News Update

news-20250514-02

บีโอไอรับยอดผลิต EV ยังไม่เข้าเป้า ชี้ตลาดในประเทศ - ส่งออกยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า แม้บีโอไอจะเดินหน้าสนับสนุนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตที่เข้าร่วมโครงการ EV3.0 ซึ่งได้เริ่มต้นสายการผลิตไปแล้วตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่จำนวนรถ EV ที่ผลิตได้ในไทยขณะนี้ แม้จะเกิน 400,000 คันแล้ว ก็ยังไม่ถึงระดับเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออกยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว

ผู้ผลิตหลายรายกำลังเร่งหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง หากสถานการณ์ด้านอุปสงค์ทั้งในและนอกประเทศเริ่มดีขึ้น ก็จะเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้สามารถผลิตได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับกำลังการผลิตที่วางไว้ และสร้างความมั่นใจให้กับแผนลงทุนในระยะยาวมากยิ่งขึ้น

สำหรับประเด็นเรื่องการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย นายนฤตม์ระบุว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก โดยในฝั่งของบีโอไอก็กำลังหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อออกมาตรการรับมือกับผลกระทบทางภาษี และเตรียมเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบีโอไอในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้

นโยบายที่กำลังจะออกมา จะเป็นการผสมผสานทั้งการปรับปรุงมาตรการเดิมและการเสนอแนวทางใหม่ เพื่อเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ นโยบายการค้า หรือกระแสการลงทุนที่ผันผวน

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคือ แนวทางการส่งเสริมการลงทุนที่ไม่ยึดติดกับสัญชาติของนักลงทุนอีกต่อไป แต่จะให้ความสำคัญกับการสร้างผลประโยชน์ร่วมกับประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบริษัทต่างชาติสู่คนไทย ซึ่งบีโอไอหวังว่าการเปิดกว้างเช่นนี้จะเป็นประตูให้คนไทยได้มีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีในระดับโลก ผ่านการทำงานร่วมกับบริษัทที่เข้ามาลงทุนในประเทศ

นอกจากนี้ บีโอไอยังมีการประสานความร่วมมือกับสถานทูตไทย สำนักงานพาณิชย์ และสำนักงานบีโอไอในต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในจุดหมายสำคัญอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และตะวันออกกลาง ซึ่งมีชุมชนคนไทยที่เข้มแข็งและเป็นฐานนักลงทุนสำคัญอยู่แล้ว

แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากประเด็นภาษีของสหรัฐฯ แต่นายนฤตม์ยังคงมั่นใจว่าแนวโน้มการลงทุนในปีนี้ยังคงสดใส เพราะประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายที่มีความพร้อมในหลายมิติ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบซัพพลายเชน บุคลากรที่มีศักยภาพ ระบบพลังงานที่มั่นคงและมีพลังงานสะอาดเพียงพอ รวมถึงพื้นที่อุตสาหกรรมที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยสามารถเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการลงทุนใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์

ประเทศไทยยังคงเป็น “ตัวเลือกที่มั่นคง” ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และบีโอไอเชื่อมั่นว่าด้วยการปรับตัวและความยืดหยุ่นในการออกนโยบาย ไทยจะสามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันและเป็นฐานการลงทุนสำคัญของภูมิภาคต่อไป

ที่มา - thansettakij

news-20250514-01

LEO เปิดงบ Q1/68 รายได้ 346 ลบ. รับรู้รายได้ขนส่งรางเต็มปี ดันอนาคตโตแรง ขยายธุรกิจไม่หยุดยั้ง

บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) เปิดงบ Q1/68 มีรายได้ 346 ล้านบาท กำไรสุทธิ 8.7 ล้านบาท ฟากซีอีโอ "เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์" ระบุ ปี 68 เดินหน้ารับรู้รายได้จากการขนส่งสินค้าทางราง- การจัดหาและขนส่งทุเรียนไปยังประเทศจีนเต็มพิกัด มั่นใจผลงานในปีนี้เติบโตแข็งแกร่ง ลุยขยายธุรกิจใหม่ Non Freight และ Non-Logistics พร้อมเสริมแกร่งโลจิสติกส์ทางรางไทย-จีน ผลักดันอนาคตเติบโตก้าวกระโดด

