SALE

news-20250314-03

'คมนาคม' คาดสงกรานต์เดินทาง 16 ล้านคน เจรจาหั่นตั๋วเครื่องบิน 30%

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ (10 มี.ค.2568) ได้มีการประชุมร่วมกับทุกหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม เพื่อเตรียมความพร้อมการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ในวันที่ 11-17 เม.ย. 2568 เพื่อให้การเดินทางของประชาชนได้รับความสะดวก ปลอดภัยตลอดเส้นทาง และมีราคาค่าโดยสารที่เหมาะสม

อย่างไรก็ดี กระทรวงฯ ประเมินว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 จะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและเดินทางท่องเที่ยวเข้า-ออกกรุงเทพมหานคร (กทม.) ด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล รวม 16.32 ล้านคัน แบ่งเป็น การจราจรบนทางหลวงสายหลักและมอเตอร์เวย์ รวม 7.01 ล้านคัน และบนทางพิเศษ รวม 9.31 ล้านคัน

ขณะที่การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ คาดว่าประชาชนเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งรถโดยสารสาธารณะ รถไฟ เรือโดยสารสาธารณะ และเครื่องบิน รวม 15.84 ล้านคน-เที่ยว แบ่งเป็น การเดินทางภายใน กทม. และปริมณฑล 11.50 ล้านคน-เที่ยว, การเดินทางระหว่างจังหวัด 2.52 ล้านคน-เที่ยว และการเดินทางระหว่างประเทศ 1.82 ล้านคน-เที่ยว

นายสุริยะ กล่าวด้วยว่า ปัญหาราคาตั๋วเครื่องบินที่มีราคาสูงได้สั่งการให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ติดตามและลงพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมืองอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ พร้อมกับให้หารือกับ 6 สายการบิน เพื่อร่วมกันสนับสนุนมาตรการแก้ไขปัญหาตั๋วแพง เนื่องจากเป็นช่วงที่มีปริมาณความต้องการเดินทางสูง

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ (10 มี.ค.2568) ได้มีการประชุมร่วมกับทุกหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม เพื่อเตรียมความพร้อมการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ในวันที่ 11-17 เม.ย. 2568 เพื่อให้การเดินทางของประชาชนได้รับความสะดวก ปลอดภัยตลอดเส้นทาง และมีราคาค่าโดยสารที่เหมาะสม

อย่างไรก็ดี กระทรวงฯ ประเมินว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 จะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและเดินทางท่องเที่ยวเข้า-ออกกรุงเทพมหานคร (กทม.) ด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล รวม 16.32 ล้านคัน แบ่งเป็น การจราจรบนทางหลวงสายหลักและมอเตอร์เวย์ รวม 7.01 ล้านคัน และบนทางพิเศษ รวม 9.31 ล้านคัน

ขณะที่การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ คาดว่าประชาชนเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งรถโดยสารสาธารณะ รถไฟ เรือโดยสารสาธารณะ และเครื่องบิน รวม 15.84 ล้านคน-เที่ยว แบ่งเป็น การเดินทางภายใน กทม. และปริมณฑล 11.50 ล้านคน-เที่ยว, การเดินทางระหว่างจังหวัด 2.52 ล้านคน-เที่ยว และการเดินทางระหว่างประเทศ 1.82 ล้านคน-เที่ยว

นายสุริยะ กล่าวด้วยว่า ปัญหาราคาตั๋วเครื่องบินที่มีราคาสูงได้สั่งการให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ติดตามและลงพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมืองอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ พร้อมกับให้หารือกับ 6 สายการบิน เพื่อร่วมกันสนับสนุนมาตรการแก้ไขปัญหาตั๋วแพง เนื่องจากเป็นช่วงที่มีปริมาณความต้องการเดินทางสูง

โดยสายการบินที่เข้าร่วมสนับสนุนแก้ปัญหาตั๋วแพง ประกอบด้วย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รวมถึงสายการบินในสมาคมสายการบินประเทศไทย ได้แก่ บางกอกแอร์เวย์ส, ไทยแอร์เอเชีย, นกแอร์, ไทยไลอ้อนแอร์ และไทยเวียตเจ็ท ซึ่งจะร่วมปรับลดราคาตั๋วเครื่องบิน ลง 30% จากราคาเพดาน ในเที่ยวบินภายในประเทศที่ได้รับความนิยม พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนเที่ยวบินรวม 124 เที่ยวบิน และมีที่นั่งเพิ่มขึ้นรวม 25,000 ที่นั่ง

