News

news-20250716-02

ตัวแทนกัมพูชาเบนเส้นทางขนส่งสินค้าไทยผ่านลาว หันสำรวจสินค้าจากอินเดีย-มาเลเซีย-อินโดนีเซีย

แวดวงการค้าในกัมพูชากำลังปรับตัวต่อความท้าทายด้านโลจิสติกส์อย่างจริงจัง เมื่อผู้จัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์ไทยในประเทศเริ่มพิจารณาเปลี่ยนเส้นทางขนส่งจากเดิมที่พึ่งพาการนำเข้าทางเรือหรือทางอากาศ ซึ่งประสบปัญหาล่าช้า มาเป็นการขนส่งทางบกผ่านประเทศลาวแทน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความไม่แน่นอนด้านระยะเวลา แม้จะต้องยอมแลกด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นและระยะทางที่ไกลกว่าเดิมก็ตาม

ข้อมูลจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า บริษัทไทยหลายแห่งได้แนะนำให้ตัวแทนจำหน่ายในกัมพูชาเริ่มหันมาศึกษาความเป็นไปได้ของเส้นทางขนส่งสินค้าผ่านชายแดนลาว โดยเฉพาะการขนส่งผ่านด่านช่องเม็กในจังหวัดอุบลราชธานีเข้าสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษวังเต่า-โพนทองในแขวงจำปาสัก ก่อนจะเคลื่อนเข้าสู่พื้นที่ตอนเหนือของกัมพูชา และเดินทางต่อไปยังกรุงพนมเปญ รวมถึงจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ภายในประเทศ

แม้จะต้องเผชิญกับต้นทุนด้านการขนส่งที่สูงขึ้น แต่ผู้จัดจำหน่ายหลายรายยอมรับว่า เส้นทางใหม่นี้มีความน่าสนใจมากกว่าการรอสินค้าที่ล่าช้าและติดขัดจากขั้นตอนศุลกากรในระบบท่าเรือหรือสนามบินอย่างมาก

พร้อมกันนั้น ผู้จัดจำหน่ายในกัมพูชายังเริ่มเปิดรับทางเลือกใหม่ ๆ ในการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น นอกเหนือจากไทย โดยกำลังให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อสินค้าจากอินเดีย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งต่างเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตและส่งออกสูง โดยเฉพาะอินเดียที่เป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์นมและมีสายการผลิตขนาดใหญ่ พร้อมตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศได้ในระดับอุตสาหกรรม

สีนุ คีเลอร์ หนึ่งในผู้ประกอบการที่ส่งออกผักและผลไม้ไทยไปยังหลากหลายประเทศ แสดงความเห็นว่า ความล่าช้าในการขนส่งและต้นทุนที่พุ่งสูงในช่วงหลัง กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้จัดจำหน่ายในกัมพูชา โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องพึ่งพาสินค้าไทยเป็นหลัก เขาระบุว่า สำหรับบริษัทไทยแล้ว ตลาดกัมพูชาอาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายประเทศที่ทำการค้า แต่ในทางกลับกัน สำหรับผู้จัดจำหน่ายกัมพูชา การพึ่งพาสินค้าไทยคือเส้นเลือดหลักของธุรกิจ ซึ่งย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเกิดความติดขัดในระบบโลจิสติกส์

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อทั้งฝั่งผู้จัดจำหน่ายและฝั่งซัพพลายเออร์ โดยหากไม่มีการปรับปรุงกระบวนการขนส่งและการอำนวยความสะดวกทางการค้าอย่างเร่งด่วน การเปลี่ยนเส้นทางนำเข้าสินค้า หรือแม้แต่การเปลี่ยนแหล่งสินค้าจากประเทศอื่น ๆ อาจกลายเป็นแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้นในอนาคตอันใกล้

news-20250716-01

กับดักเศรษฐกิจไทย เมื่อการพึ่งพานำเข้าสูงกำลังกัดกร่อนความสามารถในการแข่งขัน

แวดวงการค้าในกัมพูชากำลังปรับตัวต่อความท้าทายด้านโลจิสติกส์อย่างจริงจัง เมื่อผู้จัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์ไทยในประเทศเริ่มพิจารณาเปลี่ยนเส้นทางขนส่งจากเดิมที่พึ่งพาการนำเข้าทางเรือหรือทางอากาศ ซึ่งประสบปัญหาล่าช้า มาเป็นการขนส่งทางบกผ่านประเทศลาวแทน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความไม่แน่นอนด้านระยะเวลา แม้จะต้องยอมแลกด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นและระยะทางที่ไกลกว่าเดิมก็ตาม

