SALE

L2D Page (145)

‘เอกชน’ หวั่นเปลี่ยนรัฐบาลเศรษฐกิจทรุด เจรจาภาษีสหรัฐส่อเลื่อน การลงทุนใหม่ชะลอ

เอกชนผวาการเมืองสะดุด หลังยุบสภา หวั่นเศรษฐกิจชะลอ เจรจาภาษีสหรัฐเลื่อน ความเชื่อมั่นลงทุนสั่นคลอน

ภาคเอกชนแสดงความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจ หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ส่งผลให้รัฐบาลเข้าสู่สถานะรักษาการ ซึ่งมีข้อจำกัดในการอนุมัติโครงการและมาตรการใหม่ โดยภาคธุรกิจหวั่นว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองจะทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสะดุด การเจรจาการค้าระหว่างประเทศล่าช้า และเม็ดเงินลงทุนใหม่ชะลอตัว

นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ระบุว่า แม้การยุบสภาจะมีเหตุผลในเชิงการเมือง แต่ในมุมเศรษฐกิจภาคเอกชนยังคาดหวังให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลวางไว้สามารถเดินหน้าต่อเนื่องอย่างน้อยถึงต้นปีหน้า เนื่องจากหลายมาตรการกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ยังไม่มีความชัดเจนหรืออยู่ในขั้นพิจารณาอาจต้องชะลอเพื่อรอการวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หากถูกมองว่ามีผลทางการเมือง ก็อาจต้องหยุดชั่วคราว ซึ่งจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศชะงักงัน

ในด้านการส่งออก ภาคเอกชนมีความกังวลเป็นพิเศษต่อการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเดิมตั้งเป้าจะปิดดีลภายในสิ้นปีนี้ แต่สถานการณ์ทางการเมืองอาจทำให้การเจรจาถูกเลื่อนออกไป โดยผลกระทบที่น่าห่วงที่สุดคือความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายใหญ่จากต่างประเทศ ซึ่งหลายรายอยู่ระหว่างการพิจารณาเข้ามาลงทุนในไทย แต่ขณะนี้จำเป็นต้องชะลอการตัดสินใจเพื่อรอดูทิศทางรัฐบาลชุดใหม่ ความไม่แน่นอนเพียงหนึ่งถึงสองเดือนอาจทำให้เงินลงทุนถูกเลื่อนหรือย้ายไปยังประเทศอื่น ส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปีหน้า

นายธนากรย้ำว่า สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องให้ความสำคัญที่สุดคือ “ความต่อเนื่อง” ของนโยบายและโครงการที่ผ่านการพิจารณาแล้ว ไม่ควรเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด เพราะจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักในช่วงเวลาที่เปราะบาง พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่เร่งสร้างความเชื่อมั่น เพื่อดึงดูดการลงทุนกลับมาโดยเร็ว

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แสดงความกังวลว่า ช่วงรัฐบาลรักษาการซึ่งยาวประมาณ 60 วัน อาจลดความเข้มข้นในการขับเคลื่อนมาตรการเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่เศรษฐกิจไทยยังอ่อนแรง สะท้อนจากตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ที่ขยายตัวเพียง 1.2% ต่ำกว่าคาดการณ์ ส.อ.ท.มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาแล้วถือว่าถูกทาง แต่จำเป็นต้องติดตามว่าการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองจะกระทบต่อการเดินหน้ามาตรการเหล่านี้มากน้อยเพียงใด

นายเกรียงไกรระบุเพิ่มเติมว่า ปัญหาสำคัญหลายเรื่องยังคงคาราคาซังและต้องการรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูพื้นที่ภาคใต้หลังอุทกภัย สถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่กระทบต่อการค้า การท่องเที่ยว และนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

ขณะเดียวกัน ภาคอุตสาหกรรมยังต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งมาตรการภาษีจากสหรัฐ ปัญหาสินค้าทุ่มตลาดและการสวมสิทธิ์ส่งออก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หนี้ครัวเรือน ค่าเงินบาทแข็ง ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างสังคมสูงวัย ระบบการศึกษา และกฎหมายที่ล้าสมัย ซึ่งล้วนซ้ำเติมความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย

ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนเข้าใจเหตุผลทางการเมืองในการยุบสภา แต่ขอเรียกร้องให้มีการจัดการเลือกตั้งและตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว เพื่อให้ประเทศมีรัฐบาลอำนาจเต็มในการผลักดันกฎหมายสำคัญและการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เช่น การเจรจาภาษีกับสหรัฐ และความตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป ซึ่งมีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

นายพจน์ย้ำว่า ในช่วงรัฐบาลรักษาการ รัฐบาลยังสามารถดำเนินมาตรการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้แล้วได้ ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ หรือการดูแลสถานการณ์ชายแดน โดยต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องไม่ให้เกิดสุญญากาศทางนโยบาย พร้อมเชื่อมั่นว่าหากทุกฝ่ายร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ ข้าราชการ และเอกชน จะสามารถประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้จนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่

ภาคเอกชนเห็นตรงกันว่า สิ่งสำคัญที่สุดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้คือการรักษาความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุน เพื่อไม่ให้การยุบสภากลายเป็นปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากทั้งในและต่างประเทศ.

L2D Page (144)

ผ่าแผนซื้อคืนรถไฟฟ้า 1.6 แสนล้าน เฟสแรก 4 สาย ยึดโมเดลจ้างเดินรถ 30 ปี

รัฐบาลกำลังเดินหน้าแผนปฏิรูปโครงสร้างระบบรถไฟฟ้าครั้งใหญ่ ด้วยแนวคิดซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าจากเอกชน รวมมูลค่าประมาณ 1.6 แสนล้านบาท เพื่อให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. เป็นเจ้าของโครงข่ายเพียงรายเดียว ภายใต้โมเดล Single Ownership ซึ่งจะช่วยให้รัฐสามารถกำหนดนโยบายค่าโดยสารและระบบตั๋วร่วมได้อย่างเป็นเอกภาพ โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการทำให้ประชาชนสามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าในราคาประหยัด เช่น ค่าโดยสารไม่เกิน 40 บาทตลอดวัน

เดิมแผนซื้อคืนมีกำหนดเสนอคณะรัฐมนตรีในวันที่ 9 ธันวาคม 2568 แต่ต้องเลื่อนออกไป เพราะยังมีประเด็นทางเทคนิคที่ต้องปรับปรุง กระทรวงคมนาคมจึงเตรียมเสนออีกครั้งในวันที่ 16 ธันวาคม โดยในระยะแรกจะเริ่มจากการซื้อคืนสัมปทาน 4 สายหลักที่เป็นรูปแบบ PPP Net Cost ซึ่งเอกชนเป็นผู้ลงทุน ระบบเดินรถ และจัดเก็บรายได้เอง ได้แก่ สายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีชมพู และสายสีเหลือง

สายสีเขียวเป็นโครงการที่มีสัญญาซับซ้อนที่สุด เนื่องจากแบ่งการบริหารระหว่างสัญญาสัมปทานหลัก และสัญญาจ้างเดินรถกับ BTSC ที่มีอายุยาวไปจนถึงปี 2585 ทั้งในส่วนเส้นทางหลักและส่วนต่อขยาย ในขณะที่สายสีน้ำเงินซึ่งอยู่ภายใต้ BEM ยังมีอายุสัมปทานยาวไปถึงช่วงปี 2592–2593 พร้อมภาระการจ่ายผลตอบแทนจากการเดินรถให้ รฟม. ส่วนสายสีชมพูและสายสีเหลืองซึ่งบริหารโดย NBM และ EBM ตามลำดับ เพิ่งเปิดให้บริการไม่นาน จึงยังมีอายุสัมปทานอีกเกือบสามทศวรรษจนถึงปี 2596

