SALE

L2D Page (135)

หาดใหญ่อ่วม ยอดจองปีใหม่หายเกือบ 100% เศรษฐกิจพังเฉียดหมื่นล้าน

หาดใหญ่เผชิญวิกฤตท่องเที่ยวหนัก ยอดจองปีใหม่หายเกือบทั้งหมด ขยะล้นเมือง–ฟื้นตัวล่าช้า เสี่ยงความเสียหายแตะหมื่นล้านบาท

สถานการณ์หลังน้ำท่วมใหญ่ในอำเภอหาดใหญ่ยังคงทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้ทั่วเมือง แม้ว่าน้ำจะลดลงและธุรกิจหลายแห่งเริ่มกลับมาเปิดให้บริการ แต่บรรยากาศโดยรวมยังห่างไกลจากภาวะปกติ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงกว่าที่คาด เมื่อยอดจองช่วงเทศกาลปีใหม่ถูกยกเลิกแทบทั้งหมด ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ชะงักงันเกือบทั้งเมือง

นายสิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่–สงขลา เปิดเผยว่า แม้หลายฝ่ายคาดหวังให้เมืองหาดใหญ่ฟื้นตัวทันช่วงไฮซีซั่นปลายปี แต่ปัญหาขยะและตะกอนโคลนที่ถูกน้ำท่วมพัดมากองตามพื้นที่ต่าง ๆ กลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ขยะจำนวนมหาศาลยังคงตกค้าง ส่งกลิ่นเหม็นและเสี่ยงต่อการระบาดของเชื้อโรค ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับมาได้ แม้โรงแรม ร้านอาหาร และบริการอื่น ๆ จะกลับมาเปิดให้บริการแล้ว แต่ภาพรวมเมืองยังไม่พร้อมรองรับผู้มาเยือน

เขาระบุว่า สิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้คือการเร่งเก็บและกำจัดขยะออกจากพื้นที่ชุมชน หากรัฐบาลตั้งกรอบทำความสะอาดให้แล้วเสร็จภายในเจ็ดวัน ก็ต้องทำให้ได้จริง เพราะธุรกิจทุกภาคส่วนต้องอาศัยความชัดเจนเพื่อวางแผนการฟื้นตัวต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินจากสภาพพื้นที่จริง ปริมาณขยะและตะกอนโคลนที่ท่วมเมืองจำนวนมากทำให้ยังไม่มั่นใจว่าการทำความสะอาดจะแล้วเสร็จตามกำหนด ส่งผลให้หาดใหญ่เสี่ยงเสียโอกาสทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม

ผลกระทบครั้งนี้ยังลามไปถึงกิจกรรมระดับประเทศ อย่างการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ปี 2025 ที่เดิมมีชื่อจังหวัดสงขลาเป็นเจ้าภาพบางรายการ แต่ต้องย้ายไปจัดที่กรุงเทพฯ แทน เพราะเมืองยังไม่พร้อม เป็นตัวอย่างความเสียหายที่มิใช่เพียงแค่ทรัพย์สิน แต่เป็นภาพลักษณ์และโอกาสทางเศรษฐกิจที่สูญเสียไป

เบื้องต้นสมาคมประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจจากน้ำท่วมและผลกระทบต่อการท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นเหตุจนถึงเดือนธันวาคมอยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท และอาจพุ่งขึ้นแตะ 10,000 ล้านบาท หากการฟื้นฟูไม่แล้วเสร็จภายในต้นปีหน้า ส่วนความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนและกิจการ โดยเฉพาะโรงแรม คาดว่ามีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท และยังไม่รวมธุรกิจบริการอื่น ๆ ที่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างหนัก

ด้านการท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ซึ่งปกติถือเป็นคีย์ซีซั่นสร้างรายได้สำคัญให้เมือง ถูกกระทบเต็มแรง ยอดจองห้องพักถูกยกเลิกเกือบทั้งหมดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วงเดียวกันถือว่าเต็มแทบทั้งเมือง บรรยากาศในตัวจังหวัดจึงยังคงเงียบเหงา แม้บางกลุ่มลูกค้ายังไม่ยกเลิกการจองทันที แต่ส่วนใหญ่กำลังรอดูสถานการณ์ และมีแนวโน้มจะยกเลิกเพิ่มเติมเนื่องจากภาพรวมเมืองยังไม่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว

นายสิทธิพงษ์ย้ำว่า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ การเร่งฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับมาสะอาดและปลอดภัยคือกุญแจสำคัญต่อการฟื้นตัวทั้งระบบ หากยังปล่อยให้ขยะกองสูงตามถนนและชุมชน เมืองย่อมไม่สามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ และความเสียหายทางเศรษฐกิจจะยืดเยื้อเกินกว่าที่ควรเป็น พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง เพื่อหยุดความเสียหายไว้ที่ระดับปัจจุบัน ก่อนที่หาดใหญ่จะสูญเสียโอกาสสำคัญอีกหลายเดือนข้างหน้า

L2D Page (134)

“สังคมสูงวัย” พลิกโครงสร้างเศรษฐกิจ หนุนธุรกิจแพทย์–ดูแลผู้สูงอายุ

โลกก้าวสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ นักเศรษฐศาสตร์เตือนแรงกดดันระบบบำนาญ ไทยเสี่ยงหนักกว่าหลายประเทศ พร้อมชี้โอกาสธุรกิจแพทย์–ดูแลผู้สูงอายุโตแรง
นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์เตือนว่าโครงสร้างประชากรโลกกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า โดยภายในปี 2593 หรือปี 2050 จำนวนประชากรอายุเกิน 60 ปีทั่วโลกจะพุ่งขึ้นกว่า 2,100 ล้านคน คิดเป็นราวหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมด แนวโน้มนี้กำลังกดดันระบบบำนาญและสวัสดิการของหลายประเทศซึ่งเริ่มเผชิญปัญหาความยั่งยืนทางการเงิน นักเศรษฐศาสตร์จึงเสนอให้เร่งปฏิรูประบบบำนาญและเตรียมปรับรูปแบบการทำงาน รวมถึงการขยายอายุเกษียณให้สอดรับกับความเป็นจริงใหม่ของสังคมสูงวัย

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า สถานการณ์ของไทยมีความรุนแรงมากกว่าค่าเฉลี่ยโลก เนื่องจากสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นรวดเร็ว ขณะที่จำนวนประชากรวัยทำงานลดลงอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ปัญหาขาดแคลนแรงงานและความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น

อัตราส่วนการพึ่งพิงผู้สูงอายุของไทยเพิ่มจาก 10.7% ในปี 2537 ขึ้นมาอยู่ที่ 31.1% ในปี 2567 หมายความว่าประชากรวัยทำงานทุก 100 คน ต้องรับภาระดูแลผู้สูงอายุถึง 31 คน ระดับดังกล่าวสะท้อนแรงกดดันต่อระบบเศรษฐกิจและสวัสดิการในระยะยาว และจะยิ่งรุนแรงขึ้นหากไม่มีการปรับปรุงระบบบำนาญและการออมเพื่อวัยเกษียณ

แม้โครงสร้างประชากรสูงวัยจะสร้างภาระต่อระบบเศรษฐกิจ แต่ในอีกด้านหนึ่งยังเปิดโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาตนเองเป็นศูนย์กลางบริการแพทย์และการดูแลผู้สูงอายุในภูมิภาค ซึ่งอาจกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญในอนาคต หากการพัฒนาเดินควบคู่ไปกับการสร้างระบบสวัสดิการที่เพียงพอสำหรับผู้สูงอายุในประเทศ

งานศึกษาทางเศรษฐศาสตร์เปรียบเทียบระหว่างประเทศชี้ว่าคุณภาพสุขภาพของประชากรเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยพบว่าเมื่ออายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10% สามารถช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตเพิ่มขึ้น 0.3–0.4% ต่อปี ประเทศที่มีอายุขัยเฉลี่ยสูงมักเติบโตได้ดีกว่าประเทศที่สุขภาพประชากรอ่อนแออย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในระบบสาธารณสุข บริการแพทย์ และการดูแลผู้สูงอายุจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสร้าง “เศรษฐกิจผู้สูงอายุ” หรือ Longevity Economy ซึ่งกำลังก่อกำเนิดขึ้นทั่วโลกและจะเป็นแหล่งสร้างงานและรายได้รูปแบบใหม่ในอนาคต