ข้อมูลจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า บริษัทไทยหลายแห่งได้แนะนำให้ตัวแทนจำหน่ายในกัมพูชาเริ่มหันมาศึกษาความเป็นไปได้ของเส้นทางขนส่งสินค้าผ่านชายแดนลาว โดยเฉพาะการขนส่งผ่านด่านช่องเม็กในจังหวัดอุบลราชธานีเข้าสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษวังเต่า-โพนทองในแขวงจำปาสัก ก่อนจะเคลื่อนเข้าสู่พื้นที่ตอนเหนือของกัมพูชา และเดินทางต่อไปยังกรุงพนมเปญ รวมถึงจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ภายในประเทศ

แม้จะต้องเผชิญกับต้นทุนด้านการขนส่งที่สูงขึ้น แต่ผู้จัดจำหน่ายหลายรายยอมรับว่า เส้นทางใหม่นี้มีความน่าสนใจมากกว่าการรอสินค้าที่ล่าช้าและติดขัดจากขั้นตอนศุลกากรในระบบท่าเรือหรือสนามบินอย่างมาก

พร้อมกันนั้น ผู้จัดจำหน่ายในกัมพูชายังเริ่มเปิดรับทางเลือกใหม่ ๆ ในการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น นอกเหนือจากไทย โดยกำลังให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อสินค้าจากอินเดีย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งต่างเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตและส่งออกสูง โดยเฉพาะอินเดียที่เป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์นมและมีสายการผลิตขนาดใหญ่ พร้อมตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศได้ในระดับอุตสาหกรรม

สีนุ คีเลอร์ หนึ่งในผู้ประกอบการที่ส่งออกผักและผลไม้ไทยไปยังหลากหลายประเทศ แสดงความเห็นว่า ความล่าช้าในการขนส่งและต้นทุนที่พุ่งสูงในช่วงหลัง กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้จัดจำหน่ายในกัมพูชา โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องพึ่งพาสินค้าไทยเป็นหลัก เขาระบุว่า สำหรับบริษัทไทยแล้ว ตลาดกัมพูชาอาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายประเทศที่ทำการค้า แต่ในทางกลับกัน สำหรับผู้จัดจำหน่ายกัมพูชา การพึ่งพาสินค้าไทยคือเส้นเลือดหลักของธุรกิจ ซึ่งย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเกิดความติดขัดในระบบโลจิสติกส์

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อทั้งฝั่งผู้จัดจำหน่ายและฝั่งซัพพลายเออร์ โดยหากไม่มีการปรับปรุงกระบวนการขนส่งและการอำนวยความสะดวกทางการค้าอย่างเร่งด่วน การเปลี่ยนเส้นทางนำเข้าสินค้า หรือแม้แต่การเปลี่ยนแหล่งสินค้าจากประเทศอื่น ๆ อาจกลายเป็นแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้นในอนาคตอันใกล้

news-2025070715-03

ศ.ดร.สุชาติ แนะไทยยึดแนวทาง "แบบเวียดนาม" ต่อรองสหรัฐฯ รับภาษี 20% แลกสิทธิ์ส่งออก พร้อมแนะใช้งบรัฐ-ภาษีผู้ส่งออก หนุนสินค้าเกษตรสู้ตลาดโลก

เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อท่าทีของประเทศไทยในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็น "ภาษีทรัมป์" ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐอเมริกา พร้อมเสนอแนวทางที่เป็นไปได้และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ศ.ดร.สุชาติ ระบุว่า แนวทางที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้คือการยื่นข้อเสนอเชิงรุก โดยใช้ “โมเดลเวียดนาม” เป็นต้นแบบ ซึ่งเวียดนามเคยเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ สูงถึง 46% ขณะที่ไทยถูกเรียกภาษีในระดับ 36% หากรัฐบาลไทยสามารถเจรจาให้ยอมรับอัตราภาษี 20% ในการส่งออกสินค้าบางประเภทไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้ และพร้อมกันนั้นยินดีที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% ก็จะเป็นการแสดงความจริงใจทางการค้าของไทยในฐานะประเทศขนาดเล็กที่มีอำนาจต่อรองจำกัด ซึ่งสหรัฐฯ เองก็น่าจะยอมรับได้ เนื่องจากเป็นเงื่อนไขที่ยุติธรรมและสอดคล้องกับแนวทางที่เคยปฏิบัติกับประเทศอื่นในภูมิภาค

ในส่วนของสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในหมวดสินค้าที่มีความอ่อนไหวอย่างยิ่ง ศ.ดร.สุชาติ เสนอให้รัฐบาลเร่งปรับบทบาทจากผู้ควบคุมกลไลตลาดด้วยมาตรการภาษีนำเข้า โควตา หรือการห้ามนำเข้า มาเป็นผู้ส่งเสริมและสนับสนุนให้สินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดเสรีอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในยุคที่ต้องเผชิญการแข่งขันจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หลังการลดภาษีฝั่งไทยลงเหลือ 0% วิธีการหนึ่งที่เหมาะสมและเป็นไปได้คือ การนำรายได้จากภาษีที่จัดเก็บจากผู้ส่งออก รวมถึงงบประมาณแผ่นดิน มาใช้เป็นเงินทุนในการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรกลุ่มเปราะบาง ทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งเคยได้รับการปกป้องมานาน เพื่อรักษาระดับความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน และไม่ให้ตลาดในประเทศถูกแทรกแซงโดยสินค้านำเข้าในช่วงเริ่มต้นของการเปิดตลาด

ศ.ดร.สุชาติ ยังมองว่า หากรัฐบาลสามารถจัดสรรงบประมาณและกลไลสนับสนุนดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้เกษตรกรไทยสามารถรักษาเสถียรภาพของรายได้ และช่วยพยุงภาคเกษตรให้ปรับตัวเข้ากับบริบทใหม่ของการแข่งขันในตลาดเสรีได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งจะดีกว่าการที่ไทยยังคงต้องเผชิญกับการเรียกเก็บภาษีส่งออกในอัตราสูงจากสหรัฐฯ ส่งผลให้การส่งออกชะลอตัว ประเทศไทยไม่สามารถขยายเศรษฐกิจได้ตามศักยภาพ และในที่สุดประชาชนจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองระยะยาว ศ.ดร.สุชาติ เห็นว่านี่คือโอกาสสำคัญที่รัฐบาลไทยจะใช้การแข่งขันเสรีเป็นแรงผลักดันให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพในภาคเกษตร โดยเฉพาะการเพิ่มผลิตภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีเกษตร การลดต้นทุนการผลิต และการเพิ่มคุณภาพสินค้าสู่มาตรฐานสากล เมื่อแรงกระตุ้นมาจากการแข่งขันจริง ไม่ใช่แค่จากการปกป้องโดยรัฐ ภาคเกษตรไทยจะพัฒนาไปอีกขั้น และยืนได้อย่างมั่นคงในตลาดโลก

ข้อเสนอของ ศ.ดร.สุชาติ จึงเป็นการวางแนวทางทั้งในเชิงนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศอย่างบูรณาการ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ การสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจของไทยภายใต้บริบทโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น 
 

news-20250715-02

จีนเผยแนวโน้มโลจิสติกส์ห่วงโซ่อาหารแช่แข็งโตต่อเนื่อง ครึ่งปีแรกยอดความต้องการพุ่งแตะ 192 ล้านตัน มูลค่าขนส่งกว่า 4.7 ล้านล้านหยวน

เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อท่าทีของประเทศไทยในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็น "ภาษีทรัมป์" ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐอเมริกา พร้อมเสนอแนวทางที่เป็นไปได้และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ศ.ดร.สุชาติ ระบุว่า แนวทางที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้คือการยื่นข้อเสนอเชิงรุก โดยใช้ “โมเดลเวียดนาม” เป็นต้นแบบ ซึ่งเวียดนามเคยเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ สูงถึง 46% ขณะที่ไทยถูกเรียกภาษีในระดับ 36% หากรัฐบาลไทยสามารถเจรจาให้ยอมรับอัตราภาษี 20% ในการส่งออกสินค้าบางประเภทไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้ และพร้อมกันนั้นยินดีที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% ก็จะเป็นการแสดงความจริงใจทางการค้าของไทยในฐานะประเทศขนาดเล็กที่มีอำนาจต่อรองจำกัด ซึ่งสหรัฐฯ เองก็น่าจะยอมรับได้ เนื่องจากเป็นเงื่อนไขที่ยุติธรรมและสอดคล้องกับแนวทางที่เคยปฏิบัติกับประเทศอื่นในภูมิภาค

ในส่วนของสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในหมวดสินค้าที่มีความอ่อนไหวอย่างยิ่ง ศ.ดร.สุชาติ เสนอให้รัฐบาลเร่งปรับบทบาทจากผู้ควบคุมกลไลตลาดด้วยมาตรการภาษีนำเข้า โควตา หรือการห้ามนำเข้า มาเป็นผู้ส่งเสริมและสนับสนุนให้สินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดเสรีอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในยุคที่ต้องเผชิญการแข่งขันจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หลังการลดภาษีฝั่งไทยลงเหลือ 0% วิธีการหนึ่งที่เหมาะสมและเป็นไปได้คือ การนำรายได้จากภาษีที่จัดเก็บจากผู้ส่งออก รวมถึงงบประมาณแผ่นดิน มาใช้เป็นเงินทุนในการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรกลุ่มเปราะบาง ทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งเคยได้รับการปกป้องมานาน เพื่อรักษาระดับความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน และไม่ให้ตลาดในประเทศถูกแทรกแซงโดยสินค้านำเข้าในช่วงเริ่มต้นของการเปิดตลาด

ศ.ดร.สุชาติ ยังมองว่า หากรัฐบาลสามารถจัดสรรงบประมาณและกลไลสนับสนุนดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้เกษตรกรไทยสามารถรักษาเสถียรภาพของรายได้ และช่วยพยุงภาคเกษตรให้ปรับตัวเข้ากับบริบทใหม่ของการแข่งขันในตลาดเสรีได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งจะดีกว่าการที่ไทยยังคงต้องเผชิญกับการเรียกเก็บภาษีส่งออกในอัตราสูงจากสหรัฐฯ ส่งผลให้การส่งออกชะลอตัว ประเทศไทยไม่สามารถขยายเศรษฐกิจได้ตามศักยภาพ และในที่สุดประชาชนจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองระยะยาว ศ.ดร.สุชาติ เห็นว่านี่คือโอกาสสำคัญที่รัฐบาลไทยจะใช้การแข่งขันเสรีเป็นแรงผลักดันให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพในภาคเกษตร โดยเฉพาะการเพิ่มผลิตภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีเกษตร การลดต้นทุนการผลิต และการเพิ่มคุณภาพสินค้าสู่มาตรฐานสากล เมื่อแรงกระตุ้นมาจากการแข่งขันจริง ไม่ใช่แค่จากการปกป้องโดยรัฐ ภาคเกษตรไทยจะพัฒนาไปอีกขั้น และยืนได้อย่างมั่นคงในตลาดโลก

ข้อเสนอของ ศ.ดร.สุชาติ จึงเป็นการวางแนวทางทั้งในเชิงนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศอย่างบูรณาการ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ การสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจของไทยภายใต้บริบทโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us