News

news-20250604-03

พลิกโฉมขนส่งสาธารณะ! "คมนาคม" เตรียมทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน จัดหารถเมล์ EV 1,520 คัน หวังคนกรุงฯ ได้ใช้ภายในปี 68

กระทรวงคมนาคม กำลังเดินหน้าครั้งใหญ่ เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติโครงการจัดหารถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (EV) จำนวน 1,520 คัน ด้วยงบประมาณผูกพันข้ามปีตั้งแต่ปี 2568-2575 รวมวงเงินกว่า 15,355.60 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าประชาชนชาวกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะได้สัมผัสกับรถเมล์ EV ใหม่เอี่ยมนี้ภายในปี 2568

การผลักดันโครงการนี้นำโดย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งโครงการนี้ได้รับการเห็นชอบจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 แล้ว โดยจะเป็นการเช่ารถโดยสารเป็นระยะเวลา 7 ปี

วัตถุประสงค์หลักของการจัดหารถเมล์ EV ในครั้งนี้ คือการทดแทนรถโดยสารธรรมดาที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งมีอายุการใช้งานยาวนานและมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงสูง การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และรองรับความต้องการเดินทางของประชาชนได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลดมลพิษทางอากาศในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในการสนับสนุนการต่ออายุใบอนุญาตเดินรถในเส้นทางปฏิรูป ซึ่งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐที่จะยกระดับบริการขนส่งสาธารณะของไทยให้ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

news-20250604-02

สงครามการค้าป่วนเอเชีย! ส่งออกดิ่งหนัก สัญญาณเตือนเศรษฐกิจเปราะบางทั่วภูมิภาค

รายงานล่าสุดจาก เอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) ชี้ให้เห็นภาพความเปราะบางของเศรษฐกิจในเอเชียที่กำลังเผชิญกับผลกระทบจาก สงครามการค้า อย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะนโยบายภาษีที่ไม่แน่นอนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ

เวียดนาม กำลังประสบปัญหาคำสั่งส่งออกใหม่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่เจ็ด ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบก็ปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองปี สถานการณ์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เวียดนามเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงประเทศอื่น ๆ ในเอเชียด้วย

  • ไต้หวัน มียอดผลิตและคำสั่งส่งออกใหม่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง
  • อินโดนีเซีย เผชิญกับคำสั่งซื้อใหม่ที่ร่วงลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564
  • เกาหลีใต้ การผลิตหดตัวมากที่สุดในรอบเกือบสามปี

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนชัดเจนว่าเศรษฐกิจเอเชีย ซึ่งพึ่งพาการค้าโลกสูง กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นสองเท่า และกล่าวหาจีนว่าผิดข้อตกลงด้านภาษี ซึ่งจีนได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาและประณามว่าเป็นมาตรการเลือกปฏิบัติชุดใหม่

หลายประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ล้วนรายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของภาคการผลิต แม้แต่ ฟิลิปปินส์ ที่ยังคงเติบโต แต่ก็เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลง

อี ชางยง ผู้ว่าการธนาคารกลางเกาหลีใต้ เน้นย้ำว่า ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านห่วงโซ่อุปทานกับจีน ทำให้ผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ มีอิทธิพลต่อทั้งภูมิภาคแม้จะเป็นผลกระทบทางอ้อม เขาชี้ว่าผลลัพธ์ของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจเอเชียในระยะต่อไป

ข้อมูลในเดือนพฤษภาคมยังเผยว่า แนวโน้มการชะลอตัวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่การส่งออกและขนส่งสินค้าเร่งตัวอย่างผิดปกติในเดือนเมษายน เนื่องจากบริษัทในสหรัฐฯ พยายามเร่งจัดส่งสินค้าก่อนสิ้นสุดช่วงระงับการขึ้นภาษี 90 วันที่ทรัมป์เคยประกาศไว้ โดยเกาหลีใต้รายงานว่ายอดส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลงถึง 8.1% ในเดือนพฤษภาคม

อย่างไรก็ตาม ยังพอมีสัญญาณบวกอยู่บ้าง เช่นในเวียดนาม ผู้ผลิตเสื้อผ้า รองเท้า และชิ้นส่วนสมาร์ตโฟนหลายรายเริ่มเห็นการฟื้นตัวของการผลิต และแสดงความเชื่อมั่นมากขึ้น เนื่องจากนโยบายภาษีเริ่มมีทิศทางชัดเจนขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความคืบหน้าของการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับจีนและสหราชอาณาจักร

news-20250604-01

กกร.หั่นเป้า GDP ปี 68 เหลือ 1.5-2.0% กังวลส่งออกทรุด-สวมสิทธิ์ฉุดเศรษฐกิจ

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงอีกครั้ง โดยคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะขยายตัวเพียง 1.5-2.0% ซึ่งต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ โดยมีปัจจัยหลักมาจากการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังการประชุม กกร. ว่ามีความกังวลเป็นพิเศษเกี่ยวกับประเด็นการ "สวมสิทธิ์การส่งออก" และการ "re-export" โดยใช้สัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ (local content) ต่ำ ซึ่งแม้จะทำให้ตัวเลขการส่งออกดูสูงขึ้น แต่กลับไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจที่แท้จริง เนื่องจากมีการนำเข้าที่สูงตามไปด้วย สวนทางกับภาคการผลิต การบริโภคในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชนที่ไม่ได้เติบโตตาม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังขาดการเชื่อมโยงข้อมูลเชิงลึกระหว่างการนำเข้าและการส่งออก ทำให้ยากต่อการติดตามและแก้ไขปัญหา re-export อย่างเป็นรูปธรรม

กกร. ยังมองว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงและมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น โดยเฉพาะจากมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาทางกฎหมาย ล่าสุด รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เพิ่มภาษีเฉพาะกลุ่ม (sectoral tariff) สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน, สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป ก็มีส่วนช่วยลดความตึงเครียดของสงครามการค้าได้ในระดับหนึ่ง

จากปัจจัยเหล่านี้ กกร. จึงได้ปรับลดประมาณการการส่งออกของไทยในปี 2568 ลงมาอยู่ในช่วง -0.5 ถึง 0.3% ซึ่งสะท้อนถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่เผชิญกับความท้าทายและความไม่แน่นอนสูง

news-20250530-03

ส่งออกไทยฟื้นตัว! เม.ย. 68 โต 0.3% รับอานิสงส์เร่งส่งสินค้าก่อนเจอภาษีสหรัฐฯ ดันอุตสาหกรรมพุ่ง แม้เกษตรชะลอ

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกของไทยในเดือนเมษายน 2568 กลับมาฟื้นตัวเล็กน้อยที่ 0.3% โดยมีแรงหนุนสำคัญจากความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้ประกอบการเร่งส่งออกก่อนการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกัน ดัชนีราคานำเข้าลดลง 1% จากราคาเชื้อเพลิงที่ลดลงเป็นหลัก

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ อธิบายว่า ดัชนีราคาส่งออกที่กลับมาฟื้นตัวเป็นผลมาจากการขยายตัวของ หมวดสินค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น 1.6% โดยเฉพาะ ทองคำ ที่ความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้นท่ามกลางความกังวลเศรษฐกิจโลกและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ นอกจากนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ก็เพิ่มขึ้นตามความต้องการรองรับ AI และการเร่งนำเข้าก่อนการประกาศภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ รวมถึง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ที่ความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เช่นเดียวกัน หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรก็เพิ่มขึ้น 1.4% โดยมี อาหารสัตว์เลี้ยง เป็นดาวเด่นจากความนิยมเลี้ยงสัตว์ทั่วโลก และความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง ตามมาด้วย อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องดื่ม และ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ที่ได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มการบริโภคอาหารพร้อมรับประทานที่เพิ่มขึ้น

ในทางกลับกัน หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวลดลง ได้แก่ หมวดแร่และเชื้อเพลิง ลดลง 17.4% โดยเฉพาะ น้ำมันสำเร็จรูป ที่ลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบตลาดโลก และ หมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลง 3.3% ซึ่งได้รับผลกระทบจาก ข้าว เนื่องจากอุปทานโลกยังคงสูงและการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง ขณะที่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ก็ลดลงจากปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น และความต้องการจากตลาดหลักอย่างจีนมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากมันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านมีราคาถูกกว่า

สำหรับ ดัชนีราคานำเข้าที่ลดลง นั้น ส่วนใหญ่มาจาก หมวดสินค้าเชื้อเพลิงที่ลดลง 14.3% โดยเฉพาะ ราคาน้ำมันดิบ ที่เป็นผลจากอุปทานส่วนเกินและความต้องการที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคกลับเพิ่มขึ้น 8.0% สะท้อนถึงความต้องการใช้ภายในประเทศและการขยายตัวของการท่องเที่ยว ขณะที่ หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 4.6% โดยเฉพาะ ทองคำ ที่ราคาสูงขึ้นจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า และ อุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมในประเทศและส่งออก

หมวดสินค้าทุนเพิ่มขึ้น 4.1% แสดงให้เห็นถึงการลงทุนใน เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้า และ เครื่องจักรกล เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่วน หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง ดัชนีราคาไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มสินค้าสำคัญ เช่น ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ที่ความต้องการเพิ่มขึ้นเพื่อการผลิตและประกอบรถยนต์ และ รถยนต์โดยสารและรถบรรทุก ที่ราคาลดลงจากการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นและการแข่งขันจากรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดโลก

นายพูนพงษ์ คาดการณ์ว่า แนวโน้มดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2568 จะขยายตัวชะลอลงอีก เนื่องจากฐานราคาในปี 2567 ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ในระดับต่ำกว่าปีนี้ นอกจากนี้ การเร่งนำเข้าสินค้าไทยจากประเทศคู่ค้าก่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้เต็มรูปแบบจะทำให้มีความต้องการสินค้าในระยะสั้นเพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าเกษตรแปรรูปและสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ ราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่มที่อาจลดลงจากอุปทานส่วนเกิน การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น และความผันผวนของค่าเงินบาท

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us