News

news-20250606-02

"สุริยะ" ลุยหนองคาย! ตรวจงานก่อสร้างถนน หวังดันเป็นฮับโลจิสติกส์ใหญ่ เชื่อมไทย-ลาว-จีน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดหนองคายเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างและปรับปรุงเส้นทางคมนาคมสำคัญ โดยมีเป้าหมายผลักดันจังหวัดหนองคายให้เป็นประตูการค้าและศูนย์กลางโลจิสติกส์สำคัญของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เชื่อมโยงการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างไทย สปป.ลาว และจีนตอนใต้

การตรวจราชการครั้งนี้ เริ่มต้นที่หอประชุมเทศบาลเมืองท่าบ่อ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย โดยมี นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม, นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง, นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท และคณะผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วม พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ส.ส.หนองคาย และผู้นำท้องถิ่นร่วมให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

นายสุริยะได้ลงพื้นที่ติดตามงานก่อสร้างทางหลวงผ่านย่านชุมชน บนทางหลวงหมายเลข 211 ตอนหนองสองห้อง-ศรีเชียงใหม่ บริเวณอำเภอท่าบ่อ จากนั้นเดินทางต่อไปยังอำเภอโพนพิสัย เพื่อติดตามกิจกรรมปรับปรุงการแบ่งทิศทางการจราจรเพื่อความปลอดภัย บนทางหลวงหมายเลข 212 ตอนปากสวยน้ำเป ซึ่งโครงการเหล่านี้ได้มีการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ 2569 แล้ว

นายสุริยะ กล่าวเน้นย้ำว่า จังหวัดหนองคายเป็นประตูเชื่อมโยงการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวที่สำคัญ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพของพื้นที่ในการรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต โครงการที่กำลังดำเนินการอยู่และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะช่วยปรับปรุงและพัฒนาโครงข่ายทางให้ครอบคลุม ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชน เชื่อมต่อแหล่งผลิต แหล่งท่องเที่ยว และที่สำคัญที่สุดคือเชื่อมโยงไปยัง สปป.ลาว และประเทศจีนตอนใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

news-20250606-01

LEO ปลื้ม! `LEO Self Storage` คว้ารางวัลชนะเลิศ Technology & Innovation ถึง 2 รางวัล จากเวที Self Storage Expo Asia 2025 ตอกย้ำจุดยืนผู้นำธุรกิจ Self Storage ของไทย

บมจ. ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) ปลื้ม "LEO Self Storage" คว้ารางวัลชนะเลิศด้าน Technology & Innovation ถึง 2 รางวัล ทั้งระดับเอเชียและระดับประเทศไทย จากเวที Self Storage Expo Asia 2025 ฟากบิ๊กบอส "เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์" มั่นใจศักยภาพทีมงานพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการยุคใหม่ พร้อมยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม Self Storage ของไทยสู่เวทีระดับโลก

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า LEO Self Storage ได้รับรางวัลชนะเลิศด้าน Technology & Innovation ถึง 2 รางวัล จากงาน Self Storage Expo Asia 2025 ซึ่งจัดโดยสมาคม Self Storage Association Asia (SSAA) ซึ่งเป็นสมาคมของผู้ประกอบการธุรกิจ Self Storage จากหลากหลายประเทศทั่วโลก ได้แก่ Technology & Innovation Award – Asia และ Technology & Innovation Award – Thailand สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทีมงาน LEO Self Storage ในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการยุคใหม่ พร้อมยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม Self Storage ของไทยสู่เวทีระดับโลก

“รางวัลนี้คือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เรามั่นใจในการเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม Self Storage ของไทยและเอเชียให้เติบโตอย่างยั่งยืน อีกทั้งการได้รับรางวัลจาก SSAA ในครั้งนี้ ยังถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ LEO ในการเสริมสร้างศักยภาพทางธุรกิจของกลุ่มบริษัท และตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านโลจิสติกส์และบริการเสริมในภูมิภาคเอเชียอย่างแท้จริง”

