SALE

news-20250618-01

แก้ปัญหารถติดแหลมฉบัง! "คมนาคม" แท็กทีมเอกชน ผุดแผนเร่งด่วน ลดเวลารอรถบรรทุกเหลือไม่กี่ชั่วโมง

กระทรวงคมนาคม กำลังเดินหน้าแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณ ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) อย่างเร่งด่วน หลังพบว่ารถบรรทุกต้องใช้เวลารอคอยเฉลี่ยสูงถึง 10-20 ชั่วโมงต่อเที่ยวงาน ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อต้นทุนของผู้ประกอบการและสุขภาพของพนักงานขับรถ

นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมร่วมกับสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งจะเน้นทั้งมาตรการระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และวางรากฐานการบริหารจัดการในระยะยาว

แผนแก้ไขปัญหาเร่งด่วนและระยะยาว

  • จัดระเบียบพื้นที่และบริหารการจราจร: จัดสรรลานจอดรถบรรทุกเพิ่มเติม 70 ไร่ และ 22 ไร่ เพื่อลดการจอดซ้อนคันบนถนนสาธารณะ พร้อมเพิ่มห้องสุขาเคลื่อนที่ 12 จุด อำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่
  • ผ่อนคลายความแออัด: ประสานกรมศุลกากรขออนุญาตนำตู้สินค้าขาเข้าไปพักนอกเขตท่าเรือเป็นการชั่วคราว พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง
  • ใช้ระบบ Truck Queue เต็มรูปแบบ: นำระบบจัดการคิวรถบรรทุก 100% เพื่อความเป็นธรรม ลดความแออัดบริเวณหน้าทางเข้า และจัดเตรียมพื้นที่นอกเขตรั้วศุลกากรสำหรับรองรับรถที่รอคิว นอกจากนี้ ยังจะพัฒนาแอปพลิเคชัน (Dash board) บนโทรศัพท์มือถือ และติดตั้งกล้อง CCTV พร้อมระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์เพื่อติดตามสถานการณ์จราจร
  • เชื่อมโยงฐานข้อมูล: พัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างท่าเรือ สายการเดินเรือ ผู้ประกอบการขนส่ง และผู้ใช้บริการ ให้ทำงานบนฐานข้อมูลกลาง เพื่อให้กระบวนการเคลียร์สินค้าและตู้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • มาตรการระยะกลางและระยะยาว: ส่งเสริมการจองคิวล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์เพื่อกระจายปริมาณรถตามรอบเวลา และศึกษาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น แนวคิดการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟหรืออุโมงค์ รวมถึงพัฒนาสู่การเป็น Smart Port ด้วยระบบอัตโนมัติเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรและการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายสรวุฒิ ย้ำว่า กระทรวงคมนาคมและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อคืนความเชื่อมั่นในระบบโลจิสติกส์ของไทย และบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบการและพนักงานขับรถบรรทุกในพื้นที่ให้เร็วที่สุด

ที่มา thaipbs

news-20250627-03

ทั่วโลกเร่งหนีภาษีสหรัฐฯ! ดันดัชนีราคาสินค้าส่งออก - นำเข้าไทย พ.ค. 68 พุ่ง หวั่นปัจจัยเสี่ยงฉุดเศรษฐกิจอนาคต

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โดย นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกและดัชนีราคานำเข้าของไทยในเดือนพฤษภาคม 2568 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการสินค้าจากประเทศคู่ค้าที่เร่งตัวขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการนำเข้าสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องเพื่อใช้ในการผลิต

อย่างไรก็ตาม สนค. ยังคงเตือนถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการค้าโลก, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค, การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, นโยบายกีดกันทางการค้า, และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

ดัชนีราคาส่งออก: อุตสาหกรรมและเกษตรแปรรูปเป็นดาวเด่น

ดัชนีราคาส่งออกในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 111.0 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อยที่ 0.4% (YOY) โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ รวมถึงการขยายตัวที่ดีของการส่งออกอาหารแปรรูป

หมวดสินค้าอุตสาหกรรม: สูงขึ้น 1.6% โดยเฉพาะ ทองคำ (ความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น), เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (ความต้องการเร่งนำเข้าก่อนมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เต็มรูปแบบ และความต้องการรองรับ AI-Data Center), และ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (อุณหภูมิและความชื้นทั่วโลกสูงขึ้น)
หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร: สูงขึ้น 1.4% ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (สินค้าเก็บได้นาน ปลอดภัย), อาหารสัตว์เลี้ยง (โดยเฉพาะกลุ่มพรีเมียมและ Functional Food), และ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ความต้องการบริโภคเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ)

