News Update

L2D Page (28)

อาเซียนไตรมาส 3/2568: อินโดนีเซียเดินหน้าความมั่นคงทางอาหาร–เวียดนามดึง FDI แข็งแกร่ง ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกชะลอ

อินโดนีเซียยังคงเดินหน้าสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างจริงจัง โดยรัฐบาลได้เพิ่มงบประมาณให้กระทรวงเกษตรกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรและระบบชลประทาน รวมถึงเร่งขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวอีกกว่า 481,000 เฮกตาร์ ภายใต้โครงการยุทธศาสตร์แห่งชาติ Wanam PSN ที่จังหวัดปาปัวใต้ มาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพึ่งพาตนเองด้านอาหาร พลังงาน และน้ำ โดยมุ่งส่งเสริมการผลิตข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบผลิตเอทานอลและไบโอดีเซล รัฐบาลอินโดนีเซียมั่นใจว่าในปี 2568 จะไม่จำเป็นต้องนำเข้าข้าวอีกต่อไป หลังผลผลิตเพิ่มขึ้นแตะระดับ 33.19 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 12.6% จากปีก่อน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเจ็ดปี พร้อมกันนี้ยังได้ผ่อนคลายนโยบายการนำเข้าโคเพศเมียและโคนม เพื่อใช้ในการเพาะพันธุ์และผลิตนมสำหรับโครงการอาหารฟรีของรัฐบาล

ในอีกด้านหนึ่ง กระทรวงดิจิทัลของอินโดนีเซียได้สั่งระงับการจดทะเบียน TikTok ชั่วคราว เนื่องจากแพลตฟอร์มดังกล่าวไม่ส่งข้อมูลครบถ้วนตามคำขอของรัฐบาล หลังเกิดเหตุถ่ายทอดสดระหว่างการประท้วงในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลระบุว่า TikTok ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ การถ่ายทอดสด และกิจกรรมของผู้ใช้อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม กระทรวงได้ยืนยันในภายหลังว่า พร้อมจะยกเลิกการระงับทันทีที่บริษัทดำเนินการตามเงื่อนไขทั้งหมดที่กำหนดไว้

สำหรับเวียดนาม แม้เศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวแข็งแกร่ง โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 มียอดเงินลงทุนรวม 26.1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 27.3% จากปีก่อน และมีการเบิกจ่ายแล้วกว่า 15.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.8% ภาคการผลิตและแปรรูปยังคงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกว่า 62.9% ของทั้งหมด รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าหมายดึงดูด FDI ตลอดทั้งปีให้ได้ 38,000–40,000 ล้านดอลลาร์ แม้ยอมรับว่ายังเป็นความท้าทาย จึงได้ออกนโยบาย “ช่องทางสีเขียว (Green Channel)” เพื่อย่นระยะเวลาการตรวจสอบและอนุมัติโครงการ พร้อมยกระดับความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ เพื่อดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูงเข้าสู่ประเทศ

ในส่วนของกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ รัฐบาลเวียดนามได้จัดทำร่างกฤษฎีกาฉบับใหม่ว่าด้วยการจัดการสินค้านำเข้าชั่วคราวและส่งออกกลับ แทนกฤษฎีกาฉบับเดิมปี 2561 เพื่อปิดช่องโหว่การลักลอบขนสินค้าปลอมและการเปลี่ยนฉลากสินค้าต้นทางเป็น “Made in Vietnam” เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากสหรัฐ กฎหมายใหม่นี้จำกัดระยะเวลาการจัดเก็บสินค้าไม่เกิน 60 วัน และสามารถขยายได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละ 30 วัน อีกทั้งกำหนดให้สินค้าทั้งหมดต้องผ่านด่านพรมแดนหลักเท่านั้น โดยสินค้ากลุ่มอ่อนไหวต้องได้รับใบอนุญาตเฉพาะก่อนดำเนินการ

ขณะเดียวกัน นครโฮจิมินห์ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเมืองศูนย์กลางทางการเงินที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยในรายงาน Global Financial Centres Index (GFCI) ฉบับที่ 38 นครโฮจิมินห์ขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 95 เพิ่มขึ้นสามอันดับจากปีก่อน และได้คะแนนรวม 664 คะแนน เพิ่มขึ้น 10 คะแนน แซงกรุงเทพฯ ซึ่งร่วงลงมาอยู่ที่อันดับ 102 รายงานดังกล่าวระบุว่า โฮจิมินห์อยู่ในกลุ่ม 15 เมืองที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วในอีก 2–3 ปีข้างหน้า สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลเวียดนามที่ตั้งใจพัฒนาให้เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางการเงินแห่งชาติภายในปี 2568 และดำเนินการเต็มรูปแบบภายในอีก 5 ปีต่อจากนี้

