News

news-20250522-01

ภาษีนำเข้ารถยนต์สหรัฐฯ พุ่ง 25% กระทบชิ้นส่วนยานยนต์ไทยแรง ส่งออกสะดุด - GDP สะเทือน

การขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนจากต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้มาตรา 232 และนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กลายเป็นแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่ออุตสาหกรรมยานยนต์โลก และไทยในฐานะผู้ส่งออกชิ้นส่วนรายสำคัญก็หนีไม่พ้นผลกระทบนี้

ชิ้นส่วนรถยนต์ไทยที่เคยทำรายได้เข้าประเทศจากการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงถึง 6,426 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 หรือคิดเป็น 14% ของการส่งออกยานยนต์ทั้งหมด และประมาณ 1.2% ของ GDP กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหม่ โดยเฉพาะในหมวดชิ้นส่วนระบบส่งกำลัง ระบบกันสะเทือน และอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ ที่ถูกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 25%

สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีสัดส่วนการนำเข้าเกือบ 20% ของโลก แต่ผลิตในประเทศได้เพียง 10 ล้านคันต่อปี ขณะที่มีความต้องการใช้งานถึง 16 ล้านคันต่อปี จึงหันมาใช้นโยบายกีดกันทางการค้าเพื่อเร่งดึงการผลิตกลับสู่ประเทศ ภายใต้แนวคิด “อเมริกาต้องมาก่อน” ของประธานาธิบดีทรัมป์

สำหรับตลาดส่งออกของไทย สหรัฐฯ ครองสัดส่วนกว่า 26% ซึ่งทำให้ไทยได้รับผลกระทบตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชิ้นส่วนที่โดนแรงที่สุดคือพวกกระปุกเกียร์ เพลาขับ ล้อ พวงมาลัย รวมถึงอุปกรณ์ส่องสว่างและหัวเทียน ส่วนชิ้นส่วนอื่นอย่างถุงลมนิรภัย ยางรถยนต์ หรือเครื่องยนต์ ได้รับผลกระทบน้อยกว่า เพราะมีการกระจายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น เช่น อาเซียนหรือแอฟริกาใต้

ด้านการส่งออกรถยนต์ทั้งคัน ไทยยังรอดพ้นจากผลกระทบโดยตรง เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่ใช่ตลาดหลัก โดยในปี 2567 ไทยส่งออกรถยนต์นั่งไปเพียง 36,000 คัน และมีแผนยุติการจำหน่ายในตลาดนี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ภาษีที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้การกลับไปแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ยากขึ้นกว่าเดิมในอนาคต

สหรัฐฯ ได้ออกมาตรการคืนเงินภาษีบางส่วนให้กับค่ายรถที่นำเข้าชิ้นส่วน OEM เพื่อประกอบภายในประเทศ โดยเริ่มมีผลตั้งแต่ 29 เมษายน 2568 แต่การช่วยเหลือนี้ยังมีข้อจำกัด เพราะครอบคลุมเฉพาะบางรายการที่ค่ายรถเลือกเอง ขณะที่ชิ้นส่วน REM ซึ่งรวมถึงยางรถยนต์และหัวเทียน—ซึ่งไทยส่งออกมากกว่า 50% ของยอดรวม—ไม่เข้าข่ายรับการชดเชย ต้องแบกรับภาษีเต็มจำนวน

ทางรอดของไทยในสถานการณ์นี้ คือการเร่งเจาะตลาดใหม่ในภูมิภาคอื่น เช่น อาเซียน แอฟริกาใต้ และตะวันออกกลาง ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพสินค้าสู่มาตรฐานโลก รวมถึงการใช้เวทีเจรจาการค้าเพื่อลดอุปสรรคภาษีจากสหรัฐฯ และปรับกลยุทธ์การผลิตให้สามารถแข่งขันได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ครั้งนี้ ไม่เพียงกระทบอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนว่าการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป อาจกลายเป็นจุดอ่อนในวันที่โลกเปลี่ยนกติกาใหม่อีกครั้ง

ที่มา - mgronline

news-20250520-01

ธุรกิจโลจิสติกส์ไทยสดใส เปิดกิจการใหม่โต 7.9% ต่างชาติแห่ลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท

ภาคโลจิสติกส์ของไทยยังคงเดินหน้าขยายตัวต่อเนื่อง โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) รายงานว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีนิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์รวมกว่า 45,600 ราย โดยในเดือนมีนาคม 2568 มีการเปิดกิจการใหม่ถึง 300 ราย เพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน การปิดกิจการมีเพียง 33 ราย ลดลงถึง 26.7% ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของความเชื่อมั่นและการฟื้นตัวในภาคขนส่ง

หนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่เติบโตโดดเด่นที่สุดคือ “การขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร” ซึ่งมีการจดทะเบียนใหม่มากที่สุดถึง 165 ราย คิดเป็นอัตราการเติบโต 19.6% แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเดินทางและการขนส่งที่กลับมาคึกคักอีกครั้งทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ด้านการลงทุนจากต่างชาติในภาคโลจิสติกส์ก็ไม่น้อยหน้า โดยเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียว มีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้กว่า 2,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของการลงทุนในภาคโลจิสติกส์ทั้งหมดในประเทศไทย โดยนักลงทุนหลักมาจากประเทศเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีส จีน กัมพูชา สิงคโปร์ และไต้หวัน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค

ขณะเดียวกัน ประเทศเพื่อนบ้านก็เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเชื่อมโยงภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น จีนเตรียมเปิดใช้งานด่านโหย่วอี้กวนแบบอัจฉริยะในเดือนมิถุนายน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการรองรับรถบรรทุกข้ามแดนได้ถึง 3,000 คันต่อวัน และลดต้นทุนการขนส่งสินค้าต่อเที่ยวลงกว่า 1,000 หยวน อีกทั้งยังดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ระยะทางระหว่างฮานอยและหนานหนิงลดเหลือเพียง 1 วัน

ส่วนกัมพูชา ก็ไม่หยุดนิ่ง ล่าสุดประสบความสำเร็จในการเชื่อมต่อระบบขนส่งความเย็น (Cold Chain) ระหว่างท่าเรือเกาะกงกับฝางเฉิงก่างของจีน โดยลดระยะเวลาขนส่งสินค้าสดลงมากกว่าครึ่ง เหลือเพียง 7 วัน และประหยัดต้นทุนกว่า 20% ซึ่งถือเป็นอีกก้าวของภูมิภาคในการพัฒนาเส้นทางโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพสูง

อีกด้านหนึ่งของโลก อียิปต์ก็เตรียมเปิดตัวคลองสุเอซโฉมใหม่ภายในปี 2568 รองรับแนวโน้มการคลี่คลายความตึงเครียดในทะเลแดง โดยคลองสุเอซใหม่นี้จะเสริมบริการต่างๆ เช่น ซ่อมบำรุงเรือ เติมเชื้อเพลิง เปลี่ยนลูกเรือ และการจัดการขยะ รวมถึงขุดลอกและขยายช่องทางเดินเรือในบางช่วง เพื่อเพิ่มความสามารถในการรองรับเรือขนส่งจากทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวจากฝั่งสหรัฐฯ ยังคงสร้างแรงกระเพื่อมต่อระบบโลจิสติกส์ทั่วโลก โดยการใช้มาตรการ “ภาษีตอบโต้” กับหลายประเทศ ทำให้ต้นทุนการผลิตภายในของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และกระทบต่อค่าครองชีพของชาวอเมริกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ ยังส่งผลโดยตรงต่อภาคบริการโลจิสติกส์ เช่น ตัวแทนศุลกากร ที่ต้องแบกรับภาระจากขั้นตอนเอกสารและข้อกำหนดที่ยังไม่มีความชัดเจน

แผนล่าสุดของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าเทียบท่าจากเรือจีน รวมถึงการควบคุมแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลโลจิสติกส์ อาจส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งผ่านท่าสหรัฐฯ สูงขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

