admin L2D

ยอดใช้น้ำมัน 4 เดือนแรกปี 68 พุ่ง 1.2% เจ็ท A1 โตแรงตามอุตฯ ขนส่งทางอากาศ แม้เบนซิน-ดีเซลเริ่มแผ่ว

ภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2568 ขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 159.27 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและการขนส่งที่ยังขับเคลื่อนความต้องการใช้พลังงานในประเทศอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งในกลุ่มที่เติบโตโดดเด่นคือ น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) ซึ่งขยายตัวถึง 14% มาอยู่ที่ 18.78 ล้านลิตรต่อวัน เป็นผลจากการฟื้นตัวของการเดินทางโดยเครื่องบินและการขนส่งสินค้าทางอากาศ โดยแม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงเล็กน้อยที่ 12 ล้านคนใน 4 เดือนแรก แต่กลุ่มสายการบินเชิงพาณิชย์และโลจิสติกส์อากาศยังเดินหน้าเติบโต

ในทางกลับกัน กลุ่มน้ำมันเบนซินกลับเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 31.84 ล้านลิตรต่อวัน ลดลง 0.03% สาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท รวมถึงพฤติกรรมผู้โดยสารที่หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีสัดส่วนถึง 6.11% ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คนแล้ว

ด้านน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ สถานีบริการ อยู่ที่ 68.53 ล้านลิตรต่อวัน ลดลง 1.3% แม้ภาคอุตสาหกรรมจะมีการขยายตัวในช่วงไตรมาสแรก แต่การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ประกอบกับภาระจากมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ที่ยังไม่แน่นอน กดดันความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ

น้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ 95 ยังคงได้รับความนิยมสูงสุด โดยมีปริมาณการใช้อยู่ที่ 19.15 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย จากส่วนต่างราคาที่ยังจูงใจผู้ใช้ แม้จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ตาม

ในส่วนของพลังงานทางเลือก การใช้ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 17.50 ล้านกิโลกรัมต่อวัน ลดลง 0.8% โดยเฉพาะจากภาคปิโตรเคมีและภาคขนส่ง ขณะที่การใช้ในครัวเรือนและอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนการใช้ NGV ยังคงลดลงต่อเนื่อง 15.6% ตามแนวโน้มการลดลงของจำนวนสถานีบริการและจำนวนรถจดทะเบียน

ด้านการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ยอยู่ที่ 1.08 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 3.1% คิดเป็นมูลค่าราว 86,000 ล้านบาทต่อเดือน โดยน้ำมันดิบยังเป็นสัดส่วนหลักที่เพิ่มขึ้น 6.2% ส่วนการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปกลับลดลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 28,000 บาร์เรลต่อวัน

ในขณะที่การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปลดลงเล็กน้อย 0.1% มาอยู่ที่ 153,716 บาร์เรลต่อวัน คิดเป็นมูลค่าราว 13,000 ล้านบาทต่อเดือน โดยยังเน้นการส่งออกน้ำมันเบนซิน ดีเซล และ LPG เป็นหลัก

แม้พลังงานบางกลุ่มจะเริ่มสะดุด แต่ความต้องการใช้น้ำมันในภาพรวมยังคงเดินหน้าได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและโลจิสติกส์ทางอากาศซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญในการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น

'ซานตง' เร่งเสริมศักยภาพ 'ท่าเรือเหลียงซาน' หนุนโลจิสติกส์ถ่านหินรับดีมานด์พุ่งสูง

ท่าเรือเหลียงซาน ในเมืองจี่หนิง มณฑลซานตง ทางตะวันออกของจีน กลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบโลจิสติกส์ถ่านหินในประเทศ ด้วยบทบาทในการเชื่อมโยงพื้นที่ผลิตถ่านหินทางตะวันตกกับแถบเศรษฐกิจริมแม่น้ำแยงซีอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่ความต้องการใช้พลังงานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ท่าเรือแห่งนี้ถูกพัฒนาให้รองรับกระบวนการทำเหมือง การจัดเก็บ การขนส่ง และการจำหน่ายถ่านหินแบบครบวงจร รวมถึงการขนถ่ายสินค้าผ่านระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมต่อการขนส่งทางรางเข้ากับทางน้ำอย่างไร้รอยต่อ ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการจัดส่งสินค้าได้มากขึ้นกว่า 25% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ท่าเรือเหลียงซานยังถือครองปริมาณสำรองถ่านหินสำหรับการค้าในระดับสูงถึง 40 ล้านตัน ซึ่งไม่เพียงพอรองรับความต้องการในประเทศที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นแต้มต่อในการจัดการภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานอีกด้วย ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนเสถียรภาพด้านพลังงานของจีนในระยะยาว

'เมียนมา' เร่งเครื่องส่งออกยางพารา ตั้งเป้าทะลุ 3.8 แสนตันในปีงบฯ 68-69 หวังโกยรายได้กว่า 500 ล้านดอลลาร์

