admin L2D

news-20250321-02

ครม.ไฟเขียว พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดิน 10 เขต กทม. - พระประแดง เดินหน้ารถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เตาปูน - ราษฎร์บูรณะ

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) 2 ฉบับสำคัญ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก)

10 เขตใน กทม. - พระประแดง เตรียมเวนคืนที่ดิน
พ.ร.ฎ.ฉบับแรก เป็นการกำหนด “เขตที่ดินที่จะเวนคืน” ครอบคลุมพื้นที่ 10 เขตในกรุงเทพมหานคร และ 1 อำเภอในจังหวัดสมุทรปราการ ได้แก่:

  • เขตบางซื่อ (แขวงบางซื่อ)
  • เขตดุสิต (แขวงถนนนครไชยศรี, วชิรพยาบาล, ดุสิต)
  • เขตพระนคร (แขวงวัดสามพระยา, บางขุนพรหม, บ้านพานถม, ชนะสงคราม, ตลาดยอด, บวรนิเวศ, วังบูรพาภิรมย์, สำราญราษฎร์)
  • เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย (แขวงวัดโสมนัส, บ้านบาตร)
  • เขตสัมพันธวงศ์ (แขวงสัมพันธวงศ์, จักรวรรดิ)
  • เขตธนบุรี (แขวงวัดกัลยาณ์, หิรัญรูจี, บางยี่เรือ, บุคคโล, สำเหร่, ดาวคะนอง)
  • เขตคลองสาน (แขวงสมเด็จเจ้าพระยา, คลองสาน, คลองต้นไทร)
  • เขตจอมทอง (แขวงบางค้อ, จอมทอง, บางมด)
  • เขตราษฎร์บูรณะ (แขวงบางปะกอก, ราษฎร์บูรณะ)
  • เขตทุ่งครุ (แขวงบางมด)
  • อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ (ตำบลบางพึ่ง, บางครุ)

พ.ร.ฎ. ฉบับที่สอง เป็นการกำหนด “เขตที่ดินในบริเวณที่จะดำเนินการ” เพื่อกิจการขนส่งมวลชน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เดียวกัน

เหตุผลที่ต้องออก พ.ร.ฎ. ใหม่
กระทรวงคมนาคมชี้แจงว่า พ.ร.ฎ.เดิมที่ออกไว้เมื่อปี 2563 หมดอายุไปเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 เนื่องจากมีอายุบังคับใช้ 4 ปี แต่โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ โดยเฉพาะขั้นตอนสำรวจอสังหาริมทรัพย์และออกแบบรายละเอียด จึงจำเป็นต้องออก พ.ร.ฎ.ฉบับใหม่ เพื่อให้สามารถเดินหน้าโครงการต่อไปได้ภายใต้กรอบเวลาอีก 4 ปี

หลัง พ.ร.ฎ. มีผลบังคับใช้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเริ่มเข้าสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ภายใน 180 วัน ก่อนดำเนินการเวนคืนและเริ่มสร้างโครงการ ซึ่งรวมถึงการก่อสร้างทางรถไฟฟ้า, สถานี, ที่จอดรถ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

เดินหน้าตามกรอบงบเดิม 15,913 ล้านบาท
โครงการนี้ยังคงอยู่ภายใต้งบประมาณค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่ ครม. อนุมัติไว้เมื่อ 25 กรกฎาคม 2560 โดยใช้งบประมาณรวม 15,913 ล้านบาท

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่แล้ว เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใส และลดผลกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด

news-20250321-01

พาณิชย์มั่นใจ! ส่งออกปีนี้โตทะลุเป้า หลัง 2 เดือนแรกพุ่ง 13.8%

กระทรวงพาณิชย์แสดงความมั่นใจ ยอดส่งออกไทยปี 2568 จะเติบโตเกินเป้า 2-3% หลังจากสองเดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.พ.) ขยายตัวเฉลี่ยถึง 13.8% โดยเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ที่โตแรงถึง 14% คิดเป็นมูลค่า 26,700 ล้านดอลลาร์ หรือราว 9 แสนล้านบาท ในช่วงเดียวกัน การนำเข้าเพิ่มขึ้นเพียง 4% ทำให้ไทยกลับมา “เกินดุลการค้า” อีกครั้งประมาณ 108 ล้านดอลลาร์ หลังจากขาดดุลในเดือนมกราคม