ทั้งนี้จำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้นรวม 124 เที่ยวบินนั้น ประกอบด้วย

  • กรุงเทพฯ-ภูเก็ต, กรุงเทพฯ-เชียงใหม่
  • กรุงเทพฯ-กระบี่, กรุงเทพฯ-สมุย
  • กรุงเทพฯ-นครพนม
  • กรุงเทพฯ-อุดรธานี
  • กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี
  • กรุงเทพฯ-เชียงราย
  • กรุงเทพฯ-ขอนแก่น
  • กรุงเทพฯ-หาดใหญ่
  • กรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช

พร้อมเริ่มจำหน่ายในวันที่ 11-20 มี.ค.นี้ ผ่านทางช่องทางของสายการบินโดยตรง ได้แก่ เว็บไซต์ ,call center และเคาน์เตอร์ขายตั๋ว และสามารถเดินทางได้ในช่วงระหว่างวันที่ 11-17 เม.ย. 2568

นอกจากนี้ได้สั่งการให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.), กรมท่าอากาศยาน (ทย.) และ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด (บวท.) และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว พร้อมเน้นย้ำว่าห้ามมีผู้โดยสารตกค้างอย่างเด็ดขาด

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250314-02

'เมียนมา' ส่งออกข้าวทะลุ 2.3 ล้านตันใน 11 เดือน

สหพันธ์ข้าวเมียนมารายงานว่า การส่งออกข้าวและข้าวหักของเมียนมาในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567-2568 (เม.ย. 2567 - ก.พ. 2568) มีปริมาณรวมกว่า 2.37 ล้านตัน สร้างรายได้ 1.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตัวเลขการส่งออกเฉพาะเดือนก.พ. สูงกว่า 129,452 ตัน

รายงานระบุว่า เมียนมาส่งออกข้าวและข้าวหักไปยังกว่า 30 ประเทศผ่านทั้งเส้นทางทางทะเลและทางบกในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2566-2567 เมียนมาส่งออกข้าวและข้าวหักกว่า 1.6 ล้านตัน สร้างรายได้มากกว่า 845 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา - ryt9

news-20250314-01

นักวิชาการมอง 'ทรัมป์ 2.0' ขึ้นภาษี มูลค่าส่งออกไทยหาย 56,067 ล้านบาท

หอการค้าไทยเผยนโยบายทรัมป์ 2.0 คาดจะกระทบไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม มูลค่าการส่งออกไทยในปี 2568 นี้อาจจะลดลง 56,067 ล้านบาท มีผลต่อจีดีพีลดลง 0.30% หากเดือนเมษายนนี้ขึ้นภาษีกลุ่มรถยนต์เพิ่ม โอกาสที่มูลค่าส่งออกไทยลดลงสูงถึง 1 แสนล้านบาทได้

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์พยากรณ์ได้วิเคราะห์ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทยจากมาตรการภาษีของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 โดยขึ้นภาษีไปแล้ว ได้แก่ จีน เม็กซิโก และแคนนาดา ซึ่งผลกระทบต่อไทยนั้นมีทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกในปีนี้ไทยลดลงประมาณ 56,067 ล้านบาท และมีผลต่อจีดีพีหายไปประมาณ 0.30% แต่อย่างไรก็ดี หากอัตราภาษีสูงกว่าคาดการณ์และเพิ่มชนิดสินค้าอื่น เช่น กลุ่มรถยนต์ ในวันที่ 2 เมษายน 2568 โอกาสที่มูลค่าส่งออกไทยจะลดลงอาจสูงเกิน 1 แสนล้านบาท

นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยว่า สำหรับผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทยจากมาตรการภาษีของรัฐบาล ทรัมป์ 2.0 ภายหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้มีการประกาศขึ้นภาษีกับ 3 ประเทศคู่ค้าสำคัญ