ความสำเร็จของ LEO Self Storage กับนวัตกรรมระบบ Smart Self-Storage ที่คว้ารางวัลระดับเอเชีย เกิดจากการพัฒนาระบบ Smart Self-Storage System ขึ้นเองอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อลดการพึ่งพาผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ภายนอก ลดต้นทุนระยะยาว และเพิ่มประสิทธิภาพในการขยายธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งระบบดังกล่าวออกแบบโดยอิงจากประสบการณ์ตรงของผู้ใช้งานจริงทั้งในฐานะผู้ให้บริการและลูกค้า โดยมีจุดเด่นประกอบด้วย 1.ระบบจองพื้นที่ออนไลน์แบบเรียลไทม์ พร้อมชำระเงินอัตโนมัติ 2.ระบบควบคุมการเข้าออกด้วย Electronics Key ผ่านมือถือทั้งประตูหลัก ลิฟต์ และห้องเก็บของ 3.ระบบรักษาความปลอดภัยหลายชั้น พร้อมการแจ้งเตือนอัตโนมัติ 4.การลงทะเบียนแบบไร้เอกสาร (paperless) พร้อมเซ็นสัญญาดิจิทัล และ 5. แอปพลิเคชันรองรับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใช้งานง่าย พร้อมข้อมูลแบบเรียลไทม์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO กล่าวว่า นอกจากการเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน ระบบยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์และค่าบริการรายเดือนจากผู้ให้บริการภายนอก ลดการใช้พลังงานผ่านระบบควบคุมไฟและลิฟต์อัตโนมัติ และสามารถบริหารจัดการธุรกิจด้วยข้อมูลเชิงลึกจากระบบวิเคราะห์ข้อมูล (analytics) เพื่อปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้ระบบ Paperless อย่างเต็มรูปแบบ ช่วยลดการใช้กระดาษในการทำธุรกรรมและงานเอกสารทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมตามแนวทาง ESG (Environmental, Social and Governance) การพัฒนานี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อน LEO Self Storage สู่การเป็นบริษัทชั้นนำในตลาด Self Storage ไม่เพียงในประเทศไทย แต่ในระดับภูมิภาคเอเชียอย่างแท้จริง

“ด้วยนวัตกรรมนี้ LEO Self Storage สามารถให้บริการแบบ Self-Service 24/7 ที่ทั้งสะดวก ปลอดภัย และคุ้มค่า พร้อมรองรับการขยายตัวสู่หลายสาขาโดยไม่เพิ่มต้นทุนบุคลากรอย่างมีนัยสำคัญ” นายเกตติวิทย์ กล่าวในที่สุด

ที่มา - efinancethai

news-20250605-02

"ทรัมป์" ลงนามแล้ว! ขึ้นภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียมพุ่ง 50% จุดชนวนสงครามการค้าปะทุอีกครั้ง

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในคำสั่งสำคัญเพื่อ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป การตัดสินใจครั้งนี้เป็นไปตามคำมั่นสัญญาของทรัมป์ที่จะใช้มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนผู้ผลิตในประเทศและปกป้องความมั่นคงของชาติ ท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดทางการค้าที่กำลังปะทุขึ้นอีกครั้ง

คำสั่งดังกล่าวระบุชัดเจนว่า "การปรับขึ้นภาษีนำเข้าก่อนหน้านี้ยังไม่ทำให้อุตสาหกรรมในประเทศสามารถพัฒนาและรักษาอัตรากำลังการผลิตที่จำเป็นต่อสุขภาพที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมและความต้องการด้านการป้องกันประเทศที่คาดการณ์ไว้ได้" และยังกล่าวเสริมว่า "การปรับขึ้นภาษีนำเข้าจะเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมเหล่านี้มากขึ้น และลดหรือขจัดภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติที่เกิดจากการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กและอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์จากวัสดุดังกล่าว"