5 เดือนโตเฉลี่ยเกือบ 12% – สัญญาณบวกจากเศรษฐกิจโลก

หากนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ถึงกุมภาพันธ์ 2568 การส่งออกของไทยขยายตัวเฉลี่ย 11.8% ต่อเดือน โดยมีตัวเลขเป็นบวกต่อเนื่อง 8 เดือนติดต่อกัน สะท้อนภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีน ยุโรป อินเดีย และลาตินอเมริกา

กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมแรงสุด – คอมพิวเตอร์, อัญมณี, แอร์ โตกระฉูด

สินค้าส่งออกหลักที่เติบโตดีในช่วง 2 เดือนแรก ได้แก่:

  • สินค้าอุตสาหกรรม +17.1% (42,600 ล้านดอลลาร์)
  • คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน +48.2%
  • อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) +122.6%
  • เครื่องปรับอากาศ +33%
  • ยางพารา +40%
  • อาหารสัตว์เลี้ยง +13.7%

ขณะที่สินค้าการเกษตรยังหดตัวเล็กน้อย -1.9% โดยเฉพาะผลไม้สด -6.7% แต่กระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่า ช่วงมี.ค.เป็นต้นไป ผลผลิตจะเริ่มทยอยออกสู่ตลาดและช่วยหนุนการส่งออกในระยะถัดไป

รัฐมั่นใจ “เครื่องยนต์เศรษฐกิจเริ่มเดิน” – ตั้งเป้านักท่องเที่ยวแตะ 39 ล้านคน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไทยเริ่มเดินหน้า เครื่องยนต์หลักอย่าง “การส่งออก-การลงทุน-การท่องเที่ยว” เริ่มฟื้นตัว โดยตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ที่ 39 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนี้ครัวเรือนและการบริโภคยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข หากสำเร็จ จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยโตได้ถึง 5-6% ต่อปี

จับตาไตรมาสแรก – คาดส่งออกโตเลขสองหลัก

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า คาดว่าไตรมาสแรกของปี 2568 จะเห็นการเติบโตของการส่งออกในระดับ “เลขสองหลัก” โดยยังไม่มีผลกระทบชัดเจนจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงสองเดือนแรก ปีนี้อาจทำ “สถิติใหม่” อีกครั้ง หากแนวโน้มยังสดใสต่อเนื่อง

ที่มา - thestandard

news-20250110-03

'คมนาคม' เล็งชง ครม. สัปดาห์หน้า อนุมัติลงทุน 'บ้านเพื่อคนไทย' หลังถอดออกมาทบทวน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 18 มี.ค.68 กระทรวงคมนาคมยังไม่ได้นำเสนอ รายงานความคืบหน้าโครงการบ้านเพื่อคนไทย และขออนุมัติการลงทุน เนื่องจากยังมีรายละเอียดที่ต้องทำเพิ่มเติม ให้ครบถ้วนรอบคอบ เพื่อให้รายงานในที่ประชุมได้อย่างชัดเจน ทั้งด้านการลงทุน การออกแบบและการก่อสร้าง การบริหารโครงการ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย ในการสร้างโอกาสและคุณภาพชีวิตสำหรับประชาชน ให้มีบ้านเป็นของตนเอง ซึ่งจะเสนอครม.ได้ในสัปดาห์ต่อไป