อย่างแคนนาดา สหรัฐขึ้นภาษีสินค้าทั่วไป 25% และ 10% สินค้ากลุ่มพลังงาน เพราะต้องยอมรับว่าสหรัฐยังพึ่งพิงแคนาดาอยู่ และทางแคนาดาก็ใช้มาตรการตอบโต้ ขึ้นภาษีสินค้าทุกประเภทกับสหรัฐ 25% เม็กซิโก สหรัฐขึ้นภาษีสินค้าทั่วไป 25% ปัจจุบันเม็กซิโกยังไม่มีมาตรการตอบโต้ และจีน สหรัฐขึ้นภาษีสินค้าทุกประเภท 20% และจีนก็ตอบโต้สหรัฐ โดยการขึ้นภาษี โดยเน้นไปในกลุ่มสินค้าเกษตร 10-15%

นอกจากนี้ จากการประเมินการที่สหรัฐขึ้นภาษี 3 ประเทศนี้ อย่างจีน ถูกสหรัฐขึ้นภาษี 20% อาจจะทำให้จีนนั้นส่งออกไปยังสหรัฐลดลง 102,156 ล้านเหรียญสหรัฐ และเมื่อจีนตอบโตสหรัฐขึ้นภาษี 10-15% จะทำให้สหรัฐส่งออกไปจีนลดลง 14,270 ล้านเหรียญสหรัฐ

ส่วนเม็กซิโกที่ถูกขึ้นภาษี 25% จะทำให้เม็กซิโกส่งออกไปสหรัฐลดลง 105,086 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับแคนนาดาถูกขึ้นภาษี 25% แคนาดาจะส่งออกไปสหรัฐลดลง 68,744 ล้านเหรียญสหรัฐ และเมื่อแคนนาดาตอบโต้สหรัฐโดยขึ้นภาษี 25% จะทำให้สหรัฐส่งออกไปยังแคนาดาลดลง 76,043 ล้านเหรียญสหรัฐ”

ขณะที่มาตรการที่ทรัมป์ 2.0 ขึ้นภาษีนำเข้าเฉพาะสินค้านั้น เช่น เหล็ก ผลิตภัณฑ์เหล็ก อะลูมิเนียม ขึ้นภาษี 25% ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ส่วนรถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ คาดว่าจะขึ้นภาษี 25% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 2 เมษายน 2568 โดยทั้งนี้ ยังต้องรอติดตามอย่างชัดเจนอีกครั้ง

โดยการขึ้นภาษีในสินค้ากลุ่มดังกล่าวนั้น จะส่งผลให้ไทยส่งออกไปในสหรัฐลดลง จากปกติที่คาดว่าจะส่งออกปีนี้เฉลี่ย 4,727 ล้านเหรียญสหรัฐ จะทำให้ไทยส่งออกลดลง 4,077 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมูลค่าที่หายไปประมาณ 560 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 21,927 ล้านบาท ที่จะกระทบประเทศไทยโดยตรง

แต่สำหรับผลกระทบทางอ้อมนั้น จะมีผลในกรณีที่ไทยส่งออกวัตถุดิบไปยังตลาดที่ถูกสหรัฐขึ้นภาษี ทั้ง จีน เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งจะมีผลทำให้มูลค่าการส่งออกไทยไปยังตลาดดังกล่าวลดลง 34,140 ล้านบาท รวมไปถึงโอกาสที่กลุ่มสินค้าที่ประเทศดังกล่าวส่งออกไม่ได้ ก็จะหาตลาดใหม่ทดแทน จะไหลเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น

ทั้งนี้ ผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมคาดว่าจะส่งผลต่อจีดีพีไทยลดลง 0.30% และคาดว่าสินค้าที่จะกระทบมากสุดคือรถยนต์และอุปกรณ์ หากเมื่อมีผลบังคับอย่างเป็นทางการ มูลค่าการส่งออกที่ไทยจะหายไป 414 ล้านเหรียญสรัฐ หรือประมาณ 13,972 ล้านบาทอีกด้วย

อย่างไรก็ดี หอการค้าไทยยังมีข้อเสนอที่ต้องการให้ภาครัฐเดินหน้า คือการจัดตั้งทีมพิเศษขึ้น โดยมีตัวแทนจากภาครัฐและภาคเอกชน เช่น สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย ภาคสังคม เป็นต้น เพื่อมาหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ในการหามาตรการเข้ามาดูแลและบรรเทาผู้เดือดร้อน อีกทั้งใช้เป็นข้อมูลเพื่อไปเจรจาต่อรองกับสหรัฐเพิ่มเติม โดยไทยอาจจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ เช่น การพิจารณาสินค้านำเข้าที่ไทยยังขาดแคลน เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังเห็นว่ารัฐบาลต้องเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการใช้งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาช่วยกระตุ้นการจ้างงานในพื้นที่แต่ละจังหวัด ส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ เพื่อทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในท้องถิ่น และเกิดการจ้างงาน รวมไปถึงการออกมาตรการกระตุ้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือการใช้งบประมาณจำกัดในโครงการกระตุ้น เช่น มาตรการคูณ 2 เป็นต้น