การปฏิรูประบบสวัสดิการและสถาบันทางเศรษฐกิจให้รองรับสังคมสูงวัยจึงมีความสำคัญกว่ามาตรการระยะสั้น โดยเฉพาะการยกระดับระบบการออมเพื่อวัยชรา การขยายฐานสมาชิกประกันสังคมมาตรา 40 และการพิจารณาขยายอายุเกษียณในภาคเอกชน ซึ่งเป็นทิศทางที่หลีกเลี่ยงได้ยาก นอกจากนี้ การสร้างระบบสวัสดิการสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย ควบคู่กับการพัฒนาระบบการออมหลังเกษียณ จะช่วยลดความเสี่ยงความยากจนในวัยชรา ลดภาระทางการคลังของรัฐ และเพิ่มพื้นที่ให้รัฐบาลลงทุนด้านการศึกษาและสุขภาพได้มากขึ้น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการยกระดับคุณภาพทรัพยากรมนุษย์และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว

งานศึกษาของ D.W. Dunlop ยังชี้ว่าการยกระดับสุขภาพประชากรผ่านการลงทุนด้านโภชนาการ การศึกษา และการลดมลพิษ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศได้อย่างชัดเจน ขณะที่การวิจัยของ C.E. Phelps พบว่ารายได้ต่อหัวที่สูงขึ้นทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพและการศึกษาที่มีคุณภาพมากขึ้น และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและรายได้ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

L2D Page (133)

Hyundai เปิดตัวหุ่นยนต์ Mobile Eccentric Droid (MobED) เวอร์ชันผลิตจริง กับงานส่งของและโลจิสติกส์

Hyundai เปิดตัว MobED เวอร์ชันผลิตจริง เตรียมปฏิวัติงานโลจิสติกส์ด้วยหุ่นยนต์อัจฉริยะ
Hyundai Robotics LAB เปิดตัว “Mobile Eccentric Droid” หรือ MobED เวอร์ชันผลิตจริงในงานที่กรุงโตเกียว นับเป็นอีกก้าวสำคัญหลังจากแนวคิดต้นแบบถูกเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อน การเปิดตัวครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า Hyundai จริงจังกับการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ามาสร้างระบบขนส่งและโลจิสติกส์รูปแบบใหม่ในอนาคต

หัวใจของ MobED คือระบบเคลื่อนที่แบบ Eccentric Control Mechanism ที่ช่วยให้ล้อทั้งสี่สามารถขยับและปรับระดับได้อย่างอิสระ ทำให้หุ่นยนต์รักษาสมดุลแม้ต้องวิ่งผ่านพื้นเอียง พื้นที่ไม่เรียบ หรือพื้นผิวเปลี่ยนระดับกะทันหัน อีกทั้งยังติดตั้งกล้อง เซ็นเซอร์ LiDAR และระบบตรวจจับสิ่งกีดขวางด้วยปัญญาประดิษฐ์ ทำให้ MobED สามารถเคลื่อนไหวอย่างแม่นยำในพื้นที่คับแคบหรือสภาพแวดล้อมที่หนาแน่นได้อย่างลื่นไหล

Hyundai เปิดตัว MobED ในสองรุ่น โดยรุ่น Basic มาพร้อมขนาดกะทัดรัด น้ำหนักรวม 78 กิโลกรัม รับน้ำหนักบรรทุกได้สูงสุด 57 กิโลกรัม และควบคุมด้วยรีโมต ขณะที่รุ่น Pro ออกแบบให้สูงกว่าและมีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ แม้น้ำหนักบรรทุกจะต่ำลงเหลือ 47 กิโลกรัม แต่รุ่นนี้เน้นความสามารถในการทำงานแบบอิสระที่เหมาะกับงานส่งของหรือทำงานในคลังสินค้าโดยไม่ต้องมีพนักงานควบคุม

