News

เพชรบูรณ์ต้านนำเข้าข้าวโพดจีเอ็มโอ หวั่นกระทบเกษตรกร-ห่วงโซ่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์

ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์ออกมาแสดงความกังวลต่อกรณีรัฐบาลมีแนวโน้มอนุญาตให้นำเข้าข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) เพื่อป้อนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ โดยชี้ว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเกษตรกรและระบบการผลิตในประเทศทั้งระบบ

ตามข้อมูลที่เปิดเผยโดยรองนายกรัฐมนตรี นายพิชัย ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ประมาณ 4.7–5 ล้านตันต่อปี ขณะที่ความต้องการจากภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์สูงถึง 10 ล้านตัน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม นายเทพ พรหมสาขา ณ สกลนคร ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้แสดงจุดยืนคัดค้านการนำเข้าข้าวโพดจีเอ็มโออย่างชัดเจน โดยให้เหตุผลว่า ประเทศไทยยังไม่มีการปลูกข้าวโพดจีเอ็มโอในเชิงพาณิชย์ และไม่มีกลไกควบคุมที่เข้มงวดมากพอ หากมีการนำเข้าข้าวโพดจีเอ็มโอเพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรม อาจเกิดการปนเปื้อนสู่ห่วงโซ่อาหารทั้งในประเทศและสินค้าส่งออก โดยเฉพาะตลาดยุโรปซึ่งมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยอาหารที่เข้มงวดมาก

เขายังเตือนถึงความเสี่ยงที่เมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอที่ยังมีชีวิตอาจหลุดรอดสู่ระบบนิเวศและปนเปื้อนกับพันธุกรรมของข้าวโพดพื้นเมือง ซึ่งอาจส่งผลระยะยาวต่อความมั่นคงทางชีวภาพของประเทศ

นอกจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคแล้ว นายเทพยังชี้ว่าการนำเข้าข้าวโพดในปริมาณมากอาจทำให้เกษตรกรไทยลดพื้นที่เพาะปลูก เพราะไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ ส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรลดลง และยังส่งผลต่ออุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช เมล็ดพันธุ์ เครื่องจักรกลการเกษตร น้ำมัน และแรงงานในภาคชนบท

เขายังเน้นว่าพืชเศรษฐกิจอื่นอย่างข้าวและมันสำปะหลังก็อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะข้าว ซึ่งผลพลอยได้จากการสี เช่น รำข้าวและปลายข้าว เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ หากความต้องการลดลง ย่อมส่งผลต่อราคาข้าวโดยตรง ขณะที่มันสำปะหลังในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ก็ใช้ในอุตสาหกรรมเดียวกัน จึงอาจเผชิญแรงกดดันด้านราคาเช่นเดียวกัน

ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์จึงเสนอว่า หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องนำเข้าข้าวโพด ควรกำหนดวัตถุประสงค์และปริมาณที่ชัดเจน พร้อมทั้งกำหนดมาตรการรองรับผลกระทบ เช่น การรับซื้อผลผลิตภายในประเทศก่อน การประกันราคาที่เหมาะสม และนำส่วนต่างจากการนำเข้าไปใช้เยียวยาเกษตรกร

นอกจากนี้ เขายังเสนอแนวทางแก้ไขเชิงโครงสร้างระยะยาว เช่น การจัดโซนนิ่งพื้นที่เพาะปลูกให้เหมาะสม การส่งเสริมพืชชนิดอื่นมาทดแทนในบางพื้นที่ รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ข้าวโพดแห่งชาติ หรือศูนย์ข้าวโพดระดับชุมชน เพื่อใช้บริหารจัดการเมล็ดพันธุ์ ปัจจัยการผลิต และควบคุมปริมาณให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด

นายเทพย้ำว่า จังหวัดเพชรบูรณ์ถือเป็นแหล่งผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่สำคัญของประเทศ โดยมีสัดส่วนพื้นที่เพาะปลูกราว 20% ของทั้งประเทศ จึงขอให้รัฐบาลทบทวนแนวทางการนำเข้าข้าวโพดจีเอ็มโออย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้กระทบต่อรายได้ของเกษตรกรและโครงสร้างการผลิตเกษตรกรรมโดยรวมของไทย

ฟิลิปปินส์เล็งระงับนำเข้าข้าวชั่วคราว หวังพยุงราคาภายในประเทศ ท่ามกลางราคาตลาดโลกขาลง

รัฐบาลฟิลิปปินส์กำลังพิจารณามาตรการระงับการนำเข้าข้าวเป็นการชั่วคราว หลังราคาข้าวในตลาดโลกลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี ซึ่งแม้จะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อของผู้บริโภค แต่กลับสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรท้องถิ่นที่ต้องเผชิญกับราคาผลผลิตตกต่ำอย่างต่อเนื่อง

สำนักงานสื่อสารประจำทำเนียบประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เปิดเผยเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมว่า ข้อเสนอดังกล่าวมาจากกระทรวงเกษตร โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องภาคเกษตรกรรมของประเทศจากผลกระทบของราคาข้าวนำเข้าที่ต่ำลง ซึ่งกดทับราคาข้าวภายในประเทศจนต่ำกว่าระดับที่ผู้ผลิตจะสามารถอยู่รอดได้

