SALE

L2D Page (159)

ส่องเส้นทางการค้าใหม่ ไทย-บังกลาเทศ-อินเดีย-ภูฏาน

เปิดระเบียงการค้าใหม่ ไทย–บังกลาเทศ–อินเดีย–ภูฏาน จุดเปลี่ยนโลจิสติกส์เอเชียใต้
การลงนามข้อตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าผ่านแดนระหว่างภูฏานและบังกลาเทศในปี 2566 นับเป็นจุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียใต้ โดยเฉพาะต่อประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลอย่างภูฏาน ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวได้เปิดประตูสู่ทางเลือกใหม่ในการเชื่อมต่อกับตลาดโลก ลดการพึ่งพาเส้นทางดั้งเดิมผ่านอินเดีย และช่วยกระจายความเสี่ยงด้านโลจิสติกส์ในระยะยาว

ในขณะเดียวกัน บังกลาเทศได้ยกระดับบทบาทของตนเองขึ้นเป็นศูนย์กลางการขนส่งผ่านแดนที่มีศักยภาพของภูมิภาค โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มประเทศในเทือกเขาหิมาลัยตะวันออก ความร่วมมือครั้งนี้ตั้งอยู่บนรากฐานความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ที่แน่นแฟ้น ภูฏานเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่รับรองเอกราชของบังกลาเทศเมื่อปี 2514 และในปัจจุบัน บังกลาเทศถือเป็นคู่ค้าอันดับสองของภูฏานรองจากอินเดีย

การยกระดับความสัมพันธ์จากการพึ่งพาโครงสร้างโลจิสติกส์ของอินเดียเพียงฝ่ายเดียว ไปสู่การสร้างระเบียงเศรษฐกิจที่มีกรอบกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน จึงถือเป็นก้าวสำคัญของภูมิภาคนี้

กรอบกฎหมายที่ปูทางสู่เส้นทางการค้าใหม่
การเปิดเส้นทางการค้าใหม่นี้ตั้งอยู่บนรากฐานของข้อตกลงทางกฎหมายหลายฉบับที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ โดยข้อตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าผ่านแดนที่ลงนามในปี 2566 ถือเป็นแกนหลักของความร่วมมือ เปิดให้มีการขนส่งหลายรูปแบบ ทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ พร้อมกำหนดจุดผ่านแดนเข้า–ออกที่ชัดเจน และมีอายุข้อตกลง 10 ปี พร้อมกลไกคณะกรรมการเทคนิคร่วมทำหน้าที่กำกับดูแล

ขณะเดียวกัน ข้อตกลงการค้าพิเศษระหว่างบังกลาเทศและภูฏาน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2565 ได้สร้างแรงจูงใจด้านภาษี โดยให้สิทธิยกเว้นอากรแก่สินค้าทั้งสองฝ่าย ส่งผลให้เกิดความหลากหลายของสินค้าและปริมาณการค้าซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากเส้นทางใหม่นี้ได้โดยตรง

นอกจากนี้ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการใช้เส้นทางน้ำภายในประเทศ ซึ่งอนุญาตให้ภูฏานใช้ท่าเรือจิตตะกองและมองลาของบังกลาเทศ ยังเปิดโอกาสให้เกิดการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ซึ่งมีศักยภาพในการลดต้นทุนรวมเมื่อเทียบกับการใช้รถบรรทุกเพียงอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม กรอบนโยบายที่ชัดเจนในเชิงเอกสารยังต้องผ่านบททดสอบจากการปฏิบัติจริง ซึ่งนำไปสู่การทดลองขนส่งสินค้าผ่านแดนครั้งแรก

บทเรียนจากการทดลองขนส่งสินค้าผ่านแดน
การทดลองขนส่งครั้งแรกซึ่งดำเนินการโดยบริษัท Abit Trading ของภูฏาน เป็นการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากประเทศไทย ผ่านท่าเรือแหลมฉบังไปยังท่าเรือจิตตะกอง ก่อนลำเลียงต่อทางบกผ่านบังกลาเทศ อินเดีย และเข้าสู่เมืองโพนโชลิงของภูฏาน เส้นทางดังกล่าวครอบคลุมการขนส่งทั้งทางทะเลและทางบกหลายช่วง

ผลลัพธ์ในเชิงศักยภาพสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หากกระบวนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างราบรื่น ระยะเวลาการขนส่งสามารถลดลงจากประมาณ 40 วัน เหลือเพียงราว 15 วัน เมื่อเทียบกับเส้นทางดั้งเดิมผ่านท่าเรือโกลกาตาของอินเดีย ถือเป็นจุดขายสำคัญในเชิงโลจิสติกส์

อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติจริงได้เผยให้เห็น “จุดติดขัด” ที่สำคัญหลายประการ ตั้งแต่ความล่าช้าที่ท่าเรือจิตตะกองซึ่งกินเวลานานเกือบสองเดือน อันเกิดจากการขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานและข้อกำหนดเรื่องค่าธรรมเนียมที่ไม่ชัดเจน ปัญหาการประสานงานไตรภาคีที่ชายแดนบังกลาเทศ–อินเดีย ตลอดจนต้นทุนแฝงจากการคุ้มกันสินค้าตลอดเส้นทาง และข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานของด่านชายแดน

การทดลองครั้งนี้จึงถือเป็นการพิสูจน์แนวคิดในเชิงกายภาพ ขณะเดียวกันก็สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงกระบวนการและกฎระเบียบข้ามพรมแดน

สมการการค้าใหม่ของเอเชียใต้
ผลกระทบของข้อตกลงนี้ขยายวงกว้างเกินกว่าการค้าระหว่างภูฏานและบังกลาเทศ โดยกำลังปรับเปลี่ยนพลวัตด้านโลจิสติกส์และภูมิรัฐศาสตร์ของทั้งภูมิภาค สำหรับภูฏาน เส้นทางใหม่นี้คือเครื่องมือสำคัญในการลดการพึ่งพาอินเดีย และเพิ่มอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจในระยะยาว

สำหรับบังกลาเทศ เส้นทางการขนส่งผ่านแดนเปิดโอกาสให้เกิดรายได้ใหม่จากค่าธรรมเนียมและบริการโลจิสติกส์ โดยมีการประเมินว่าหากเพียงส่วนหนึ่งของการขนส่งไปภูฏานหันมาใช้เส้นทางนี้ ก็อาจสร้างรายได้ระดับพันล้านตากาต่อปี พร้อมทั้งวางตำแหน่งประเทศเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค โดยมีเนปาลเป็นเป้าหมายถัดไป

ขณะที่อินเดียยังคงเป็นปัจจัยชี้ขาดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ บทบาทในฐานะประเทศทางผ่านทำให้ความร่วมมือของหน่วยงานอินเดียเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จของระเบียงเศรษฐกิจนี้ และเป็นบททดสอบเชิงปฏิบัติของกรอบความร่วมมือ BBIN อย่างแท้จริง

โอกาสและความเสี่ยงสำหรับภาคธุรกิจโลจิสติกส์
การเปิดเส้นทางการค้าใหม่นี้สร้างโอกาสให้กับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ตัวแทนออกของ และผู้ประกอบการขนส่ง ในการพัฒนาบริการเฉพาะทาง ลดระยะเวลาการขนส่ง และเข้าถึงตลาดประเทศที่สามได้สะดวกขึ้น อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ในรูปของความไม่แน่นอนด้านกระบวนการ โครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่สอดคล้องกัน ต้นทุนแฝง และข้อจำกัดด้านนโยบายสิ่งแวดล้อมของภูฏาน

การตัดสินใจใช้เส้นทางนี้จึงต้องอาศัยการประเมินต้นทุน ความเสี่ยง และความพร้อมของเครือข่ายพันธมิตรในทั้งสามประเทศอย่างรอบด้าน

แนวโน้มในอนาคตและบทสรุป
การที่ Abit Trading ขออนุมัติทดลองขนส่งเพิ่มเติมสะท้อนว่า ภาคเอกชนมองเห็นศักยภาพของเส้นทางนี้ แต่ยังต้องการความชัดเจนในการปฏิบัติจริง ระเบียงเศรษฐกิจนี้จึงไม่ใช่เพียงการทดสอบระบบโลจิสติกส์ หากแต่เป็นบททดสอบความร่วมมือทางภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียใต้

หากสามารถแก้ไขจุดติดขัดเชิงโครงสร้างและกฎระเบียบได้สำเร็จ เส้นทางการค้าใหม่นี้จะกลายเป็นกลไกสำคัญในการบูรณาการเศรษฐกิจของภูมิภาค และตอกย้ำบทบาทของบังกลาเทศในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสใหม่ให้ประเทศอย่างไทยสามารถเชื่อมโยงการค้าไปสู่ตลาดภูมิภาคหิมาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

L2D Page (158)

"หัวเว่ย"พบ"พิพัฒน์" อัปเดตข้อมูล-เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพ"ระบบคมนาคมไทย"

คมนาคมเปิดเวทีรับเทคโนโลยี “หัวเว่ย” เสริมระบบจราจรอัจฉริยะ ยกระดับความปลอดภัยการเดินทางของไทย

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดโอกาสให้บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เข้าพบเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและรับฟังพัฒนาการด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับระบบคมนาคมขนส่งของไทยในอนาคต โดยมีนายวิลเลี่ยม จาง รองประธานกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัทหัวเว่ยฯ พร้อมคณะเข้าร่วมหารือ ณ กระทรวงคมนาคม

