News

L2D Page (125)

“พิพัฒน์” เดินหน้าจัดระเบียบถนน - ลดต้นทุนขนส่ง สั่งยกระดับความปลอดภัยประชาชน และแก้ปัญหาโลจิสติกส์ทั้งระบบ

“พิพัฒน์” เดินหน้าจัดระบบถนน ลดต้นทุนขนส่ง ยกระดับความปลอดภัย–แก้ปัญหาโลจิสติกส์ทั้งห่วงโซ่

เนื้อหา (เรียบเรียงใหม่ทั้งหมด ไม่มี bullet point):
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการหารือร่วมกับสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และผู้ประกอบการจาก 13 สมาคม เพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาระบบขนส่งทางถนนทั้งด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และต้นทุนโลจิสติกส์ โดยการประชุมจัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 ณ กระทรวงคมนาคม

นายพิพัฒน์กล่าวขอบคุณสหพันธ์ฯ ที่ร่วมสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคใต้ โดยได้จัดส่งรถบรรทุกและถุงยังชีพให้ประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับผลกระทบผ่านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบกจัดทำแผนฟื้นฟูด้านอุปกรณ์รถบรรทุก รวมถึงเจรจากับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเพื่อให้มีส่วนลดค่าซ่อมบำรุงแก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ประสบภัย

ประเด็นสำคัญอีกด้านคือการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งกระทรวงคมนาคมเร่งติดตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยสหพันธ์ฯ เสนอให้มีการจัดพื้นที่บางส่วนภายในท่าเรือเพื่อใช้พักตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้รถหัวลากสามารถนำตู้ลงก่อนแล้วไปทำงานอื่นต่อโดยไม่ต้องรอคิวเป็นเวลานาน แนวทางนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยลดความแออัดได้ ซึ่งนายพิพัฒน์ระบุว่าจะนำเรื่องให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยพิจารณา หากสามารถดำเนินการได้ก็พร้อมสนับสนุนตามข้อเสนอของภาคเอกชน

ในส่วนมาตรการควบคุมน้ำหนักรถบรรทุก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้กรมการขนส่งทางบกบูรณาการร่วมกับกรมทางหลวงและการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำมาตรฐานการชั่งน้ำหนักและระบบบังคับใช้กฎหมายแบบเดียวกันทั่วประเทศ พร้อมทั้งเร่งการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการใช้ถนนของรถเครนให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 เพื่อรองรับการทำงานของภาคขนส่งวิศวกรรมและงานยกขนาดใหญ่

นายทองอยู่ คงขันธ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เสนอประเด็นปัญหานิติบุคคลนอมินีจากต่างประเทศที่เข้ามาดำเนินธุรกิจขนส่งในไทย ซึ่งอาจก่อให้เกิดการหลีกเลี่ยงกฎหมายทั้งด้านการนำเข้า การลำเลียงสินค้า และการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยขอให้ภาครัฐเร่งตรวจสอบและวางมาตรการป้องกันเรื่องนี้ นายพิพัฒน์ได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบกหารือกับสหพันธ์ฯ เพื่อพิจารณาข้อกฎหมายและแนวทางดำเนินการต่อไป

นายทองอยู่ระบุเพิ่มเติมว่าสหพันธ์ฯ ซึ่งประกอบด้วยสมาคมด้านขนส่งและโลจิสติกส์ 13 องค์กรทั่วประเทศ พร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลทั้งในการผลักดันกฎระเบียบที่เอื้อต่อธุรกิจ การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และการตรวจสอบให้ระบบขนส่งโปร่งใสและเป็นธรรม โดยย้ำว่าผู้ประกอบการมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพร้อมสนับสนุนนโยบายกระทรวงคมนาคมทุกด้าน

นายพิพัฒน์กล่าวปิดท้ายว่า กระทรวงคมนาคมพร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากภาคเอกชนเพื่อร่วมกันพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ของไทยให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และแข่งขันได้ในระดับสากล ภาครัฐจะทำหน้าที่กำหนดกรอบกฎหมายและโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นธรรม ขณะที่ผู้ประกอบการเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนระบบขนส่งให้เชื่อมโยงเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งความสำเร็จต้องอาศัยความร่วมมือที่แน่นแฟ้นของทั้งสองฝ่ายในการวางอนาคตร่วมกัน.

