News

CPF เดินหน้าเพิ่มลงทุนในสหรัฐฯ หลังภาษี 0% หนุนต้นทุนวัตถุดิบลด คว้าโอกาสจากคาร์บอนเครดิต หนุนส่งออกไก่แปรรูปแข่งตลาดโลก

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เปิดเผยในงานเสวนา “Trump’s Tariffs: ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยว่า การปรับเปลี่ยนนโยบายภาษีระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบต่อระบบเกษตรอุตสาหกรรมไทยทั้งในเชิงโอกาสและความท้าทาย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรที่ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า เช่น ข้าวโพด กากถั่วเหลือง และกากข้าวโพด (DDGS) ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารสัตว์ ส่งผลให้ต้นทุนของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

นายประสิทธิ์ระบุว่า การนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ประมาณ 3 ล้านตัน จะสามารถช่วยลดต้นทุนได้กิโลกรัมละ 1 บาท รวมแล้วประหยัดได้กว่า 6,000 ล้านบาท ส่วนการนำเข้ากากถั่วเหลืองกว่า 3,000 ตัน มีมูลค่าประมาณ 48,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ภายใต้ระบบโควตาของรัฐบาล จะมีการกำหนดให้นำเข้าสินค้าเหล่านี้ในสัดส่วน 1 ส่วน ต่อการจัดซื้อในประเทศ 3 ส่วน เพื่อไม่ให้กระทบต่อเกษตรกรในประเทศ

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ CPF มองว่าไทยจะได้ประโยชน์ในเชิงสิ่งแวดล้อม คือการสะสมคาร์บอนเครดิตจากการนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่มีการใช้การเผาป่าในการเพาะปลูก จึงช่วยลดปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์ ส่งผลดีต่อภาคการส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูป โดยเฉพาะเนื้อไก่แปรรูปที่ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 3 ของโลก ด้วยมูลค่าระหว่าง 100,000–150,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่างบราซิลยังคงเผชิญกับข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้โอกาสของผู้ประกอบการไทยในการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะตลาดยุโรปซึ่งให้ความสำคัญกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด

ในภาพรวม CPF เตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้าโลก โดยเน้นกลยุทธ์ “Local for Local” หรือการผลิตและจำหน่ายในประเทศปลายทางมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและภาษีระหว่างประเทศ พร้อมเดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีและ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตอาหาร เช่น การพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ การตรวจสภาพอากาศ และการวิเคราะห์ข้อมูลการเติบโตของสัตว์ปีก เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและลดต้นทุนอย่างยั่งยืน

ปัจจุบัน CPF มีการลงทุนโรงงานผลิตอาหารพร้อมรับประทานในสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแผนที่จะขยายการลงทุนเพิ่มเติม เพื่อรองรับกลยุทธ์การผลิตและจำหน่ายในประเทศสหรัฐฯ โดยตรง โดยอาศัยข้อได้เปรียบจากอัตราภาษี 0% ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนในการทำธุรกิจลดลงในระยะยาว พร้อมกันนี้ CPF ยังตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาแนวทางการนำเข้าวัตถุดิบสำคัญจากสหรัฐฯ เช่น กากถั่วเหลือง ที่ก่อนหน้านี้ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าจากบราซิลมากว่า 30 ปี ซึ่งการกระจายแหล่งนำเข้าจะช่วยเสริมความมั่นคงและเสถียรภาพของซัพพลายเชนในอนาคต

อย่างไรก็ตาม CPF ยังจับตาประเด็นการเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยประเมินว่าจะมีการนำเข้าประมาณ 10,000 ตัน หรือคิดเป็นราว 1% ของปริมาณการบริโภคหมูในประเทศ โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือการควบคุมเรื่อง “สารเร่งเนื้อแดง” ซึ่งเป็นสารที่ประเทศไทยไม่ได้อนุญาตให้ใช้มานานกว่า 30 ปี แต่ในสหรัฐฯ ยังอนุญาตภายใต้แนวทางของ Codex หากมีการเปิดให้นำเข้าหมูที่มีการใช้สารดังกล่าว อาจทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และเสี่ยงกระตุ้นให้เกษตรกรในประเทศหันไปใช้สารเร่งเนื้อแดงเพื่อแข่งขันด้านต้นทุน ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมหมูไทยในระยะยาว และกระทบต่อเสถียรภาพของระบบอาหารในประเทศ