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 (สิ้นสุด 31 มีนาคม 2568) บริษัทฯ ฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 346 ล้านบาท กำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ อยู่ที่ 8.7 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 105.2 ล้านบาท

โดยรายได้ยังคงมาจาก 4 กลุ่มธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1.การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางเรือ (Sea Freight) 2.การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางอากาศ (Air Freight) 3.การบริการด้านบริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร (Integrated Logistics Services) ซึ่งประกอบด้วย การขนส่ง การบริการดำเนินพิธีการศุลกากร และบริการเสริมอื่นๆและ 4. ธุรกิจให้เช่าพื้นที่เก็บของขนาดเล็กและธุรกิจรับฝากตู้สินค้า (Self-Storage and Container Depot Service) ซึ่งประกอบด้วย บริการให้เช่าพื้นที่เพื่อจัดเก็บสิ่งของตามความต้องการของลูกค้า การบริการพื้นที่รับฝากและซ่อมตู้คอนเทนเนอร์ และมีรายได้จากการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับทิศทางในการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ถึงแม้สภาวะเศรษฐกิจของโลกจะมีความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า แต่บริษัทฯ ก็ยังมีความเชื่อมั่นว่า บริษัทฯ จะสามารถสร้างการเติบโตของกำไรขั้นต้นและผลประกอบการให้เติบโตได้ภายในไตรมาส 2 และ 3 จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics หลายๆ โครงการของบริษัทฯ ที่ได้มีการวางแผนและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เช่น โครงการ Self-Storage และ Wine Storage ที่สาขา ถ.พระราม 4 โครงการ LEO Coldbotic ศูนย์จัดเก็บและกระจายสินค้าอัจฉริยะสำหรับไวน์โดยเฉพาะที่อยู่ในบริเวณคล้งสินค้าทัณฑ์บนของท่าเรือสหไทย

รวมทั้งการส่งออกสินค้าทุเรียนไปยังประเทศจีนของบริษัท LEO Sourcing & Supply Chain และการขยายธุรกิจในการให้บริการเช่า Power Bank ของบริษัท LEO JITU INFORMATION TECHNOLOGY CO., LTD. ที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นใหม่ในปี 2568 และตั้งเป้าว่าจะมีรายได้ภายในปี 2569 มากกว่า 100 ล้านบาท บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ๆทั้งหลายเหล่านี้จะช่วยสร้างรายได้ของบริษัทฯให้เติบโตมากขึ้นและลดความผันผวนจากธุรกิจ Freight ได้ โดยบริษัทฯ วางเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้ได้อย่างน้อย 30-35% ของรายได้รวมภายในปี 2568 นี้

และในส่วนของธุรกิจ Freight ที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯนั้น นับตั้งแต่ไตรมาส 2/68 เป็นต้นไป บริษัทฯก็จะมีรายได้จากธุรกิจการขนส่งสินค้าทางรางระหว่างประเทศไทย ลาว จีน (ทั้งขาไปและขากลับ) ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัท LaneXang Express เนื่องจากทางบริษัท LaneXang Express ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าทั้งภายในประเทศไทยและประเทศจีนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก รวมถึงการขนส่งสินค้าทางรางภายในประเทศของบริษัท Sritrang-LEO Multimodal Logistics ก็จะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

“ภาพรวมการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ในช่วง 1–2 ปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นผลชัดเจน โดยธุรกิจใหม่เหล่านี้เริ่มสร้างรายได้และสามารถวัดผลได้จริง ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างรายได้ของบริษัทในระยะยาว เนื่องจากความไม่แน่นอนของธุรกิจหลักด้าน Freight ที่มีความผันผวนตามทิศทางของเศรษฐกิจโลกและอัตราค่าระวางเรือ บริษัทฯ จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการกระจายความเสี่ยง และเดินหน้าขยายธุรกิจในกลุ่ม Non-Freight / Non - Logistics อย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้าง รายได้และกำไรขั้นต้น ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทฯ มั่นใจว่าในระยะข้างหน้า สัดส่วนรายได้และกำไรจากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics จะมีบทบาทมากขึ้นในพอร์ตโดยรวม และเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักที่สนับสนุนการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนของ LEO” นายเกตติวิทย์ กล่าวในที่สุด

ที่มา - efinancethai

news-20250513-03

จีนนำเข้าทองแดงพุ่งแตะเกือบ 3 ล้านตัน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางการแข่งขันแย่งวัตถุดิบทั่วโลก

ตลาดทองแดงโลกกลับมาอยู่ในจุดร้อนอีกครั้ง หลังจากที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จีนได้นำเข้าทองแดงเข้มข้นในเดือนล่าสุดมากถึงเกือบ 3 ล้านตัน ซึ่งนับเป็นระดับที่สูงที่สุดในประวัติการณ์ของประเทศ และอาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรเทาความตึงตัวของตลาดในประเทศ พร้อมลดแรงกดดันด้านราคาทองแดงในประเทศที่กำลังพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง

การนำเข้าครั้งใหญ่นี้มีขึ้นในช่วงที่อุตสาหกรรมถลุงแร่ทั่วโลกเผชิญกับภาวะต้นทุนถลุงสูงกว่ารายได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยเฉพาะในตลาด spot ซึ่งค่าธรรมเนียมแปรรูปได้ลดลงจนเข้าสู่ระดับ “ติดลบ” หมายความว่าโรงถลุงต้อง “จ่ายเงิน” เพื่อให้ได้รับแร่ทองแดงมาถลุง แทนที่จะเป็นฝ่ายรับค่าจ้างเหมือนในภาวะปกติ

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ค่าธรรมเนียม spot สำหรับการแปรรูปแร่ทองแดงอยู่ที่ -57.50 ดอลลาร์ต่อตัน ลดลงจากระดับ -52.80 ดอลลาร์ต่อตันเมื่อสิ้นเดือนเมษายน และนี่ถือเป็นแนวโน้มที่สะท้อนชัดว่า โรงถลุงทั่วโลกกำลังแย่งชิงวัตถุดิบกันอย่างดุเดือด ท่ามกลางภาวะอุปทานแร่ที่หายากขึ้นเรื่อย ๆ

ในขณะที่โรงถลุงหลายแห่งทั่วโลกต้องชะลอหรือหยุดสายการผลิตจากแรงกดดันนี้ จีนกลับสามารถเพิ่มปริมาณการนำเข้าได้ต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งมากขึ้น โดยเฉพาะในปีนี้ที่จีนสามารถจัดทำสัญญาซื้อล่วงหน้าได้มากขึ้น พร้อมกับได้รับอานิสงส์จากแหล่งแร่ขนาดใหญ่อย่าง PT Freeport Indonesia ที่กลับมาเดินหน้าส่งออกได้อีกครั้งตั้งแต่เดือนมีนาคม หลังถูกระงับไปนานสองเดือน

นายหลี่ เฉิงปิน นักวิเคราะห์จาก Mysteel Global วิเคราะห์ว่า โรงถลุงในจีนเตรียมพร้อมได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งในด้านการวางแผนจัดหาแร่และความสามารถในการบริหารต้นทุน ซึ่งแตกต่างจากโรงถลุงของ Glencore Plc ในฟิลิปปินส์ที่เพิ่งต้องหยุดผลิตจากภาวะขาดทุนค่าธรรมเนียม

