News

L2D Page (32)

กัมพูชาระดมทุนกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ พัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ทางน้ำ หวังลดพึ่งพาเวียดนาม ดันเศรษฐกิจสู่ศูนย์กลางขนส่งอาเซียน

พนมเปญ, 6 ตุลาคม 2568 — รัฐบาลกัมพูชากำลังเดินหน้าผลักดันแผนการลงทุนครั้งใหญ่ในภาคการขนส่งทางน้ำและโลจิสติกส์ เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยมีเป้าหมายระดมทุนรวมกว่า 3,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้ แผนแม่บทระบบการขนส่งและโลจิสติกส์แบบผสมผสาน (Comprehensive Intermodal Transport and Logistics System: CITLS) ซึ่งวางกรอบดำเนินงานระหว่างปี 2566–2576 ครอบคลุมโครงการกว่า 23 รายการทั่วประเทศ

รายงานจากสื่อ ขแมร์ ไทม์ส (Khmer Times) เปิดเผยว่า โครงการเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อระบบคมนาคมของกัมพูชาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งทางน้ำ ทางรถไฟ และทางอากาศ โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมการค้าและลดต้นทุนโลจิสติกส์ ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่จำกัดศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงที่ผ่านมา

กระทรวงโยธาธิการและการขนส่งของกัมพูชา (Ministry of Public Works and Transport: MPWT) ระบุในรายงานครึ่งปีแรกของปี 2568 ว่า แผน CITLS จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายขนส่งที่เชื่อมโยงระหว่างจังหวัด และเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างราบรื่น รายงานยังระบุว่า หนึ่งในความสำเร็จที่สำคัญคือ การจัดทำ “กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางน้ำ” ซึ่งผ่านความเห็นชอบอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม ปี 2567 เพื่อวางกรอบการบริหารจัดการภาคขนส่งทางน้ำอย่างยั่งยืน

หัวใจของโครงการขนาดใหญ่นี้คือ “คลองฟูนันเตโช (Funan Techo Canal)” ซึ่งถูกวางให้เป็นเส้นเลือดหลักด้านโลจิสติกส์ทางน้ำของกัมพูชา โดยมีความยาวกว่า 180 กิโลเมตร เชื่อมต่อจากแม่น้ำโขงลงสู่อ่าวไทย ครอบคลุมหลายจังหวัดทางตอนใต้ของประเทศ คาดว่าจะช่วยลดการพึ่งพาเส้นทางขนส่งทางน้ำของเวียดนาม และสร้างเส้นทางโลจิสติกส์ของตนเองอย่างเต็มรูปแบบ

โครงการขุดคลองเฟสแรกได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการให้สินเชื่อและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นสนามบินนานาชาติเตโช (Techo International Airport) หรือท่าเรือเรียม (Ream Port) อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นนี้ก็ทำให้กัมพูชาเริ่มมีภาระหนี้ต่อจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับเฟสต่อไปของโครงการฟูนันเตโช จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างท่าเรือ จุดพักสินค้า โกดังเก็บสินค้า ร้านค้า และบริการโลจิสติกส์ต่าง ๆ เพื่อรองรับการขนส่งในเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ ซึ่งรัฐบาลคาดว่าจะต้องใช้งบลงทุนเพิ่มเติมอีกกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้ระบบสมบูรณ์ครบวงจร

เดิมทีมีการประเมินว่าโครงการทั้งหมดจะใช้งบประมาณเพียง 1,800 ล้านดอลลาร์ แต่จากการประเมินใหม่ล่าสุด ตัวเลขได้เพิ่มขึ้นเป็น 3,000–3,250 ล้านดอลลาร์ โดยรัฐบาลกัมพูชาระบุว่าจะใช้งบประมาณภายในประเทศเพียงบางส่วน และส่วนที่เหลือจะมาจากเงินกู้และการลงทุนจากประเทศพันธมิตรในภูมิภาค ซึ่งจีนถือเป็นพันธมิตรหลักที่มีบทบาทสำคัญที่สุด

เมื่อคลองฟูนันเตโชสร้างเสร็จสมบูรณ์ตามแผนในปี 2579 โครงการนี้จะเชื่อมโยงระบบขนส่งของกัมพูชาให้เป็นหนึ่งเดียว ทั้งทางน้ำ ทางรถไฟ และทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสนามบินนานาชาติเตโช ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ส่งผลให้กัมพูชามีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียนตอนล่างได้อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม แม้โครงการดังกล่าวจะเป็นความหวังสำคัญในการพลิกโฉมเศรษฐกิจกัมพูชา แต่ก็มีเสียงกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากจีนซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของประเทศ นักวิเคราะห์บางส่วนเตือนว่า หากโครงการไม่สามารถสร้างผลตอบแทนตามคาด กัมพูชาอาจต้องเผชิญกับภาวะหนี้สาธารณะที่หนักหน่วงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ MPWT ยังยืนยันว่า “คลองฟูนันเตโช” และโครงการโลจิสติกส์ทางน้ำทั้งระบบ จะเป็น “สินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์” ที่จะสร้างรายได้มหาศาลในอนาคต พร้อมชี้ว่าการพัฒนาครั้งนี้จะเปลี่ยนกัมพูชาให้กลายเป็นประตูการค้าสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทศวรรษหน้า