ด้านนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม กล่าวว่า รายละเอียดโครงการ บ้านเพื่อคนไทย ต้องทำเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด หรือ อสท.(SRTA) กำลังทบทวน รายละเอียดให้รอบคอบ ส่วนมูลค่าลงทุนมีวงเงินที่ประมาณ 12,000 ล้านบาท โดยจะมีการพัฒนาโครงการในระยะแรก ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงจำนวน 25 แปลง เริ่มพื้นที่นำร่องระยะที่ 1 จำนวน 4 แปลง จะดำเนินการทั้งหมด 5,700 ยูนิต ประกอบด้วย บางซื่อ กม.11 พื้นที่ประมาณ 5 ไร่ จำนวน 2,000 ยูนิต เป็นรูปแบบคอนโดมิเนียม 27 ชั้น จำนวน 3 อาคาร , ธนบุรีพื้นที่ประมาณ 21 ไร่ ,เชียงราก พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ จุดนี้จะสร้างตึกสูงประมาณ 8 ชั้น เนื่องจากอยู่ในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศ และพื้นที่เชียงใหม่ พื้นที่ประมาณ 7 ไร่

โครงการ บ้านเพื่อคนไทย ระยะที่ 2 อีก 5 พื้นที่ จำนวน 7,000 ยูนิต คือ กม.11 ประมาณ 5 ไร่ , จ.กาญจนบุรี, ขอนแก่น ,ชลบุรี และเชียงใหม่ รวมกับโครงการระยะที่ 1 จะมีจำนวนทั้งสิ้น 12,000 ยูนิต โดยทาง SRTA ได้ลงพื้นที่ศึกษาสำรวจความต้องการเพื่อนำมากำหนดรายละเอียดให้ตรงกับความต้องการต่อไป

ที่มา - infoquest

news-20250319-03

แนวโน้มตลาดโกโก้ไทย 'โอกาสใหม่สู่ตลาดจีน'

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จีนกำลังมองหาแหล่งผลิตโกโก้แห่งใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น จากราคาตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญของไทยในการขยายการส่งออกโกโก้และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องไปยังตลาดจีน

ข้อมูลจาก Global Trade Atlas ระบุว่า ในปี 2567 จีนมีมูลค่าการนำเข้าโกโก้และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องสูงถึง 1,335.52 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29.29% จากปีที่ผ่านมา โดยแหล่งนำเข้าหลักมาจาก มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ อิตาลี และเบลเยียม ขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 28 ของประเทศที่ส่งออกโกโก้ไปจีน มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 4.86 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเพียง 0.36% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของจีน

สำหรับการนำเข้าเมล็ดโกโก้ (ทั้งแบบเมล็ดเต็มและแบบแปรรูป) จีนมีปริมาณการนำเข้าที่ 11,069.11 ตัน ลดลง 20.80% โดยส่วนใหญ่นำเข้าจาก ประเทศในแอฟริกาตะวันตก คิดเป็นมูลค่ารวม 72.34 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 86.92% ประเทศหลักที่จีนสั่งซื้อเมล็ดโกโก้ ได้แก่ เอกวาดอร์ ปาปัวนิวกินี โตโก กินี และกานา ส่วนไทยอยู่ในอันดับที่ 8 ด้วยมูลค่าการส่งออก 194,396 เหรียญสหรัฐ คิดเป็น 0.27% ของตลาดนำเข้าของจีน

นายอนุกูลกล่าวว่า "การเติบโตของตลาดโกโก้ในจีน ถือเป็นโอกาสทองของไทย" ปัจจุบันไทยมีศักยภาพในการเป็นแหล่งปลูกโกโก้ที่ดี ด้วยสภาพอากาศที่เอื้อต่อการเพาะปลูก และการสนับสนุนจากภาครัฐที่ผลักดันให้โกโก้เป็นพืชเศรษฐกิจแห่งอนาคต มีการพัฒนาเครือข่ายเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนให้สามารถยกระดับคุณภาพสินค้า รวมถึงการรับรองมาตรฐานสากล เช่น GMP และ HACCP เพื่อขยายโอกาสส่งออก

หากไทยสามารถยกระดับการผลิตและพัฒนาห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ จะช่วยให้โกโก้ไทยได้รับการยอมรับมากขึ้นในตลาดโลก ไม่เพียงแต่ในจีน แต่ยังขยายไปสู่ตลาดอื่น ๆ ทั่วโลกได้อย่างแข็งแกร่ง

ที่มา - thaipost

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us