SALE

L2D Page (109)

'โลจิสติกส์สีเขียว' โอกาสทองของเศรษฐกิจเกิดใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อม

โลจิสติกส์สีเขียว: โอกาสเชิงยุทธศาสตร์ของเศรษฐกิจเกิดใหม่

ภาคโลจิสติกส์กำลังก้าวสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของโลก เศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตของอีคอมเมิร์ซได้ผลักดันให้ความต้องการขนส่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดโลจิสติกส์ทั่วโลกอาจทะลุเกิน 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2571 ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมนี้ยังเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นสัดส่วนราว 11% ของการปล่อยทั้งหมด นำมาซึ่งโจทย์สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่ทุกประเทศต้องเร่งรับมือ

ภาคโลจิสติกส์ซึ่งเป็นกลไกหลักของการค้าโลกและเป็นแหล่งจ้างงานกว่า 10% ของประชากรโลกกำลังเผชิญแรงกดดันสามด้าน ได้แก่ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการค้า ความเร่งด่วนของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล ความท้าทายเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังต้องการการยกระดับ ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และข้อกำหนดด้านการลดคาร์บอนที่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการขนส่งทางถนนและทางรางที่คาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วตามกระแสอีคอมเมิร์ซ ซึ่งถูกประเมินว่าจะขยายตัวมากกว่า 2.7 เท่าภายในปี 2593

จากบริบทดังกล่าว แนวคิด “โลจิสติกส์สีเขียว” จึงถูกหยิบยกขึ้นเป็นทางออกสำคัญที่ช่วยให้ภาคโลจิสติกส์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้พร้อมกัน รายงาน Green Logistics Innovation for Emerging Markets: Driving Competitiveness and Shared Value ได้ตีแผ่ว่า นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในโลจิสติกส์มีศักยภาพครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่เชื้อเพลิงสะอาดและยานยนต์พลังงานทางเลือก ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ทั้งหมดนี้สะท้อนโอกาสใหม่ของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ รวมถึงไทย ซึ่งสามารถนำแนวทางเหล่านี้ไปต่อยอดเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

สำหรับประเทศไทย บทบาทในฐานะศูนย์กลางการค้าและการผลิตของอาเซียนทำให้ประเทศมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ต่อการก้าวสู่ระบบโลจิสติกส์สีเขียว การลงทุนขนาดใหญ่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) การพัฒนาระบบราง รถไฟทางคู่ และท่าเรือน้ำลึก ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับขนส่งที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร รวมถึงหน่วยงานวิจัยด้านโลจิสติกส์ต่างชี้ให้เห็นความพยายามร่วมของภาครัฐและเอกชนในการนำแนวคิดสีเขียวมาใช้ ตั้งแต่การสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและเชื้อเพลิงชีวภาพในภาคขนส่ง ไปจนถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT และระบบติดตามเส้นทาง เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนและลดการใช้พลังงานระหว่างการขนส่ง

เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง มีการเสนอ “พิมพ์เขียว 4 ขั้น” ที่ทุกฝ่ายสามารถนำไปใช้ร่วมกันได้ ขั้นแรกคือการสร้างกรอบนโยบายที่บูรณาการและชัดเจน โดยเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ระดับชาติไปสู่แผนการทำงานเฉพาะภาคธุรกิจ พร้อมมาตรการจูงใจ เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนระยะยาว ขั้นต่อมาคือการผลักดันกลไกการระดมทุนสีเขียว ทั้งจากภาครัฐ นักลงทุนเอกชน ไปจนถึงการใช้รูปแบบการเงินผสม เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการขนาดเล็กสามารถเข้าถึงเงินทุนที่จำเป็นได้ง่ายขึ้น

การยกระดับทักษะของแรงงานถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะการจัดการโลจิสติกส์สมัยใหม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ด้านดิจิทัลและการคำนวณคาร์บอนอย่างแม่นยำ การจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมที่ตอบโจทย์จริงในอุตสาหกรรมจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายคือความร่วมมือของทุกภาคส่วนในระบบนิเวศ ทั้งภาครัฐ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ เจ้าของสินค้า สถาบันการเงิน และภาควิชาการ ซึ่งต้องจับมือกันกำหนดมาตรฐานร่วม พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และแบ่งปันข้อมูล เพื่อเร่งการปรับใช้เทคโนโลยีสีเขียวในวงกว้าง

