SALE

L2D Page (51)

ทรัมป์ขู่ระงับนำเข้าน้ำมันปรุงอาหารจากจีน ตอบโต้ปักกิ่งหยุดซื้อถั่วเหลืองสหรัฐฯ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ออกมาโจมตีจีนอีกครั้ง โดยกล่าวหาว่าจีนตั้งใจหยุดซื้อนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เพื่อกดดันทางเศรษฐกิจ พร้อมระบุว่าเขากำลังพิจารณามาตรการตอบโต้ โดยอาจสั่งระงับการนำเข้าน้ำมันปรุงอาหารจากจีน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรอเมริกัน

ทรัมป์โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อวันอังคารที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ระบุว่าการกระทำของจีนเป็น “การเป็นปฏิปักษ์ทางเศรษฐกิจ” และสหรัฐฯ กำลังพิจารณา “ยกเลิกการทำธุรกิจกับจีน” โดยเฉพาะในส่วนของน้ำมันปรุงอาหารและสินค้าเกษตรบางประเภท ทรัมป์กล่าวว่า “เราสามารถผลิตน้ำมันปรุงอาหารเองได้ง่าย ๆ เราไม่จำเป็นต้องซื้อจากจีน”

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้เปิดเผยว่าเขาจะหยิบยกประเด็นการหยุดนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ของจีนมาหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระหว่างการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่ประเทศเกาหลีใต้ในช่วงปลายเดือนตุลาคม โดยระบุว่านี่เป็น “วาระสำคัญ” ที่ต้องหาทางออกอย่างเร่งด่วน

เกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองในสหรัฐฯ ยังคงได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสงครามการค้าระหว่างสองประเทศที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลทรัมป์ โดยจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดของโลก เคยนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ มากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตทั้งหมด แต่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จีนได้หันไปนำเข้าจากประเทศในอเมริกาใต้ เช่น บราซิลและอาร์เจนตินาแทน ส่งผลให้ราคาถั่วเหลืองในตลาดสหรัฐฯ ผันผวนและรายได้ของเกษตรกรลดลง

ถ้อยแถลงของทรัมป์ครั้งนี้ถือเป็นการกลับมาใช้ท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้เขาเพิ่งออกมาส่งสัญญาณผ่อนคลาย โดยกล่าวว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะราบรื่น” อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากจีนประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้ทรัมป์ตอบโต้ด้วยการขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 100%

แรงกดดันดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงในวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา สะท้อนถึงความวิตกของนักลงทุนต่อแนวโน้มสงครามการค้าระลอกใหม่ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ ขณะที่ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างเตรียมใช้เวทีการประชุมเอเปคปลายเดือนนี้ เพื่อหาทางลดแรงปะทะทางเศรษฐกิจและเปิดประตูสู่การเจรจาอีกครั้ง

L2D Page (50)

แพลตฟอร์มดิจิทัลยกระดับโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็น เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทุเรียนสดในจีน

ทุเรียนเป็นผลไม้ที่เติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น ปัจจุบันแม้ประเทศจีนจะเริ่มมีการปลูกทุเรียนในพื้นที่ทางตอนใต้ เช่น มณฑลไห่หนาน มณฑลยูนนาน และเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง แต่ผลผลิตภายในประเทศยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดที่มีขนาดใหญ่ ทำให้จีนต้องพึ่งพาการนำเข้าทุเรียนจากประเทศผู้ผลิตหลัก ได้แก่ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย กัมพูชา และฟิลิปปินส์ ส่งผลให้ด่านศุลกากรกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการกระจายทุเรียนเข้าสู่ตลาดจีน

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการขนส่งและรักษาความสดของทุเรียน จีนได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะ “แพลตฟอร์ม Yunmanman Cold Chain” ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการการขนส่งห่วงโซ่ความเย็นแบบครบวงจร (One-stop Cold Chain Service) ที่พัฒนาโดยบริษัท Full Truck Alliance ตั้งแต่ปี 2562 บริษัทมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองหนานจิง มณฑลเจียงซู และถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโลจิสติกส์ของจีนที่ผสานการทำงานของอินเทอร์เน็ต Big Data Cloud Computing และ AI เพื่อเชื่อมโยงเจ้าของสินค้าและผู้ให้บริการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ

แพลตฟอร์ม Yunmanman Cold Chain เข้ามาแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานด้านการขนส่ง ตลอดจนความไม่โปร่งใสของข้อมูล โดยสามารถจับคู่ระหว่างผู้ส่งสินค้าและรถบรรทุกห่วงโซ่ความเย็นได้แบบอัจฉริยะ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 แอปพลิเคชันของแพลตฟอร์มได้เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ ครอบคลุมเส้นทางมากกว่า 10,000 เส้นทางใน 360 เมืองทั่วประเทศ มีผู้ใช้บริการเจ้าของสินค้ากว่า 6 ล้านราย และมีรถบรรทุกห่วงโซ่ความเย็นจดทะเบียนกว่า 4 ล้านคัน คิดเป็น 70% ของจำนวนรถขนส่งห่วงโซ่เย็นทั่วประเทศ

ในช่วงฤดูกาลผลไม้ปี 2568 การขนส่งทุเรียนผ่านแพลตฟอร์มนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะเดือนกรกฎาคมที่มีปริมาณคำสั่งขนส่งเพิ่มขึ้นถึง 64% เส้นทางหลักเริ่มจากด่านนำเข้าตามพื้นที่ชายแดน เช่น เมืองฉงจั่วในเขตฯ กว่างซีจ้วง ซึ่งเป็นด่านนำเข้าทุเรียนทางบกที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีน ก่อนกระจายไปยังตลาดค้าส่งสำคัญในมณฑลเจ้อเจียง เจียงซู และซานตง เฉพาะด่านฉงจั่วเพียงแห่งเดียวมีการขนส่งทุเรียนมากกว่า 30,000 เที่ยวในปี 2568

การทำงานของแพลตฟอร์ม Yunmanman Cold Chain ใช้ Big Data และอัลกอริทึมขั้นสูงเพื่อจับคู่และจัดตารางการขนส่งให้เหมาะสมกับความต้องการของเจ้าของสินค้า โดยระบบสามารถควบคุมอุณหภูมิของสินค้าได้ตลอดเส้นทางและแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ส่งสามารถติดตามการขนส่งและตรวจสอบสภาพสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง นายโจว ฉวนเต๋อ เจ้าของแบรนด์ทุเรียนพรีเมียม “Xianwei” ในตลาดผลไม้เจียซิง มณฑลเจ้อเจียง เปิดเผยว่า ทุเรียนเป็นผลไม้ที่อ่อนไหวต่ออุณหภูมิ การควบคุมอุณหภูมิระหว่างการขนส่งมีผลโดยตรงต่อคุณภาพของเนื้อทุเรียน โดยช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับทุเรียนสดอยู่ที่ 8–14 องศาเซลเซียส หากควบคุมอุณหภูมิผิดพลาด เช่น สูงเกินไปเนื้อจะเปรี้ยว หรือหากต่ำเกินไปเนื้อจะแข็งและแห้ง การขนส่งด้วยระบบห่วงโซ่ความเย็นที่มีความแม่นยำจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาคุณภาพและมูลค่าของทุเรียน

นายโจว โจว หัวหน้าทีม Enterprise Direct ของ Yunmanman Cold Chain กล่าวเพิ่มเติมว่า แพลตฟอร์มได้พัฒนาระบบติดตามอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ และระบบบริหารจัดการห่วงโซ่เย็นแบบแปรผัน เพื่อให้ข้อมูลการขนส่งมีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังมีบริการ Enterprise Direct สำหรับผู้ประกอบการที่มีปริมาณการขนส่งสูง โดยมีทีมงานเฉพาะในการจัดตารางและประสานงานรถบรรทุก ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความรวดเร็วในการขนส่ง ทำให้ทุเรียนสามารถส่งถึงผู้บริโภคได้อย่างสดใหม่