การหารือครั้งนี้มีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อาทิ ปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้แทนจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร โดยมุ่งเน้นการติดตามแนวโน้มเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สามารถนำมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และคุณภาพการให้บริการด้านการเดินทางและการขนส่งของประเทศ

นายพิพัฒน์กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญกับการเปิดรับองค์ความรู้และนวัตกรรมจากภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ซึ่งมีศักยภาพในการยกระดับการบริหารจัดการระบบคมนาคม ทั้งในด้านการจราจร ความปลอดภัย และการให้บริการประชาชน โดยเป้าหมายสำคัญคือการอำนวยความสะดวก ลดความเสี่ยงในการเดินทาง และลดต้นทุนของประชาชนในชีวิตประจำวัน

ในการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ มีการนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ในการบริหารจัดการจราจรและระบบความปลอดภัย การพัฒนาระบบควบคุมและติดตามการเดินทางแบบเรียลไทม์ รวมถึงการเชื่อมโยงและบริหารจัดการข้อมูลด้านคมนาคมอย่างเป็นระบบ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมการขนส่งทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ

นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ให้มีความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ภัยพิบัติหรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อระบบการเดินทางและการขนส่งของประเทศ

นายพิพัฒน์ย้ำว่า การเปิดรับฟังแนวคิดจากผู้เชี่ยวชาญและภาคเอกชนเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมเชิงนโยบาย เพื่อผลักดันระบบคมนาคมไทยให้ทันสมัย มีความปลอดภัย และตอบโจทย์การใช้ชีวิตของประชาชนได้อย่างยั่งยืน พร้อมขอบคุณบริษัทหัวเว่ยฯ ที่ให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับหน่วยงานภาครัฐไทยอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้รายงานความคืบหน้าเชิงแนวคิดเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากรและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเชิงนโยบายในอนาคต โดยมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมบุคลากรภาครัฐให้สามารถปรับตัวและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม รองรับการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยในระยะต่อไป

L2D Page (157)

จีดีพีเกษตรไทยปี 68 โต 3.3% รับฝนดี–น้ำเพียงพอ-เกษตรกรพร้อมปรับตัว

เกษตรไทยปี 2568 ขยายตัวเด่น 3.3% ฝนเอื้อผลผลิต–นโยบายตลาดนำหนุนการปรับตัว

ภาคเกษตรไทยในปี 2568 มีทิศทางเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรประเมินว่า จีดีพีภาคเกษตรขยายตัว 3.3% จากปีก่อนหน้า สะท้อนศักยภาพการปรับตัวของเกษตรกรไทย ภายใต้ปัจจัยสนับสนุนด้านสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ปริมาณน้ำเพียงพอ และการบริหารจัดการภาคการผลิตที่ดีขึ้น

นายพีรพันธ์ คอทอง รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เปิดเผยว่า แม้เศรษฐกิจโลกในปี 2568 จะมีแนวโน้มขยายตัวราว 3.2% ตามการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ แต่ยังเผชิญความเปราะบางจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า ขณะที่เศรษฐกิจไทยทั้งระบบคาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.0% อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรยังคงเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของประเทศ

ทั้งนี้ ภาคเกษตรไทยยังต้องเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ มาตรการกีดกันทางการค้า ความผันผวนของสภาพอากาศ กระแสเศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงโครงสร้างประชากรสูงวัยที่ส่งผลต่อแรงงานในภาคการเกษตร

เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดทิศทางการพัฒนาภาคเกษตรภายใต้แนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” มุ่งเน้นการจัดการผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ส่งเสริมการปลูกพืชมูลค่าสูง ขยายช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ควบคู่กับการยกระดับทักษะเกษตรกรและการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

สำหรับผลการดำเนินงานรายสาขา พบว่าสาขาพืชมีการขยายตัวสูงสุดถึง 4.6% จากผลผลิตข้าวนาปรัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อยโรงงาน และไม้ผลสำคัญ โดยเฉพาะทุเรียน ขณะที่สาขาปศุสัตว์ขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.5% ตามการเพิ่มขึ้นของการผลิตไก่เนื้อ สุกร และไข่ไก่ ส่วนสาขาประมงยังคงหดตัว 1.0% จากผลกระทบของสภาพอากาศแปรปรวนและต้นทุนพลังงานที่อยู่ในระดับสูง ด้านบริการทางการเกษตรและป่าไม้ขยายตัว 2.6% และ 1.3% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรยังเผชิญแรงกดดันจากภัยธรรมชาติ ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า และนโยบายภาษีนำเข้าของประเทศคู่ค้า โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรคาดว่า แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรไทยในปี 2569 จะขยายตัวในช่วง 2.0–3.0% หากสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงและเดินหน้าการปรับโครงสร้างภาคเกษตรได้อย่างต่อเนื่อง

L2D Page (156)

"โบลิเวีย" ประกาศฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ ยกเลิกอุดหนุนเชื้อเพลิง-จ่อผ่อน คลายค่าเงิน

โบลิเวียประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ หั่นอุดหนุนพลังงานครั้งใหญ่ เดินหน้าปรับระบบค่าเงิน

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ว่า ประธานาธิบดีโรดริโก ปาซ ของโบลิเวีย ประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจในช่วงดึกของคืนวันพุธที่ผ่านมา พร้อมเปิดตัวชุดมาตรการเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการยกเลิกเงินอุดหนุนเชื้อเพลิง และการปรับเปลี่ยนกรอบอัตราแลกเปลี่ยนที่รัฐควบคุมมาเป็นเวลานาน นับเป็นจุดเปลี่ยนเชิงนโยบายที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศในรอบหลายทศวรรษ

มาตรการดังกล่าวสะท้อนการหักเลี้ยวออกจากแนวทางเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมที่โบลิเวียใช้มานานกว่า 20 ปี โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อฟื้นฟูฐานะการคลังของรัฐ ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงเกิน 20% และแรงกดดันจากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ปาซกล่าวในการแถลงพิเศษร่วมกับคณะรัฐมนตรีว่า การยกเลิกเงินอุดหนุนที่ไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้หมายถึงการทอดทิ้งประชาชน แต่เป็นการสร้างระบบเศรษฐกิจที่มีระเบียบ ความเป็นธรรม และความโปร่งใส พร้อมย้ำว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ภาครัฐ เพื่อนำไปกระจายสู่รัฐบาลกลางและท้องถิ่นอย่างเหมาะสม

ผลจากการยกเลิกเงินอุดหนุนส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินปรับเพิ่มขึ้นถึง 86% ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลพุ่งขึ้นมากกว่า 160% ถือเป็นการปรับราคาพลังงานที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยราคาดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 6 เดือน ก่อนที่รัฐบาลจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง สื่อท้องถิ่นรายงานว่าสถานีบริการน้ำมันหลายแห่งในกรุงลาปาซต้องระงับการจำหน่ายชั่วคราว หลังประชาชนเร่งกักตุนเชื้อเพลิงก่อนมาตรการมีผล

โบลิเวียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีราคาน้ำมันอุดหนุนต่ำที่สุดในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การผลิตก๊าซธรรมชาติที่ลดลงอย่างต่อเนื่องได้สร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ส่งผลให้ประเทศเผชิญทั้งภาวะขาดแคลนเชื้อเพลิงและเงินดอลลาร์ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

รัฐบาลยืนยันว่าการลดเงินอุดหนุนจะดำเนินควบคู่กับมาตรการคุ้มครองทางสังคม โดยเตรียมปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 20% ในปีหน้า เป็น 3,300 โบลิเวียโนส หรือราว 479 ดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงเพิ่มเงินช่วยเหลือโครงการ Renta Dignidad สำหรับผู้สูงอายุที่ไม่มีบำนาญ และเงินโบนัสนักเรียนโรงเรียนรัฐบาล ซึ่งทั้งสองโครงการจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 50% นอกจากนี้ ยังมีแผนโอนเงินสดพิเศษให้แก่ครอบครัวเปราะบางที่สุดเพื่อลดผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น

ปาซย้ำว่ามาตรการช่วยเหลือดังกล่าวไม่ใช่การแจกเงินในลักษณะรัฐสวัสดิการทั่วไป แต่เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการตัดสินใจเชิงนโยบายในอดีต

คำสั่งภาวะฉุกเฉินยังให้อำนาจธนาคารกลางในการจัดหาแหล่งสภาพคล่อง ปรับแก้กฎระเบียบภายใน ออกตราสารทางการเงินในต่างประเทศ และทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการทำสวอปค่าเงิน เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการชำระเงิน ซึ่งเป็นแนวทางที่โบลิเวียเพิ่งหารือกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน

ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังประกาศโครงการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยรับประกันเสถียรภาพด้านกฎหมายและภาษีเป็นระยะเวลาสูงสุด 15 ปี และยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในอนาคตจะไม่ถูกนำมาใช้ย้อนหลังกับการลงทุนที่ได้รับการคุ้มครอง เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากนักลงทุนอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังได้รับคำสั่งให้เตรียมเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนรูปแบบใหม่ ซึ่งอาจหมายถึงการยุติระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2554 โดยปัจจุบันค่าเงินโบลิเวียโนถูกตรึงไว้ที่ 6.96 ต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่อัตราในตลาดคู่ขนานขยับขึ้นมาใกล้ระดับ 10 โบลิเวียโนต่อดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนแรงกดดันต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศอย่างชัดเจน

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us