SALE

news-20250516-03

“บีวายดี เซินเจิ้น” เรือขนส่งรถยนต์ลำใหญ่ที่สุดในโลก ออกเดินทางเที่ยวแรกสู่บราซิล

จีนประกาศศักดาอุตสาหกรรมเรือขนส่ง ด้วยการเปิดตัว “บีวายดี เซินเจิ้น” เรือบรรทุกรถยนต์พลังงานใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเพิ่งออกเดินทางเที่ยวแรกมุ่งหน้าสู่บราซิล โดยเรือลำนี้มีความยาวถึง 219 เมตร กว้าง 37.7 เมตร และสามารถบรรทุกรถยนต์ได้ถึง 9,200 คัน พัฒนาและต่อเรือโดยบริษัทในเครือของ China Merchants Group ทั้งหมดภายในประเทศจีนเอง ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่สะท้อนความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมต่อเรือและการส่งออกรถยนต์ของจีน

เรือ “บีวายดี เซินเจิ้น” ไม่ได้โดดเด่นแค่ขนาดมหึมาเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูง ระบบควบแน่นก๊าซเชื้อเพลิง (BOG recondenser) และสารเคลือบต้านการเกาะของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ ซึ่งช่วยลดแรงต้าน เพิ่มความเร็ว และลดการใช้พลังงานลงอย่างมีนัยสำคัญ ถือเป็นการออกแบบที่ทั้งประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นายหวัง จวิ้นเป่า ผู้จัดการทั่วไปแผนกธุรกิจสาธารณะของ BYD กล่าวว่า เรือขนส่งลำนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรือโลจิสติกส์ธรรมดา แต่เปรียบเสมือน “สะพานทางทะเล” ที่เชื่อมเทคโนโลยีจีนเข้ากับตลาดโลก มีทั้งระบบโหลดสินค้อัจฉริยะและระบบป้องกันความเสียหายที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจะเดินทางไปถึงมือผู้บริโภคอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุด

ข้อมูลจากกรมศุลกากรจีนระบุว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา จีนส่งออกรถยนต์รวมกว่า 6.4 ล้านคัน ครองอันดับหนึ่งของโลกต่อเนื่องเป็นปีที่สอง และแนวโน้มก็ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของจีน เช่น BYD, Chery และ SAIC Motor ต่างเร่งลงทุนในกองเรือขนส่งของตัวเอง เช่น SAIC ได้สั่งต่อเรือบรรทุกรถยนต์ขนาดใหญ่กว่า 7,000 คันหลายลำจากอู่เรือเจียงหนาน

เฉพาะในไตรมาสแรกของปี 2568 เรือของ BYD สามารถขนส่งรถยนต์พลังงานใหม่ไปต่างประเทศได้มากกว่า 25,000 คัน ขณะที่ในปี 2567 รถยนต์ของ BYD ถูกส่งไปจำหน่ายในเมืองต่าง ๆ กว่า 400 เมืองทั่วโลก ครอบคลุมกว่า 100 ประเทศ ยอดขายต่างประเทศอยู่ที่ 417,200 คัน โดย “บราซิล” ถือเป็นตลาดดาวรุ่ง ด้วยยอดขายสูงถึง 76,700 คัน โตขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 328% จากปีก่อนหน้า

การเปิดตัวเรือ “บีวายดี เซินเจิ้น” ครั้งนี้ไม่เพียงตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ของจีน แต่ยังส่งสัญญาณชัดเจนถึงบทบาทที่ประเทศจีนจะมีต่อซัพพลายเชนของโลกในอนาคต ทั้งในด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และพลังงานสะอาด

ที่มา - dailynews

news-20250516-02

'ม.ศรีปทุม' ปฏิวัติการเรียนโลจิสติกส์ ดึงบอร์ดเกม - VR เปลี่ยนทฤษฎีให้จับต้องได้

มหาวิทยาลัยศรีปทุมเดินหน้าพลิกโฉมการเรียนการสอนโลจิสติกส์ด้วยแนวคิดใหม่ที่ไม่เหมือนใคร นำบอร์ดเกมและเทคโนโลยี VR เข้ามาใช้จริงในห้องเรียนเป็นแห่งแรกของไทย เป้าหมายคือเปลี่ยนความรู้เชิงทฤษฎีให้กลายเป็นประสบการณ์จริง เพื่อให้นักศึกษาสามารถเข้าใจระบบโลจิสติกส์อย่างลึกซึ้ง และพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานทันทีหลังเรียนจบ

ผศ.ดร.ธรินี มณีศรี คณบดีวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ม.ศรีปทุม เปิดเผยว่า ปัจจุบันรูปแบบการเรียนรู้ของนักศึกษามีการเปลี่ยนแปลงไปมาก การสอนด้วยบอร์ดเกมจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักศึกษาเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม เข้าใจระบบโลจิสติกส์แบบเป็นภาพรวม โดยบอร์ดเกมที่ใช้ในหลักสูตรได้รับการพัฒนาร่วมกับคณะดิจิทัลมีเดียเป็นเวลากว่า 6 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาการและสามารถประยุกต์ใช้ในโลกอุตสาหกรรมได้จริง

จุดเด่นของบอร์ดเกมนี้คือ การนำแผนที่ประเทศไทยมาใช้เป็นฐานข้อมูลหลัก ให้นักศึกษาได้ฝึกคิดวางแผนจัดวางคลังสินค้า การกระจายสินค้า รวมถึงการบริหารโซ่อุปทานในบริบทของประเทศตัวเอง ทำให้สามารถเชื่อมโยงบทเรียนเข้ากับสภาพแวดล้อมจริงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และยังออกแบบให้เหมาะกับทั้งนักเรียนมัธยมต้นจนถึงระดับอุดมศึกษาอีกด้วย

ควบคู่กันไป เทคโนโลยี VR หรือโลกเสมือนจริง ก็ถูกนำมาเสริมในการเรียนการสอน ช่วยให้นักศึกษาได้ “ลงมือทำ” ผ่านประสบการณ์จำลอง เช่น การจัดการคลังสินค้าแบบเรียลไทม์ การวางแผนเส้นทางขนส่ง และสถานการณ์จำลองต่าง ๆ ในซัพพลายเชน ซึ่งช่วยเสริมทั้งความเข้าใจและทักษะการตัดสินใจเชิงลึกที่ใช้ได้จริงในสายงานโลจิสติกส์ยุคใหม่

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงสอดรับกับเทรนด์การศึกษายุคใหม่เท่านั้น แต่ยังตอบโจทย์ตรงกับทิศทางของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันตลาดโลจิสติกส์ของไทยมีมูลค่ากว่า 2.3 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3.1 ล้านล้านบาทภายในปี 2569 ขณะเดียวกันแรงงานในภาคนี้จะขยับจาก 5.7 ล้านคนเป็นกว่า 6.6 ล้านคน ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการบุคลากรที่มีทักษะสูงและเข้าใจระบบอย่างแท้จริง

ผศ.ดร.ธรินี ยังเน้นย้ำว่า อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในอนาคตจะไม่ใช่แค่เรื่องของการขนส่งหรือคลังสินค้าเท่านั้น แต่ต้องการผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะการวิเคราะห์ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการบริหารซัพพลายเชนแบบครบวงจร เพราะฉะนั้นการออกแบบหลักสูตรที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาช่วยสอนจึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างบัณฑิตที่พร้อมสำหรับโลกการทำงานจริง

มหาวิทยาลัยศรีปทุมมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อปั้นนักศึกษาที่ไม่ใช่แค่ “เรียนจบ” แต่ “ทำงานเป็น” และเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของไทยให้ก้าวสู่ระดับสากลอย่างมั่นคง

ที่มา - prachachat

news-20250516-01

กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจับมือสมาคม TACBA ปั้น “ตัวแทนออกของ” เจนใหม่ รายได้สูงสุด 40,000 บาท

นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการผลักดันนโยบายของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพแรงงานไทย ให้มีทักษะทันสมัย พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานยุคใหม่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีความต้องการบุคลากรคุณภาพเพิ่มขึ้นในทุกปี

เพื่อสนับสนุนนโยบายดังกล่าว กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรเทคโนโลยีชั้นสูงด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (LoSA) ได้ร่วมกับสมาคมตัวแทนออกของรับอนุญาตไทย (TACBA) จัดหลักสูตรอบรม “ตัวแทนออกของเพื่อการส่งออกและนำเข้า” ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อสร้างกำลังแรงงานรุ่นใหม่ที่มีความรู้ ความสามารถ และพร้อมปฏิบัติงานในภาคสนามทันที ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจขนส่งและการค้าระหว่างประเทศที่กำลังขยายตัวต่อเนื่อง และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างมีประสิทธิภาพ

หลักสูตรนี้ใช้ระยะเวลาอบรมรวม 240 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็นภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เริ่มอบรมภาคทฤษฎีตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2568 และต่อเนื่องด้วยการฝึกงานจริงในสถานประกอบการช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2568 โดยเรียนวันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00–17.00 น.

ผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้ทั้งหลักการและการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานตัวแทนออกของ ตั้งแต่การจัดการโลจิสติกส์ในคลังสินค้า การควบคุมต้นทุนการขนส่งในประเทศและต่างประเทศ ความรู้ด้านกฎหมายศุลกากรที่จำเป็นต่อการทำงาน รวมถึงทักษะด้าน e-Logistics ซึ่งเป็นระบบสำคัญที่ธุรกิจโลจิสติกส์ยุคใหม่ต้องใช้

ผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะบัณฑิตจบใหม่ระดับปริญญาตรีที่ต้องการพัฒนาทักษะเพื่อเข้าสู่สายงานโลจิสติกส์ สามารถสมัครเข้าร่วมหลักสูตรนี้ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 11 มิถุนายน 2568 โดยเปิดรับเพียง 50 คนเท่านั้น

สามารถติดต่อสมัครหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายฝึกอบรมและสัมมนา สมาคมตัวแทนออกของรับอนุญาตไทย โทร. 02-661-4005 ถึง 8 หรือมือถือ 083-850-1371 หรือสอบถามที่สถาบัน LoSA โทร. 02-248-4782 ต่อ 2508

โอกาสนี้ถือเป็นอีกก้าวของการสร้างแรงงานคุณภาพเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศในยุคที่การค้าระหว่างประเทศและซัพพลายเชนกลายเป็นหัวใจของความสามารถในการแข่งขันระดับโลก

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250515-03

“จีน - สหรัฐ” เปิดโต๊ะเจรจาเศรษฐกิจ หวังฟื้นความเชื่อมั่นโลกการค้า

ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่คลี่คลาย ความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐอเมริกายังคงมีบทบาทสำคัญต่อทิศทางของระบบเศรษฐกิจโลก โดยทั้งสองประเทศมีสัดส่วนผลผลิตรวมมากกว่าหนึ่งในสามของจีดีพีทั่วโลก และมีมูลค่าการค้าระหว่างกันคิดเป็นประมาณหนึ่งในห้าของการค้าโลก

ล่าสุด สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า การหารือระดับสูงด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่จัดขึ้นในนครเจนีวา ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการเปิดเวทีสื่อสารอย่างเป็นทางการ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของโลกที่กำลังอ่อนแรงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและแรงกดดันจากการกีดกันทางการค้า

แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความเห็นต่างในหลายประเด็น แต่การเลือกใช้แนวทางการเจรจาอย่างเท่าเทียมและเคารพซึ่งกันและกัน กลับกลายเป็นสัญญาณบวกที่ทั่วโลกรอคอย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากผลกระทบของมาตรการภาษีฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ ที่ผ่านมา ซึ่งไม่เพียงทำร้ายเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ทั้งในด้านเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทาน ไปจนถึงความเชื่อมั่นในระบบการค้าที่อิงกับกฎระเบียบสากล

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) ต่างเคยเตือนว่า การกีดกันทางการค้าเป็นหนึ่งในภัยคุกคามใหญ่สุดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การเริ่มต้นพูดคุยระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ครั้งนี้จึงมีนัยสำคัญยิ่ง เพราะไม่เพียงลดแรงกดดันในห้วงเวลาสำคัญ แต่ยังช่วยวางรากฐานให้เกิดการเจรจาในระยะยาว ที่อาจนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งทางการค้าอย่างเป็นรูปธรรม

สิ่งสำคัญคือ ทั้งสองฝ่ายต้องยึดมั่นในวิถีทางของการเจรจาที่ต่อเนื่อง สะสมฉันทามติ และเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วม ไม่ใช่เพียงเพื่อประโยชน์ของตนเอง แต่เพื่อเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของเศรษฐกิจโลกโดยรวม

ท่ามกลางแรงกดดันจากประชาคมโลก จีนยังคงแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า พร้อมเปิดประตูสู่การพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ และหวังให้สหรัฐฯ ดำเนินความสัมพันธ์ในลักษณะเดียวกัน เพื่อให้ “ความแตกต่าง” กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “ความร่วมมือ” มากกว่าจะเป็นข้ออ้างของความขัดแย้ง

การหารือในครั้งนี้แม้ยังห่างไกลจากการแก้ปัญหาทั้งหมด แต่ได้ส่งสัญญาณแห่งความหวังว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและการแข่งขัน การเจรจาอย่างเคารพซึ่งกันและกันอาจยังเป็น “คำตอบ” ที่ดีที่สุดสำหรับความท้าทายของยุคสมัย

ที่มา - dailynews

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us