L2D Page (27)

คลังสินค้าโลจิสติกส์ชะลอตัว รับแรงกดดันเศรษฐกิจ รอลุ้นฟื้นครึ่งปีหลัง

มาร์คัส เบอร์เทนชอว์ หุ้นส่วนและหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์อุตสาหกรรม บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ขยายตัว 3.0% แต่ชะลอตัวลงในไตรมาส 2 เหลือเพียง 2.8% เนื่องจากภาคนอกเกษตรเริ่มอ่อนแรง ส่งผลให้ภาคโลจิสติกส์ต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังมากขึ้น

ภาพรวมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์สะท้อนถึงการผลิตที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ขณะที่ดัชนีสินค้าคงคลังสำเร็จรูปขยับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะอุปทานส่วนเกิน (Over Supply) สินค้าที่ผลิตเกินความต้องการและยังไม่สามารถระบายออกได้ อาจกลายเป็นแรงกดดันต่อการเติบโตในระยะถัดไป ปัจจุบันคลังสินค้าสำเร็จรูปในไทยมีอุปทานรวม 6.49 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้น 1.2% จากครึ่งปีก่อน และ 3.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยพื้นที่ใหม่ส่วนใหญ่มาจากจังหวัดชลบุรีและสมุทรปราการ ขณะที่ผู้พัฒนาโครงการยังคงเดินหน้าอย่างระมัดระวัง ไม่ปล่อยซัพพลายใหม่เกิน 100,000 ตารางเมตร

กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังคงเป็นศูนย์กลางหลักของตลาด คิดเป็นสัดส่วน 44.7% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยมีอุปทานใหม่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสมุทรปราการ ส่วนพื้นที่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังคงเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุด ครองสัดส่วน 38.9% ของตลาดโลจิสติกส์ในประเทศ ทั้งนี้ซัพพลายใหม่ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในอนาคตมีเพียง 167,138 ตารางเมตร หรือราว 2.6% ของอุปทานปัจจุบัน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อภาพรวมตลาด

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีแรก ความต้องการใช้พื้นที่คลังสินค้าลดลงชัดเจน โดยอัตราการดูดซับ (absorption rate) ลดลงเหลือเพียง 20,335 ตารางเมตร ต่ำสุดในรอบหลายปี สาเหตุจากแรงกดดันด้านต้นทุน การบริโภคภายในประเทศที่อ่อนตัว และภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ผู้เช่าชะลอการตัดสินใจขยายหรือเช่าพื้นที่ใหม่

อัตราการเช่าเฉลี่ยทั่วประเทศลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 85.8% ลดลง 0.7 จุดจากครึ่งปีก่อน สะท้อนว่าผู้เช่าส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในพื้นที่เดิมมากกว่าจะย้ายหรือคืนพื้นที่ ทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังคงแข็งแกร่งที่สุด มีอัตราเช่า 90.6% ลดลงเพียงเล็กน้อย ขณะที่พื้นที่ในเขต EEC เผชิญแรงกดดันมากที่สุด อัตราเช่าลดลง 2.2 จุด เหลือ 80.1% ส่วนทำเลภาคกลางกลับปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเพิ่มขึ้นเป็น 86.5%

ในด้านค่าเช่าเฉลี่ย คลังสินค้าสำเร็จรูปปรับขึ้น 0.8% อยู่ที่ 161.5 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน โดย EEC และภาคกลางมีการปรับขึ้นสูงสุดที่ 1.3% ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑลเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ช่วงราคาเช่าแตกต่างกันไปตามทำเล โดยพื้นที่ราคาต่ำสุดอยู่ราว 110–120 บาทต่อตารางเมตร ส่วนพื้นที่พรีเมียมในกรุงเทพฯ และปริมณฑลสูงสุดถึง 230 บาท และใน EEC อยู่ที่ประมาณ 210 บาท แม้ค่าเช่าเฉลี่ยยังทรงตัว แต่หากการแข่งขันในตลาดรุนแรงขึ้นและความต้องการเช่าลดลง อัตราเช่าจริง (effective rents) อาจเผชิญแรงกดดันในระยะถัดไป

สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าตลาดโลจิสติกส์จะยังคงอยู่ในช่วง “ปรับฐาน” การเติบโตจะค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าการขยายตัวแบบก้าวกระโดด ปัจจัยที่ต้องติดตามได้แก่ การฟื้นตัวของกำลังซื้อภายในประเทศ ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าระหว่างประเทศ และระดับสินค้าคงคลังที่ยังคงสูง หากไม่สามารถระบายออกได้ทันเวลาอาจส่งผลลบต่อภาคการผลิตและคลังสินค้าในอนาคต

โดยรวมแล้ว ตลาดโลจิสติกส์ไทยกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงระมัดระวัง ผู้พัฒนาและผู้ประกอบการต่างหันมาเน้นการลงทุนในคลังสินค้าที่มีความยืดหยุ่น ตอบโจทย์เฉพาะทาง และบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เพื่อเตรียมรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป

L2D Page (26)

ตลาดอสังหาฯ โลจิสติกส์ครึ่งแรกปี 2568 ชะลอตัว อุปสงค์อ่อนแรง อัตราครอบครองขยับลงเล็กน้อย นักลงทุนรอดูสัญญาณเศรษฐกิจ

ในครึ่งแรกของปี 2568 ภาพรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 3.0% โดยในไตรมาส 2 เติบโต 2.8% ชะลอลงจาก 3.2% ในไตรมาสแรก ปัจจัยสำคัญมาจากการชะลอตัวในภาคนอกเกษตรและการบริโภคที่อ่อนแรง ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐใช้จ่ายลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีก่อนหน้า ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงติดลบต่อเนื่องจากราคาสินค้าอาหารสดและพลังงานที่ลดลง

ภาคการผลิตแม้ยังขยายตัว แต่พบสัญญาณสะสมสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น โดยดัชนีสินค้าสำเร็จรูปขยับจาก 99.5 เป็น 105.3 สะท้อนว่าความต้องการในตลาดยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ส่งผลให้ธุรกิจโลจิสติกส์และการเก็บรักษาเริ่มเผชิญแรงกดดัน

ด้านอุปทาน คลังสินค้าสำเร็จรูปทั่วประเทศมีพื้นที่รวม 6.49 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้น 75,900 ตารางเมตร หรือ 1.2% แบบครึ่งปีต่อครึ่งปี การเติบโตนี้ส่วนใหญ่เกิดจากซัพพลายใหม่ในสมุทรปราการและชลบุรี โดยกว่า 35% เป็นการขยายพื้นที่จากโครงการเดิม เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังครองสัดส่วนตลาดสูงสุดที่ 44.7% ขณะที่ EEC มีสัดส่วน 38.9% และภาคกลางคงตัวที่ 15.9% อุปทานใหม่ที่คาดว่าจะเข้าสู่ตลาดในอนาคตอยู่เพียง 167,138 ตารางเมตร ซึ่งคิดเป็นเพียง 2.6% ของอุปทานปัจจุบัน

อุปสงค์กลับอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน Gross take-up ลดลง 7.4% เหลือ 286,839 ตารางเมตร ขณะที่พื้นที่ถูกคืนพุ่งขึ้น 68% ส่งผลให้การดูดซับสุทธิ (Net absorption) อยู่เพียง 20,335 ตารางเมตร ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายปี ผู้เช่าเลือกที่จะชะลอการขยายพื้นที่ และหันมาใช้แนวทางรอดูสถานการณ์มากกว่าการลงทุนใหม่

อัตราการเช่าโดยรวมปรับลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 85.8% สะท้อนถึงความต้องการเช่าที่อ่อนแรง โดย EEC ได้รับผลกระทบหนักสุด อัตราการเช่าลดลงเหลือ 80.1% จากทั้งอุปทานใหม่และการส่งออกนำเข้าที่ชะลอตัว ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังถือว่าแข็งแกร่งที่สุดด้วยอัตราเช่า 90.6% แม้กิจกรรมจะชะลอตัว ภาคกลางกลับมีอัตราการเช่าปรับดีขึ้นสู่ระดับ 86.5% อันเป็นผลจากอุปทานคงที่และอุปสงค์ในประเทศที่ยังยืดหยุ่น