เมื่อรวมอายุสัญญาที่ยังเหลืออยู่ของทุกเส้นทาง กระทรวงคมนาคมประเมินว่ามูลค่าการซื้อคืนทั้งหมดอาจสูงถึง 160,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต้องออกแบบโมเดลทางการเงินใหม่เพื่อไม่ให้กระทบต่อเพดานหนี้สาธารณะ รัฐจึงศึกษาสองแนวทางหลัก แนวทางแรกคือการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานคล้าย TFFIF เพื่อระดมเงินจากนักลงทุน อีกแนวทางคือการเปิดสัมปทานใหม่ระยะยาว 30 ปีให้เอกชนนำไปค้ำประกันกู้เงินแทนรัฐ โดยรัฐทยอยชำระค่าซื้อคืนในอนาคต พร้อมจ่ายค่าจ้างเดินรถตามสัญญา วิธีนี้ช่วยลดภาระการกู้เงินโดยตรงของรัฐบาล และยังคงรอยต่อการให้บริการไม่ให้สะดุด

ในภาพรวมภาครัฐยืนยันว่าเอกชนผู้รับสัมปทานทั้ง BTSC และ BEM ไม่ได้คัดค้านแนวทาง Single Ownership แต่ต้องมีการเจรจาเพื่อให้กระทบต่อสิทธิประโยชน์เดิมน้อยที่สุด โดยมีความเป็นไปได้สูงว่าภายหลังซื้อคืนแล้ว รัฐจะว่าจ้างเอกชนเดิมเป็นผู้เดินรถต่อเนื่อง เพื่อให้บริการไม่สะดุดในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ระบบใหม่

จุดเปลี่ยนสำคัญของการปฏิรูปครั้งนี้คือการเปลี่ยนรูปแบบบริหารจาก PPP Net Cost มาเป็น PPP Gross Cost ซึ่งให้รัฐเป็นผู้รับความเสี่ยงด้านรายได้ทั้งหมด ขณะที่เอกชนรับบทบาทเป็นผู้เดินรถและซ่อมบำรุงตามค่าจ้างที่กำหนด ช่วยให้รัฐมีอำนาจเต็มในการกำหนดค่าโดยสาร ระบบตั๋วร่วม และยกเลิกค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนที่เป็นต้นตอสำคัญของค่าโดยสารแพงในปัจจุบัน

ขณะนี้กระทรวงคมนาคมกำลังเร่งเจรจากับเอกชนเพื่อกำหนดมูลค่าซื้อคืน และออกแบบสัญญาใหม่ที่คาดว่าจะเป็นสัญญาระยะยาว 30 ปี โดยในช่วงแรกที่รายได้ยังไม่คุ้มต้นทุน รัฐอาจเจรจาขอเว้นการชำระค่าซื้อคืนหรือค่าจ้างเดินรถบางส่วน ก่อนจะทยอยชำระจนเสร็จภายใน 20–30 ปี หลังจากนั้นเมื่อสัมปทานยุคใหม่ครบกำหนด ไทยอาจเข้าสู่ระบบที่มีผู้ให้บริการเดินรถเพียงรายเดียว หรือมีการเปิดประมูลใหม่อย่างโปร่งใสภายใต้โครงสร้างค่าโดยสารที่รัฐเป็นผู้กำหนดทั้งหมด

แผน Single Ownership จึงไม่ใช่เพียงการซื้อคืนสัมปทาน แต่เป็นความพยายามยกเครื่องระบบรถไฟฟ้าของประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายลดค่าครองชีพ และสร้างระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นธรรม เชื่อมต่อกันได้จริง และมีโครงสร้างรายได้ที่ยั่งยืนมากขึ้นในระยะยาว.

