SALE

ผู้ส่งออกข้าวไทยร้องรัฐ–แบงก์ชาติ เร่งแก้บาทแข็ง ฉุดขีดความสามารถแข่งขันในตลาดโลก

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกำลังบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลก และส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของเกษตรกรไทยนับล้านครัวเรือน นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 7% โดยจาก 34.33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ลดลงมาอยู่ที่ 31.68 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างอินเดีย เวียดนาม และปากีสถาน กลับเผชิญภาวะค่าเงินอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์

ความแตกต่างดังกล่าวทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่งมากกว่า 10% ตัวอย่างเช่น หากผู้ส่งออกไทย อินเดีย เวียดนาม และปากีสถาน ต่างขายข้าวขาว 5% ในราคา FOB ที่ 350 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันเท่ากัน รายได้ที่แปลงเป็นเงินสกุลท้องถิ่นกลับแตกต่างกันชัดเจน ไทยมีรายได้เพียง 11,025 บาทต่อตัน ในขณะที่อินเดียและเวียดนามสามารถมีรายได้มากกว่าไทยถึง 1,200 บาทต่อตัน และปากีสถานมากกว่าไทยกว่า 1,000 บาทต่อตัน ทั้งที่ราคาข้าว FOB เท่ากันทุกประเทศ ความแตกต่างนี้ไม่ได้เกิดจากราคาข้าว แต่เป็นผลจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยตรง

นายเจริญชี้ว่า ผลกระทบดังกล่าวไม่เพียงทำให้คำสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศลดลง แต่ยังอาจซ้ำเติมสถานการณ์ราคาข้าวในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงนาปีปลายปีนี้ที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาด หากไม่มีคำสั่งซื้อใหม่เข้ามารองรับ ราคาข้าวในประเทศมีแนวโน้มลดต่ำลงอย่างรุนแรง และเกษตรกรจะเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยจึงเรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินมาตรการเพื่อดูแลค่าเงินบาทโดยด่วน โดยไม่เพียงควบคุมไม่ให้เงินบาทแข็งค่ามากเกินไป แต่ควรปรับให้ค่าเงินอ่อนลงในระดับที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพไม่ให้เกิดความผันผวนรุนแรง เพราะสถานการณ์ครั้งนี้ถือเป็นวาระเร่งด่วน หากปล่อยให้เงินบาทแข็งต่อเนื่องโดยไม่มีมาตรการแก้ไข ข้าวไทยจะเสียเปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก และเกษตรกรไทยจะต้องเผชิญกับรายได้ที่ลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

L2D Page (93)

“สุริยะ” ฝากรัฐมนตรีคมนาคมคนใหม่ เร่งสานต่อถนนพระราม 2–M82 พ้อเสียดายนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทใกล้สำเร็จแต่ยังไม่ทันใช้

ที่กระทรวงคมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เข้ากราบลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และกล่าวอำลาผู้บริหาร ข้าราชการในสังกัด หลังสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยนายสุริยะได้ย้อนถึงผลงานเกือบสองปีที่ผ่านมา ว่ากระทรวงคมนาคมได้เร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านโครงสร้างพื้นฐานในหลายมิติ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบรางซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงจากการขนส่งทางถนน พร้อมแก้ปัญหาที่ประชาชนเผชิญในชีวิตประจำวัน เช่น การลดความแออัดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผ่านการติดตั้งเครื่องอำนวยความสะดวกและการเพิ่มช่องตรวจคนเข้าเมืองเพื่อให้การเดินทางคล่องตัวขึ้น

นายสุริยะกล่าวต่อว่า ภารกิจหลายอย่างยังคงค้างอยู่และจำเป็นต้องได้รับการสานต่อ โดยเฉพาะโครงการถนนพระราม 2 และทางด่วนพิเศษระหว่างเมืองสาย M82 ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหาจราจรติดขัดและเป็นเส้นทางหลักเชื่อมต่อสู่ภาคใต้ จึงอยากฝากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนใหม่เร่งเดินหน้าให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ พร้อมทั้งมอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นกำลังสำคัญในการติดตามงานอย่างใกล้ชิด

ในส่วนของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น นายสุริยะยอมรับว่าเป็นเรื่องที่รู้สึกเสียดาย เนื่องจากได้ผลักดันมาอย่างยาวนานจนเกือบถึงขั้นบังคับใช้ แต่ยังคงต้องรอการตัดสินใจของรัฐมนตรีคนใหม่ว่าจะดำเนินการต่อหรือไม่ ขณะที่นางมนพรเสริมว่า นโยบายนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของกระทรวงคมนาคม โดยร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งเปรียบได้กับ “มวยที่ชกมาถึงยก 4 เหลือเพียงยก 5” หากกฎหมายเหล่านี้ผ่านความเห็นชอบก็จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญให้รัฐบาลใหม่สานต่อโครงการได้โดยไร้รอยต่อ

นอกจากนั้นยังมีกฎหมายที่รอการผลักดันต่อเนื่อง อาทิ ร่าง พ.ร.บ.การท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่ไม่ได้รับการแก้ไขมานานกว่า 70 ปี และขณะนี้ผ่านการพิจารณาหลักการของวุฒิสภาแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงาน ตลอดจนร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ที่เตรียมเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนถึงโครงการต่อเนื่องที่หากได้รับการสานต่อจากรัฐบาลใหม่ ก็จะช่วยสร้างความต่อเนื่องในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างแท้จริง

L2D Page (90)

กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าแผนโลจิสติกส์ใหม่ หนุนเกษตรกรแข็งแรง รับการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลง

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมเดินหน้าจัดทำ “แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร (พ.ศ. 2571 - 2575)” เพื่อเป็นแผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่แทนที่แผนเดิมซึ่งจะสิ้นสุดลงในปี 2570 โดยมุ่งเน้นการยกระดับความเข้มแข็งของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ อำนวยความสะดวกในการค้าสินค้าระหว่างประเทศ และนำเทคโนโลยีเข้ามาขับเคลื่อนระบบเกษตรสมัยใหม่

นายวินิต อธิสุข รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เปิดเผยผลการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตรครั้งแรกของปี 2568 ว่า ที่ประชุมได้ติดตามความก้าวหน้าในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ National Single Window (NSW) ซึ่งสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว เช่น การออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าอาเซียนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ATIGA e-Form D) ใบรับรองสุขอนามัยพืชอิเล็กทรอนิกส์ (e-Phyto Certificate) และการอนุญาตผ่านระบบ Single Submission ที่ช่วยลดขั้นตอนการดำเนินงานลงอย่างมาก

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบถึงความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมรองรับเส้นทางรถไฟสายไทย–ลาว–จีน ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งโครงข่ายสำคัญในการขนส่งสินค้าเกษตรระหว่างประเทศ รวมถึงข่าวดีจากการเจรจากับรัฐบาลจีนที่ยอมเปิดเพิ่มด่านนำเข้าสินค้าเกษตรและผลไม้ไทยอีก 3 แห่ง ได้แก่ ด่านทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ด่านภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ และด่านบ้านฮวก จังหวัดพะเยา ซึ่งจะช่วยกระจายเส้นทางการค้าผลไม้ไปยังตลาดจีนได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

กระทรวงเกษตรฯ ยังเดินหน้าสานต่อโครงการสำคัญที่ดำเนินมาแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับสถาบันเกษตรกรให้ก้าวสู่ผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร การพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อลดความสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว การจัดทำต้นทุนโลจิสติกส์ของสินค้าเกษตรหลักอย่างข้าว ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ตลอดจนการพัฒนาระบบขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาคุณภาพสินค้าเกษตรไทย

สำหรับแผนใหม่ที่จะเริ่มใช้ในปี 2571 จะเน้นการยกระดับขีดความสามารถของเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบการให้สามารถบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ได้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งจัดทำฐานข้อมูลด้านโลจิสติกส์การเกษตรของประเทศให้เป็นระบบและใช้ประโยชน์ได้จริง เพื่อตอบโจทย์การแข่งขันในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเตรียมจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Focus Group) ในพื้นที่ 4 ภาคทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงราย สงขลา หนองคาย และชลบุรี ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2568 ถึงพฤษภาคม 2569 เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกมิติ ก่อนจะสรุปและจัดทำร่างแผนฉบับสมบูรณ์ต่อไป

L2D Page (89)

ไทยเดินหน้าหารือเมียนมา หวังผ่อนปรนนำเข้า–ส่งออก และเร่งเปิดด่านแม่สอด–เมียวดี

กรมการค้าต่างประเทศเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงย่างกุ้ง และผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของเมียนมา เพื่อหารือถึงแนวทางผ่อนปรนมาตรการด้านการค้าชายแดน โดยเฉพาะการใช้ใบอนุญาตนำเข้า (Import License) ที่เข้มงวดขึ้นจนส่งผลให้ด่านการค้าชายแดนแม่สอด–เมียวดี ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญของไทยและเมียนมา ต้องปิดทำการมาตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ระบุว่า ประเด็นสำคัญในการเจรจาครั้งนี้ คือการขอให้เมียนมาเร่งเปิดด่านแม่สอด–เมียวดีโดยเร็ว เพื่อให้การค้าระหว่างสองประเทศกลับสู่ภาวะปกติ หลังจากที่ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากความไม่คล่องตัวในการส่งออกและนำเข้า อีกทั้งเมียนมายังได้แนะนำให้ใช้เส้นทางทางเลือก เช่น การขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือระนองไปยังเกาะสอง ก่อนเข้าสู่เมืองย่างกุ้ง แต่เส้นทางนี้มีต้นทุนสูงกว่ามาก จึงเป็นภาระต่อผู้ประกอบการ

ไทยยังได้ยืนยันความพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในกระบวนการนำเข้า–ส่งออก โดยเฉพาะด้านเอกสารและการตรวจสอบ เพื่อให้การค้าดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังหารือร่วมกันถึงการจัดกลุ่มสินค้าที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค ที่ควรได้รับการอำนวยความสะดวกเป็นพิเศษ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและภาคธุรกิจ

ก่อนหน้านี้ ฝ่ายไทยได้หารือกับทูตพาณิชย์เมียนมาและเอกอัครราชทูตเมียนมาในไทยแล้ว โดยได้รับสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับการผ่อนปรนมาตรการ Import License จึงคาดว่าการเจรจาที่กรุงย่างกุ้งครั้งนี้จะมีทิศทางที่ดี อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีสัญญาณว่าเมียนมาจะขยายมาตรการปิดด่านไปยังจุดอื่นนอกเหนือจากแม่สอด–เมียวดี

สำหรับสถานการณ์การค้าชายแดนล่าสุด ตัวเลขระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2568 มูลค่ารวมอยู่ที่ 122,282 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยไทยส่งออก 72,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 50,141 ล้านบาท ส่วนการค้าชายแดนไทย–กัมพูชาช่วงเดียวกันมีมูลค่า 92,006 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.5 เนื่องจากกัมพูชาหันไปพึ่งพาสินค้าจากเวียดนามและจีนมากขึ้น แต่กรมการค้าต่างประเทศมั่นใจว่า หลังไทยมีรัฐบาลใหม่ ความสัมพันธ์ทางการค้ากับกัมพูชาจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง และพร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในการขยายตลาดและเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us