ท้ายที่สุด การเปลี่ยนผ่านสู่โลจิสติกส์สีเขียวในระดับโลกไม่อาจเกิดขึ้นได้จากผู้เล่นรายใดรายหนึ่ง หากแต่ต้องอาศัยการประสานพลังจากทั้งห่วงโซ่คุณค่า การกำหนดกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกัน การสนับสนุนด้านเงินทุน และการสร้างความร่วมมืออย่างจริงจังคือรากฐานสำคัญที่จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเดินหน้าไปพร้อมกับความยั่งยืนของโลกในระยะยาว

L2D Page (110)

รมช.คมนาคม สั่งสนามบินเตรียมแผนฉุกเฉิน รับมือฝนตกหนัก 9 จว.ใต้

สถานการณ์ฝนตกหนักในภาคใต้สร้างความกังวลต่อระบบการบินในหลายจังหวัด กระทรวงคมนาคมเปิดเผยมาตรการเข้มเพื่อรองรับความเสี่ยง หลังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประเมินว่า พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาสอาจเผชิญน้ำท่วมและดินถล่มจากฝนตกหนักมาก ขณะที่นครศรีธรรมราช กระบี่ ตรัง และสตูลยังมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากฝนอย่างต่อเนื่อง

น.ส.มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมท่าอากาศยานเฝ้าติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยท่าอากาศยานทุกแห่งในภาคใต้ต้องเตรียมพร้อมปฏิบัติตามแผนบรรเทาสาธารณภัยอย่างเคร่งครัด พร้อมตรวจสอบพื้นที่รอบสนามบินเพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำกระทบต่อการขึ้นลงของอากาศยาน เจ้าหน้าที่ในสนามบินถูกกำชับให้ตรวจวัดระดับน้ำทั้งภายในและภายนอกสนามบินอย่างต่อเนื่อง ตรวจสอบรางระบายน้ำเพื่อไม่ให้เกิดการอุดตัน และเตรียมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองเพื่อรองรับกรณีระบบไฟฟ้าขัดข้อง

รมช.คมนาคมระบุว่า การเตรียมแผนฉุกเฉินเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ จึงได้มอบหมายให้กรมท่าอากาศยานสนับสนุนประชาชนในพื้นที่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอำนวยความสะดวกให้เครื่องบินทหาร เครื่องบินแพทย์ และเครื่องบินของ ปภ. เข้าบินนำส่งอุปกรณ์หรือทีมช่วยเหลือ รวมถึงเตรียมรถฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อช่วยทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะและบ้านเรือนเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย

ด้านนายดนัย เรืองสอน อธิบดีกรมท่าอากาศยาน รายงานว่าท่าอากาศยานที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือท่าอากาศยานนราธิวาส ซึ่งฝนที่ตกหนักต่อเนื่องทำให้เกิดน้ำขังบริเวณหัวทางวิ่ง โดยกรมท่าอากาศยานร่วมกับป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดได้ประสานขอกำลังสนับสนุนจาก ปภ. เขต 12 จังหวัดสงขลา เพื่อติดตั้งเครื่องสูบน้ำระยะไกลเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่การบิน ป้องกันไม่ให้กระทบต่อความปลอดภัยของอากาศยานและผู้โดยสาร

สถานการณ์การเดินทางมายังสนามบินนราธิวาสยังคงได้รับผลกระทบ เส้นทางเข้าออกเปิดใช้ได้เพียงหนึ่งช่องทาง ขณะที่บริเวณลานจอดรถยนต์ถูกน้ำท่วมจนไม่สามารถให้บริการได้ ส่วนสนามบินอื่นของกรมท่าอากาศยานในพื้นที่ภาคใต้ยังเปิดให้บริการตามปกติ ระดับน้ำบนพื้นผิวทางวิ่ง ทางขับ และลานจอดอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถใช้งานได้ ระบบระบายน้ำและระบบป้องกันน้ำท่วมยังทำงานได้ดี

อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารในจังหวัดที่ประสบฝนตกหนักยังต้องใช้ความระมัดระวังในการสัญจร โดยเฉพาะรถขนาดเล็กที่อาจได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมขัง กรมท่าอากาศยานจึงแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารเผื่อเวลาเดินทางมายังสนามบินอย่างน้อย 3–4 ชั่วโมง พร้อมยืนยันว่าจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนทราบทันทีหากมีเหตุเร่งด่วน

L2D Page (111)

New China Insights: เมื่อโลจิสติกส์จีนแห่บุกอาเซียนและไทย

โลจิสติกส์จีนเร่งปักธงอาเซียน “Cainiao” เดินหน้าลงทุนไทย ดันภูมิภาคเป็นศูนย์กลางขนส่งอีคอมเมิร์ซโลก