หนึ่งในข้อเสนอหลักของกระทรวงเกษตรคือ การปรับขึ้นภาษีนำเข้าข้าว และการจำกัดปริมาณการนำเข้ารายปีให้ไม่เกิน 20% ของระดับปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อโรงสีและเกษตรกรในประเทศที่เริ่มได้รับผลกระทบจากราคาที่ตกต่ำ และต้นทุนการผลิตที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

นายฟรานซิสโก ติอู ลอเรล จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า โรงสีหลายแห่งเริ่มหยุดดำเนินกิจการชั่วคราว และมีแนวโน้มจะทยอยปิดตัวลงถาวร หากสถานการณ์ราคายังไม่ฟื้นตัว ซึ่งจะกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานข้าวภายในประเทศในระยะยาว

ทั้งนี้ รัฐบาลยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาหรือเงื่อนไขที่ชัดเจนในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่เสนอ แต่เบื้องต้นคณะรัฐมนตรีจะนำประเด็นนี้เข้าหารือกับประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ระหว่างการเดินทางเยือนอินเดียในสัปดาห์นี้

สถานการณ์ในตลาดโลกปัจจุบันบ่งชี้ว่า อุปทานข้าวกำลังฟื้นตัวดีขึ้นในหลายประเทศผู้ส่งออกหลัก เช่น อินเดีย เวียดนาม และไทย ซึ่งส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดเอเชียปรับลดลง โดยเฉพาะข้าวขาวที่แตะระดับราคาต่ำสุดในรอบ 8 ปี จากข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการค้า

แม้ว่าผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากราคาข้าวที่ถูกลง โดยเฉพาะในช่วงที่เงินเฟ้อยังสูงอยู่ในหลายประเทศ แต่ผลกระทบที่มีต่อผู้ผลิตต้นน้ำก็เริ่มปรากฏชัดมากขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงฟิลิปปินส์ ซึ่งพึ่งพาการนำเข้าข้าวในสัดส่วนสูงเพื่อเติมเต็มความต้องการภายในประเทศ

นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า หากฟิลิปปินส์เดินหน้าใช้มาตรการจำกัดนำเข้าในช่วงที่ตลาดโลกมีอุปทานมาก อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของราคาข้าวในภูมิภาค และทำให้เกิดแรงกระเพื่อมด้านการค้าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ฝ่ายรัฐบาลยังคงเน้นย้ำว่า มาตรการที่เสนอนั้นมีเป้าหมายหลักเพื่อความมั่นคงทางอาหาร และความยั่งยืนของภาคเกษตรกรรมภายในประเทศเป็นอันดับแรก

สรท. ปรับเป้าส่งออกปี 68 โต 5–7% รับผลบวกสหรัฐลดภาษีนำเข้าสินค้าไทย พร้อมเสนอรัฐหนุนผู้ประกอบการรับมือการค้าโลกเดือด

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ประกาศปรับเป้าหมายการส่งออกของไทยในปี 2568 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 1–3% เป็น 5–7% หลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยจากเดิม 36% เหลือ 19% ซึ่งถือเป็นระดับที่สอดคล้องกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค

นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธาน สรท. ระบุว่า อัตราภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ถือว่าเป็นผลจากความพยายามในการเจรจาอย่างต่อเนื่อง และสร้างความชัดเจนให้กับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ที่การส่งออกจะมีทิศทางดีขึ้นจากแรงหนุนด้านภาษี อย่างไรก็ตาม แม้อัตราภาษีจะลดลง แต่ผลกระทบทางต้นทุนยังคงอยู่ โดยเฉพาะการเจรจาระหว่างผู้นำเข้าสหรัฐฯ และผู้ส่งออกไทยซึ่งอาจต้องแบ่งภาระภาษีร่วมกัน ทำให้ผู้ส่งออกต้องแบกรับต้นทุนสูงขึ้น และส่งผลให้กำไรลดลง

ผลกระทบยังลามไปถึงผู้ผลิตวัตถุดิบต้นน้ำในประเทศ ที่อาจต้องปรับลดราคาจำหน่ายเพื่อให้สินค้าปลายน้ำสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ซึ่งอาจกระทบต่อรายได้ของผู้ผลิตและเกษตรกรไทยในภาพรวม นอกจากนี้ แม้ผู้บริโภคในสหรัฐจะยอมรับราคาสินค้าที่แพงขึ้นในระดับหนึ่ง แต่การบริโภคสินค้าขั้นสุดท้ายย่อมลดลงในระยะยาว ซึ่งอาจทำให้ปริมาณการนำเข้าสินค้าจากไทยลดลงเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จะเผชิญการแข่งขันจากคู่แข่งที่หันไปเจาะตลาดรองอื่นแทน