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองหนานหนิง (สคต. หนานหนิง) ให้ความเห็นว่า ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีมูลค่าสูงและต้องอาศัยระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อรักษาความสดใหม่ แพลตฟอร์ม Yunmanman Cold Chain จึงเป็นทางเลือกสำคัญของผู้นำเข้าจีน เนื่องจากมีเครือข่ายขนส่งครอบคลุมทั่วประเทศและสามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ สำหรับผู้ประกอบการไทย การศึกษาระบบดังกล่าวจะช่วยลดความสูญเสียของคุณภาพทุเรียนหลังการนำเข้า เสริมภาพลักษณ์สินค้าไทยในตลาดจีน และอาจต่อยอดไปสู่การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็นในประเทศ เพื่อรักษาคุณภาพทุเรียนไทยให้สดใหม่ตั้งแต่ต้นทางจนถึงมือผู้บริโภคอย่างยั่งยืน

L2D Page (49)

คมนาคมเพิ่มรถไฟฟ้า 3 สายใหม่ ร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส”

กระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า วันที่ 15 ตุลาคม 2568 เป็นวันแรกที่เปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” โดยกระทรวงฯ ได้เตรียมความพร้อมด้านบริการขนส่งมวลชนสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิในโครงการได้อย่างครอบคลุม ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการรถรับจ้างสาธารณะ เช่น รถแท็กซี่ รถตู้โดยสาร รถสามล้อ รถสองแถว และรถจักรยานยนต์รับจ้าง ซึ่งผู้ขับขี่ต้องมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมาย

สำหรับระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ กระทรวงคมนาคมเปิดให้ผู้ประกอบการรถไฟฟ้า รถไฟ รถโดยสาร และเรือโดยสารสาธารณะที่ยังไม่เคยเข้าร่วมในโครงการคนละครึ่งเดิม สามารถลงทะเบียนเพิ่มเติมได้ โดยก่อนหน้านี้โครงการคนละครึ่งได้เปิดให้ใช้สิทธิซื้อบัตรโดยสารรถไฟฟ้า BTS และ MRT ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในรูปแบบบัตรเที่ยวเดียว ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี

ในโครงการคนละครึ่งพลัสครั้งนี้ จะมีการเพิ่มรถไฟฟ้าอีก 3 เส้นทางที่ยังไม่เคยเข้าร่วม ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว–สำโรง รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย–มีนบุรี และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ช่วงพญาไท–สุวรรณภูมิ ส่งผลให้โครงการสามารถรองรับบริการขนส่งมวลชนสาธารณะประเภท “รถไฟฟ้า” รวมทั้งหมด 8 สายทาง รวมระยะทางกว่า 286 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่การเดินทางหลักทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล

กระทรวงคมนาคมมั่นใจว่า การขยายความร่วมมือนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเดินทางได้ประหยัดมากขึ้น และส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น ทั้งยังได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมระบบการรับชำระค่าโดยสารผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ให้พร้อมใช้งานตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป โดยจะครอบคลุมทั้งรถไฟฟ้า รถโดยสารประจำทาง รถแท็กซี่ และเรือโดยสารในระยะต่อไป

L2D Page (48)

ส่งออกจีนเดือนกันยายนโตแรงสุดในรอบ 6 เดือน ทุกตลาดนอกสหรัฐขยายตัว เวียดนามพุ่ง 25% หนุนเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวต่อเนื่อง

รายงานจากบลูมเบิร์กระบุว่า การส่งออกของจีนในเดือนกันยายนปี 2568 ขยายตัวถึง 8.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 3.286 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 6 เดือน และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้มาก สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของภาคการค้าจีนที่ยังคงแข็งแกร่ง แม้อยู่ท่ามกลางความตึงเครียดจากสงครามการค้ากับสหรัฐ