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการค้าโลก อาเซียนได้ก้าวขึ้นมาเป็นภูมิภาคยุทธศาสตร์สำคัญของจีน ทั้งด้านการผลิต การค้า และซัพพลายเชน โดยเฉพาะหลังการเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จีน ไม่ว่าจะเป็น Alibaba, JD.com, Pinduoduo, Lazada หรือ Shopee ที่ผลักดันให้ความต้องการขนส่งข้ามพรมแดนเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ในห้วงเวลานี้บริษัทโลจิสติกส์จีนยักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะ “Cainiao” ซึ่งเป็นแขนโลจิสติกส์ของอาลีบาบา ได้ขยายเครือข่ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจริงจัง โดยไทยถูกวางบทบาทเป็นศูนย์กลางด้านยุทธศาสตร์ เชื่อมโยงตลาด CLMV กับมาเลเซียและสิงคโปร์ ทำให้จีนมองเห็นโอกาสระยะยาวทั้งด้านการลงทุน การตั้งคลังสินค้า และการถ่ายทอดเทคโนโลยีขนส่งสมัยใหม่เข้ามาในภูมิภาค

เส้นทางของบริษัทโลจิสติกส์จีนในอาเซียนเริ่มเด่นชัดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2015–2017 เมื่อการเติบโตของอีคอมเมิร์ซจีนในตลาดต่างประเทศผลักดันให้ผู้ให้บริการขนส่งจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายคลังสินค้าและระบบขนส่งของตัวเอง Cainiao ซึ่งก่อตั้งในปี 2013 เริ่มปูพรมสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ขณะเดียวกัน JD Logistics ก็เริ่มจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าในอาเซียนเพื่อรองรับธุรกิจข้ามพรมแดนที่ขยายตัวต่อเนื่อง

ช่วงปี 2018–2020 ถือเป็นจุดเร่ง หลังโควิด-19 กระตุ้นอีคอมเมิร์ซให้ขยายตัวครั้งใหญ่ กลยุทธ์รัฐจีนภายใต้โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง รวมถึงความคืบหน้าของทางรถไฟจีน–ลาว–ไทย ทำให้บริษัทโลจิสติกส์จีนมีแรงผลักดันมากขึ้นในการขยายฐานในอาเซียน ยักษ์โลจิสติกส์อย่าง S.F. Express, YTO, ZTO และ Best Logistics ทยอยเข้ามาตั้งฐานในไทย พร้อมการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Shopee และ Lazada ที่ผลักดันปริมาณพัสดุในภูมิภาคให้เพิ่มขึ้นทุกปี

หลังปี 2021 การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคหลังยุคโรคระบาดยิ่งทำให้ตลาดขยายตัว Cainiao เปิด eWTP Hub ขนาดใหญ่ในมาเลเซีย พร้อมเพิ่มศักยภาพคลังสินค้าและศูนย์กระจายพัสดุในไทย การเปิดเดินรถไฟจีน–ลาวช่วยลดระยะเวลาขนส่งระหว่างจีน–ไทยเหลือเพียง 48–72 ชั่วโมง ขณะที่ฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีนจำนวนมากย้ายฐานเข้ามาในเวียดนาม ไทย และมาเลเซีย ส่งผลให้ความต้องการด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคเร่งตัวตามไปด้วย

ในปัจจุบันผู้เล่นจีนที่โดดเด่นในอาเซียนและไทยประกอบด้วย Cainiao ซึ่งใช้ระบบคลังสินค้าอัจฉริยะและการคัดแยกพัสดุด้วย AI เชื่อมต่อเครือข่ายกว่า 200 ประเทศทั่วโลก S.F. Express ซึ่งเน้นขนส่งด่วนระดับพรีเมียมสำหรับสินค้ามูลค่าสูง และกลุ่ม J&T, BEST, YTO, ZTO ที่แข่งขันด้วยราคาที่เข้าถึงได้และการสร้างเครือข่ายกว้างขวาง โดยเฉพาะ J&T Express ที่เติบโตในไทยอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้ประกอบการขนส่งรายย่อยจากจีนเองก็ขยายบริการผ่านเส้นทางรถไฟจีน–ลาว–ไทย ทำให้ต้นทุนขนส่งถูกลงอย่างมากและเข้าถึงธุรกิจรายย่อยในไทยได้ง่ายขึ้น