จากสถานการณ์ดังกล่าว สรท. จึงเสนอให้ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการเสริมศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในทุกมิติ ทั้งการลดต้นทุนธุรกิจในด้านอัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ยเงินกู้ พลังงาน และแรงงาน รวมถึงเร่งขยายตลาดส่งออกใหม่ผ่านการเจรจา FTA การจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ การนำผู้แทนการค้าไทยไปยังตลาดเป้าหมาย การจับคู่ธุรกิจ และการเพิ่มสภาพคล่องด้วยเงินทุนหมุนเวียน ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มมาตรการควบคุมสินค้านำเข้าให้รัดกุมมากขึ้น เพื่อลดแรงกดดันที่อาจตกอยู่กับผู้ผลิตในประเทศ

ทางด้านนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เห็นว่าแม้อัตราภาษีใหม่นี้ยังเป็นภาระ แต่ก็ถือเป็นพัฒนาการเชิงบวกที่ช่วยให้สินค้าไทยยังแข่งขันได้ในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค เพื่อบรรเทาผลกระทบ กระทรวงพาณิชย์จึงเตรียมจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาแบบ One Stop Service ที่ศูนย์ส่งออกสินค้ารัชดา เพื่อบูรณาการการช่วยเหลือผู้ประกอบการแบบเบ็ดเสร็จ โดยมีหน่วยงานสนับสนุน เช่น ธนาคารและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้คำแนะนำและแนวทางแก้ไขแก่ผู้ประกอบการให้สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ กระทรวงจะประเมินผลกระทบของอัตราภาษี 19% รายกลุ่มสินค้าอย่างละเอียด พร้อมกับเร่งเดินหน้าเปิดตลาดใหม่และเร่งรัดการเจรจา FTA กับประเทศคู่ค้ารายอื่น เพื่อสร้างโอกาสและกระจายความเสี่ยงทางการค้าของไทยในระยะยาว โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์กำหนดเป้าหมายเจรจาและดำเนินการเชิงรุกไว้ล่วงหน้าแล้ว

ซาอุฯ ขยายเวลานำเข้าสัตว์ปีกจากไทยอีก 6 เดือน ก่อนบังคับใช้มาตรฐานใหม่ Saudi GAP มี.ค. 69

ซาอุดีอาระเบียตอบรับคำขอฝ่ายไทย ขยายเวลานำเข้าสินค้าสัตว์ปีกจากโรงงานที่ขึ้นทะเบียนเดิมออกไปอีก 6 เดือน ก่อนจะเริ่มบังคับใช้มาตรฐานใหม่ “Saudi GAP” อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2569 ถือเป็นโอกาสสำคัญให้ภาคธุรกิจสัตว์ปีกไทยปรับตัวเข้าสู่ระบบใหม่โดยไม่สะดุด

นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า มกอช. ได้มอบหมายให้นางสาวรวินันท์ ฉ่ำเฉลิม ผู้อำนวยการกองนโยบายมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร นำคณะเจ้าหน้าที่จาก มกอช. และกรมปศุสัตว์ เข้าหารือแบบทวิภาคีกับกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และเกษตรกรรมของซาอุดีอาระเบีย (MEWA) เพื่อเตรียมความพร้อมของไทยในการปฏิบัติตามมาตรฐาน Saudi GAP

ตามข้อกำหนดของซาอุดีอาระเบีย ฟาร์มสัตว์ปีกที่ต้องการส่งออกไปยังประเทศดังกล่าวจะต้องผ่านการขึ้นทะเบียนและได้รับการรับรองจากหน่วยงาน MEWA ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอให้กรมปศุสัตว์ของไทยเป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจประเมินและรับรองแทน เพื่ออำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน และลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการไทย โดยข้อเสนอนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของทางการซาอุฯ

ขณะเดียวกัน MEWA เตรียมเปิดระบบลงทะเบียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ “Naama” ภายในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อให้ฟาร์มสัตว์ปีกสามารถยื่นขอรับรอง Saudi GAP ได้โดยตรง

นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียยังตอบรับคำขอของฝ่ายไทยในการขยายระยะเวลาการผ่อนผันการใช้มาตรฐาน Saudi GAP สำหรับโรงงาน 11 แห่งที่เคยได้รับการขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยาของซาอุฯ (SFDA) โดยโรงงานเหล่านี้ยังสามารถส่งออกสินค้าจากฟาร์มที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ MEWA ได้ต่อไปจนถึงเดือนมีนาคม 2569 อย่างไรก็ตาม โรงงานทั้ง 11 แห่งต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนฟาร์มต้นทางให้เรียบร้อยก่อนครบกำหนด

นายชัยวัฒน์ระบุว่า การหารือครั้งนี้เป็นความคืบหน้าที่สำคัญในการรักษาตลาดส่งออกสัตว์ปีกของไทยในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยมีเวลาปรับตัวอย่างเหมาะสม ก่อนมาตรฐานใหม่จะมีผลบังคับใช้ โดยหากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับระบบการขึ้นทะเบียนฟาร์มเพิ่มเติม มกอช. จะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการรับทราบอย่างต่อเนื่อง

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us