ข้อมูลจากกรมศุลกากรจีนระบุว่า ยอดการส่งออกในเดือนกันยายนเป็นระดับสูงสุดของปีนี้ และสูงกว่าคาดการณ์เฉลี่ยที่ 6.6% ของนักวิเคราะห์ที่สำรวจโดยบลูมเบิร์ก ตัวเลขดังกล่าวตอกย้ำว่าภาคการส่งออกของจีนยังไม่ชะลอตัวลงอย่างที่หลายฝ่ายกังวล โดยจีนสามารถขยายการส่งออกได้เกือบทุกตลาดทั่วโลก ยกเว้นเพียงตลาดสหรัฐที่ยังคงหดตัว

การส่งออกไปยังสหรัฐลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่หกติดต่อกัน โดยเดือนกันยายนหดตัวถึง 27% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากมาตรการภาษีศุลกากรที่เข้มงวดขึ้นของวอชิงตัน อย่างไรก็ตาม จีนสามารถชดเชยความสูญเสียในตลาดนี้ได้ด้วยการเร่งขยายยอดขายไปยังตลาดอื่นๆ ทั่วโลก การส่งออกไปยังประเทศนอกสหรัฐเพิ่มขึ้นถึง 14.8% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตเร็วที่สุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการจีนปรับตัวอย่างรวดเร็วด้วยการหาตลาดใหม่และการส่งสินค้าผ่านประเทศที่สาม

ในกลุ่มตลาดที่มีการเติบโตโดดเด่น การส่งออกไปยังทวีปแอฟริกาเพิ่มขึ้นถึง 56% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 ส่วนตลาดลาตินอเมริกาเพิ่มขึ้น 15.2% หลังจากที่ชะลอตัวลงในช่วงกลางปี ขณะที่การส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (อียู) เพิ่มขึ้นกว่า 14% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เติบโตเกือบ 16%

เวียดนามถือเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญที่มีการเติบโตโดดเด่นที่สุด โดยยอดส่งออกของจีนไปยังเวียดนามเพิ่มขึ้นเกือบ 25% แม้จะมีสัญญาณชะลอตัวบางส่วน โดยบริษัทวิจัย Capital Economics ระบุว่า เวียดนามกลายเป็น “ศูนย์กลางการเปลี่ยนเส้นทางอันดับหนึ่ง” ของสินค้าจีน เนื่องจากบริษัทจีนจำนวนมากเลือกใช้เวียดนามเป็นฐานในการส่งต่อสินค้าไปยังตลาดตะวันตก เพื่อลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐ

ด้านการนำเข้าของจีนในเดือนกันยายนก็เติบโตแข็งแกร่งเช่นกัน เพิ่มขึ้น 7.4% จากปีก่อนหน้า สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ สะท้อนถึงการฟื้นตัวของความต้องการในประเทศและการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ และไต้หวัน ทั้งนี้ จีนยังคงมีดุลการค้าเกินดุลอยู่ที่ 9.05 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สถานะของจีนในการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐในระลอกล่าสุด

มิเชลล์ แลม นักเศรษฐศาสตร์ประจำจีนแผ่นดินใหญ่จากสำนักวิจัย Societe Generale SA ให้ความเห็นว่า “การส่งออกของจีนยังคงแข็งแกร่ง แม้เผชิญกับภาษีศุลกากรของสหรัฐ เนื่องจากจีนมีตลาดส่งออกที่หลากหลายและมีความสามารถในการแข่งขันสูง” เธอกล่าวเพิ่มเติมว่าความต้องการจากประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐยังคงมีอยู่มาก ทำให้ผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐมีขอบเขตจำกัด ทั้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังเผชิญกับภาวะเงินฝืดและการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์

จีนมีกำหนดประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจจะเริ่มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ด้วยการเติบโตที่แข็งแกร่งในสองไตรมาสแรก จีนยังคงมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการที่ระดับประมาณ 5% ได้ตามที่รัฐบาลตั้งไว้

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us