SALE

L2D Page (50)

สหรัฐฯ เก็บภาษีทองแดง 50% ทรัมป์ลุยปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ กระทบการค้าโลก

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในอัตรา 50% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยคำสั่งดังกล่าวครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ทองแดงกึ่งสำเร็จรูปและสินค้าทองแดงแปรรูปจำนวนมาก เช่น ท่อทองแดง สายไฟ ขั้วต่อ สายเคเบิล แท่งทองแดง และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ทองแดงเป็นส่วนประกอบสำคัญ โดยอ้างเหตุผลด้าน “ความมั่นคงของชาติ” เป็นหลักในการดำเนินมาตรการดังกล่าว

แหล่งข่าวจากทำเนียบขาวเปิดเผยว่า คำสั่งนี้มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศจากการพึ่งพาทองแดงนำเข้าซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2534 สหรัฐฯ มีการนำเข้าทองแดงน้อยมาก แต่ในปี 2567 ตัวเลขการใช้ทองแดงนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็นถึง 45% ของการบริโภคภายในประเทศ สะท้อนถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานโลหะสำคัญที่สหรัฐฯ เคยครอบครองความสามารถในการผลิตอย่างมั่นคง

การใช้ทองแดงภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตามความต้องการในภาคอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยเฉพาะในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ รวมถึงฮาร์ดแวร์ทางทหารขั้นสูง ซึ่งต่างก็ต้องใช้ทองแดงในปริมาณมาก การที่สหรัฐฯ ขาดแคลนกำลังการผลิตและต้องพึ่งพาทองแดงจากต่างประเทศจึงถูกมองว่าเป็นช่องโหว่ที่อาจกระทบต่อศักยภาพของประเทศทั้งในด้านความมั่นคง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถทางเทคโนโลยีในระยะยาว

เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณล่วงหน้าเกี่ยวกับแนวคิดที่จะเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในอัตราสูงถึง 50% แต่ในขณะนั้นยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด จนกระทั่งคำสั่งอย่างเป็นทางการได้รับการลงนามในช่วงปลายเดือน โดยมีพื้นฐานจากผลการสอบสวนและข้อเสนอแนะที่ส่งมาจากกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีโฮเวิร์ด ลุตนิก ซึ่งทรัมป์ได้มอบหมายให้ดำเนินการตรวจสอบความจำเป็นในการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว

ภายใต้คำสั่งใหม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังได้รับอำนาจพิเศษในการกำหนดมาตรการควบคุมเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศ หนึ่งในมาตรการที่ถูกกำหนดไว้คือ การบังคับให้เศษทองแดงคุณภาพสูงที่ผลิตได้ภายในประเทศในสัดส่วนอย่างน้อย 25% ต้องถูกจัดสรรให้ขายภายในประเทศก่อน เพื่อเพิ่มปริมาณวัตถุดิบภายในและลดการพึ่งพานำเข้าจากต่างชาติ

แหล่งข่าวระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐฯ ย้ำว่า มาตรการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องตลาดจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม หากยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตในด้านความมั่นคง เทคโนโลยี และพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่การแย่งชิงทรัพยากรและวัตถุดิบสำคัญทั่วโลกกำลังทวีความรุนแรง

นักวิเคราะห์มองว่าการเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในระดับสูงเช่นนี้จะกระทบต่อประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ ซึ่งมีทั้งประเทศในละตินอเมริกาและเอเชียที่เป็นผู้ส่งออกทองแดงรายใหญ่ ทั้งยังอาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในบางอุตสาหกรรมภายในประเทศระยะสั้น แต่รัฐบาลสหรัฐฯ เชื่อว่า ความได้เปรียบในระยะยาวของการฟื้นฟูฐานการผลิตและห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ จะชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจในเบื้องต้น

มาตรการภาษีล่าสุดของทรัมป์จึงสะท้อนภาพรวมของแนวนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ที่เขาเคยยึดถือมาตั้งแต่การดำรงตำแหน่งในสมัยแรก และยังเป็นสัญญาณว่าหากเขาได้รับเลือกเป็นผู้นำอีกครั้งในปลายปีนี้ แนวทางเศรษฐกิจแบบชาตินิยมและการปกป้องอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศจะถูกผลักดันอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้นในระยะต่อไป

L2D Page (49)

คมนาคมเผยน้ำท่วมกระทบถนน 184 แห่งใน 22 จังหวัด รถผ่านไม่ได้ 17 จุด เร่งซ่อมแซมทันทีเมื่อระดับน้ำลด” เนื้อหาเรียบเรียงใหม่

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 กระทรวงคมนาคมรายงานสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นบนโครงข่ายถนนทั่วประเทศ โดยระบุว่าในช่วงวันที่ 1–30 กรกฎาคม มีถนนในความรับผิดชอบของทั้งกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมรวมทั้งสิ้น 184 แห่ง ใน 22 จังหวัด โดยในจำนวนนี้มี 17 แห่งที่ระดับน้ำสูงจนไม่สามารถให้รถผ่านได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งวางแผนเข้าซ่อมแซมฟื้นฟูถนนทันทีเมื่อระดับน้ำเริ่มลดลง

ตามรายงานสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา ณ เวลา 06.00 น. ของวันเดียวกัน ระบุว่าประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ เช่น เชียงราย พะเยา น่าน ตาก อุตรดิตถ์ และพิษณุโลก ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก 10 จังหวัด รวมถึงบางส่วนของภาคกลางและภาคตะวันออก เช่น กาญจนบุรี ราชบุรี นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด ส่งผลกระทบต่อถนนสายหลักและสายรองอย่างต่อเนื่อง

สำหรับถนนในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง มีจำนวนที่ได้รับผลกระทบสะสม 147 แห่ง และในจำนวนนั้น มี 7 แห่งที่ระดับน้ำยังคงสูงเกินกว่ารถจะสัญจรผ่านได้ ซึ่งกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย น่าน แพร่ และสุโขทัย เช่น ถนนทางหลวงหมายเลข 1098, 1155 และ 101 ซึ่งน้ำท่วมขังในหลายช่วงทาง ทำให้ต้องปิดการจราจรเพื่อความปลอดภัย

ขณะที่ถนนในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท มีจำนวนจุดที่ได้รับผลกระทบรวม 37 แห่ง โดย 10 แห่งไม่สามารถสัญจรได้ พบมากในจังหวัดน่านและแพร่ ซึ่งถนนสายรองหลายสายถูกน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเขตอำเภอเมืองและพื้นที่ห่างไกล กระทบต่อการเดินทางและการเข้าถึงของหน่วยช่วยเหลือ

กระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้ทั้งกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทระดมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ ติดตั้งป้ายเตือน เครื่องหมายจราจร กรวย และกระสอบทรายเพื่ออำนวยความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ พร้อมเร่งซ่อมแซมพื้นผิวถนนที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม

นอกจากนี้ หน่วยงานในพื้นที่ยังได้ปักเสาแสดงแนวเขตถนนในบริเวณที่น้ำท่วมสูง รวมถึงติดตั้งป้ายแจ้งเตือนระดับน้ำ เพื่อให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัญจรในเส้นทางที่มีความเสี่ยง พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมฟื้นฟูโครงข่ายคมนาคมโดยเร็วเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย

L2D Page (48)

ส่งออกข้าวทรุด 8 เดือนติด - สหรัฐยังนำเข้าเบอร์หนึ่ง ลุ้นลดภาษีทรัมป์ช่วยหนุนตลาด

ในปี 2567 ไทยสามารถส่งออกข้าวได้ถึง 9.95 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า สร้างรายได้รวมกว่า 225,656 ล้านบาท ซึ่งเป็นปริมาณส่งออกที่สูงที่สุดในรอบ 6 ปี และมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 9 ล้านตัน สะท้อนถึงศักยภาพของไทยในตลาดโลกในช่วงที่ยังไม่มีปัจจัยลบจากภาวะภัยแล้งหรือการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง

อย่างไรก็ตาม สำหรับปี 2568 แนวโน้มกลับไม่สดใสเท่าเดิม กรมการค้าต่างประเทศและสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดว่าการส่งออกข้าวทั้งปีจะอยู่ที่เพียง 7.5 ล้านตัน โดยมีปัจจัยกดดันหลักจากการกลับมาส่งออกของอินเดีย ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดข้าวโลก และแนวโน้มผลผลิตข้าวของหลายประเทศที่เพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์ภัยแล้งคลี่คลาย

ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ระบุว่า ในเดือนมิถุนายน 2568 ไทยส่งออกข้าวได้เพียง 678,845 ตัน ลดลงถึง 33.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าส่งออกลดลงถึง 41.1% อยู่ที่ 380.6 ล้านดอลลาร์ โดยยอดส่งออกข้าวของไทยหดตัวต่อเนื่องมาแล้วถึง 8 เดือนเต็ม ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม–มิถุนายน) 2568 ไทยส่งออกข้าวรวม 3.72 ล้านตัน ลดลง 27.3% จากปีก่อนหน้า และมีมูลค่าส่งออกรวม 2,258 ล้านดอลลาร์ ลดลง 32.3%

ในด้านตลาด แม้การส่งออกจะหดตัวโดยรวม แต่ยังมีตลาดที่ขยายตัว ได้แก่ สหรัฐ จีน แคนาดา ฮ่องกง และสิงคโปร์ ในขณะที่ตลาดอิรัก แอฟริกาใต้ เซเนกัล แคเมอรูน และญี่ปุ่น มียอดนำเข้าจากไทยลดลง

ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร รายงานข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2568 ว่าการเพาะปลูกข้าวนาปีในฤดูกาล 2568/69 มีพื้นที่ประมาณ 61.95 ล้านไร่ ลดลงจากปีก่อน 0.12% แต่กลับมีผลผลิตรวมสูงถึง 27.23 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.81% โดยผลผลิตต่อไร่อยู่ที่ 440 กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 1.15% จากปีก่อนหน้า ปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือสภาพอากาศที่เป็นปกติ ไม่มีฝนทิ้งช่วงหรืออุทกภัยเหมือนปีที่แล้ว ทำให้มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูก ส่งผลให้ผลผลิตภาพรวมเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าผลผลิตจะออกมากที่สุดในช่วงเดือนพฤศจิกายน คิดเป็นกว่า 63% ของผลผลิตทั้งหมด

สำหรับข้าวนาปรัง ปี 2568 คาดว่าจะมีการเพาะปลูก 13.14 ล้านไร่ ผลผลิตรวม 8.59 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 654 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปีก่อนในทุกด้าน โดยเฉพาะพื้นที่เพาะปลูกที่เพิ่มขึ้นกว่า 30% เนื่องจากมีฝนตกมากในช่วงปลายปี 2567 ทำให้มีน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเพียงพอต่อการเกษตร บางพื้นที่เกษตรกรสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ถึงสองรอบต่อปี

ด้านราคาข้าวที่เกษตรกรขายได้ ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิในสัปดาห์ที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 15,375 บาท ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนที่ 15,450 บาท หรือคิดเป็น 0.49% ขณะที่ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% เฉลี่ยตันละ 6,956 บาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 0.66%

ราคาส่งออกข้าวในตลาดโลกยังปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) มีราคาส่งออกเฉลี่ยที่ 1,058 ดอลลาร์ต่อตัน หรือประมาณ 34,099 บาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนทั้งในรูปดอลลาร์และเงินบาท ข้าวขาว 5% เฉลี่ยที่ 392 ดอลลาร์ต่อตัน หรือประมาณ 12,634 บาท เพิ่มขึ้น 0.51% ส่วนข้าวนึ่ง 5% เฉลี่ยอยู่ที่ 395 ดอลลาร์ต่อตัน หรือ 12,731 บาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อนเล็กน้อย

ขณะเดียวกัน การค้าโลกยังต้องจับตาความเสี่ยงจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐ หรือ Reciprocal Tariff ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งกำหนดอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศคู่ค้า โดยสินค้าส่งออกสำคัญอย่างข้าวหอมมะลิไทยอาจได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เพราะตลาดสหรัฐยังคงเป็นผู้นำเข้าอันดับ 1 ของข้าวหอมมะลิจากไทยในปัจจุบัน

L2D Page (47)

MPI มิ.ย. โตต่อเนื่อง 3 เดือนติด รับแรงหนุนยานยนต์-ส่งออกฟื้น สศอ. แนะรัฐเร่งหนุนอุตฯ รับมือภาษีทรัมป์

นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ระดับ 97.35 ขยายตัว 0.58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม สะท้อนถึงทิศทางการฟื้นตัวของภาคการผลิต โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 59.58%

ในภาพรวมของไตรมาส 2 ดัชนี MPI เฉลี่ยอยู่ที่ 96.75 ขยายตัว 1.47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเติบโตถึง 17.02% จากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดที่เพิ่มขึ้นในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงแรงหนุนจากคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกก่อนมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะมีผล

ขณะเดียวกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็มีส่วนกระตุ้นภาคการผลิตในประเทศให้ฟื้นตัว นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ไม่รวมทองคำ อาวุธยุทโธปกรณ์ และอากาศยานรบ ยังคงขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 โดยในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นกว่า 15% จากการเร่งส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม สศอ. เตือนว่าภาคอุตสาหกรรมยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ประกอบกับภาคท่องเที่ยวยังไม่กลับสู่ระดับปกติ ซึ่งกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ส่วนในระดับสากล เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังมีความไม่แน่นอนสูงจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่มีแรงกดดันจากการไหลทะลักของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว สศอ. เสนอให้ภาครัฐเร่งผลักดันการใช้สินค้าในประเทศ โดยเฉพาะในระบบจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ และส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนและวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศให้มากขึ้น พร้อมทั้งผลักดันมาตรการสนับสนุนการรับรองคุณภาพสินค้า เช่น การออกใบรับรองให้กับพลอยเจียระไนและเครื่องประดับ เพื่อยกระดับคุณภาพและขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ลดการพึ่งพาตลาดเดิมที่มีความเสี่ยงสูง

แม้ภาพรวมหลายอุตสาหกรรมสำคัญมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ยังมีบางอุตสาหกรรมที่หดตัว เช่น เครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปจากคำสั่งซื้อที่ลดลง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจากความต้องการที่ลดลง และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากการหยุดซ่อมบำรุงของผู้ผลิตรายใหญ่

สศอ. ระบุเพิ่มเติมว่า จากการประเมินสถานการณ์ผ่านระบบเตือนภัยเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคม 2568 ภาพรวมยังอยู่ในระดับ “เฝ้าระวัง” และเน้นย้ำว่าภาครัฐจำเป็นต้องเดินหน้าออกมาตรการเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับอุตสาหกรรมไทย และผลักดันสินค้าใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ เครื่องประดับระดับพรีเมียม และถุงมือยางชนิดพิเศษ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us