SALE

L2D Page (143)

สังคมโลก : เอไอขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เลนซ์ซูม : เอไอ–พลังใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยูเออี จากทะเลทรายสู่อภิมหาโครงสร้างข้อมูลของโลก

ท่ามกลางผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ของกรุงอาบูดาบี ศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ขนาดมหึมาที่มีพื้นที่ราวหนึ่งในสี่ของกรุงปารีสกำลังค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น กลายเป็นหนึ่งในโครงการเทคโนโลยีที่ทะเยอทะยานที่สุดเท่าที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เคยลงทุนมา ความตั้งใจของประเทศไม่ใช่เพียงการสร้างศูนย์ข้อมูล แต่คือการวางรากฐานทางเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ไม่พึ่งพาน้ำมัน เป็นเดิมพันครั้งใหญ่ที่อาจเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจในอนาคต

โครงสร้างอาคารขนาดยาวและเตี้ยที่กำลังก่อสร้างนี้จะเป็นที่ตั้งของศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานสูงถึง 5 กิกะวัตต์ ซึ่งจะกลายเป็นศูนย์ข้อมูลนอกสหรัฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก นายโยฮัน นิเลรุด ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์ของคาซนา ดาตา เซ็นเตอร์ส ในเครือจี42 อธิบายว่า ศูนย์แห่งนี้ถูกออกแบบให้รองรับการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในวงกว้าง ครอบคลุมพื้นที่รัศมี 3,200 กิโลเมตร ซึ่งเป็นบ้านของประชากรกว่า 4,000 ล้านคน

ยูเออีเติบโตจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันตั้งแต่ทศวรรษ 1960 แต่เมื่อความต้องการพลังงานฟอสซิลเริ่มชะลอลง ประเทศจำเป็นต้องหากำลังขับเคลื่อนใหม่ และเอไอถูกวางให้เป็นแกนกลางของเป้าหมายนั้น ยูเออีเป็นหนึ่งในประเทศที่มุ่งหน้าอย่างรวดเร็วในการนำเทคโนโลยีมาใช้โดยร่วมมือกับพันธมิตรนานาชาติ เพื่อให้กลายเป็นผู้นำด้านการใช้งานเอไอในระดับสากล

เฟสแรกของศูนย์เอไอในอาบูดาบีจะดำเนินการโดยโอเพนเอไอ ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐอย่างออราเคิล ซิสโก้ และเอ็นวิเดียเข้ามามีบทบาทสนับสนุน ขณะเดียวกัน ไมโครซอฟท์ก็ตอกย้ำความเชื่อมั่นด้วยการประกาศลงทุนกว่า 15,200 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2572 หลังจากเพิ่งอัดเงินทุนให้จี42 เมื่อปีก่อน ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของยูเออีในเวทีเทคโนโลยีโลกที่เพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อย ๆ

ยูเออีเริ่มวางรากฐานด้านเอไอตั้งแต่ปี 2560 เมื่อแต่งตั้งรัฐมนตรีด้านเอไอคนแรกของโลก และเปิดตัวยุทธศาสตร์เอไอระดับชาติเป็นประเทศที่สองรองจากแคนาดา ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่า เอไอมีศักยภาพเชื่อมโยงกับกิจกรรมเศรษฐกิจแทบทุกมิติ และอาจเปลี่ยนโฉมโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศได้ในระยะยาว

แม้ยูเออียังคงตามหลังสหรัฐและจีนในการแข่งขันเอไอระดับโลก แต่ประเทศในทะเลทรายแห่งนี้กลับมีข้อได้เปรียบสำคัญ ทั้งเงินทุนมหาศาล พลังงานที่เพียงพอ และความสามารถในการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก เนื่องจากเป็นศูนย์กลางธุรกิจของภูมิภาค และมีประชากรต่างชาติกว่า 90% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งเป็นแม่เหล็กดึงดูดแรงงานทักษะสูงได้อย่างดี

ยูเออียังดำเนินนโยบายสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างสองขั้วสำคัญอย่างสหรัฐและจีน เพื่อให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและอุปกรณ์สำคัญสำหรับเอไอ โดยเฉพาะชิปประมวลผลเฉพาะทางที่จำเป็นต่อศูนย์ข้อมูล

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความคืบหน้าและเงินทุนจำนวนมหาศาลที่ทุ่มลงไป ความสำเร็จในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและซับซ้อนอย่างเอไอยังคงไม่แน่นอน ยูเออีอาจมีทั้งข้อได้เปรียบและความท้าทาย แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ประเทศกำลังพยายามสร้างอนาคตใหม่จากหัวใจของทะเลทราย ที่ซึ่งพลังงานข้อมูลอาจเข้ามาแทนที่บทบาทของพลังงานจากน้ำมันในวันข้างหน้า

