางหลวงชนบทในพื้นที่ภาคใต้ รวมถึงการสนับสนุนจากส่วนกลาง ทั้งจากสำนักบำรุงทางและสำนักเครื่องกลและสื่อสาร เพื่อเร่งฟื้นฟูถนนในจังหวัดสงขลาอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดทีมตรวจสอบโครงสร้างถนนและสะพานทุกสายที่ได้รับผลกระทบ โดยดำเนินการซ่อมแซมเบื้องต้นทันทีเพื่อให้เปิดการสัญจรได้เร็วที่สุด

ในขณะเดียวกัน สำนักงานทางหลวงชนบทที่ 6 (ขอนแก่น) ได้ร่วมกับสำนักงานทางหลวงชนบทที่ 14 (กระบี่) จัดเตรียมถุงยังชีพ อาหารแห้ง และน้ำดื่ม เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และจะส่งมอบอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย นอกจากนี้ กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการติดตั้งป้ายเตือน ป้ายแสดงระดับน้ำ และปักเสาขาว–แดงในทุกจุดเสี่ยง เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนรับทราบสถานการณ์อย่างชัดเจนและปลอดภัยที่สุด

สำหรับสถานการณ์ล่าสุดเวลา 14.00 น. พบว่าโครงข่ายทางหลวงชนบทใน 8 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี พัทลุง สงขลา นครศรีธรรมราช นราธิวาส ยะลา กระบี่ และสุราษฎร์ธานี ได้รับผลกระทบรวม 38 สายทาง จากจำนวนดังกล่าวสามารถสัญจรผ่านได้แล้ว 30 สายทาง และยังไม่สามารถสัญจรได้อีก 8 สายทาง โดยกรมทางหลวงชนบทจะเร่งเปิดเส้นทางที่ยังปิดให้กลับมาใช้งานได้เร็วที่สุด พร้อมเปิดสายด่วน 1146 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนแจ้งเหตุหรือขอความช่วยเหลือได้ทันที

L2D Page (130)

ไม่ใช่แค่ทางรอดแต่คือโอกาส พิมพ์เขียวเศรษฐกิจไทยสู่ Net Zero

การเดินทางสู่ความยั่งยืนในวันนี้ไม่ใช่เพียง “ทางเลือก” อีกต่อไป แต่คือ “ทางรอด” และเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยในทศวรรษนี้ การปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียวไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศรับมือกับความผันผวนของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การรวมพลังของภาคธุรกิจในงาน SUSTAINABILITY FORUM 2026 : Shift Forward – Overcoming Challenges ที่จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ จึงสะท้อนชัดว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยแนวคิดความยั่งยืนได้ก้าวพ้นจากการเป็นเพียงแนวคิดเชิงนามธรรม และกลายเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่องค์กรชั้นนำกำลังทำให้เกิดขึ้นจริง

พลังงานสะอาดได้กลายมาเป็นหัวใจของระบบเศรษฐกิจสีเขียวและเป็นมาตรฐานใหม่ที่ผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมต้องยกระดับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การสร้างภาพของ “ความยั่งยืน” ให้เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย เข้าถึงง่าย และน่าดึงดูด เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ประชาชนยอมรับและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปในทิศทางที่สอดคล้องกับความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม โดยมีคุณภาพชีวิตของผู้คนเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนที่สุดต้องเริ่มที่ “คน” ภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ ส่งเสริมวิถีชีวิตที่ยั่งยืน และลงทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างจริงจัง การเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำคือกระบวนการที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียม แนวทางเหล่านี้เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์สำคัญที่จะนำเศรษฐกิจไทยก้าวข้ามความท้าทายและมุ่งสู่อนาคตที่เติบโตอย่างสมดุลและมั่นคง

พลังของภาคธุรกิจที่ประกาศเจตนารมณ์ในงาน SUSTAINABILITY FORUM 2026 จึงเป็นสัญญาณบวกที่สะท้อนถึงจุดเริ่มต้นของการเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นรูปธรรม อนาคตของเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับการลงมือทำในวันนี้ของทุกภาคส่วน เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนและส่งมอบโลกที่น่าอยู่ให้คนรุ่นต่อไป

ประเทศไทยจึงต้องมี “พิมพ์เขียว” สำหรับการยกระดับภาคอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืนเป็นระบบ โดยต้องปรับนิยามการเติบโตทางเศรษฐกิจให้มี “ความยั่งยืน” เป็นหัวใจสำคัญ ไม่ใช่มุ่งเน้นเพียงตัวเลข GDP เพราะการเติบโตของยุคใหม่ต้องสะท้อนคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนและผลกระทบเชิงบวกต่อโลกอย่างแท้จริง

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us