แวดวงการค้าในกัมพูชากำลังปรับตัวต่อความท้าทายด้านโลจิสติกส์อย่างจริงจัง เมื่อผู้จัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์ไทยในประเทศเริ่มพิจารณาเปลี่ยนเส้นทางขนส่งจากเดิมที่พึ่งพาการนำเข้าทางเรือหรือทางอากาศ ซึ่งประสบปัญหาล่าช้า มาเป็นการขนส่งทางบกผ่านประเทศลาวแทน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความไม่แน่นอนด้านระยะเวลา แม้จะต้องยอมแลกด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นและระยะทางที่ไกลกว่าเดิมก็ตาม
ข้อมูลจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า บริษัทไทยหลายแห่งได้แนะนำให้ตัวแทนจำหน่ายในกัมพูชาเริ่มหันมาศึกษาความเป็นไปได้ของเส้นทางขนส่งสินค้าผ่านชายแดนลาว โดยเฉพาะการขนส่งผ่านด่านช่องเม็กในจังหวัดอุบลราชธานีเข้าสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษวังเต่า-โพนทองในแขวงจำปาสัก ก่อนจะเคลื่อนเข้าสู่พื้นที่ตอนเหนือของกัมพูชา และเดินทางต่อไปยังกรุงพนมเปญ รวมถึงจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ภายในประเทศ
แม้จะต้องเผชิญกับต้นทุนด้านการขนส่งที่สูงขึ้น แต่ผู้จัดจำหน่ายหลายรายยอมรับว่า เส้นทางใหม่นี้มีความน่าสนใจมากกว่าการรอสินค้าที่ล่าช้าและติดขัดจากขั้นตอนศุลกากรในระบบท่าเรือหรือสนามบินอย่างมาก
พร้อมกันนั้น ผู้จัดจำหน่ายในกัมพูชายังเริ่มเปิดรับทางเลือกใหม่ ๆ ในการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น นอกเหนือจากไทย โดยกำลังให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อสินค้าจากอินเดีย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งต่างเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตและส่งออกสูง โดยเฉพาะอินเดียที่เป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์นมและมีสายการผลิตขนาดใหญ่ พร้อมตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศได้ในระดับอุตสาหกรรม
สีนุ คีเลอร์ หนึ่งในผู้ประกอบการที่ส่งออกผักและผลไม้ไทยไปยังหลากหลายประเทศ แสดงความเห็นว่า ความล่าช้าในการขนส่งและต้นทุนที่พุ่งสูงในช่วงหลัง กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้จัดจำหน่ายในกัมพูชา โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องพึ่งพาสินค้าไทยเป็นหลัก เขาระบุว่า สำหรับบริษัทไทยแล้ว ตลาดกัมพูชาอาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายประเทศที่ทำการค้า แต่ในทางกลับกัน สำหรับผู้จัดจำหน่ายกัมพูชา การพึ่งพาสินค้าไทยคือเส้นเลือดหลักของธุรกิจ ซึ่งย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเกิดความติดขัดในระบบโลจิสติกส์
สถานการณ์นี้สะท้อนถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อทั้งฝั่งผู้จัดจำหน่ายและฝั่งซัพพลายเออร์ โดยหากไม่มีการปรับปรุงกระบวนการขนส่งและการอำนวยความสะดวกทางการค้าอย่างเร่งด่วน การเปลี่ยนเส้นทางนำเข้าสินค้า หรือแม้แต่การเปลี่ยนแหล่งสินค้าจากประเทศอื่น ๆ อาจกลายเป็นแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้นในอนาคตอันใกล้