L2D Page (30)

เวียดนามทำสถิติการค้าระหว่างประเทศพุ่งแรง 9 เดือนแรกปี 2568 แตะกว่า 22 ล้านล้านบาท คาดทั้งปีทะลุ 29 ล้านล้านบาท

ฮานอย, 7 ตุลาคม — เศรษฐกิจเวียดนามยังคงแสดงศักยภาพที่แข็งแกร่งในด้านการค้าระหว่างประเทศ โดยสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มูลค่าการค้ารวมของเวียดนามในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–กันยายน) พุ่งแตะระดับกว่า 22 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่าราว 681,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตที่ต่อเนื่องจากภาคการผลิตและการส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแรง

ในรายละเอียด เวียดนามมีมูลค่าการส่งออกในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 349,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 11.3 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นถึง 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ขณะที่มูลค่าการนำเข้าก็เพิ่มขึ้นเช่นกันที่อัตรา 18.8% อยู่ที่ประมาณ 332,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 10.75 ล้านล้านบาท)

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้การค้าของเวียดนามขยายตัวต่อเนื่อง มาจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออกที่ยังคงเติบโต โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและสิ่งทอ ซึ่งได้รับการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน การบริโภคในประเทศและความต้องการวัตถุดิบจากภาคการผลิตภายในก็หนุนให้การนำเข้าขยายตัวตามไปด้วย

ข้อมูลจากกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนามระบุว่า มีสินค้า 7 กลุ่มหลัก ที่สามารถทำรายได้จากการส่งออกเกิน 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อกลุ่ม หรือคิดเป็นมูลค่ากลุ่มละไม่ต่ำกว่า 324,000 ล้านบาท ได้แก่ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องหนัง รองเท้า และผลิตภัณฑ์จากไม้ ซึ่งทั้งหมดเป็นสินค้าหลักที่เวียดนามมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าเวียดนามกำลังได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตของบรรดาบริษัทข้ามชาติ ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากห่วงโซ่อุปทานในจีน ส่งผลให้ประเทศกลายเป็นฐานการผลิตสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีดิจิทัล

นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า หากไม่มีความผันผวนทางเศรษฐกิจหรือปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี มูลค่าการค้ารวมของเวียดนามในปี 2568 จะสามารถสร้าง สถิติสูงสุดใหม่ ได้ที่มากกว่า 900,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 29.16 ล้านล้านบาท) ซึ่งจะเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของประเทศนับตั้งแต่เริ่มเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ

ในส่วนของ ดุลการค้า คาดว่าเวียดนามจะยังคงรักษาสถานะการค้าสุทธิในเชิงบวก โดยคาดว่าจะเกินดุลมากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 648,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความสามารถในการส่งออกที่เหนือกว่าการนำเข้าอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการนโยบายเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลเวียดนาม รวมถึงความสามารถในการปรับตัวของภาคเอกชนและผู้ประกอบการต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดโลก ซึ่งทำให้เวียดนามยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคอาเซียนในปี 2568

L2D Page (29)

ชัตดาวน์สหรัฐกระเทือนเศรษฐกิจโลก–ส่งออกไทยเสี่ยงชะลอ ขณะทองคำพุ่งแตะ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์

รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ภาวะ “ชัตดาวน์” หรือ Government Shutdown อย่างเป็นทางการ หลังสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณหรือขยายเวลา (Continuing Resolution) ได้ทันภายในเส้นตายวันที่ 30 กันยายน 2025 ส่งผลให้หน่วยงานรัฐที่ไม่มีภารกิจหลักต้องหยุดทำการชั่วคราว ขณะที่บริการสำคัญ เช่น กลาโหม ความมั่นคง และการแพทย์ฉุกเฉิน ยังคงดำเนินการต่อไป นักวิเคราะห์ประเมินว่าหากสถานการณ์ยืดเยื้อเกินหนึ่งไตรมาส จะกดดันให้จีดีพีสหรัฐฯ หดตัวลงกว่า 1% และอาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงภาคส่งออกของไทยโดยตรง