เมียนมาวางเป้าหมายใหม่ในการส่งออกยางพาราในปีงบประมาณ 2568-2569 (เมษายน 2568 – มีนาคม 2569) โดยมุ่งหวังผลักดันยอดส่งออกให้ได้ระหว่าง 350,000 – 380,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถส่งออกได้ราว 300,000 ตัน และสร้างรายได้เข้าประเทศเกือบ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เจ้าหน้าที่จากสมาคมผู้ปลูกและผู้ผลิตยางพาราของเมียนมาเปิดเผยกับสื่อท้องถิ่นว่า การส่งออกยางพารายังคงเป็นหนึ่งในเครื่องจักรหลักของภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะตลาดจีนที่ยังคงเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของเมียนมา คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 75% ของยอดส่งออกยางพาราทั้งหมด ขณะที่ตลาดอื่นๆ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม อินเดีย และญี่ปุ่น ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญ

ข้อมูลจาก “โกลบอล นิว ไลท์ ออฟ เมียนมา” ซึ่งเป็นสื่อภาครัฐระบุว่า ปัจจุบันเมียนมามีพื้นที่ปลูกยางพารารวมกว่า 1.4 ล้านเอเคอร์ทั่วประเทศ โดยรัฐมอญยังคงครองตำแหน่งแหล่งปลูกยางรายใหญ่ที่สุด รองลงมาคือพื้นที่ในภูมิภาคตะนาวศรี และรัฐกะเหรี่ยง

ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดการค้าโลก เมียนมายังคงเดินหน้าขยายกำลังการผลิตและเพิ่มศักยภาพการส่งออกในอุตสาหกรรมยางพาราอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจกลายเป็นหมากสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้

'คมนาคม' คว้างบ 2.3 แสนล้าน ปี 69 เดินหน้า 22 โปรเจ็กต์ยักษ์ กระตุ้นเศรษฐกิจไทย

การผ่านวาระแรกของร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาท ได้จุดเครื่องจักรการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ โดยหนึ่งในกระทรวงที่ได้รับงบลงทุนก้อนโตที่สุด คือกระทรวงคมนาคม ซึ่งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้รับจัดสรรงบประมาณรวม 261,292 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 16,700 ล้านบาท หรือราว 6.83%

ในจำนวนนี้เป็นงบลงทุนสูงถึง 230,626 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 8% พร้อมวางแผนเร่งผลักดันโครงการขนาดใหญ่ 22 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 910,000 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งโครงการทางหลวง มอเตอร์เวย์ รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ และการพัฒนาท่าเรือคลองเตย ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เมื่อเจาะลึกงบในแต่ละหน่วยงาน พบว่า “กรมทางหลวง” ได้รับงบสูงสุดถึง 131,932 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 5,407 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน 126,525 ล้านบาท สำหรับโครงการเด่น เช่น มอเตอร์เวย์นครปฐม–ปากท่อ–ชะอำ ระยะที่ 1 มูลค่า 61,154 ล้านบาท และโครงการวงแหวนรอบนอก M9 บางบัวทอง–บางปะอิน วงเงิน 16,000 ล้านบาท รวมถึงแผนขยายทางหลวง และบำรุงรักษาสะพาน มูลค่ากว่า 36,000 ล้านบาท

ด้าน “การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)” ได้งบเพิ่มขึ้นถึง 42.9% รวมกว่า 33,258 ล้านบาท ใช้เดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าหลากหลายเส้นทาง เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน–ราษฎร์บูรณะ วงเงินรวมเกิน 3,700 ล้านบาท รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์–ศูนย์วัฒนธรรม วงเงินสูงถึง 12,557 ล้านบาท รวมถึงสายสีเหลืองและชมพูที่ยังเดินหน้าต่อเนื่อง

“การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)” แม้จะถูกลดงบลงเหลือ 19,418 ล้านบาท แต่ยังมีโปรเจ็กต์สำคัญหลายรายการ เช่น รถไฟสายสีแดงอ่อน ศิริราช–ศาลายา มูลค่า 15,176 ล้านบาท สายรังสิต–มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มูลค่า 6,473 ล้านบาท และโครงการรถไฟทางคู่ เช่น ชุมพร–สุราษฎร์ธานี และ ขอนแก่น–หนองคาย ที่รวมมูลค่ากว่า 59,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีงบจัดสรรให้หน่วยงานอื่นในกระทรวง อาทิ กรมทางหลวงชนบท 53,598 ล้านบาท กรมเจ้าท่า 4,253 ล้านบาท สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม 1,123 ล้านบาท ขณะที่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจอย่าง รฟม. การทางพิเศษฯ และ ขสมก. ได้รับงบเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า

จากภาพรวมทั้งหมดสะท้อนว่า กระทรวงคมนาคมยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยเชื่อว่าหากงบประมาณผ่านขั้นตอนสภาและสามารถประกาศใช้ได้ทันเดือนตุลาคมนี้ จะช่วยผลักดันให้เกิดการจ้างงาน การใช้จ่าย และการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมภายในปีงบประมาณ 2569 อย่างแน่นอน

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us