L2D Page (142)

Amazon เตรียมลงทุนอินเดีย 35 พันล้านดอลลาร์ภายใน 2030 เน้น AI และโลจิสติกส์

Amazon เดินหน้าทุ่มลงทุน 35 พันล้านดอลลาร์ในอินเดียภายในปี 2030 หนุน AI–คลาวด์–โลจิสติกส์ และอีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบ

Amazon.com ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ในอินเดียวงเงินกว่า 35 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นทศวรรษนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจในทุกมิติ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ การพัฒนา AI ไปจนถึงการขยายเครือข่ายคลังสินค้าและระบบโลจิสติกส์ แผนดังกล่าวถูกเปิดเผยในงานประชุมธุรกิจประจำปีครั้งที่หกของบริษัทที่กรุงนิวเดลี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของอินเดียในฐานะตลาดเชิงกลยุทธ์ของ Amazon

หนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการคือการยกระดับขีดความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ โดยคาดว่า AWS จะขยายการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ที่ปรับแต่งมาสำหรับงาน AI เพิ่มเติมในอินเดีย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เปิดคลาวด์รีเจียนแล้วสองแห่ง และให้คำมั่นลงทุน 4.4 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 แม้ยังไม่ระบุชัดเจนว่าแผนใหม่จะเพิ่มวงเงินดังกล่าวหรือไม่ แต่ทิศทางโดยรวมชี้ว่า AWS จะเร่งเสริมพลังการแข่งขันในตลาดคลาวด์ที่กำลังร้อนแรง

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันจาก Microsoft ซึ่งเพิ่งประกาศลงทุน 17.5 พันล้านดอลลาร์ในอินเดียภายในสี่ปี โดยเน้นการสร้างคลัสเตอร์ดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ในไฮเดอราบัดเพื่อรองรับงานด้าน AI เพิ่มเติม Microsoft มีโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ในหลายเมืองอยู่ก่อนแล้ว และมีพนักงานในอินเดียมากกว่า 22,000 คน สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่เข้มข้นของสองยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคนี้

สำหรับด้านอีคอมเมิร์ซ Amazon จะนำเงินทุนส่วนหนึ่งไปขยายศูนย์กระจายสินค้าและโครงสร้างพื้นฐานจัดส่ง เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีศูนย์กระจายสินค้ามากกว่า 60 แห่งในอินเดีย ขณะที่ Amazon Seller Services ทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2.82 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2024 และยังเติบโตต่อเนื่องในปีนี้อีก 19% ส่งสัญญาณว่าใกล้ถึงจุดคุ้มทุนมากขึ้น

ธุรกิจจำนวนมากในอินเดียยังใช้ Amazon เป็นแพลตฟอร์มส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ โดยมูลค่าการส่งออกที่ Amazon อำนวยความสะดวกสะสมจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 20 พันล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ขยายตัวระดับโลก

โครงการลงทุนครั้งใหญ่ยังคาดว่าจะสร้างผลเชิงบวกต่อการจ้างงานทั่วประเทศ Amazon ประเมินว่าภายในปี 2030 การลงทุนนี้จะสนับสนุนการจ้างงานรวมประมาณ 3.8 ล้านตำแหน่ง ทั้งทางตรง ทางอ้อม ตำแหน่งที่เกิดจากอุปสงค์ และงานตามฤดูกาล เพิ่มขึ้นจากตัวเลข 2.8 ล้านตำแหน่งในปีก่อน สะท้อนถึงผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่สำคัญต่ออินเดียในระยะยาว

L2D Page (141)

ปิดด่าน 138 วัน ฉุด GDP กัมพูชา 2.1% 'การค้า-ท่องเที่ยว-กาสิโน' รายได้หาย

ปิดด่านไทย–กัมพูชา 138 วัน ฉุดเศรษฐกิจหนัก การค้าหาย 8 หมื่นล้าน กระแทก GDP กัมพูชา 2.1%
สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2568 ต่อเนื่องจากเหตุปะทะช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้ด่านชายแดนทั้ง 18 แห่งตลอดแนวชายแดนกว่า 800 กิโลเมตรต้องปิดดำเนินการ โดยพื้นที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมจังหวัดตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานีความเสียหายทางเศรษฐกิจจึงขยายวงกว้างทั้งสองประเทศ