ในทางตรงกันข้าม หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกลดลง ได้แก่ หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลง 15.8% โดยเฉพาะ น้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบ (อุปทานส่วนเกิน-ความต้องการชะลอตัว) และ หมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลง 4.0% ซึ่งได้รับผลกระทบจาก ข้าว (อุปทานโลกสูง-การแข่งขันจากอินเดียและเวียดนาม) และ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (ความต้องการจากจีนลดลง)

ดัชนีราคานำเข้า: ผู้ผลิตเร่งสต็อกรับมือภาษีสหรัฐฯ

ดัชนีราคานำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 114.1 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.4% (YOY) สาเหตุหลักมาจากการที่ผู้ผลิตในประเทศเร่งสต็อกนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล่วงหน้า (Prestock) เพื่อเตรียมพร้อมก่อนมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า

หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค: สูงขึ้น 8.5% โดยเฉพาะ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน, ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม, เครื่องประดับอัญมณี, ผัก ผลไม้ และของปรุงแต่ง (ความต้องการใช้ภายในประเทศและการท่องเที่ยวขยายตัว)

หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป: สูงขึ้น 4.9% โดยเฉพาะ ทองคำ (ราคาสูงขึ้นตามเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และความกังวลตะวันออกกลาง-เศรษฐกิจโลก), อุปกรณ์ ส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ความต้องการในภาคการผลิตและอุตสาหกรรม), และ ปุ๋ย (ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น-ความต้องการเพิ่มขึ้น)

หมวดสินค้าทุน: สูงขึ้น 4.3% ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (รองรับการผลิตเพื่อส่งออกและการขยายตัวของ AI-Data Center)

หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง: สูงขึ้น 0.8% โดยเฉพาะ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ (ความต้องการชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อการผลิตและประกอบรถยนต์)

หมวดสินค้าเชื้อเพลิง: หดตัวเพิ่มขึ้น 14.6% โดยเฉพาะ ราคาน้ำมันดิบ (ทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลก และคาดการณ์ว่าอุปทานจะสูงเกินอุปสงค์)

แนวโน้มเดือนมิถุนายน 2568 และปัจจัยเสี่ยง

นายพูนพงษ์คาดการณ์ว่า ในเดือนมิถุนายน 2568 จะมีปัจจัยสนับสนุนให้ดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่ การเร่งนำเข้าสินค้าไทยจากประเทศคู่ค้าก่อนมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จะมีผลเต็มรูปแบบ, การเติบโตต่อเนื่องของสินค้าเกษตรแปรรูป, ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทั่วโลก, และแนวโน้มต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าหลัก, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังยืดเยื้อ, ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ, ราคาสินค้าเกษตรบางกลุ่มที่เผชิญกับอุปทานส่วนเกิน, การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น, และความผันผวนและการแข็งค่าของค่าเงินบาท

ที่มา prachachat

news-20250627-02

"LEO" ชูทางเลือกส่งออก ทางเรือ - รถไฟ ลดเสี่ยงโลจิสติกส์

บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) เตรียมพร้อมช่วยภาคธุรกิจและผู้ส่งออกไทยพลิกวิกฤตจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่มีการควบคุมเข้มและปิดด่านหลายจุด และสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง จากช่องแคบฮอร์มุซ ให้กลายเป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง เป็นทางเรือและทางรถไฟ ฟากบิ๊กบอส "เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์" มั่นใจการเลือกใช้เส้นทางใหม่นี้ สามารถรองรับการส่งออกที่มีความต่อเนื่องและยืดหยุ่นได้มากขึ้น

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า ปัจจุบัน การควบคุมชายแดนในจุดสำคัญส่งผลให้การขนส่งสินค้าทางบกระหว่างไทย–กัมพูชาเกิดความล่าช้า ต้นทุนเพิ่มขึ้น และบางครั้งเสี่ยงต่อการเน่าเสียของสินค้า หรือขาดแคลน stock สินค้า โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค LEO จึงแนะนำให้ผู้ส่งออกพิจารณาเส้นทางใหม่ เช่น การส่งออกทางเรือหรือทางอากาศ  หรืออีกหนึ่งทางเลือกคือการขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) โดยที่ผู้ส่งออกสามารถส่งสินค้าทางเรือไปยังประเทศเวียดนาม แล้วขนส่งทางรถบรรทุกเข้าสู่ประเทศกัมพูชาผ่านด่าน Bavet  โดยการดำเนินพิธีการศุลกากรที่ด่าน Bavet นี้  มีความสะดวกเหมือนกับการดำเนินพิธีการการค้าชายแดนทั่วไปและมีขั้นตอนความยุ่งยากน้อยกว่าพิธีการศุลกากรที่ท่าเรือหรือสนามบิน และยังช่วยลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทยได้อีกด้วย

