ปิดด่านไทย–กัมพูชา 138 วัน ฉุดเศรษฐกิจหนัก การค้าหาย 8 หมื่นล้าน กระแทก GDP กัมพูชา 2.1%
สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2568 ต่อเนื่องจากเหตุปะทะช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้ด่านชายแดนทั้ง 18 แห่งตลอดแนวชายแดนกว่า 800 กิโลเมตรต้องปิดดำเนินการ โดยพื้นที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมจังหวัดตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานีความเสียหายทางเศรษฐกิจจึงขยายวงกว้างทั้งสองประเทศ
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เปิดเผยผลประเมินตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ถึง 8 ธันวาคม 2568 รวมเวลา 138 วัน พบว่าการส่งออกชายแดนของไทยไปกัมพูชาซึ่งปกติมีมูลค่าปีละกว่า 220,800 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 613 ล้านบาท หายไปรวม 84,640 ล้านบาท การหยุดชะงักดังกล่าวกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทยราว 0.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่มูลค่านำเข้าจากกัมพูชาปกติปีละ 32,000 ล้านบาท ก็หยุดชะงักเช่นกัน ทำให้ฝั่งกัมพูชาสูญเสียรายได้ส่งออกราว 12,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นผลกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.9 เปอร์เซ็นต์
นอกจากการค้าแล้ว อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกิจการกาสิโนของกัมพูชาก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยซึ่งเป็นกลุ่มหลักของประเทศมีมูลค่าปกติปีละประมาณ 42,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 120 ล้านบาท ถูกตัดขาดลงทันที ส่วนรายได้ของกาสิโนกว่า 20 แห่งตามแนวชายแดนที่เคยมียอดหมุนเวียนเดือนละ 200 ล้านบาท ก็หยุดนิ่งตลอดช่วงเวลาเหตุปะทะ
เมื่อรวมผลกระทบจากทั้งการค้า การท่องเที่ยว และกาสิโน ตลอดระยะเกือบห้าเดือน เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบรวมราว 0.5 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ขณะที่เศรษฐกิจกัมพูชาถูกฉุดลงสูงถึง 2.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าหนักกว่าหลายเท่า รศ.ดร.อัทธ์เตือนว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจสร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่กำลังพิจารณาขยายฐานในภูมิภาค โดยอุตสาหกรรมที่เสี่ยงมากที่สุด ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเสื้อผ้า พร้อมชี้ว่าการสู้รบที่ยังไม่จบอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นด้านท่องเที่ยว เนื่องจากประเทศไทยยังเผชิญปัญหาอื่นทั้งสแกมเมอร์และการค้ามนุษย์ รวมถึงอาจต้องเร่งหาตลาดส่งออกใหม่แทนกัมพูชา รวมถึงหาแรงงานต่างชาติทดแทนแรงงานกัมพูชาที่ไม่สามารถเดินทางเข้าไทยได้
ด้านนายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย–กัมพูชา ให้ข้อมูลว่า สถานการณ์ความตึงเครียดที่ยังดำเนินต่อไปไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนว่าจะคลี่คลายในช่วงใด เพราะการปิดด่านครั้งนี้เป็นการปิดแบบเต็มรูปแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแตกต่างจากเหตุการณ์ครั้งก่อนที่ยังเปิดบางส่วน ทำให้ผลกระทบด้านการค้าและการขนส่งสินค้าหนักเท่าเดิมหรือมากกว่า หากสถานการณ์ยุติลงภายในไม่กี่วัน ความเสียหายอาจอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ถ้ายืดเยื้อไปอีกหลายสัปดาห์ ความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจลุกลามไปอีกขั้นจนยากต่อการประเมิน
ขณะนี้นักธุรกิจไทยในกัมพูชายังไม่มีการประชุมหรือหารืออย่างเป็นทางการกับสภาธุรกิจไทย–กัมพูชา เนื่องจากทุกฝ่ายกำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ากิจการไทยในพื้นที่ได้รับความเสียหายเพิ่มเติม แต่ความไม่แน่นอนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง





