News Update

L2D Page - 2025-09-25T094504.001

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เดินหน้าหนุนผู้ประกอบการโลจิสติกส์ รับมือเศรษฐกิจผันผวน

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ภายใต้นโยบาย “พาณิชย์พึ่งได้” เร่งเดินหน้าลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการเพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากกลุ่มธุรกิจที่อยู่ภายใต้การส่งเสริมของกรมฯ โดยเฉพาะธุรกิจโลจิสติกส์ที่กำลังเผชิญความท้าทายท่ามกลางเศรษฐกิจที่ผันผวนอย่างต่อเนื่อง

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบริษัท ดับบลิวซี.ภาคิน จำกัด อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของผู้ประกอบการโลจิสติกส์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคลากรที่ยังขาดความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การปรับตัวด้านเทคโนโลยีและระบบจัดการข้อมูลที่ยังทำงานแบบ Manual รวมถึงต้นทุนด้านพลังงานที่ผันผวนจากราคาน้ำมัน

ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องการยกระดับมาตรฐานการทำงานด้วยการนำระบบ Transportation Management System (TMS) และมาตรฐาน ISO มาช่วยเสริมประสิทธิภาพการขนส่ง ลดความผิดพลาด และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกันยังต้องการการสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อใช้ในการพัฒนาระบบงาน การลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการเพิ่มทักษะบุคลากรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

กรมฯ เตรียมประสานงานกับสถาบันการเงินเพื่อจัดหาแหล่งสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษให้แก่ผู้ประกอบการ พร้อมทั้งร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานพันธมิตรเพื่อปรับปรุงหลักสูตรการอบรมและพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์ โดยจะเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลและบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับบริษัท ดับบลิวซี.ภาคิน จำกัด ซึ่งก่อตั้งตั้งแต่ปี 2562 ปัจจุบันมีรถขนส่งมากกว่า 230 คัน รองรับการให้บริการทั้งแบบ Home Delivery ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงการขนส่งทั่วประเทศ จุดเด่นคือการบริหารจัดการด้วยระบบ GPS และควบคุมอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ บริษัทฯ ยังเคยเข้าร่วมหลักสูตรของกรมฯ เพื่อยกระดับมาตรฐานธุรกิจโลจิสติกส์ด้วยการประยุกต์ใช้มาตรฐานสากลและ Data Analytics

นางอรมน ย้ำว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพร้อมรับฟังทุกข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน และจะเร่งผลักดันมาตรการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจโลจิสติกส์ไทย สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในภาวะเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

L2D Page - 2025-09-25T093603.289

GWM (Thailand) เร่งเครื่องส่งออกยานยนต์ คาดสิ้นปี 2568 แตะ 5,000 คัน ก้าวสู่ศูนย์กลางการผลิตระดับโลก

GWM (Thailand) กำลังสร้างสถิติใหม่ในการส่งออกยานยนต์ หลังจากเริ่มต้นด้วยยอดเพียงไม่กี่ร้อยคันในปีแรก ปัจจุบันตัวเลขส่งออกสะสมใกล้แตะ 4,000 คันแล้ว และคาดว่าภายในสิ้นปี 2568 จะทะลุ 5,000 คันได้สำเร็จ ความก้าวหน้านี้สะท้อนถึงบทบาทของโรงงาน GWM Smart Factory จังหวัดระยอง ที่กำลังยกระดับจากฐานการผลิตในประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ระดับโลก

ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) โดยเฉพาะรุ่น GWM ORA และ GWM TANK เป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ผลักดันยอดส่งออกให้เติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบ “All Powertrains” และ “All Scenarios” ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วโลกได้ครอบคลุม ทั้งในด้านประเภทพลังงานและการใช้งานจริง

นับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา GWM (Thailand) เริ่มส่งออกรถยนต์ GWM HAVAL H6 HEV และ HAVAL Jolion HEV ไปยังเวียดนามและอินโดนีเซีย ก่อนจะต่อยอดในปี 2567 ด้วยการเปิดตลาดให้กับรุ่น TANK 300 HEV และ TANK 500 HEV ในภูมิภาคเดียวกัน ขณะที่ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งการขยายตัวครั้งใหญ่ เมื่อบริษัทรุกตลาดใหม่อีก 9 แห่ง ทั้งในเอเชีย ออสเตรเลีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา อาทิ มาเลเซีย ภูฏาน มอริเชียส บราซิล และแคริบเบียน

นอกจากความหลากหลายด้านตลาดแล้ว การส่งออกยังขยายตัวทั้งในแง่พลังงานและประเภทรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือเครื่องยนต์ดีเซล ตลอดจนรถยนต์นั่งและ SUV หลากหลายเซกเมนต์ โดยเฉพาะ GWM ORA Good Cat ที่กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่ GWM (Thailand) ส่งออกไปยังตลาดสำคัญอย่างบราซิลและออสเตรเลียตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และมียอดส่งออกแล้วกว่า 1,000 คัน

ปัจจัยบวกจากกระแสรถยนต์ไฟฟ้าโลกที่เติบโตต่อเนื่อง โดยยอดขาย EV และ PHEV ทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 29% ในช่วงต้นปี 2568 ประกอบกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยที่พุ่งสูงถึง 393.12% ในครึ่งปีแรก ยิ่งทำให้ GWM (Thailand) อยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งมากขึ้น ทั้งยังสอดรับกับเป้าหมายรัฐบาลที่ต้องการให้ 30% ของการผลิตยานยนต์ไทยเป็นรถยนต์ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ภายในปี 2573

เวยน์ โจว กรรมการผู้จัดการ GWM (Thailand) ระบุว่า การส่งออกรถยนต์ไปยังหลายภูมิภาคทั่วโลกไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของโรงงานในไทย แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับสู่การเป็นผู้เล่นระดับโลก โดยบริษัทพร้อมเดินหน้าสร้างสมดุลด้านพลังงาน ทั้ง HEV, BEV และดีเซล ควบคู่ไปกับการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนของภูมิภาค

L2D Page - 2025-09-25T093135.249

ไทยนำเข้าทองคำพุ่ง 4.1 แสนล้าน สนค.จับตาส่งออกปีนี้เจอแรงกดดัน

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การค้าทองคำของไทยในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.–ส.ค.) ขยายตัวอย่างมาก โดยการส่งออกทองคำมีมูลค่า 8,733.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 280,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 87.7% จากปีก่อน ส่วนการนำเข้าอยู่ที่ 12,928.4 ล้านเหรียญฯ หรือราว 413,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.5% ส่งผลให้ไทยขาดดุลทองคำกว่า 4,195 ล้านเหรียญฯ หรือ 135,000 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญมาจากการที่ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้ทั้งการซื้อและขายในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น

เฉพาะเดือนสิงหาคม การส่งออกทองคำของไทยมีมูลค่า 1,111 ล้านเหรียญฯ โต 144% โดยตลาดหลักคือสวิตเซอร์แลนด์ 593 ล้านเหรียญฯ ขยายตัว 177% และกัมพูชา 197 ล้านเหรียญฯ ขยายตัว 30.4% สำหรับ 8 เดือนแรก ประเทศที่ไทยส่งออกทองคำมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ 3,824 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 159% และกัมพูชา 2,346 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 28.4% ส่วนการนำเข้าทองคำ ไทยพึ่งพาจีนมากที่สุด 3,352.6 ล้านเหรียญฯ แม้จะลดลง 13% ตามด้วยสวิตเซอร์แลนด์ 2,696.9 ล้านเหรียญฯ ลดลง 3.9%

ขณะที่ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศ เดือนสิงหาคม การส่งออกของไทยมีมูลค่า 27,743.2 ล้านเหรียญฯ หรือราว 889,014 ล้านบาท ขยายตัว 5.8% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 แต่เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวจากผลกระทบการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ด้านการนำเข้าอยู่ที่ 29,707.6 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 964,331 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.8% ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 1,964.4 ล้านเหรียญฯ หรือ 75,317 ล้านบาท

สนค.ประเมินว่า ตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป ผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะชัดเจนมากขึ้น หากการส่งออกเฉลี่ยเหลือเพียง 24,000–24,500 ล้านเหรียญฯ ต่อเดือนในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี ย่อมมีโอกาสติดลบเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากฐานสูงและคู่ค้าเร่งตุนสินค้าก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากการเติบโตสะสม 8 เดือนแรกที่ 13.3% ยังมีความมั่นใจว่าทั้งปีการส่งออกไทยจะขยายตัวได้ 2–3% ตามเป้าหมายที่วางไว้

L2D Page - 2025-09-24T091321.174

คมนาคมชูแผน Quick Win ลดค่าครองชีพ จับตานโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทหลังแถลงต่อสภา

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงร่างแถลงนโยบายในส่วนของกระทรวงคมนาคมว่า ขณะนี้ได้จัดทำร่วมกับหลายกระทรวงและผู้เชี่ยวชาญ โดยเน้นแผนงานระยะสั้นที่สามารถขับเคลื่อนและเห็นผลได้จริงภายในสี่เดือนแรก หรือที่เรียกว่า “Quick Win” ก่อนจะเดินหน้านโยบายระยะยาวต่อไป

ประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจมากที่สุดคือมาตรการบรรเทาค่าครองชีพ ทั้งการลดค่าทางด่วน ค่ารถเมล์ และค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท สำหรับสายสีแดงและสีม่วง ซึ่งจะครบกำหนดสิ้นเดือนกันยายนนี้ นายพิพัฒน์ย้ำว่า ขอให้รอการแถลงนโยบายอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีต่อรัฐสภา โดยยืนยันว่าจะมีมาตรการออกมาครอบคลุมทุกด้านเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน

“ขอให้อดใจรออีกไม่นาน พรุ่งนี้ (24 ก.ย.) นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจะเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ และหลังจากนั้นตามเงื่อนไขไม่น้อยกว่า 5 วัน ก็จะมีการแถลงนโยบายต่อสภา ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกนำเสนออย่างชัดเจน ทั้งสิ่งที่สามารถทำได้และสิ่งที่ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ รวมถึงคำอธิบายว่าทำไมโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทในรัฐบาลก่อนถึงชะงัก” นายพิพัฒน์กล่าว

เขายังยืนยันด้วยว่า พรรคภูมิใจไทยพร้อมผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ว่าต้นทางของนโยบายจะมาจากพรรคการเมืองใด โดยจุดยืนสำคัญคือการช่วยลดภาระค่าครองชีพของคนไทยอย่างเป็นรูปธรรม

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us