จุดแข็งที่ทำให้บริษัทจีนมีอิทธิพลมากเหนือคู่แข่งชาติอื่น คือเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์ที่ล้ำหน้า การคัดแยกพัสดุอัตโนมัติ การวิเคราะห์เส้นทางด้วย AI และ Big Data รวมถึงโครงสร้างเครือข่ายยักษ์ใหญ่ในจีนที่เชื่อมต่อสะดวกสู่ภูมิภาค ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ทำให้การส่งสินค้าชิ้นเล็กจากจีนมายังไทยมีราคาถูกกว่าบริษัทท้องถิ่นหลายเท่า อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Lazada, AliExpress หรือ Temu ที่เลือกใช้ Cainiao เป็นโครงสร้างหลัก Shopee เองก็พึ่ง J&T และสายการบินจีนในการส่งออกสินค้า

ผลจากปริมาณพัสดุข้ามพรมแดนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทจีนเร่งลงทุนสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติในไทย เช่น Smart Hub ของ Cainiao และศูนย์คัดแยกขนาดใหญ่ของ J&T เพื่อรองรับพัสดุที่เพิ่มขึ้นทุกปี เฉพาะตลาดอีคอมเมิร์ซไทยตอนนี้มีมูลค่ามากกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เวียดนามแตะ 25,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าตัวเลขเมื่อปี 2019 ถึงเกือบสี่เท่า

นอกจากนี้บริษัทจีนยังเข้าไปทำงานร่วมกับผู้ประกอบการท้องถิ่นโดยตรง ตัวอย่างเด่นคือความร่วมมือระหว่าง Cainiao กับบริษัทไปรษณีย์เวียดนามที่ช่วยยกระดับศูนย์คัดแยกทางตอนใต้ ความสามารถในการคัดแยกพัสดุเพิ่มจาก 15,000 เป็น 72,000 ชิ้นต่อชั่วโมง ขณะที่ในไทย Cainiao ทำงานร่วมกับ CP AXTRA ผู้ดำเนินธุรกิจ Makro และ Lotus’s เดิมทีพนักงานจัดสินค้าออนไลน์ทำได้เพียง 5 ออเดอร์ต่อวัน แต่หลังนำระบบดิจิทัลและการจัดเรียงสินค้าด้วย AI เข้ามา ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 12 ออเดอร์ต่อวัน และจำนวนออเดอร์ที่จัดส่งได้ต่อวันเพิ่มจาก 15,000 เป็น 100,000 ออเดอร์ ระบบดังกล่าวถูกปรับให้เหมาะกับร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ของไทยโดยเฉพาะ โดยทีมงาน Cainiao ลงพื้นที่กว่า 30 คนเพื่อพัฒนาระบบร่วมกันภายในไม่กี่เดือน

การเติบโตของ Cainiao และบริษัทจีนอื่นๆ จึงไม่ใช่เพียงการส่งสินค้าไปขายต่างประเทศ แต่เป็นการส่งออก “ระบบปฏิบัติการธุรกิจ” ทั้งชุด ตั้งแต่คลังสินค้าอัจฉริยะ การจัดการซัพพลายเชน การจัดส่งระยะสุดท้าย ไปจนถึงเทคโนโลยี AI ที่ถูกฝังเข้าไปในระบบค้าปลีกของประเทศต่างๆ ในอาเซียน การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้กำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ให้แก่ภูมิภาค และในระยะยาวอาจทำให้บริษัทจีนกลายเป็นผู้กำหนดมาตรฐานสำคัญของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และค้าปลีกในอาเซียน

การบุกอาเซียนของ “กองทัพโลจิสติกส์จีน” จึงไม่ใช่เพียงการขยายธุรกิจ แต่เป็นการวางรากฐานใหม่ของซัพพลายเชนระดับภูมิภาค และกำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์การแข่งขันในไทยและเพื่อนบ้านอย่างถาวร

L2D Page (108)

ไทยเร่งดีล FTA 3 ตลาด หวังลดพึ่งส่งออกตลาดสหรัฐ กระจายความเสี่ยง

ไทยเร่งขยายข้อตกลงการค้าเสรี 3 ฉบับใหม่ กระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งตลาดสหรัฐ
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 สหรัฐยังคงเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย โดยมีมูลค่าส่งออกสูงถึง 52,109 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 28.6% จากปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วนกว่า 20.5% ของการส่งออกทั้งหมด ขณะที่จีนเป็นตลาดใหญ่อันดับสอง ส่งออกมูลค่า 30,667 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16.1% หรือคิดเป็น 12.1% ของยอดส่งออกไทย แม้ภาพรวมการส่งออกจะขยายตัว แต่ความเสี่ยงที่ไทยต้องเผชิญเพิ่มสูงขึ้น เมื่อสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยอีก 19% ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งเดินหน้ากลยุทธ์กระจายตลาดอย่างจริงจัง เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐในสัดส่วนที่มากเกินไป

