เงินบาทแข็งค่าทะลุ 31.53 ต่อดอลลาร์ สูงสุดรอบกว่า 4 ปี ตลาดจับตาประชุม กนง. และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ
เงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (15 ธ.ค. 2568) ที่ระดับ 31.53 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเย็นวันศุกร์ที่ 31.61 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 ปีครึ่ง และแข็งค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในภูมิภาค
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ทิศทางเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจากความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐ ส่งผลให้เงินทุนบางส่วนไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย
ในสัปดาห์นี้ ตลาดการเงินจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ซึ่งจะประกาศในวันที่ 16 ธันวาคม รวมถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) ในวันที่ 17 ธันวาคม ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ระดับ 31.50–31.65 บาทต่อดอลลาร์
ด้านค่าเงินต่างประเทศ เงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับประมาณ 155.72 เยนต่อดอลลาร์ ขณะที่เงินยูโรอยู่ที่บริเวณ 1.1740 ดอลลาร์ต่อยูโร ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์แบบถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธนาคารแห่งประเทศไทย อยู่ที่ระดับ 31.654 บาทต่อดอลลาร์
บรรยากาศการลงทุนในประเทศยังได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและสถานการณ์ชายแดน โดยภาคเอกชนแสดงความกังวลว่าการชะลอการเลือกตั้งและความไม่ต่อเนื่องของนโยบายอาจกระทบต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนใหม่ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและการค้าคาดหวังให้รัฐบาลเร่งฟื้นความเชื่อมั่นและเดินหน้าเจรจาการค้าระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ด้านการค้าระหว่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ เกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา โดยในช่วงท้ายของการสนทนา ประธานาธิบดีสหรัฐได้สอบถามถึงความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ และยืนยันว่าจะเร่งประสานให้เกิดการเจรจาตามที่เคยให้คำมั่นไว้ ขณะที่โฆษกรัฐบาลยืนยันว่า สหรัฐพร้อมเดินหน้าเจรจาภาษีในระดับเทคนิค และข้อเสนอของไทยยังคงอยู่ในกระบวนการพิจารณา
ปัจจัยต่างประเทศยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ตลาดจับตา โดยนักลงทุนติดตามข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่จะประกาศในวันนี้ อาทิ ราคาบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และอัตราว่างงาน เพื่อประเมินทิศทางเศรษฐกิจจีนในระยะต่อไป ขณะเดียวกัน ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้ หลังดัชนีความเชื่อมั่นภาคการผลิตปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปี
นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก แม้ตลาดจะมีความผันผวนสูง ขณะที่ฝั่งสหรัฐยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากภาวะปิดหน่วยงานรัฐบาล ส่งผลให้กระทรวงแรงงานสหรัฐไม่สามารถเผยแพร่ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคบางช่วงเวลาได้ ซึ่งเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดการเงินในระยะสั้น