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เปิดเผยผลประเมินตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ถึง 8 ธันวาคม 2568 รวมเวลา 138 วัน พบว่าการส่งออกชายแดนของไทยไปกัมพูชาซึ่งปกติมีมูลค่าปีละกว่า 220,800 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 613 ล้านบาท หายไปรวม 84,640 ล้านบาท การหยุดชะงักดังกล่าวกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทยราว 0.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่มูลค่านำเข้าจากกัมพูชาปกติปีละ 32,000 ล้านบาท ก็หยุดชะงักเช่นกัน ทำให้ฝั่งกัมพูชาสูญเสียรายได้ส่งออกราว 12,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นผลกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.9 เปอร์เซ็นต์

นอกจากการค้าแล้ว อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกิจการกาสิโนของกัมพูชาก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยซึ่งเป็นกลุ่มหลักของประเทศมีมูลค่าปกติปีละประมาณ 42,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 120 ล้านบาท ถูกตัดขาดลงทันที ส่วนรายได้ของกาสิโนกว่า 20 แห่งตามแนวชายแดนที่เคยมียอดหมุนเวียนเดือนละ 200 ล้านบาท ก็หยุดนิ่งตลอดช่วงเวลาเหตุปะทะ

เมื่อรวมผลกระทบจากทั้งการค้า การท่องเที่ยว และกาสิโน ตลอดระยะเกือบห้าเดือน เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบรวมราว 0.5 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ขณะที่เศรษฐกิจกัมพูชาถูกฉุดลงสูงถึง 2.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าหนักกว่าหลายเท่า รศ.ดร.อัทธ์เตือนว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจสร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่กำลังพิจารณาขยายฐานในภูมิภาค โดยอุตสาหกรรมที่เสี่ยงมากที่สุด ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเสื้อผ้า พร้อมชี้ว่าการสู้รบที่ยังไม่จบอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นด้านท่องเที่ยว เนื่องจากประเทศไทยยังเผชิญปัญหาอื่นทั้งสแกมเมอร์และการค้ามนุษย์ รวมถึงอาจต้องเร่งหาตลาดส่งออกใหม่แทนกัมพูชา รวมถึงหาแรงงานต่างชาติทดแทนแรงงานกัมพูชาที่ไม่สามารถเดินทางเข้าไทยได้

ด้านนายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย–กัมพูชา ให้ข้อมูลว่า สถานการณ์ความตึงเครียดที่ยังดำเนินต่อไปไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนว่าจะคลี่คลายในช่วงใด เพราะการปิดด่านครั้งนี้เป็นการปิดแบบเต็มรูปแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแตกต่างจากเหตุการณ์ครั้งก่อนที่ยังเปิดบางส่วน ทำให้ผลกระทบด้านการค้าและการขนส่งสินค้าหนักเท่าเดิมหรือมากกว่า หากสถานการณ์ยุติลงภายในไม่กี่วัน ความเสียหายอาจอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ถ้ายืดเยื้อไปอีกหลายสัปดาห์ ความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจลุกลามไปอีกขั้นจนยากต่อการประเมิน

ขณะนี้นักธุรกิจไทยในกัมพูชายังไม่มีการประชุมหรือหารืออย่างเป็นทางการกับสภาธุรกิจไทย–กัมพูชา เนื่องจากทุกฝ่ายกำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ากิจการไทยในพื้นที่ได้รับความเสียหายเพิ่มเติม แต่ความไม่แน่นอนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

L2D Page (140)

"คมนาคม"จัดชุดใหญ่ของขวัญ ปีใหม่2569 ลดค่าใช้จ่ายดินทาง ทางด่วน-มอเตอร์เวย์ฟรี-เข้มปลอดภัยทุกโหมด

คมนาคมเปิดชุดใหญ่ “ของขวัญปีใหม่ 2569” ลดค่าเดินทาง–เปิดทางด่วนฟรี เสริมความปลอดภัยทุกโหมดขนส่ง
กระทรวงคมนาคมประกาศมาตรการชุดใหญ่เป็น “ของขวัญปีใหม่ 2569” ให้ประชาชนทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด “H.N.Y 2569 – Happiness of All, Network of Care, Year of Safety” โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด ร่วมกันจัดแพ็กเกจลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความสะดวก และยกระดับความปลอดภัยบนเส้นทางคมนาคมทุกประเภทในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