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ย้ำว่ากลยุทธ์ส่งออกของไทยต้องเปลี่ยนผ่านอย่างเด็ดขาดไปสู่แนวคิด “Balance–Inclusive–Diversify” ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาตลาดเดิม การเจาะตลาดใหม่ และการเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานใหม่ของโลก พร้อมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในอาเซียนและเอเชียแปซิฟิก โดยใช้จุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งและโครงสร้างพื้นฐานของไทยอย่างเต็มที่

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า นโยบายขยายตลาดใหม่ถูกจัดเป็นหนึ่งใน “Quick Big Win” ที่กระทรวงพาณิชย์นำเสนอและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีภารกิจสำคัญคือการเร่งผลักดันการเปิดเสรีทางการค้า (FTA) 3 ฉบับให้มีผลในหนึ่งปี เพื่อเพิ่มการค้า มูลค่าการลงทุน และจีดีพีของประเทศในระยะยาว ได้แก่ FTA ไทย–EFTA ที่ตั้งเป้านำเสนอรัฐสภาในเดือนมกราคม 2569 FTA ไทย–สหภาพยุโรป ที่อยู่ระหว่างการปิดประเด็นที่ยังค้างคา และ FTA ไทย–เกาหลีใต้ ที่มีกำหนดสรุปประเด็นสำคัญภายในเดือนธันวาคม 2568 กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า ความสำเร็จของ FTA เหล่านี้จะช่วยสร้างมูลค่าทางการค้าเพิ่ม 8,750 ล้านบาทภายในเวลาเพียง 4 เดือนแรก และมากกว่า 139,000 ล้านบาทภายในหนึ่งปี

ควบคู่กับการเร่งเจรจา FTA กระทรวงพาณิชย์ยังเดินหน้าขยายตลาดใหม่ผ่านโครงการ “Special Task Force: STF” ภายใต้นโยบาย Quick Big Win เพื่อผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดศักยภาพใหม่ ไม่ว่าจะเป็นจีนตะวันตก เช่น เฉิงตู ฉงชิ่ง และสิบสองปันนา สำหรับสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และอาหารสัตว์เลี้ยง ตลาดอาเซียนอย่างเวียดนาม สำหรับสินค้าแม่และเด็ก รวมถึงตลาดอินเดีย โดยเฉพาะเมืองมุมไบ สำหรับสินค้าและบริการด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้คาดว่าจะทำให้ไทยเพิ่มมูลค่าการค้าได้ไม่น้อยกว่า 190 ล้านบาทในระยะแรก และตั้งเป้ายอดการส่งออกไปตลาดใหม่รวมไม่น้อยกว่า 95,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตอย่างน้อย 9% จากปีที่แล้ว

สำหรับปี 2569 รัฐบาลเตรียมบุกตลาดใหม่เพิ่มเติมในยุโรป ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา ไปจนถึงเอเชียใต้และรัสเซีย พร้อมวางแผนส่งออกสินค้าให้เหมาะสมกับลักษณะของแต่ละภูมิภาค เช่น สินค้าอุตสาหกรรมหนักและเครื่องจักรสำหรับตลาดแอฟริกา สินค้าอาหารและแฟชั่นสำหรับตลาดยุโรป โดยจะใช้ประโยชน์จาก FTA ใหม่และเครือข่ายพันธมิตรการค้าอย่างเต็มที่

ด้านสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นพ้องกับรัฐบาลว่า การขยายตลาดใหม่เป็นภารกิจสำคัญของประเทศในปี 2568–2569 เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าที่อาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดจากมาตรการกีดกันทางการค้า สศช. ยังเสนอให้เร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ พร้อมทั้งเตรียมศึกษาตลาดศักยภาพใหม่ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิต การขจัดอุปสรรคด้านกฎระเบียบของประเทศคู่ค้า และการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

แม้ว่าสหรัฐจะยังเป็นตลาดส่งออกสำคัญที่สุดของไทย แต่รัฐบาลยืนยันว่าการเจรจาการค้ากับสหรัฐยังคงต้องเดินหน้าต่อ เพื่อรักษาแรงส่งของการค้าไทย ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสมดุลใหม่ให้ระบบเศรษฐกิจโดยการขยายตลาด กระจายความเสี่ยง และเพิ่มพลังแข่งขันของการส่งออกไทยให้ยั่งยืนในระยะยาว

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us