admin L2D

L2D Page (25)

ญี่ปุ่นเผชิญภาวะส่งออกหดตัว ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีทรัมป์และข้อพิพาททางการค้า

เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจนหลังจากการส่งออกในเดือนมิถุนายน 2568 ลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งนับเป็นเดือนที่สองติดต่อกันที่ตัวเลขการส่งออกหดตัว โดยก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม การส่งออกของญี่ปุ่นก็ลดลงไปแล้ว 1.7% ตัวเลขล่าสุดนี้สวนทางกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ ซึ่งประเมินว่าจะมีการขยายตัวราว 0.5% แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นการถดถอย ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันจากข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐอเมริกาที่กำลังทวีความรุนแรง

การส่งออกของญี่ปุ่นไปยังตลาดสำคัญอย่างจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดลดลง 4.7% ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดอันดับสอง ลดลงถึง 11.4% เมื่อเทียบรายปี การหดตัวในระดับนี้ถือว่ารุนแรงยิ่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 11% โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจญี่ปุ่นต้องเผชิญแรงกระแทกอย่างหนัก เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่นในอัตรา 25% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไป ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากระดับ 24% ที่เคยประกาศในวันชาติสหรัฐฯ หรือ “วันประกาศอิสรภาพ”

เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา รถยนต์จากญี่ปุ่นที่นำเข้าสหรัฐฯ ก็ได้ถูกเก็บภาษีในอัตราเดียวกันไปก่อนแล้ว ทำให้ผลกระทบเริ่มปรากฏชัดเจน โดยข้อมูลจากกระทรวงการค้าญี่ปุ่นระบุว่า การส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนลดลงถึง 26.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวจากเดือนพฤษภาคมที่ลดลง 24.7% รถยนต์ถือเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นในตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 28.3% ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2024 ตามข้อมูลจากศุลกากร

ท่ามกลางแรงกดดันนี้ นักวิเคราะห์เริ่มแสดงความกังวลว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากการหดตัวต่อเนื่องของการส่งออก ซึ่งเป็นหนึ่งในฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจญี่ปุ่น โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ GDP ของญี่ปุ่นหดตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า และหากตัวเลขในไตรมาสที่สองยังติดลบอีกครั้ง จะเข้าเงื่อนไขของภาวะ “ถดถอยทางเทคนิค” โดยธนาคารโลกเปิดเผยว่า ในปี 2023 การส่งออกสินค้ารวมบริการคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 22% ของ GDP ญี่ปุ่น ซึ่งตอกย้ำถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจประเทศที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศอย่างมาก

ในด้านการเจรจาการค้า ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม เรียวเซ อาคาซาวะ หัวหน้าคณะเจรจาของญี่ปุ่น ยืนยันว่า ข้อตกลงใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ จะต้องรวมถึงการผ่อนปรนภาษีในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจญี่ปุ่น เขายังแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมรับข้อตกลงที่ต้องแลกกับการเสียสละผลประโยชน์ของภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ พยายามผลักดันการเปิดตลาดข้าวของญี่ปุ่น

ก่อนหน้านี้ในวันที่ 1 กรกฎาคม ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social แสดงความไม่พอใจต่อญี่ปุ่น โดยระบุว่า “ญี่ปุ่นไม่ยอมรับข้าวของเรา” แม้ว่าญี่ปุ่นจะกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนข้าวก็ตาม ทั้งนี้ ข้อมูลระบุว่าในปี 2024 ญี่ปุ่นนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ ประมาณ 350,000 ตัน ซึ่งแม้จะทำให้สหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดไปยังญี่ปุ่น แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับที่สหรัฐฯ คาดหวัง

ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่ยังไม่มีทางออก ญี่ปุ่นจึงต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากระหว่างการยอมรับเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมกับการปกป้องผลประโยชน์ของเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่มาตรการภาษีจากสหรัฐฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง กำลังกลายเป็นแรงกระแทกที่อาจผลักเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้ถลำลึกลงไปสู่ภาวะถดถอยอย่างแท้จริงในครึ่งหลังของปี

L2D Page (24)

อินเดียเร่งเจรจาข้อตกลงภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ หวังได้เงื่อนไขดีกว่าอินโดนีเซีย ก่อนเส้นตาย 1 ส.ค.

รัฐบาลอินเดียกำลังเร่งเดินหน้าเจรจาข้อตกลงทางการค้าครั้งสำคัญกับสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยตั้งเป้าลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของอินเดียให้ได้เงื่อนไขที่ดีกว่าข้อตกลงที่เพิ่งบรรลุกับอินโดนีเซีย พร้อมพยายามปิดดีลให้ทันก่อนถึงเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคมที่จะถึงนี้

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ประกาศลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซียลงเหลือ 19% จากระดับเดิมที่ขู่ไว้ว่าจะสูงถึง 32% โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ให้สหรัฐฯ สามารถส่งออกสินค้าเข้าสู่อินโดนีเซียโดยปลอดภาษีนำเข้า ขณะที่อินโดนีเซียจะได้ลดภาษีนำเข้าสินค้าของตนเข้าสหรัฐฯ เช่นกัน ซึ่งถือเป็นการเปิดทางการค้าระหว่างกันแบบมีเงื่อนไขสมดุล