ในด้านของไทย ข้อมูลจากแดชบอร์ดธุรกิจบริการโลจิสติกส์ของ สนค. เผยว่า มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในปี 2567 อยู่ที่ 2.62 ล้านล้านบาท โดยการขนส่งทางเรือมีสัดส่วนมากที่สุดถึง 61.29% ตามด้วยการขนส่งทางอากาศที่ 37.17% สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของระบบโลจิสติกส์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

แม้โลกจะเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านการค้าและนโยบาย แต่ภาคโลจิสติกส์ของไทยยังคงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความยืดหยุ่นในการปรับตัว สร้างโอกาสใหม่ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ที่มา - thansettakij

news-20250516-03

“บีวายดี เซินเจิ้น” เรือขนส่งรถยนต์ลำใหญ่ที่สุดในโลก ออกเดินทางเที่ยวแรกสู่บราซิล

จีนประกาศศักดาอุตสาหกรรมเรือขนส่ง ด้วยการเปิดตัว “บีวายดี เซินเจิ้น” เรือบรรทุกรถยนต์พลังงานใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเพิ่งออกเดินทางเที่ยวแรกมุ่งหน้าสู่บราซิล โดยเรือลำนี้มีความยาวถึง 219 เมตร กว้าง 37.7 เมตร และสามารถบรรทุกรถยนต์ได้ถึง 9,200 คัน พัฒนาและต่อเรือโดยบริษัทในเครือของ China Merchants Group ทั้งหมดภายในประเทศจีนเอง ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่สะท้อนความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมต่อเรือและการส่งออกรถยนต์ของจีน

เรือ “บีวายดี เซินเจิ้น” ไม่ได้โดดเด่นแค่ขนาดมหึมาเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูง ระบบควบแน่นก๊าซเชื้อเพลิง (BOG recondenser) และสารเคลือบต้านการเกาะของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ ซึ่งช่วยลดแรงต้าน เพิ่มความเร็ว และลดการใช้พลังงานลงอย่างมีนัยสำคัญ ถือเป็นการออกแบบที่ทั้งประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นายหวัง จวิ้นเป่า ผู้จัดการทั่วไปแผนกธุรกิจสาธารณะของ BYD กล่าวว่า เรือขนส่งลำนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรือโลจิสติกส์ธรรมดา แต่เปรียบเสมือน “สะพานทางทะเล” ที่เชื่อมเทคโนโลยีจีนเข้ากับตลาดโลก มีทั้งระบบโหลดสินค้อัจฉริยะและระบบป้องกันความเสียหายที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจะเดินทางไปถึงมือผู้บริโภคอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุด

ข้อมูลจากกรมศุลกากรจีนระบุว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา จีนส่งออกรถยนต์รวมกว่า 6.4 ล้านคัน ครองอันดับหนึ่งของโลกต่อเนื่องเป็นปีที่สอง และแนวโน้มก็ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของจีน เช่น BYD, Chery และ SAIC Motor ต่างเร่งลงทุนในกองเรือขนส่งของตัวเอง เช่น SAIC ได้สั่งต่อเรือบรรทุกรถยนต์ขนาดใหญ่กว่า 7,000 คันหลายลำจากอู่เรือเจียงหนาน

เฉพาะในไตรมาสแรกของปี 2568 เรือของ BYD สามารถขนส่งรถยนต์พลังงานใหม่ไปต่างประเทศได้มากกว่า 25,000 คัน ขณะที่ในปี 2567 รถยนต์ของ BYD ถูกส่งไปจำหน่ายในเมืองต่าง ๆ กว่า 400 เมืองทั่วโลก ครอบคลุมกว่า 100 ประเทศ ยอดขายต่างประเทศอยู่ที่ 417,200 คัน โดย “บราซิล” ถือเป็นตลาดดาวรุ่ง ด้วยยอดขายสูงถึง 76,700 คัน โตขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 328% จากปีก่อนหน้า

การเปิดตัวเรือ “บีวายดี เซินเจิ้น” ครั้งนี้ไม่เพียงตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ของจีน แต่ยังส่งสัญญาณชัดเจนถึงบทบาทที่ประเทศจีนจะมีต่อซัพพลายเชนของโลกในอนาคต ทั้งในด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และพลังงานสะอาด