แม้เศรษฐกิจจีนโดยรวมยังคงเผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวในหลายภาคส่วน แต่ความต้องการใช้ทองแดงภายในประเทศยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้การจัดหาวัตถุดิบอย่างทองแดงเข้มข้นยังคงมีความสำคัญสูง และเป็นเครื่องสะท้อนว่า จีนยังเดินเกมเชิงรุกเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่สำคัญระดับโลก

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวด้านการนำเข้าของจีนยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ กำลังเร่งสำรองโลหะและแร่สำคัญก่อนมาตรการภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ภายใต้นโยบายของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งอาจยิ่งกระตุ้นการแข่งขันเพื่อช่วงชิงทรัพยากรสำคัญให้เข้มข้นยิ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี

ที่มา - news.trueid

news-20250513-02

เศรษฐกิจไทยเสี่ยงสะดุดครึ่งปีหลัง หากเจรจาภาษีกับสหรัฐไม่สำเร็จ

ดร.ยอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ออกมาเตือนว่า หากไทยไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเจรจาลดอัตราภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ ได้สำเร็จในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยและภาคส่งออกสะดุดแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอัตราภาษีนำเข้ายังอยู่ในระดับสูงถึง 36% เพราะเท่ากับว่าสินค้าไทยไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าจีนในตลาดโลกได้

เขาระบุว่า จุดตัดสำคัญของแนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังคือผลลัพธ์ของการเจรจาการค้า หากไทยสามารถลดภาษีลงมาอยู่ในกรอบ 10-15% ได้ เศรษฐกิจไทยยังมีโอกาสเดินหน้าต่ออย่างมีเสถียรภาพ และตัวเลขจีดีพีน่าจะยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่หากการเจรจาไม่คืบหน้า และไทยยังคงเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 36% โอกาสที่จีดีพีครึ่งปีหลังจะติดลบเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก รวมถึงภาคส่งออกอาจพลิกกลับมาเป็นลบ ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

อีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ไม่อาจมองข้ามคือเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ ดร.ยอนุสรณ์ชี้ว่า หากเกิดความเปลี่ยนแปลงในคณะรัฐมนตรีหรือทีมเจรจาระหว่างช่วงเวลาเจรจาสำคัญ อาจสร้างอุปสรรคในการดำเนินการให้ลุล่วงตามกรอบเวลา ส่งผลให้ไทยเสียเปรียบเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชียที่มีความต่อเนื่องและเสถียรภาพมากกว่า นั่นหมายความว่า ไม่เพียงแต่ประเด็นภาษีนำเข้าเท่านั้น แต่เสถียรภาพทางการเมืองของไทยก็กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่จะชี้ชะตาเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้เช่นกัน

ในด้านตลาดทุน ดร.ยอนุสรณ์ประเมินว่า สถานการณ์ที่ยังเปราะบางในหลายพื้นที่ของโลก รวมถึงความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า อาจผลักดันให้นักลงทุนและกองทุนกลับมาให้ความสนใจกับสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นมากขึ้น เงินสดและทองคำซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอาจถูกลดสัดส่วนลงในระยะสั้น เพราะตลาดเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ

แม้ราคาทองคำอาจเผชิญแรงกดดันให้ปรับตัวลงแรงในช่วงนี้ แต่ยังไม่ถึงขั้นเข้าสู่ขาลงเต็มตัว ตราบใดที่ความเชื่อมั่นต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลยังไม่ฟื้นกลับมาอย่างชัดเจน ท่ามกลางบรรยากาศโลกที่ยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนด้านการค้า

กล่าวได้ว่า ครึ่งปีหลังของ 2568 จะเป็นช่วงเวลาที่ “เปราะบาง” สำหรับเศรษฐกิจไทย และสิ่งที่จะเป็นตัวชี้ชะตาอย่างแท้จริงคือ ผลของการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ และเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ หากทั้งสองปัจจัยสามารถรักษาไว้ได้ โอกาสฟื้นตัวยังมี แต่หากพลาด ก็อาจทำให้เศรษฐกิจสะดุดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่มา - thansettakij

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us