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ปัญหาชัตดาวน์ครั้งนี้มีรากเหง้ามาจากหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงของรัฐบาลกลาง ซึ่งปัจจุบันแตะระดับ 37 ล้านล้านดอลลาร์ แม้รัฐบาลจะพยายามลดขนาดองค์กรรัฐ ตัดงบประมาณบางส่วน และเพิ่มรายได้จากภาษีศุลกากร แต่รายจ่ายหลักยังคงอยู่ที่สวัสดิการสังคม โดยเฉพาะโครงการด้านสาธารณสุขและ ObamaCare ความขัดแย้งระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันในการจัดสรรงบประมาณจึงทำให้การเจรจาไม่คืบหน้าและนำไปสู่การปิดหน่วยงานรัฐในที่สุด

ข้อมูลจาก Congressional Budget Office (CBO) ชี้ว่า ตั้งแต่ปี 1976 เป็นต้นมา สหรัฐฯ เคยเผชิญภาวะชัตดาวน์แล้ว 11 ครั้ง โดยครั้งยาวนานที่สุดกินเวลาถึง 35 วันในช่วงปลายปี 2018 ถึงต้นปี 2019 ซึ่งทำให้เศรษฐกิจสูญเสียกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์ และทำให้จีดีพีหดตัวชั่วคราวราว 0.3% การหยุดชะงักของรัฐบาลแต่ละครั้งส่งผลให้การเบิกจ่ายล่าช้า การออกใบอนุญาตและการบริการของรัฐสะดุด ข้าราชการหลายแสนคนถูกพักงานโดยไม่รับค่าจ้าง และการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญเพื่อการวางแผนเชิงนโยบายต้องเลื่อนออกไปทั้งหมด

นักวิเคราะห์การเงินคาดว่า ทุกสัปดาห์ที่รัฐบาลยังอยู่ในภาวะชัตดาวน์ จะทำให้จีดีพีสหรัฐฯ หดตัวลงอีก 0.1% หรือประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์ หากสถานการณ์ลากยาวตลอดไตรมาส ผลกระทบจะรุนแรงจนกระทบต่อการค้าโลกและห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะต่อประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างไทยที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นตลาดหลัก รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะกระทบต่อการสั่งซื้อสินค้าจากไทยโดยตรง ทั้งในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า และอาหารแปรรูป ซึ่งอาจทำให้ภาพรวมการส่งออกไทยไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เติบโตต่ำกว่าคาดการณ์

ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนดังกล่าวยังกระตุ้นแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำในตลาดโลก ดร.ภัทรพงษ์ มาลาวัลย์ นักวิจัยจากศูนย์ DEIIT อธิบายว่า ภาวะชัตดาวน์ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐฯ ล้มละลาย แต่สะท้อนถึงความขัดแย้งทางการเมืองภายใน ซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อระบบการคลังของประเทศ หากสถานการณ์ยืดเยื้อ มีโอกาสที่สหรัฐฯ จะถูกปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถืออีกครั้ง และจะยิ่งซ้ำเติมแรงเทขายพันธบัตรรัฐบาล ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงต่อเนื่อง

รศ.ดร.อนุสรณ์ เสริมว่า ความผันผวนของตลาดการเงินที่เกิดขึ้นจากการชัตดาวน์ จะผลักให้นักลงทุนทั่วโลกโยกเงินเข้าสู่ตลาดทองคำเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อทิศทางราคาทองในระยะกลางถึงยาว เขาประเมินว่าราคาทองคำโลกอาจปรับตัวขึ้นแตะระดับ 3,900–4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2025 ถึงกลางปี 2026 โดยได้แรงหนุนจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) การอ่อนค่าของดอลลาร์ และการซื้อทองคำต่อเนื่องจากธนาคารกลางหลายประเทศ รวมถึงกองทุน ETF ขนาดใหญ่

ทั้งนี้ Goldman Sachs และ J.P. Morgan ต่างประเมินตรงกันว่าราคาทองคำยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้น แม้อาจมีการพักฐานระหว่างทางจากแรงขายทำกำไรระยะสั้น ขณะที่ราคาทองคำในประเทศปรับเพิ่มตามตลาดโลก โดยยังมีแรงซื้อจากทั้งนักลงทุนและผู้บริโภคทั่วไป อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลเกี่ยวกับแผนของภาครัฐไทยที่จะจัดเก็บภาษีการซื้อขายทองคำเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งภาคเอกชนเห็นว่าอาจส่งผลกระทบต่อสถานะของไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าทองคำของภูมิภาค อีกทั้งมาตรการดังกล่าวอาจไม่สามารถชะลอเงินบาทแข็งค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพนัก

ภาพรวมแล้ว การชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ครั้งนี้สะท้อนถึงความเปราะบางทางการเมืองและการคลังของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อเศรษฐกิจภายในสหรัฐฯ เอง แต่ยังกระจายแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ทั้งในตลาดการเงิน การค้า และราคาสินทรัพย์ โดยเฉพาะทองคำที่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคงท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน

L2D Page (28)

อาเซียนไตรมาส 3/2568: อินโดนีเซียเดินหน้าความมั่นคงทางอาหาร–เวียดนามดึง FDI แข็งแกร่ง ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกชะลอ

อินโดนีเซียยังคงเดินหน้าสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างจริงจัง โดยรัฐบาลได้เพิ่มงบประมาณให้กระทรวงเกษตรกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรและระบบชลประทาน รวมถึงเร่งขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวอีกกว่า 481,000 เฮกตาร์ ภายใต้โครงการยุทธศาสตร์แห่งชาติ Wanam PSN ที่จังหวัดปาปัวใต้ มาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพึ่งพาตนเองด้านอาหาร พลังงาน และน้ำ โดยมุ่งส่งเสริมการผลิตข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบผลิตเอทานอลและไบโอดีเซล รัฐบาลอินโดนีเซียมั่นใจว่าในปี 2568 จะไม่จำเป็นต้องนำเข้าข้าวอีกต่อไป หลังผลผลิตเพิ่มขึ้นแตะระดับ 33.19 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 12.6% จากปีก่อน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเจ็ดปี พร้อมกันนี้ยังได้ผ่อนคลายนโยบายการนำเข้าโคเพศเมียและโคนม เพื่อใช้ในการเพาะพันธุ์และผลิตนมสำหรับโครงการอาหารฟรีของรัฐบาล

ในอีกด้านหนึ่ง กระทรวงดิจิทัลของอินโดนีเซียได้สั่งระงับการจดทะเบียน TikTok ชั่วคราว เนื่องจากแพลตฟอร์มดังกล่าวไม่ส่งข้อมูลครบถ้วนตามคำขอของรัฐบาล หลังเกิดเหตุถ่ายทอดสดระหว่างการประท้วงในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลระบุว่า TikTok ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ การถ่ายทอดสด และกิจกรรมของผู้ใช้อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม กระทรวงได้ยืนยันในภายหลังว่า พร้อมจะยกเลิกการระงับทันทีที่บริษัทดำเนินการตามเงื่อนไขทั้งหมดที่กำหนดไว้

สำหรับเวียดนาม แม้เศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวแข็งแกร่ง โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 มียอดเงินลงทุนรวม 26.1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 27.3% จากปีก่อน และมีการเบิกจ่ายแล้วกว่า 15.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.8% ภาคการผลิตและแปรรูปยังคงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกว่า 62.9% ของทั้งหมด รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าหมายดึงดูด FDI ตลอดทั้งปีให้ได้ 38,000–40,000 ล้านดอลลาร์ แม้ยอมรับว่ายังเป็นความท้าทาย จึงได้ออกนโยบาย “ช่องทางสีเขียว (Green Channel)” เพื่อย่นระยะเวลาการตรวจสอบและอนุมัติโครงการ พร้อมยกระดับความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ เพื่อดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูงเข้าสู่ประเทศ

ในส่วนของกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ รัฐบาลเวียดนามได้จัดทำร่างกฤษฎีกาฉบับใหม่ว่าด้วยการจัดการสินค้านำเข้าชั่วคราวและส่งออกกลับ แทนกฤษฎีกาฉบับเดิมปี 2561 เพื่อปิดช่องโหว่การลักลอบขนสินค้าปลอมและการเปลี่ยนฉลากสินค้าต้นทางเป็น “Made in Vietnam” เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากสหรัฐ กฎหมายใหม่นี้จำกัดระยะเวลาการจัดเก็บสินค้าไม่เกิน 60 วัน และสามารถขยายได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละ 30 วัน อีกทั้งกำหนดให้สินค้าทั้งหมดต้องผ่านด่านพรมแดนหลักเท่านั้น โดยสินค้ากลุ่มอ่อนไหวต้องได้รับใบอนุญาตเฉพาะก่อนดำเนินการ

ขณะเดียวกัน นครโฮจิมินห์ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเมืองศูนย์กลางทางการเงินที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยในรายงาน Global Financial Centres Index (GFCI) ฉบับที่ 38 นครโฮจิมินห์ขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 95 เพิ่มขึ้นสามอันดับจากปีก่อน และได้คะแนนรวม 664 คะแนน เพิ่มขึ้น 10 คะแนน แซงกรุงเทพฯ ซึ่งร่วงลงมาอยู่ที่อันดับ 102 รายงานดังกล่าวระบุว่า โฮจิมินห์อยู่ในกลุ่ม 15 เมืองที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วในอีก 2–3 ปีข้างหน้า สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลเวียดนามที่ตั้งใจพัฒนาให้เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางการเงินแห่งชาติภายในปี 2568 และดำเนินการเต็มรูปแบบภายในอีก 5 ปีต่อจากนี้

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us