L2D Page (124)

ส่งออกกุ้งไทยปี 69 ส่อฟื้นตัวแรง รับอานิสงส์สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าอินเดียสูงปรี๊ด! ช่วยเพิ่มขีดแข่งขัน

ส่งออกกุ้งไทยปี 2569 ส่อฟื้นแรง หลังสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าอินเดีย หนุนโอกาสแข่งขัน-ดันอุตสาหกรรมสู่จุดพลิกฟื้น

เนื้อหา (เรียบเรียงใหม่ทั้งหมด ไม่มี bullet point):
อุตสาหกรรมกุ้งไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวในปี 2569 จากปัจจัยสำคัญด้านการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะมาตรการขึ้นภาษีนำเข้ากุ้งของสหรัฐต่ออินเดีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ ทำให้อัตราภาษีรวมของอินเดียพุ่งขึ้นกว่า 50–60% ขณะที่ไทยถูกจัดเก็บเพียงราว 19% ส่งผลให้ไทยมีโอกาสด้านราคาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในตลาดหลักของสหรัฐ

นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย พร้อมคณะผู้บริหารสมาคมกุ้งไทยและสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย แถลงถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมกุ้งโลกและแนวโน้มของไทยในปี 2569 โดยระบุว่าผลผลิตกุ้งไทยในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 270,000 ตัน ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แม้จะได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวนในช่วงต้นปี ปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น และโรคระบาดในบ่อเพาะเลี้ยง เช่น โรคขี้ขาว และโรคตัวแดงดวงขาว ความไม่มั่นคงของคุณภาพน้ำทำให้เกษตรกรจำนวนมากต้องจับกุ้งเร็วกว่ารอบปกติ ประกอบกับมหาอุทกภัยในภาคใต้ซึ่งสร้างความเสียหายหนักในจังหวัดสงขลา สตูล และปัตตานี

สมาคมฯ ประเมินความเสียหายเบื้องต้นจากอุทกภัยครั้งนี้ไว้ที่ราว 1,000 ล้านบาท ทั้งจากปริมาณกุ้งที่สูญหายในบ่อเพาะเลี้ยงและอุปกรณ์จำเป็น เช่น เครื่องตีน้ำและระบบในฟาร์มที่ถูกทำลาย จึงมีข้อเสนอให้รัฐบาลและกระทรวงพลังงานร่วมกันจัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูอุปกรณ์เพาะเลี้ยงอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เกษตรกรสามารถกลับมาเลี้ยงกุ้งได้ทันในรอบการผลิตถัดไป

ด้านโครงสร้างผลผลิตของประเทศยังคงใกล้เคียงเดิม โดยภาคใต้ตอนบนมีสัดส่วนสูงที่สุดที่ราว 37% ตามด้วยภาคใต้ฝั่งอันดามัน 23% ภาคตะวันออก 19% ภาคใต้ตอนล่างฝั่งอ่าวไทย 11% และภาคกลาง 10% ขณะที่การส่งออกช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 มีปริมาณ 106,306 ตัน มูลค่า 32,881 ล้านบาท ลดลง 6% จากปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งกระทบตลาดคู่ค้าหลักทั้งสหรัฐ ญี่ปุ่น และจีน อย่างไรก็ตาม ตลาดบริโภคภายในประเทศกลับขยายตัวอย่างโดดเด่น คิดเป็นสัดส่วนราว 15% ของผลผลิตทั้งหมด โดยราคากุ้งในประเทศช่วงครึ่งปีแรกปรับเพิ่ม 10–15% จากความต้องการบริโภคที่ดีขึ้น ก่อนจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยในไตรมาสสามจากสภาพอากาศที่ทำให้เกษตรกรเร่งจับขายก่อนเวลา

สำหรับภาพรวมระดับโลก คาดว่าปริมาณการผลิตกุ้งปี 2568 จะอยู่ที่ 5.22 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4% โดยผู้ผลิตหลักอย่างเอกวาดอร์และจีนมีการขยายกำลังการผลิตต่อเนื่อง ขณะที่ไทยยังคงทรงตัวที่ 270,000 ตัน

นายเอกพจน์เน้นว่า ปี 2569 จะเป็นปีสำคัญของการพลิกฟื้นอุตสาหกรรมกุ้งไทย เนื่องจากปัจจัยภายนอกเอื้อต่อการแข่งขัน โดยเฉพาะมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐที่ทำให้ไทยได้เปรียบด้านราคา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยต้องเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้ตามเป้า 400,000 ตัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ห้องเย็นและผู้ซื้อในตลาดโลก พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งผลักดันการยกระดับมาตรฐานฟาร์ม การเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาโครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาร์บอนต่ำ เพื่อตอบโจทย์ตลาดโลกที่ให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

เขาย้ำว่าพรรคการเมืองที่จะเสนอตัวเป็นรัฐบาลในอนาคตควรกำหนดนโยบายเกษตรที่ชัดเจน โดยเฉพาะการฟื้นฟูอุตสาหกรรมกุ้งไทย ซึ่งติดหล่มปัญหาผลผลิตระดับ 270,000 ตันมานาน การฟื้นตัวของตลาดโลกในปี 2569 เปิดโอกาสสำคัญ แต่ไทยต้องเร่งผลิตให้เพียงพอ เพื่อกลับมายึดส่วนแบ่งตลาดที่สูญเสียไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา.