L2D Page (143)

สังคมโลก : เอไอขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เลนซ์ซูม : เอไอ–พลังใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยูเออี จากทะเลทรายสู่อภิมหาโครงสร้างข้อมูลของโลก

ท่ามกลางผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ของกรุงอาบูดาบี ศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ขนาดมหึมาที่มีพื้นที่ราวหนึ่งในสี่ของกรุงปารีสกำลังค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น กลายเป็นหนึ่งในโครงการเทคโนโลยีที่ทะเยอทะยานที่สุดเท่าที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เคยลงทุนมา ความตั้งใจของประเทศไม่ใช่เพียงการสร้างศูนย์ข้อมูล แต่คือการวางรากฐานทางเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ไม่พึ่งพาน้ำมัน เป็นเดิมพันครั้งใหญ่ที่อาจเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจในอนาคต

โครงสร้างอาคารขนาดยาวและเตี้ยที่กำลังก่อสร้างนี้จะเป็นที่ตั้งของศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานสูงถึง 5 กิกะวัตต์ ซึ่งจะกลายเป็นศูนย์ข้อมูลนอกสหรัฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก นายโยฮัน นิเลรุด ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์ของคาซนา ดาตา เซ็นเตอร์ส ในเครือจี42 อธิบายว่า ศูนย์แห่งนี้ถูกออกแบบให้รองรับการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในวงกว้าง ครอบคลุมพื้นที่รัศมี 3,200 กิโลเมตร ซึ่งเป็นบ้านของประชากรกว่า 4,000 ล้านคน

ยูเออีเติบโตจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันตั้งแต่ทศวรรษ 1960 แต่เมื่อความต้องการพลังงานฟอสซิลเริ่มชะลอลง ประเทศจำเป็นต้องหากำลังขับเคลื่อนใหม่ และเอไอถูกวางให้เป็นแกนกลางของเป้าหมายนั้น ยูเออีเป็นหนึ่งในประเทศที่มุ่งหน้าอย่างรวดเร็วในการนำเทคโนโลยีมาใช้โดยร่วมมือกับพันธมิตรนานาชาติ เพื่อให้กลายเป็นผู้นำด้านการใช้งานเอไอในระดับสากล

เฟสแรกของศูนย์เอไอในอาบูดาบีจะดำเนินการโดยโอเพนเอไอ ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐอย่างออราเคิล ซิสโก้ และเอ็นวิเดียเข้ามามีบทบาทสนับสนุน ขณะเดียวกัน ไมโครซอฟท์ก็ตอกย้ำความเชื่อมั่นด้วยการประกาศลงทุนกว่า 15,200 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2572 หลังจากเพิ่งอัดเงินทุนให้จี42 เมื่อปีก่อน ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของยูเออีในเวทีเทคโนโลยีโลกที่เพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อย ๆ

ยูเออีเริ่มวางรากฐานด้านเอไอตั้งแต่ปี 2560 เมื่อแต่งตั้งรัฐมนตรีด้านเอไอคนแรกของโลก และเปิดตัวยุทธศาสตร์เอไอระดับชาติเป็นประเทศที่สองรองจากแคนาดา ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่า เอไอมีศักยภาพเชื่อมโยงกับกิจกรรมเศรษฐกิจแทบทุกมิติ และอาจเปลี่ยนโฉมโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศได้ในระยะยาว

แม้ยูเออียังคงตามหลังสหรัฐและจีนในการแข่งขันเอไอระดับโลก แต่ประเทศในทะเลทรายแห่งนี้กลับมีข้อได้เปรียบสำคัญ ทั้งเงินทุนมหาศาล พลังงานที่เพียงพอ และความสามารถในการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก เนื่องจากเป็นศูนย์กลางธุรกิจของภูมิภาค และมีประชากรต่างชาติกว่า 90% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งเป็นแม่เหล็กดึงดูดแรงงานทักษะสูงได้อย่างดี

ยูเออียังดำเนินนโยบายสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างสองขั้วสำคัญอย่างสหรัฐและจีน เพื่อให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและอุปกรณ์สำคัญสำหรับเอไอ โดยเฉพาะชิปประมวลผลเฉพาะทางที่จำเป็นต่อศูนย์ข้อมูล