ที่มา - prachachat

news-20250313-03

เดือด! มะกันเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก-อะลูมิเนียม 25% EU โต้กลับ ขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐกว่า 9.47 แสนล้าน

การปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐที่ปรับขึ้นเป็น 25% มีผลบังคับใช้แล้วในวันที่ 12 มีนาคมนี้ โดยไม่มีการยกเว้นให้กับประเทศใด การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการยกระดับความร้อนแรงของการทำสงครามการค้าของสหรัฐกับประเทศต่างๆ รวมถึงชาติพันธมิตรในสหภาพยุโรป (อียู) ด้วย

การเพิ่มความคุ้มครองให้กับผู้ผลิตเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ภาษีการนำเข้าโลหะทั้งหมด รวมถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำหลายร้อยรายการที่ทำจากโลหะ ตั้งแต่สลักเกลียว ใบมีดรถปราบหน้าดิน และกระป๋องโซดา

การที่ทรัมป์ให้ความสำคัญกับภาษีศุลกากรมากเกินไปตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคม ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผู้บริโภค และธุรกิจสั่นคลอน ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์กังวลว่าอาจทำให้สหรัฐฯ ถดถอย และเศรษฐกิจโลกถดถอยต่อไป

คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ซึ่งเป็นหน่วยงานฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรป (อียู) ที่รับผิดชอบการประสานงานเรื่องการค้า ตอบสนองต่อเรื่องดังกล่าวอย่างรวดเร็ว โดยระบุว่าจะเรียกเก็บภาษีต่างตอบแทนกับสินค้าสหรัฐคิดเป็นมูลค่า 26,000 ล้านยูโร หรือราว 947,618 ล้านบาทเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนนี้

นางอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานอีซี กล่าวว่า เราพร้อมที่จะเข้าร่วมการเจรจาที่มีความหมาย โดยได้ได้มอบหมายให้มารอส เซฟโควิช ผู้แทนการค้าของอีซี เริ่มการเจรจาใหม่เพื่อค้นหาทางออกที่ดีกว่าร่วมกับสหรัฐ

“เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และการเมือง การที่เราจะเพิ่มภาระให้กับเศรษฐกิจของเราด้วยภาษีศุลกากรเช่นนี้ ไม่ใช่ประโยชน์ร่วมกันของเรา” แดร์ ไลเอินกล่าว

ด้านกระทรวงต่างประเทศจีนกล่าวว่า ปักกิ่งจะใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตน ขณะที่โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่น

แคนาดา อังกฤษ และออสเตรเลีย ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐก็ออกมาวิจารณ์การจัดเก็บภาษีศุลกากรโดยรวมครั้งนี้เช่นกัน โดยแคนาดากำลังพิจารณาถึงการดำเนินการตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน ด้านโจนาธาน เรย์โนลด์ส รัฐมนตรีการค้าของอังกฤษกล่าวว่า ทุกทางเลือกยังคงอยู่บนโต๊ะเพื่อตอบสนองต่อเพื่อผลประโยชน์ของชาติ

นายแอนโธนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวขัดต่อจิตวิญญาณมิตรภาพอันยาวนานของทั้งสองประเทศ แต่เขาปฏิเสธที่จะใช้ภาษีตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน โดยระบุว่าภาษีศุลกากรและความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น เป็นรูปแบบหนึ่งของการทำร้ายตัวเองทางเศรษฐกิจ และเป็นสูตรที่ทำให้การเติบโตช้าลงพร้อมกับเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐมากที่สุดคือแคนาดา ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์เหล็กและอลูมิเนียมรายใหญ่ที่สุดจากต่างประเทศให้กับสหรัฐ ขณะที่บราซิล เม็กซิโก และเกาหลีใต้ ยังคงได้รับการยกเว้นหรือมีโควตาในระดับหนึ่ง

ที่มา - matichon

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us