ในกรณีของอินเดีย แม้ทรัมป์จะกล่าวว่าข้อตกลงกับอินเดียจะอยู่ใน “ระดับเดียวกัน” กับอินโดนีเซีย และย้ำว่าสหรัฐฯ จะสามารถเข้าถึงตลาดอินเดียได้ แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายเจรจาของอินเดียกลับมองว่าอินเดียสมควรได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่า โดยต้องการอัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่าอินโดนีเซีย และต่ำกว่า 20% ที่สหรัฐฯ เคยเสนอไว้สำหรับเวียดนาม ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเช่นกัน

คณะผู้แทนเจรจาของอินเดียซึ่งเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในช่วงสัปดาห์นี้ ได้เร่งผลักดันให้สหรัฐฯ พิจารณาข้อเสนอใหม่ โดยหวังว่าจะสามารถลดภาษีนำเข้าสินค้าของอินเดียให้เหลือต่ำกว่า 10% เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอินเดียมองว่า สหรัฐฯ อาจพิจารณาเพียงในฐานะประเทศศูนย์กลางส่งต่อสินค้า มากกว่าจะเป็นคู่ค้าเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวเช่นอินเดีย

Soumya Kanti Ghosh หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารแห่งรัฐอินเดีย ระบุว่า อินเดียต้องการเงื่อนไขที่สะท้อนถึงบทบาทที่แตกต่างของประเทศตนในภูมิภาค และมีเป้าหมายเจรจาให้ได้อัตราภาษีที่ต่ำกว่า 10% พร้อมยอมให้มีการเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรมบางประเภทให้กับสหรัฐฯ โดยอินเดียได้เสนอแนวทางลดภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมจากสหรัฐฯ เหลือ 0% หากได้รับการตอบสนองในลักษณะเดียวกันจากฝั่งสหรัฐฯ

แม้ว่าอินเดียจะยังคงระมัดระวังในการเปิดตลาดให้กับสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์นมจากสหรัฐฯ แต่ก็เริ่มมีสัญญาณเปิดกว้างต่อการให้สัมปทานบางส่วนในกลุ่มสินค้าทางการเกษตร รวมถึงอาจพิจารณาสั่งซื้อเครื่องบินเพิ่มเติมจากบริษัท Boeing ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในข้อแลกเปลี่ยนที่สหรัฐฯ ต้องการ

ขณะที่อินเดียเร่งเจรจาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน ท่าทีของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์เองก็กำลังเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในด้านความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งแม้จะยังคงมีมาตรการควบคุมเข้มข้นในบางด้าน เช่น การจำกัดการดำเนินธุรกิจของบริษัท Huawei และการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนแทบทั้งหมด แต่ก็มีสัญญาณชัดเจนว่า ทรัมป์กำลังลดระดับความขัดแย้งเพื่อปูทางสู่การจัดประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน

หนึ่งในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงการผ่อนคลายดังกล่าวคือการที่รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้บริษัท Nvidia กลับมาจำหน่ายชิป H20 ให้กับตลาดจีนได้อีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายรายเคยยืนกรานว่าเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้น ท่ามกลางความกังวลว่าการถอยทัพในบางจุดอาจทำให้ “เส้นแดง” ทางยุทธศาสตร์ที่เคยวางไว้กับจีนกลายเป็นเพียงเงื่อนไขที่ต่อรองได้

นักวิเคราะห์หลายรายจึงเริ่มตั้งคำถามต่อความแน่วแน่ในนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ทรัมป์ดูเหมือนให้ความสำคัญกับการสร้างภาพความสำเร็จระยะสั้น มากกว่าการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่แท้จริง เช่น ความไม่สมดุลทางการค้าในระดับโลก ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจระยะยาวทั้งในสหรัฐฯ และนานาชาติ

L2D Page (23)

คมนาคมเดินหน้าปรับกฎหมายรองรับรถไฟฟ้า 20 บาท พร้อมดันโครงการแลนด์บริดจ์ 1 ล้านล้านบาท

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในเวทีเสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” ถึงทิศทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทางในเขตเมืองหลวงและปริมณฑล

นโยบายดังกล่าวได้เริ่มทดลองใช้ใน 2 เส้นทาง และพบว่ามีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นกว่า 30% สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนที่แท้จริง กระทรวงคมนาคมจึงเร่งผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับนโยบายนี้อย่างถาวร โดยขณะนี้รัฐสภากำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.ขนส่งทางราง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ซึ่งทั้งหมดนี้จะเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ภายในเดือนหน้า

รัฐมนตรีช่วยฯ ยืนยันว่า การสนับสนุนค่าโดยสารรถไฟฟ้าไม่ได้เป็นการนำภาษีของประชาชนในต่างจังหวัดมาชดเชยให้คนกรุงเทพฯ เพราะในความเป็นจริง เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีสัดส่วนการจัดเก็บภาษีถึง 49% ของประเทศ โดยรัฐบาลมีแนวนโยบายดูแลประชาชนแบบองค์รวมทั่วประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือชนบท เช่น การใช้มาตรการเฉพาะในการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาคอย่างเหมาะสม

ในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในระยะ 2–3 ปีข้างหน้า รัฐบาลเตรียมเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งเป็นโครงการเชื่อมโยงการขนส่งทางบกและทางทะเลที่สำคัญระดับภูมิภาค โดยครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช โครงการนี้จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ของประเทศ ลดต้นทุนขนส่งสินค้าโดยเฉพาะทางทะเล ซึ่งถือว่าเป็นช่องทางที่มีต้นทุนต่ำที่สุด โดยมีแผนการลงทุนรวมมากกว่า 1 ล้านล้านบาท ในระยะแรกจะลงทุนกว่า 500,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาท่าเรือน้ำลึก รถไฟทางคู่ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบันรัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างผลักดันร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภา เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการดังกล่าวได้อย่างราบรื่น โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีแผนลงทุนในโครงการรถไฟทางคู่เพื่อเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์กับประเทศเพื่อนบ้าน และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง–สุวรรณภูมิ–อู่ตะเภา) ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและโลก

L2D Page (22)

กอบศักดิ์เผยอินโดฯ ได้ดีลภาษี 19% กับสหรัฐ เหลือไทยชาติเดียวในอาเซียนที่ยังโดนเก็บภาษีเกิน 30%

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุน (FETCO) เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Dr.KOB” ถึงความคืบหน้าของข้อตกลงทางการค้าระหว่างอินโดนีเซียและสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ข้อสรุปว่า สหรัฐจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซียที่อัตรา 19% เท่านั้น ลดลงจากระดับเดิมที่ 32% โดยดร.กอบศักดิ์ชี้ว่านี่คือผลของ “Great Deal” ที่เกิดขึ้นจากการเจรจาที่ตอบโจทย์ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อย่างชัดเจน และสะท้อนแนวทางที่ประเทศอื่น รวมถึงไทย อาจต้องพิจารณาเดินตาม

ในรายละเอียดของข้อตกลง อินโดนีเซียตกลงให้สหรัฐสามารถเข้าถึงตลาดในประเทศที่มีประชากรกว่า 280 ล้านคนแบบเบ็ดเสร็จ ไม่มีอุปสรรคทางภาษีหรือไม่ใช่ภาษี พร้อมทั้งเสนอซื้อสินค้าจากสหรัฐในวงเงินมหาศาล ครอบคลุมทั้งพลังงาน มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์ สินค้าเกษตรอีก 4,500 ล้านดอลลาร์ และยังสั่งซื้อเครื่องบิน Boeing จำนวน 50 ลำ โดยส่วนใหญ่เป็นรุ่น 777 นอกจากนี้ สินค้าส่งออกของสหรัฐเข้าสู่อินโดนีเซียจะได้รับการยกเว้นภาษี ขณะที่สินค้าอินโดนีเซียไปสหรัฐจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 19% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเดิมและดีกว่าหลายประเทศในภูมิภาค

ดร.กอบศักดิ์ระบุว่า ข้อตกลงนี้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่สะท้อนชัดถึงกลยุทธ์ของสหรัฐฯ ที่ต้องการ “Total and Free Access” สำหรับสินค้าของตน แลกกับการลดภาษีให้ประเทศคู่ค้า ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับที่เวียดนามเคยบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐมาก่อนหน้า โดยเวียดนามได้รับภาษีในระดับ 20% นับเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ได้ดีลลักษณะนี้ และอินโดนีเซียเป็นประเทศที่สองที่ประสบความสำเร็จในการต่อรองลดภาษีลงอย่างมีนัยสำคัญ

สิ่งที่น่ากังวลคือ ปัจจุบันประเทศไทยกลายเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียน-5 ที่ยังคงถูกสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสูงกว่า 30% โดยเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ฟิลิปปินส์อยู่ที่ 20% มาเลเซียกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาลดเหลืออย่างน้อย 20% ขณะที่สิงคโปร์แม้จะอยู่ที่ 10% ก็อาจถูกปรับขึ้นในอนาคตให้เทียบเคียงกับกลุ่มประเทศอื่นที่ถูกปรับเพิ่มพร้อมกันกว่า 100 ประเทศ

ดร.กอบศักดิ์เน้นย้ำว่า แม้สหรัฐจะส่งสัญญาณความไม่พอใจต่อไทยมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากไทยสามารถเสนอ “Great Deal” ที่สหรัฐเห็นว่าคุ้มค่าและตอบโจทย์เชิงเศรษฐกิจ จึงเป็นจุดที่ทุกภาคส่วนต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ไทยจะสามารถลดช่องว่างทางภาษีกับประเทศคู่แข่งลงมาได้มากน้อยเพียงใด เพราะอัตราภาษีที่สูงกว่าคนอื่นจะส่งผลอย่างมีนัยในทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีการค้าโลก

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us