โดยลูกค้าของบริษัทฯ จะได้รับความสะดวกและรวดเร็วสำหรับการดำเนินพิธีการศุลกากรและการขนส่งจากพนักงานของบริษัท Logicam LEO (Cambodia) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ LEO ในประเทศกัมพูชา และมีแผนกให้บริการพิธีการศุลกากรและรถบรรทุกของตัวเอง และมีความเชี่ยวชาญในการให้บริการพิธีการศุลกากรที่ชายแดนมาอย่างยาวนาน บริษัทฯ จึงมีความพร้อมในการใช้ด่าน Bavet เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของการค้าชายแดนไทย – กัมพูชาได้ทันที

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะความเสี่ยงจากช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางเรือหลักระหว่างเอเชีย–ยุโรป ได้สร้างความกังวลในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก หากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เส้นทางดังกล่าวใช้งานไม่ได้ อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการขนส่งสินค้าระหว่างภูมิภาค ด้วยเหตุนี้เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว LEO ได้เตรียมความพร้อมในการให้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟจากไทย–ลาว–จีน ไปยังประเทศในทวีปยุโรป ผ่าน บริษัท ล้านช้าง เอ๊กซ์เพรส (LaneXang Express)  ที่เป็นบริษัทย่อยของ LEO ซึ่งมีเครือข่ายรถไฟขนส่งสินค้าเชื่อมต่อจากประเทศไทย ผ่านลาวตอนเหนือ (เวียงจันทน์ – บ่อเต็น), มณฑลยูนนานของจีน และเข้าสู่เครือข่ายรถไฟจีน–ยุโรป ซึ่งสามารถกระจายสินค้าไปยังประเทศปลายทาง เช่น เยอรมนี โปแลนด์ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และอีกหลายประเทศในยุโรปได้ บริการนี้ตอบโจทย์ในด้าน ระยะเวลาขนส่งที่เร็วกว่าเรือ  ความสม่ำเสมอของตารางเดินรถและความปลอดภัยของสินค้า  เหมาะสำหรับสินค้ากลุ่ม FMCG, อุตสาหกรรม, และสินค้าเร่งด่วนที่ต้องส่งถึงตามกำหนด

“ล้านช้าง เอ็กซ์เพรส เป็นบริษัทฯ ที่มีความพร้อมและความสามารถในการให้บริการขนส่งทางรางแบบไร้รอยต่อ (Seamless Rail Transport Services) ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ซึ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพในการขนส่งสินค้าทางรางได้อย่างครบวงจรให้กับ LEO อีกทั้งยังช่วยเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Emission Reduction) ภายใต้สโลแกน “โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics)” นายเกตติวิทย์ กล่าว

LEO พร้อมเป็น Partner ที่ลูกค้าสามารถพึ่งพาได้ในทุกสถานการณ์ โดยเชื่อว่า ทุกวิกฤตคือโอกาสในการพัฒนาและขยายช่องทางการขนส่งสินค้าใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านต้นทุน เวลา และความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางส่งออกไปยังกัมพูชาผ่านเวียดนาม หรือเส้นทางส่งออกไปยุโรปผ่านระบบรถไฟ LEO มีความเชี่ยวชาญและโซลูชันครบวงจร พร้อมสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถขนส่งสินค้าไปยังทุกจุดหมายปลายทางทั่วโลกอย่างมืออาชีพ

news-20250624-03

สนค. เตือน! วิกฤตช่องแคบฮอร์มุซสั่นคลอนเศรษฐกิจโลก ชี้ราคาน้ำมันพุ่ง ต้นทุนส่งออกไทยจ่อแพงขึ้น

บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) เตรียมพร้อมช่วยภาคธุรกิจและผู้ส่งออกไทยพลิกวิกฤตจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่มีการควบคุมเข้มและปิดด่านหลายจุด และสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง จากช่องแคบฮอร์มุซ ให้กลายเป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง เป็นทางเรือและทางรถไฟ ฟากบิ๊กบอส "เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์" มั่นใจการเลือกใช้เส้นทางใหม่นี้ สามารถรองรับการส่งออกที่มีความต่อเนื่องและยืดหยุ่นได้มากขึ้น