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความคืบหน้าและเงินทุนจำนวนมหาศาลที่ทุ่มลงไป ความสำเร็จในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและซับซ้อนอย่างเอไอยังคงไม่แน่นอน ยูเออีอาจมีทั้งข้อได้เปรียบและความท้าทาย แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ประเทศกำลังพยายามสร้างอนาคตใหม่จากหัวใจของทะเลทราย ที่ซึ่งพลังงานข้อมูลอาจเข้ามาแทนที่บทบาทของพลังงานจากน้ำมันในวันข้างหน้า

L2D Page (142)

Amazon เตรียมลงทุนอินเดีย 35 พันล้านดอลลาร์ภายใน 2030 เน้น AI และโลจิสติกส์

Amazon เดินหน้าทุ่มลงทุน 35 พันล้านดอลลาร์ในอินเดียภายในปี 2030 หนุน AI–คลาวด์–โลจิสติกส์ และอีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบ

Amazon.com ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ในอินเดียวงเงินกว่า 35 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นทศวรรษนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจในทุกมิติ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ การพัฒนา AI ไปจนถึงการขยายเครือข่ายคลังสินค้าและระบบโลจิสติกส์ แผนดังกล่าวถูกเปิดเผยในงานประชุมธุรกิจประจำปีครั้งที่หกของบริษัทที่กรุงนิวเดลี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของอินเดียในฐานะตลาดเชิงกลยุทธ์ของ Amazon

หนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการคือการยกระดับขีดความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ โดยคาดว่า AWS จะขยายการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ที่ปรับแต่งมาสำหรับงาน AI เพิ่มเติมในอินเดีย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เปิดคลาวด์รีเจียนแล้วสองแห่ง และให้คำมั่นลงทุน 4.4 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 แม้ยังไม่ระบุชัดเจนว่าแผนใหม่จะเพิ่มวงเงินดังกล่าวหรือไม่ แต่ทิศทางโดยรวมชี้ว่า AWS จะเร่งเสริมพลังการแข่งขันในตลาดคลาวด์ที่กำลังร้อนแรง

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันจาก Microsoft ซึ่งเพิ่งประกาศลงทุน 17.5 พันล้านดอลลาร์ในอินเดียภายในสี่ปี โดยเน้นการสร้างคลัสเตอร์ดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ในไฮเดอราบัดเพื่อรองรับงานด้าน AI เพิ่มเติม Microsoft มีโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ในหลายเมืองอยู่ก่อนแล้ว และมีพนักงานในอินเดียมากกว่า 22,000 คน สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่เข้มข้นของสองยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคนี้

สำหรับด้านอีคอมเมิร์ซ Amazon จะนำเงินทุนส่วนหนึ่งไปขยายศูนย์กระจายสินค้าและโครงสร้างพื้นฐานจัดส่ง เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีศูนย์กระจายสินค้ามากกว่า 60 แห่งในอินเดีย ขณะที่ Amazon Seller Services ทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2.82 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2024 และยังเติบโตต่อเนื่องในปีนี้อีก 19% ส่งสัญญาณว่าใกล้ถึงจุดคุ้มทุนมากขึ้น

ธุรกิจจำนวนมากในอินเดียยังใช้ Amazon เป็นแพลตฟอร์มส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ โดยมูลค่าการส่งออกที่ Amazon อำนวยความสะดวกสะสมจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 20 พันล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ขยายตัวระดับโลก

โครงการลงทุนครั้งใหญ่ยังคาดว่าจะสร้างผลเชิงบวกต่อการจ้างงานทั่วประเทศ Amazon ประเมินว่าภายในปี 2030 การลงทุนนี้จะสนับสนุนการจ้างงานรวมประมาณ 3.8 ล้านตำแหน่ง ทั้งทางตรง ทางอ้อม ตำแหน่งที่เกิดจากอุปสงค์ และงานตามฤดูกาล เพิ่มขึ้นจากตัวเลข 2.8 ล้านตำแหน่งในปีก่อน สะท้อนถึงผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่สำคัญต่ออินเดียในระยะยาว

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us