นายประสิทธิ์เน้นย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระดับนโยบายการค้าโลกต้องใช้การปรับตัวอย่างรอบด้าน ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐควรร่วมกันวางแผนรองรับโอกาสและความเสี่ยง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้มั่นคงในระยะยาว

CPF ห่วงผลกระทบนำเข้าหมูสหรัฐฯ สารเร่งเนื้อแดง-หมูเถื่อนอาจกระทบเกษตรกรรายย่อย ขณะต้นทุนปศุสัตว์มีแนวโน้มลดจากการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF แสดงความกังวลต่อแนวโน้มการเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐอเมริกา ภายในงานเสวนา “Trump’s Tariffs : ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” ซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้บริโภคจากการใช้สารเร่งเนื้อแดง ซึ่งในประเทศไทยห้ามใช้มาแล้วกว่า 30 ปี แต่ในสหรัฐฯ ยังคงอนุญาตให้ใช้สารดังกล่าวได้

แม้ว่ารัฐบาลอาจเปิดให้นำเข้าหมูจากสหรัฐฯ ได้เพียงไม่เกิน 1% ของปริมาณการบริโภคภายในประเทศ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของเนื้อหมูนำเข้า โดยเฉพาะการป้องกันการปนเปื้อนของสารเร่งเนื้อแดงที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ CPF ยังแสดงความห่วงใยว่า หากมีการเปิดนำเข้าจริง อาจนำไปสู่การระบาดของ “หมูเถื่อน” ในตลาดไทยอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นภัยต่ออุตสาหกรรมหมูทั้งระบบ โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมูรายย่อยที่มีสัดส่วนกว่า 95% ของทั้งประเทศ

ประเทศไทยมีผู้เลี้ยงหมูรายใหญ่ประมาณ 65% ส่วนที่เหลือคือเกษตรกรรายย่อยและกลุ่มวิสาหกิจขนาดเล็ก ซึ่งมีความเปราะบางต่อการแข่งขันด้านราคาและมาตรฐานจากต่างประเทศ เนื่องจากระบบปศุสัตว์ในไทยพึ่งพาวัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก ทำให้อุตสาหกรรมนี้มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหาร และไม่เคยมีประสบการณ์รับมือกับความเสี่ยงจากการนำเข้าที่อาจไม่ปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม CPF มองว่าการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในด้านอื่นยังมีแง่บวก โดยเฉพาะการนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลืองปลอดภาษีในช่วงนอกฤดูกาล ซึ่งไทยสามารถใช้โอกาสนี้ลดต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันไทยยังนำเข้ากากถั่วเหลืองจากบราซิลในอัตราภาษี 2% ดังนั้น การเปลี่ยนแหล่งนำเข้าไปยังสหรัฐฯ ที่ไม่เสียภาษี จะช่วยให้ต้นทุนวัตถุดิบลดลง ส่งผลให้ราคาหมูและไก่ในประเทศปรับตัวดีขึ้น และช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์แปรรูปในตลาดโลก

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีโอกาสได้รับประโยชน์ทางอ้อมในเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยการนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่มีการเผาป่าในการเพาะปลูก อาจช่วยให้ไทยสามารถสะสมคาร์บอนเครดิตได้มากขึ้น โดยเฉพาะภายใต้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของยุโรป ซึ่งกำลังเป็นประเด็นสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ

นายประสิทธิ์ย้ำว่า การเปิดเสรีทางการค้ากับสหรัฐฯ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการรักษาสมดุลระหว่างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในประเทศ และความมั่นคงของระบบอาหาร รวมถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคในระยะยาว

L2D Page (57)

LEO เดินเกมรุก หลังสหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้า ดันบริการนำเข้าสินค้าจากอเมริกาขยายตัว

บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO ประกาศเดินหน้ารุกตลาดนำเข้า-ส่งออกทันที หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย จากเดิม 36% เหลือ 19% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยถือเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่จะจุดกระแสการค้าไทย-สหรัฐฯ ให้คึกคักมากยิ่งขึ้น และสร้างโอกาสให้กับภาคธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกับตลาดอเมริกาอย่างชัดเจน