ที่มา - dailynews

news-20250516-02

'ม.ศรีปทุม' ปฏิวัติการเรียนโลจิสติกส์ ดึงบอร์ดเกม - VR เปลี่ยนทฤษฎีให้จับต้องได้

มหาวิทยาลัยศรีปทุมเดินหน้าพลิกโฉมการเรียนการสอนโลจิสติกส์ด้วยแนวคิดใหม่ที่ไม่เหมือนใคร นำบอร์ดเกมและเทคโนโลยี VR เข้ามาใช้จริงในห้องเรียนเป็นแห่งแรกของไทย เป้าหมายคือเปลี่ยนความรู้เชิงทฤษฎีให้กลายเป็นประสบการณ์จริง เพื่อให้นักศึกษาสามารถเข้าใจระบบโลจิสติกส์อย่างลึกซึ้ง และพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานทันทีหลังเรียนจบ

ผศ.ดร.ธรินี มณีศรี คณบดีวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ม.ศรีปทุม เปิดเผยว่า ปัจจุบันรูปแบบการเรียนรู้ของนักศึกษามีการเปลี่ยนแปลงไปมาก การสอนด้วยบอร์ดเกมจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักศึกษาเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม เข้าใจระบบโลจิสติกส์แบบเป็นภาพรวม โดยบอร์ดเกมที่ใช้ในหลักสูตรได้รับการพัฒนาร่วมกับคณะดิจิทัลมีเดียเป็นเวลากว่า 6 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาการและสามารถประยุกต์ใช้ในโลกอุตสาหกรรมได้จริง

จุดเด่นของบอร์ดเกมนี้คือ การนำแผนที่ประเทศไทยมาใช้เป็นฐานข้อมูลหลัก ให้นักศึกษาได้ฝึกคิดวางแผนจัดวางคลังสินค้า การกระจายสินค้า รวมถึงการบริหารโซ่อุปทานในบริบทของประเทศตัวเอง ทำให้สามารถเชื่อมโยงบทเรียนเข้ากับสภาพแวดล้อมจริงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และยังออกแบบให้เหมาะกับทั้งนักเรียนมัธยมต้นจนถึงระดับอุดมศึกษาอีกด้วย

ควบคู่กันไป เทคโนโลยี VR หรือโลกเสมือนจริง ก็ถูกนำมาเสริมในการเรียนการสอน ช่วยให้นักศึกษาได้ “ลงมือทำ” ผ่านประสบการณ์จำลอง เช่น การจัดการคลังสินค้าแบบเรียลไทม์ การวางแผนเส้นทางขนส่ง และสถานการณ์จำลองต่าง ๆ ในซัพพลายเชน ซึ่งช่วยเสริมทั้งความเข้าใจและทักษะการตัดสินใจเชิงลึกที่ใช้ได้จริงในสายงานโลจิสติกส์ยุคใหม่

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงสอดรับกับเทรนด์การศึกษายุคใหม่เท่านั้น แต่ยังตอบโจทย์ตรงกับทิศทางของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันตลาดโลจิสติกส์ของไทยมีมูลค่ากว่า 2.3 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3.1 ล้านล้านบาทภายในปี 2569 ขณะเดียวกันแรงงานในภาคนี้จะขยับจาก 5.7 ล้านคนเป็นกว่า 6.6 ล้านคน ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการบุคลากรที่มีทักษะสูงและเข้าใจระบบอย่างแท้จริง

ผศ.ดร.ธรินี ยังเน้นย้ำว่า อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในอนาคตจะไม่ใช่แค่เรื่องของการขนส่งหรือคลังสินค้าเท่านั้น แต่ต้องการผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะการวิเคราะห์ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการบริหารซัพพลายเชนแบบครบวงจร เพราะฉะนั้นการออกแบบหลักสูตรที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาช่วยสอนจึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างบัณฑิตที่พร้อมสำหรับโลกการทำงานจริง

มหาวิทยาลัยศรีปทุมมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อปั้นนักศึกษาที่ไม่ใช่แค่ “เรียนจบ” แต่ “ทำงานเป็น” และเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของไทยให้ก้าวสู่ระดับสากลอย่างมั่นคง

ที่มา - prachachat

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us