มาตรการสำคัญเริ่มจากการลดภาระค่าเดินทาง โดยกรมทางหลวงยกเว้นค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และ 9 ตลอดช่วงเทศกาล พร้อมเปิดใช้ชั่วคราวทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 (M6) บางปะอิน–นครราชสีมา เพื่อลดความแออัดบนถนนมิตรภาพ และแจกคูปองส่วนลดค่าผ่านทางบนดอนเมืองโทลล์เวย์ ด้านการทางพิเศษแห่งประเทศไทยก็งดเก็บค่าผ่านทางบนเส้นทางหลักหลายสาย ขณะที่รฟม. ขยายเวลาเดินรถไฟฟ้า MRT ทุกสายถึงเช้ามืดวันปีใหม่

ระบบเดินทางสาธารณะได้รับการเพิ่มศักยภาพรองรับคนเดินทางจำนวนมากเช่นกัน การรถไฟแห่งประเทศไทยเสริมขบวนรถพิเศษในทุกภูมิภาคและเปิดให้จองตั๋วล่วงหน้าผ่านแอป D-Ticket ส่วนองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเพิ่มเที่ยวรถ ขยายเวลาเดินรถเชื่อมเส้นทางวัดสำคัญและสถานีขนส่ง พร้อมให้บริการอำนวยความสะดวกตลอดคืนปีใหม่ ขณะที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (ทอท.) เปิดที่จอดรถฟรีและจัดกิจกรรมปีใหม่ภายในสนามบิน ทั้งการแจกของที่ระลึก น้ำดื่ม และชุด Travel Kit เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความอบอุ่นให้ผู้โดยสาร

ภาคเอกชนด้านการบินร่วมสนับสนุนเช่นกัน โดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยประสานสายการบินไทย 6 แห่ง ลดค่าโดยสารจากเพดานสูงสุดลง 30 เปอร์เซ็นต์ในเส้นทางยอดนิยม พร้อมเพิ่มเที่ยวบินช่วงเทศกาล ส่วนบริษัท ขนส่ง จำกัด นำเสนอโปรโมชั่น “ไปก่อน–กลับทีหลัง” ลดค่าตั๋วโดยสาร 20 เปอร์เซ็นต์สำหรับผู้จองผ่านออนไลน์ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้โดยสารทั่วประเทศ

ด้านการดูแลประชาชน กระทรวงคมนาคมจัดบริการครอบคลุมทั่วประเทศ เครือข่ายศูนย์อาชีวะอาสาถูกตั้งขึ้นกว่า 150 จุดโดยกรมการขนส่งทางบก เพื่อช่วยตรวจสภาพรถและรองรับเหตุฉุกเฉิน พร้อมให้บริการระบบ Q Ride สำหรับตรวจข้อมูลคนขับรถแท็กซี่และร้องเรียนได้อย่างรวดเร็ว กรมทางหลวงจัดจุดพักรถและจุดกางเต็นท์ฟรี มีห้องน้ำ น้ำดื่ม และทีมกู้ภัย 24 ชั่วโมง รวมถึงแนะนำให้ผู้ใช้ทางตรวจสภาพจราจรผ่านแอป Highway Traffic ขณะที่กรมทางหลวงชนบทให้บริการสายด่วน 1146 ตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อประสานงานและช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุบนทางชนบท

มาตรการด้านความปลอดภัยถูกยกระดับเป็นพิเศษในฐานะ “Year of Safety” กรมการขนส่งทางบกเข้มงวดตรวจสภาพรถโดยสารและความพร้อมของคนขับ พร้อมจัดกิจกรรมตรวจรถฟรีทั่วประเทศและอบรมผู้ขับรถบรรทุกและรถลากจูงให้ได้มาตรฐาน กรมทางหลวงชนบทตรวจสอบจุดเสี่ยง ติดตั้งป้ายเตือน ไฟสัญญาณ และจัดเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนตลอดวัน บริษัท ขนส่ง จำกัด เปิดบริการตรวจสภาพรถฟรีที่ศูนย์รังสิต ส่วนการรถไฟแห่งประเทศไทยตั้งศูนย์ปลอดภัย 24 ชั่วโมงและจัดทำของขวัญพิเศษอย่าง “ถุงรถไฟรักษ์โลก” เพื่อรณรงค์การลดใช้พลาสติก

นายพิพัฒน์ย้ำว่า ของขวัญปีใหม่ปีนี้สะท้อนความตั้งใจของกระทรวงคมนาคมที่ต้องการให้ประชาชนเดินทางอย่างมีความสุขและปลอดภัยที่สุด ทั้งด้วยมาตรการลดค่าใช้จ่าย การให้บริการพิเศษในทุกโหมดขนส่ง และการดูแลความปลอดภัยบนทุกเส้นทาง พร้อมของที่ระลึกต่าง ๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความห่วงใยจากรัฐที่ต้องการอยู่เคียงข้างประชาชนตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us