อย่างไรก็ตาม ภาษีนำเข้าโลหะจากสหราชอาณาจักรจะยังคงอยู่ที่อัตราเดิม 25% เพื่อให้ทั้งสองประเทศสามารถดำเนินการจัดเก็บภาษีหรือกำหนดโควตาใหม่ได้ภายในเส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคม

การเคลื่อนไหวของทรัมป์ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ กำลังเจรจากับคู่ค้าจำนวนมากเกี่ยวกับภาษีศุลกากรตอบโต้ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสามารถของประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีศุลกากรฝ่ายเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ศาลการค้าระหว่างประเทศได้ตัดสินเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจในส่วนนั้น

ทว่า การขึ้นภาษีโลหะในครั้งนี้ของทรัมป์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำตัดสินดังกล่าว เนื่องจากเป็นการใช้อำนาจอื่นในการบังคับใช้ ซึ่งทรัมป์ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ย่อท้อที่จะขึ้นภาษีศุลกากรและเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ เสนอข้อเสนอที่น่าพึงพอใจ

news-20250605-01

ครม. ไฟเขียว "กาจผจญ" นั่งผู้ว่า รฟม. คนใหม่! ภารกิจเร่งด่วน "รถไฟฟ้า 20 บาท" และดันโครงข่ายสายใหม่

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี อดีตผู้บริหารการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) คนใหม่ นับเป็นการเคลื่อนไหวสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการขับเคลื่อนนโยบายรถไฟฟ้าค่าโดยสาร 20 บาท และการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าในอนาคต

การแต่งตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากคณะกรรมการสรรหาได้ดำเนินการคัดเลือกผู้เหมาะสมในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยนายกาจผจญเป็นหนึ่งในสี่ผู้สมัครที่ผ่านกระบวนการคัดเลือก ด้วยประสบการณ์ที่หลากหลายในแวดวงคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นการเคยดำรงตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า และผู้ช่วยผู้ว่าการ รฟม. รวมถึงรองผู้ว่าการ (ยุทธศาสตร์และแผน) ของ กทพ.

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ภารกิจเร่งด่วนของผู้ว่าฯ รฟม. คนใหม่ คือการผลักดันนโยบายอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาททุกสีทุกสาย ให้เป็นรูปธรรมภายในเดือนกันยายนนี้ ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ ๆ

ตำแหน่งผู้ว่าการ รฟม. ถือเป็นตำแหน่งสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนนโยบายและการประมูลโครงการพัฒนารถไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสำคัญที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้โอนให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการพัฒนา ได้แก่:

  • รถไฟฟ้าสายสีเงิน (บางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) ระยะทาง 19.7 กิโลเมตร วงเงินลงทุนประมาณ 89,948.27 ล้านบาท ซึ่งจะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว (สถานีบางนา) และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (สถานีศรีเอี่ยม)
  • รถไฟฟ้าสายสีเทา ระยะที่ 1 (วัชรพล-ทองหล่อ) ระยะทาง 16.3 กิโลเมตร วงเงินลงทุนประมาณ 29,130 ล้านบาท โดยโครงการนี้จะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าถึง 5 สายทาง ได้แก่ สายสีชมพู (สถานีวัชรพล), สายสีน้ำตาล (สถานีคลองลำเจียก), สายสีเหลือง (สถานีฉลองรัช), สายสีส้ม (สถานีพระราม 9), และสายสีเขียว (สถานีทองหล่อ)
  • รถไฟฟ้าสายสีฟ้า (ดินแดง-สาทร) ระยะทาง 9.5 กิโลเมตร แม้จะยังไม่มีการประเมินวงเงินลงทุน แต่ถือเป็นโครงข่ายสำคัญที่จะเข้าถึงพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน และสามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (สถานีลุมพินี) และรถไฟฟ้าสายสีเขียว (สถานีเพลินจิต)

การแต่งตั้งผู้บริหารคนใหม่ในครั้งนี้ จึงเป็นสัญญาณชัดเจนว่ารัฐบาลพร้อมเดินหน้ายกระดับระบบขนส่งสาธารณะของกรุงเทพฯ ให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us