L2D Page (123)

รฟม. ลุยขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมาย “ศูนย์กลางพัฒนาบุคลากรระบบรางของประเทศไทย”

รฟม. เดินหน้าพัฒนาศักยภาพบุคลากร มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางฝึกอบรมระบบรางของประเทศ
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) นำโดยนายพัฒนพงษ์ พงศ์ศุภสมิทธิ์ รองผู้ว่าการ (บริหาร) พร้อมนายสุทัศน์ สิขเรศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ และผู้แทนองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ได้นำคณะสื่อมวลชนสายคมนาคมเดินทางเยี่ยมชมศูนย์ฝึกอบรมระบบราง Tokyo Metro Academy ของบริษัท โตเกียว เมโทร จำกัด ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อศึกษาการบริหารจัดการหลักสูตร การถ่ายทอดประสบการณ์เดินรถ และองค์ความรู้ด้านระบบรางจากหนึ่งในผู้ให้บริการรถไฟใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ปัจจุบัน Tokyo Metro Academy ยังเปิดหลักสูตรออนไลน์เพื่อรองรับผู้ฝึกอบรมจากทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมด้านองค์ความรู้และบทบาทของสถาบันในฐานะแหล่งแลกเปลี่ยนความรู้ระดับนานาชาติ

นายพัฒนพงษ์เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรระบบรางของ รฟม. มาแล้วกว่า 6 ปี โดยเปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2562 เพื่อพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการเดินรถไฟฟ้าและระบบขนส่งทางรางในทุกมิติ หลักสูตรการเรียนการสอนครอบคลุมตั้งแต่การควบคุมการเดินรถ การควบคุมรถไฟฟ้า การซ่อมบำรุง การจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉิน ไปจนถึงองค์ความรู้ด้านระบบสนับสนุนต่าง ๆ อาทิ ระบบสื่อสาร ระบบสถานี ลิฟต์ บันไดเลื่อน และงานระบบอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเปิดรับทั้งพนักงานของ รฟม. บุคลากรในบริษัทเดินรถ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านระบบราง อาจารย์ นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่สนใจ

วิทยากรของศูนย์ฯ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก รฟม. และเครือข่ายพันธมิตรด้านวิชาการ ซึ่งร่วมกันพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานสากล สามารถปฏิบัติงานในระบบรางได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการบุคลากรในอุตสาหกรรมระบบรางที่ขยายตัวต่อเนื่องในประเทศไทย

รฟม. ยังมุ่งพัฒนาศูนย์ฝึกอบรมฯ ให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการพัฒนาบุคลากรระบบรางของประเทศ โดยนำองค์ความรู้และประสบการณ์จากความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศมาบูรณาการ เพื่อผลักดัน รฟม. ให้เป็นองค์กรชั้นนำด้านระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางของประชาชน และยกระดับมาตรฐานระบบรางไทยให้ทัดเทียมสากลในอนาคต

L2D Page (122)

คมนาคม ย้ำ สนามบินอุบลฯ-สุราษฎร์ฯ ยังคงพื้นที่ “ห้ามบินโดรน” เด็ดขาด!!

คมนาคมย้ำคุมเข้ม “ห้ามบินโดรน” รอบสนามบินอุบลฯ–สุราษฎร์ฯ ตลอดเดือนธันวาคม 2568
นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ออกประกาศฉบับที่ 11 เรื่องการห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่ยังต้องเฝ้าระวังร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคง แม้จะมีการประเมินสถานการณ์และปรับลดพื้นที่ห้ามบินรอบสนามบินเหลือ 6 แห่ง แต่พื้นที่บางจุดยังคงต้องใช้มาตรการควบคุมเข้มงวด โดยเฉพาะสนามบินในภาคใต้และอีสานตอนล่าง ประกาศดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 1–31 ธันวาคม 2568 หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

รมช.คมนาคมระบุว่า ได้สั่งการให้กรมท่าอากาศยานกำชับท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานีและท่าอากาศยานอุบลราชธานี ซึ่งยังอยู่ในพื้นที่ควบคุมตามประกาศของกพท. ให้คงความเข้มงวดในการเฝ้าระวังและตรวจสอบการใช้โดรนในรัศมี 9 กิโลเมตรรอบสนามบิน เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการบินเชิงพาณิชย์และความปลอดภัยของผู้โดยสาร พร้อมให้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ ทั้งทหาร ตำรวจ และศูนย์ต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (ศบตอ.น.) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้ท่าอากาศยานติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์เงื่อนไขการบินและข้อห้ามต่าง ๆ ให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง โดยย้ำว่าผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามบินโดรนในเขตหวงห้าม จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

ด้านนายดนัย เรืองสอน อธิบดีกรมท่าอากาศยาน ยืนยันว่าท่าอากาศยานในสังกัดทุกแห่งมีมาตรฐานความปลอดภัยตามข้อกำหนดของกพท. ทั้งในด้านมาตรการรักษาความปลอดภัย ระบบอำนวยความสะดวก ผู้ปฏิบัติงาน และความพร้อมตามแผนเผชิญเหตุและแผนฉุกเฉินของสนามบิน โดยเจ้าหน้าที่ประจำการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้มั่นใจว่าการเดินทางของประชาชนจะปลอดภัยสูงสุด

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us