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า ปัจจุบัน การควบคุมชายแดนในจุดสำคัญส่งผลให้การขนส่งสินค้าทางบกระหว่างไทย–กัมพูชาเกิดความล่าช้า ต้นทุนเพิ่มขึ้น และบางครั้งเสี่ยงต่อการเน่าเสียของสินค้า หรือขาดแคลน stock สินค้า โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค LEO จึงแนะนำให้ผู้ส่งออกพิจารณาเส้นทางใหม่ เช่น การส่งออกทางเรือหรือทางอากาศ  หรืออีกหนึ่งทางเลือกคือการขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) โดยที่ผู้ส่งออกสามารถส่งสินค้าทางเรือไปยังประเทศเวียดนาม แล้วขนส่งทางรถบรรทุกเข้าสู่ประเทศกัมพูชาผ่านด่าน Bavet  โดยการดำเนินพิธีการศุลกากรที่ด่าน Bavet นี้  มีความสะดวกเหมือนกับการดำเนินพิธีการการค้าชายแดนทั่วไปและมีขั้นตอนความยุ่งยากน้อยกว่าพิธีการศุลกากรที่ท่าเรือหรือสนามบิน และยังช่วยลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทยได้อีกด้วย

โดยลูกค้าของบริษัทฯ จะได้รับความสะดวกและรวดเร็วสำหรับการดำเนินพิธีการศุลกากรและการขนส่งจากพนักงานของบริษัท Logicam LEO (Cambodia) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ LEO ในประเทศกัมพูชา และมีแผนกให้บริการพิธีการศุลกากรและรถบรรทุกของตัวเอง และมีความเชี่ยวชาญในการให้บริการพิธีการศุลกากรที่ชายแดนมาอย่างยาวนาน บริษัทฯ จึงมีความพร้อมในการใช้ด่าน Bavet เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของการค้าชายแดนไทย – กัมพูชาได้ทันที

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะความเสี่ยงจากช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางเรือหลักระหว่างเอเชีย–ยุโรป ได้สร้างความกังวลในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก หากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เส้นทางดังกล่าวใช้งานไม่ได้ อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการขนส่งสินค้าระหว่างภูมิภาค ด้วยเหตุนี้เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว LEO ได้เตรียมความพร้อมในการให้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟจากไทย–ลาว–จีน ไปยังประเทศในทวีปยุโรป ผ่าน บริษัท ล้านช้าง เอ๊กซ์เพรส (LaneXang Express)  ที่เป็นบริษัทย่อยของ LEO ซึ่งมีเครือข่ายรถไฟขนส่งสินค้าเชื่อมต่อจากประเทศไทย ผ่านลาวตอนเหนือ (เวียงจันทน์ – บ่อเต็น), มณฑลยูนนานของจีน และเข้าสู่เครือข่ายรถไฟจีน–ยุโรป ซึ่งสามารถกระจายสินค้าไปยังประเทศปลายทาง เช่น เยอรมนี โปแลนด์ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และอีกหลายประเทศในยุโรปได้ บริการนี้ตอบโจทย์ในด้าน ระยะเวลาขนส่งที่เร็วกว่าเรือ  ความสม่ำเสมอของตารางเดินรถและความปลอดภัยของสินค้า  เหมาะสำหรับสินค้ากลุ่ม FMCG, อุตสาหกรรม, และสินค้าเร่งด่วนที่ต้องส่งถึงตามกำหนด

“ล้านช้าง เอ็กซ์เพรส เป็นบริษัทฯ ที่มีความพร้อมและความสามารถในการให้บริการขนส่งทางรางแบบไร้รอยต่อ (Seamless Rail Transport Services) ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ซึ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพในการขนส่งสินค้าทางรางได้อย่างครบวงจรให้กับ LEO อีกทั้งยังช่วยเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Emission Reduction) ภายใต้สโลแกน “โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics)” นายเกตติวิทย์ กล่าว

LEO พร้อมเป็น Partner ที่ลูกค้าสามารถพึ่งพาได้ในทุกสถานการณ์ โดยเชื่อว่า ทุกวิกฤตคือโอกาสในการพัฒนาและขยายช่องทางการขนส่งสินค้าใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านต้นทุน เวลา และความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางส่งออกไปยังกัมพูชาผ่านเวียดนาม หรือเส้นทางส่งออกไปยุโรปผ่านระบบรถไฟ LEO มีความเชี่ยวชาญและโซลูชันครบวงจร พร้อมสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถขนส่งสินค้าไปยังทุกจุดหมายปลายทางทั่วโลกอย่างมืออาชีพ

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us