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ LEO เปิดเผยว่า การปรับลดภาษีในครั้งนี้ ถือเป็น “โอกาสทอง” สำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะได้เปรียบในด้านต้นทุนมากกว่าประเทศคู่แข่งอย่างจีนและเวียดนาม ขณะเดียวกัน ผู้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนเทคโนโลยี อุปกรณ์การแพทย์ หรือสินค้าอุปโภคบริโภคบางประเภท ก็จะสามารถลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน

ในฐานะผู้ให้บริการ End-to-End Logistics Service Provider ที่ครอบคลุมทั้งขนส่งทางทะเล ทางอากาศ พิธีการศุลกากร คลังสินค้า และการกระจายสินค้า LEO พร้อมทำหน้าที่เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ให้กับลูกค้า ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ให้บริการขนส่ง แต่ยังเป็นที่ปรึกษาในการนำเข้า-ส่งออก ช่วยให้ลูกค้าได้เปรียบในการแข่งขันทั้งด้านเชิงพาณิชย์และพิธีการศุลกากร

หนึ่งในจุดแข็งสำคัญของ LEO คือเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ครอบคลุมกว่า 40 มลรัฐ และมีมากกว่า 280 ตัวแทน ทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการด้านต้นทุน เวลา และประสิทธิภาพการขนส่งได้อย่างใกล้ชิด ส่งผลให้บริการจากต้นทางในสหรัฐฯ ไปถึงปลายทางในประเทศไทยเป็นไปอย่างราบรื่นและแม่นยำ

ปีที่ผ่านมา LEO มีปริมาณการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ มากกว่า 8,000 TEUs ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อมาตรฐานการให้บริการ และตอกย้ำจุดยืนของบริษัทในฐานะ Logistic Services Provider ของคนไทย ที่สามารถให้บริการ Weekly LCL/Consolidation Service ไปยังและจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ในตลาดมักเป็นบริษัทข้ามชาติ

นายเกตติวิทย์ ระบุว่า บริการนำเข้าจากสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักที่ LEO มุ่งเน้นในปี 2568 โดยตั้งใจโปรโมทและผลักดันให้เติบโตอย่างชัดเจน ด้วยความมั่นใจในศักยภาพของเครือข่ายพันธมิตร รวมถึงการให้บริการที่ครอบคลุมและคุ้มค่า ช่วยให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย พร้อมลดต้นทุนได้มากยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมแผนพัฒนาบริการเพิ่มเติม ทั้งด้านศุลกากร ศูนย์กระจายสินค้า และคลังสินค้าห้องเย็น (Cold Chain Warehouse) เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในยุคที่การค้าระหว่างประเทศเริ่มฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยการปรับลดภาษีจากฝั่งสหรัฐฯ ครั้งนี้ ยังถูกมองว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อแนวโน้มปริมาณการค้าทั่วโลก ซึ่งจะเป็นแรงผลักสำคัญต่อรายได้ของธุรกิจโลจิสติกส์ในช่วงครึ่งหลังของปี

“LEO มุ่งมั่นจะเป็นมากกว่าผู้ให้บริการโลจิสติกส์ทั่วไป แต่เป็นพาร์ตเนอร์ที่เติบโตไปกับลูกค้า ท่ามกลางโลกการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” นายเกตติวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย

ส่งออกเกษตร-ป่าไม้-ประมงเวียดนามแตะเกือบ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ กาแฟทำสถิติใหม่ ดันเป้าส่งออกปี 2568 แตะ 7 หมื่นล้าน

รัฐบาลเวียดนามเผยตัวเลขการส่งออกภาคเกษตร ป่าไม้ และประมงยังเติบโตแข็งแกร่ง แม้เผชิญแรงกดดันจากความผันผวนของตลาดโลก โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้รวมกว่า 39.68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบ 15% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมเวียดนามคาดว่ามูลค่าการส่งออกจะอยู่ที่ราว 6 พันล้านดอลลาร์