ในแง่ของอุตสาหกรรม ความต้องการพื้นที่ยังไม่สม่ำเสมอ ภาคอีคอมเมิร์ซยังมีการเช่าต่อเนื่องแต่ไม่ขยายตัวมากเหมือนเดิม ขณะที่การผลิตสะท้อนภาวะล้นตลาดมากกว่าการเติบโต ส่วนอัตราค่าเช่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.8% มาอยู่ที่ 161.5 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน โดย EEC และภาคกลางมีการปรับขึ้นสูงสุด ขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลขยับเพียงเล็กน้อย

ตลาดอสังหาริมทรัพย์โลจิสติกส์ในครึ่งแรกของปี 2568 จึงสะท้อนการเข้าสู่ช่วง “ปรับฐาน” ผู้เช่าชะลอการขยายพื้นที่และรอความชัดเจนทางเศรษฐกิจ ขณะที่เจ้าของพื้นที่ยังคงรักษาระดับค่าเช่า แต่เริ่มหันมาใช้สิ่งจูงใจเพื่อดึงดูดผู้เช่าเพิ่มขึ้น

มาร์คัส เบอร์เทนชอว์ หุ้นส่วนและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านพื้นที่โลจิสติกส์และอุตสาหกรรม ให้ความเห็นว่า ตลาดกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระยะที่ผู้ประกอบการระมัดระวังมากขึ้น ความต้องการจากอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคและการจัดส่งระยะสุดท้ายยังคงเป็นแรงขับสำคัญ แต่ภาพรวมตลาดยังอยู่ในภาวะ “หยุดรอดู” เพื่อรอให้สัญญาณเศรษฐกิจมหภาคฟื้นตัว จึงจะกลับเข้าสู่การเติบโตอีกครั้งในระยะต่อไป

L2D Page (25)

พิษนมผงนำเข้า สหกรณ์โคนมด่านขุนทดอ่วม เอกชนหั่นโควต้าเหลือวันละ 3.5 ตัน ที่ปรึกษารมว.เกษตรลงพื้นที่รับฟังปัญหา

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา นายมารุต ชุ่มขุนทด ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินทางลงพื้นที่สหกรณ์โคนมด่านขุนทด ตำบลตะเคียน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เพื่อรับฟังปัญหาของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่กำลังเผชิญวิกฤติการขายน้ำนมดิบ โดยมีเกษตรกรและคณะกรรมการสหกรณ์ร่วมให้การต้อนรับและสะท้อนสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่

นายมารุตเปิดเผยว่า ตนได้รับมอบหมายจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ติดตามและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรโคนมทั่วประเทศ โดยในพื้นที่ด่านขุนทด เกษตรกรไม่ได้ขายน้ำนมดิบให้กับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (ไทย-เดนมาร์ก) แต่พึ่งพาการรับซื้อจากบริษัทเอกชน ซึ่งปัจจุบันบริษัทเหล่านี้ได้ลดโควต้ารับซื้อจากวันละ 12-13 ตัน เหลือเพียง 3.5 ตัน ทำให้เกษตรกรแบกรับผลกระทบหนัก

สาเหตุสำคัญมาจากการนำเข้านมผงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ออสเตรเลีย–นิวซีแลนด์ ที่เปิดทางให้นมผงทะลักเข้าสู่ตลาดไทยในราคาต่ำ บริษัทเอกชนจึงเลือกใช้นมผงแทนการซื้อนมสด เนื่องจากควบคุมคุณภาพและต้นทุนได้ง่ายกว่า ปัญหานี้ยิ่งรุนแรงขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย เพราะช่วงที่ผลผลิตน้ำนมดิบขาดแคลน บริษัทนมจำนวนมากหันไปพึ่งนมผง และเมื่อกลับสู่ภาวะปกติ ก็ไม่ได้หันมารับซื้อนมสดมากเหมือนเดิม

นอกจากปัญหานมดิบแล้ว เกษตรกรยังสะท้อนข้อเรียกร้องด้านอื่น เช่น การขอเปลี่ยนสิทธิ์ที่ดิน ส.ป.ก. เป็นโฉนดเพื่อความมั่นคง และการขอรับเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ซึ่งหลายรายยืนยันว่าได้รับแล้ว ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ย้ำว่า ข้อมูลที่ได้รับจากการลงพื้นที่ครั้งนี้จะถูกนำเสนอต่อรัฐบาล เพื่อหาแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรอย่างเร่งด่วน พร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมสะท้อนความจริงในพื้นที่

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us