ทั้งสองรุ่นใช้แบตเตอรี่ขนาด 1.47 kWh ที่รองรับการทำงานต่อเนื่องได้ถึง 4 ชั่วโมง และสามารถชาร์จจากระดับ 10% ไปถึง 90% ได้ภายในราวสองชั่วโมงครึ่ง ทำให้ MobED พร้อมปฏิบัติงานได้แทบตลอดทั้งวันในรอบการใช้งานแบบอุตสาหกรรม นอกจากนี้ Hyundai ยังออกแบบให้ตัวหุ่นยนต์มีรางสำหรับติดตั้งอุปกรณ์เสริม ทำให้ MobED สามารถปรับบทบาทได้ตั้งแต่งานขนส่งชิ้นส่วนในโรงงาน ไปจนถึงงานจัดเก็บสินค้าในคลัง ทำให้ลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มความแม่นยำในการทำงานซ้ำ ๆ

Hyundai คาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 แม้ยังไม่ได้เปิดเผยราคาจำหน่าย แต่สัญญาณชัดเจนว่าบริษัทมอง MobED ไม่ใช่แค่การทดลองทางเทคโนโลยี หากแต่เป็นหุ่นยนต์ใช้งานจริงที่เตรียมเข้ามาเป็นแรงงานดิจิทัลรุ่นใหม่ของวงการโลจิสติกส์ ซึ่งอาจเข้ามาช่วยทดแทนงานบางส่วนของมนุษย์ในอนาคตอันใกล้

L2D Page (132)

ยุโรปปิดดีล ยุตินำเข้าก๊าซธรรมชาติรัสเซีย ภายในปลายปี 2570

สหภาพยุโรปบรรลุข้อตกลงร่วมกันเพื่อยุติการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียภายในช่วงปลายปี 2570 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียที่ดำเนินมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ ข้อตกลงดังกล่าวได้ข้อสรุปเมื่อวันพุธที่ 3 ธันวาคม 2568 หลังตัวแทนรัฐบาลสหภาพยุโรปและรัฐสภายุโรปหารือและลงนามร่วมกัน โดยเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการที่คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอไว้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน เพื่อยุติการนำเข้าก๊าซจากประเทศที่เคยเป็นผู้จัดหาส่วนใหญ่ของยุโรปก่อนเกิดสงครามในยูเครนเมื่อปี 2565

ตามกรอบข้อตกลง สหภาพยุโรปจะยุติการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG จากรัสเซียภายในสิ้นปี 2569 และจะยุติก๊าซที่ส่งผ่านท่อทั้งหมดภายในสิ้นเดือนกันยายน 2570 พร้อมกันนี้ยุโรปยังตั้งเป้าขยายมาตรการไปสู่การยุติการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียด้วย เพื่อจำกัดรายได้ที่สนับสนุนการทำสงครามของมอสโก เออร์ซูลา วอน แดร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่า การเดินหน้าแผนดังกล่าวจะช่วยทำให้ทุนสงครามของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินลดลง พร้อมย้ำว่ายุโรปยังยืนหยัดเคียงข้างยูเครน และมุ่งค้นหาความร่วมมือด้านพลังงานรูปแบบใหม่ที่ยั่งยืนกว่าเดิม

แม้การนำเข้าก๊าซจากรัสเซียจะถูกลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 45% ก่อนสงครามยูเครน เหลือเพียง 12% ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่หลายประเทศในสหภาพยุโรป เช่น ฮังการี ฝรั่งเศส และเบลเยียม ยังคงมีการรับก๊าซจากรัสเซียอยู่บางส่วน ขณะเดียวกันคณะกรรมาธิการยุโรปยังเตรียมเดินหน้ายุติสัญญานำเข้าน้ำมันที่ยังเหลืออยู่ภายในปี 2570 โดยจะนำเสนอร่างกฎหมายชุดใหม่ในช่วงต้นปีหน้า

ภายใต้ข้อตกลงที่เพิ่งสรุป สมาชิกสหภาพยุโรปแต่ละประเทศจะต้องจัดทำ “แผนการกระจายแหล่งพลังงานแห่งชาติ” สำหรับการจัดหาน้ำมันและก๊าซ แล้วส่งให้คณะกรรมาธิการยุโรปภายในวันที่ 1 มีนาคม 2569 นอกจากนี้ยังต้องแจ้งอย่างชัดเจนว่ามีสัญญาซื้อก๊าซจากรัสเซียอยู่หรือไม่ รวมถึงมีมาตรการห้ามการนำเข้าในระดับประเทศอย่างไรบ้าง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเกิดขึ้นอย่างโปร่งใสและเป็นระบบ

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us