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อม นายฟุง ดึ๊ก เตียน ระบุว่า เพื่อรักษาโมเมนตัมของการเติบโตท่ามกลางความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดโลก เวียดนามกำลังเดินหน้าเจาะตลาดส่งออกใหม่ ๆ โดยเฉพาะในยุโรป แอฟริกา และกลุ่มประเทศมุสลิม พร้อมทั้งเน้นการปรับโครงสร้างการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตร เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการส่งออกทั้งปี 2568 ที่ระดับ 65,000–70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มสินค้าเกษตรหลักทั้งสามกลุ่ม ได้แก่ สินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ป่าไม้ และผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ต่างมีดุลการค้าเกินดุล โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ป่าไม้ซึ่งมีดุลเกินดุลสูงถึง 8.39 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 5% จากปีที่ผ่านมา ขณะที่ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำมีดุลเกินดุล 4.18 พันล้านดอลลาร์ และสินค้าเกษตรมีดุลเกินดุล 4.28 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 33.4%

สินค้าเกษตรที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้คือกาแฟ โดยในเดือนกรกฎาคม 2568 การส่งออกกาแฟของเวียดนามแตะระดับ 110,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 592.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนยอดสะสมตลอด 7 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 1.1 ล้านตัน มูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7.6% ในด้านปริมาณ และพุ่งสูงถึง 65.1% ในแง่มูลค่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 ตัวเลขนี้ถือว่าทำสถิติสูงสุด แซงหน้ามูลค่าการส่งออกกาแฟทั้งปีของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 5.48 พันล้านดอลลาร์

ราคาส่งออกกาแฟเฉลี่ยอยู่ที่ 5,672.2 ดอลลาร์ต่อตัน เพิ่มขึ้นกว่า 53% โดยตลาดหลักยังคงเป็นยุโรป ได้แก่ เยอรมนี อิตาลี และสเปน ขณะที่ตลาดที่มีการเติบโตสูงสุดคือเม็กซิโก ซึ่งมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 88 เท่า สะท้อนการขยายตัวเชิงรุกของกาแฟเวียดนามในตลาดโลก

ขณะเดียวกัน ยางพาราก็มีแนวโน้มดีเช่นกัน แม้ว่าปริมาณการส่งออกในช่วง 7 เดือนแรกจะลดลง 2.1% อยู่ที่ 893,800 ตัน แต่มูลค่ากลับเพิ่มขึ้นเกือบ 14% มาอยู่ที่ 1.61 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากราคาส่งออกเฉลี่ยที่ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,803.2 ดอลลาร์ต่อตัน เพิ่มขึ้นกว่า 16% จากปีก่อน ตลาดหลักยังคงเป็นจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 70% ของยอดส่งออกยางพาราเวียดนาม ตามด้วยอินเดียและเกาหลีใต้ ทั้งนี้ มาเลเซียกลายเป็นตลาดที่มีมูลค่าการนำเข้ายางเวียดนามเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปีนี้ ขณะที่อินเดียกลับลดลงมากที่สุด

ด้านผักและผลไม้ซึ่งเคยซบเซาในช่วงต้นปี เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว โดยในเดือนกรกฎาคมมียอดส่งออกประมาณ 810 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ยอดรวมในช่วง 7 เดือนแรกอยู่ที่ 3.92 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.9% จากปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกากลายเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่ม 15 ประเทศหลัก ด้วยอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 65.5% แซงหน้าจีนซึ่งยังคงเป็นตลาดหลักในแง่ปริมาณ แต่กลับมีมูลค่าลดลงถึง 24.3%

อย่างไรก็ตาม ตลาดที่น่าจับตาคือไทย ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของผักและผลไม้จากเวียดนาม แต่ในปีนี้มูลค่าการส่งออกกลับลดลงมากถึง 31.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ภาพรวมทั้งหมดสะท้อนว่า เวียดนามยังคงรักษาความแข็งแกร่งในการส่งออกสินค้าเกษตร ป่าไม้ และประมงได้อย่างมั่นคง พร้อมเดินหน้าปรับตัวรับมือกับความท้าทายจากภายนอกด้วยกลยุทธ์การขยายตลาดใหม่และยกระดับโครงสร้างการผลิตเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us