News Update

L2D Page (61)

DHL จับมือ FIA เป็นพันธมิตรโลจิสติกส์ระดับโลก ยกระดับการขนส่งมอเตอร์สปอร์ตสู่มาตรฐานความยั่งยืน

กรุงเทพฯ – DHL ผู้นำด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ระดับโลก ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Fédération Internationale de l’Automobile (FIA) ซึ่งเป็นองค์กรกำกับดูแลการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตและสหพันธ์ยานยนต์ที่มีสมาชิกครอบคลุมกว่า 240 องค์กรใน 144 ประเทศทั่วโลก ความร่วมมือนี้จะทำให้ DHL กลายเป็นพันธมิตรโลจิสติกส์ระดับโลกอย่างเป็นทางการของ FIA โดยมีบทบาทครอบคลุมทั้งการขนส่ง การติดตั้ง และการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันชั้นนำระดับโลก อาทิ Formula 1, Formula 2 และ Formula 3

ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว DHL จะเป็นผู้รับผิดชอบการขนส่งและจัดการอุปกรณ์สำคัญของ FIA ตั้งแต่สำนักงานเคลื่อนที่ (mobile offices) โรงจอดรถ (garages) ระบบสัญญาณในสนาม (trackside signalling equipment) ไปจนถึงอุปกรณ์สนับสนุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการแข่งขัน ทั้งนี้ การดำเนินงานจะผสานแนวคิดด้านความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญ โดยในยุโรป DHL จะใช้รถบรรทุกที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงชีวภาพจากน้ำมันพืช (Hydrotreated Vegetable Oil – HVO) ทั้งหมด 7 คัน ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ

ความร่วมมือนี้ไม่เพียงช่วยเสริมประสิทธิภาพด้านการขนส่ง แต่ยังสะท้อนถึงความตั้งใจของทั้งสององค์กรในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมมอเตอร์สปอร์ตไปสู่การลดคาร์บอนและเพิ่มความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม DHL ในฐานะผู้นำด้านโลจิสติกส์สำหรับกีฬามอเตอร์สปอร์ต ยังคงรักษาสถานะพันธมิตรหลักของรายการแข่งขันระดับโลกอย่าง Formula 1, Formula E และ World Endurance Championship (WEC) ซึ่งมีตารางแข่งขันครอบคลุมหลายทวีปและต้องอาศัยระบบขนส่งที่ซับซ้อนและแม่นยำสูง

Paul Fowler หัวหน้าฝ่าย Global Motorsports Logistics ของ DHL กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า FIA เป็นเสาหลักของวงการมอเตอร์สปอร์ตมานานหลายทศวรรษ การได้รับแต่งตั้งเป็นพันธมิตรโลจิสติกส์ระดับโลกถือเป็นความเหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากทั้งสององค์กรมีค่านิยมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย คุณภาพ ความเร็ว และความแม่นยำ ที่สำคัญคือการยึดมั่นในเป้าหมายด้านความยั่งยืน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นผ่านการใช้เชื้อเพลิงทางเลือก การพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนรูปแบบใหม่เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน และการวางตารางแข่งขันตามภูมิภาคเพื่อลดการเดินทางข้ามทวีปโดยไม่จำเป็น

ด้าน Craig Edmondson ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของ FIA เปิดเผยว่า การจับมือกับ DHL ไม่เพียงแต่เป็นการเสริมความแข็งแกร่งในด้านการจัดการเบื้องหลังที่เป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขัน แต่ยังเป็นการยกระดับมาตรฐานความยั่งยืนในอุตสาหกรรมมอเตอร์สปอร์ตและยานยนต์ FIA ให้ความสำคัญกับการปลูกฝังแนวทางการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผนจัดการแข่งขัน การบริหารโลจิสติกส์ ไปจนถึงการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีค่านิยมสอดคล้องกัน เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ความร่วมมือระหว่าง DHL และ FIA จึงเป็นมากกว่าการสนับสนุนด้านการขนส่ง แต่มุ่งหมายที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวงการมอเตอร์สปอร์ตให้สอดรับกับแนวโน้มของโลกที่ต้องการความรวดเร็ว ความแม่นยำ และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน ความร่วมมือนี้คาดว่าจะช่วยเสริมความพร้อมของการแข่งขันระดับโลก ทั้งในด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และการลดผลกระทบต่อโลกใบนี้ในอนาคต

L2D Page (60)

โลจิสติกส์ไทยมาแรง คลังสินค้าผงาดสู่ศูนย์กลางโลก เชื่อม EEC ถึงเชียงแสน ปลดล็อกการค้าสู่จีน

กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลก ประเทศไทยกำลังก้าวสู่บทบาทใหม่ในฐานะศูนย์กลางคลังสินค้าและโลจิสติกส์ระดับโลก การย้ายฐานการผลิตและจัดจำหน่ายของนักลงทุนจากญี่ปุ่น จีน และยุโรป ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ตอบโจทย์ทั้งด้านทำเล โครงสร้างพื้นฐาน และมาตรฐานการให้บริการที่เทียบเท่าสากล การเติบโตของภาคโลจิสติกส์ไทยในครึ่งปีแรกของปีนี้สะท้อนศักยภาพอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์อย่างแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ที่เชื่อมโยงโดยตรงกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ผู้ประกอบการรายใหญ่เร่งลงทุนขยายพื้นที่รับความต้องการที่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง SCX Corporation บริษัทในเครือ SC Asset วางแผนลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาทในช่วงปี 2568–2572 และสามารถปล่อยเช่าพื้นที่คลังสินค้าได้แล้วกว่า 110,000 ตารางเมตรในครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้นถึง 260% จากปีก่อน โดยคาดว่าจะทะลุ 150,000 ตารางเมตรภายในสิ้นปีนี้ ความสำเร็จของโครงการ SCX Logistics Bangna Km.23 ที่ถูกเช่าเต็ม 100% ตั้งแต่เปิดตัว สะท้อนจุดแข็งในการดึงดูดลูกค้าหลากหลายสัญชาติและธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน โลจิสติกส์ การผลิต หรือดาต้าเซ็นเตอร์

ในเวลาเดียวกัน บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจคลังสินค้ามากว่า 60 ปี ได้เปิดตัว “พูลพิพัฒน์ สาขาแหลมฉบัง 1 (LCB1)” บนพื้นที่กว่า 34,200 ตารางเมตร ใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง ออกแบบตามมาตรฐานสากล พร้อมแนวคิด Green Warehouse เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนและ ESG รวมถึงแผนขยายอีกสองแห่ง รวมพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร ขณะที่ SINO Logistics Corporation เร่งเพิ่มพื้นที่คลังสินค้าปลอดอากรในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังเกือบ 6,000 ตารางเมตร เพื่อตอบรับความต้องการจากกลุ่มยานยนต์และโลจิสติกส์นำเข้า–ส่งออก ซึ่งเมื่อรวมกับพื้นที่เดิมจะทำให้มีคลังสินค้าปลอดอากรรวม 23,000 ตารางเมตรจากพื้นที่ทั้งหมด 33,000 ตารางเมตร

ปี 2568 คาดว่าจะมีพื้นที่คลังสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดรวมกว่า 150,000 ตารางเมตร โดยกว่า 72% อยู่ในพื้นที่ EEC จากแรงขับของอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุปโภคบริโภคที่หมุนเวียนรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภาคตะวันออก ภาคเหนือก็กำลังถูกยกระดับให้เป็นประตูการค้าสำคัญ ผ่านการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ของท่าเรือเชียงแสนและเชียงของ เพื่อเชื่อมโยงไทยเข้ากับจีนและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงอย่างไร้รอยต่อ

ข้อมูลระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการค้าชายแดนผ่านท่าเรือเชียงแสนอยู่ที่ 5,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5% จากปีก่อน ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 (CSP2) มีกำลังรองรับ 6 ล้านตันต่อปี มากกว่าท่าเรือเดิมถึง 10 เท่า แต่ยังใช้ศักยภาพไม่เต็มที่เพราะข้อจำกัดการเดินเรือในแม่น้ำโขง อย่างไรก็ดี การที่จีนอนุมัติให้ท่าเรือกวนเหล่ยในมณฑลยูนนานเป็นด่านนำเข้าผลไม้อย่างเป็นทางการเมื่อ 29 กรกฎาคม 2567 ถือเป็นการปลดล็อกสำคัญ ทำให้ผลไม้ไทยสามารถเดินทางตรงจากเชียงแสนสู่จีนโดยลดขั้นตอนทางพิธีการ คาดว่าปีนี้ปริมาณนำเข้าผลไม้ผ่านท่าเรือกวนเหล่ยจะสูงถึง 150,000 ตัน และแตะ 300,000 ตันในปี 2573 โดยทุเรียน มังคุด และลำไยครองสัดส่วนถึง 88% ของการส่งออกทั้งหมดจากภาคเหนือไปจีน

อำเภอเชียงของก็กำลังถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์หลายรูปแบบและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เชื่อมโยงการขนส่งทางถนน ทางน้ำ และในอนาคตคือทางรถไฟ การมาของรถไฟจีน–ลาวตั้งแต่ปลายปี 2564 เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส เพราะสามารถลดต้นทุนขนส่งได้ถึง 50% และย่นเวลาส่งผลไม้จากคุนหมิงสู่กรุงเทพฯ เหลือเพียง 55 ชั่วโมง ทำให้เส้นทางน้ำต้องปรับตัวไปเน้นสินค้าบางประเภทที่ได้เปรียบด้านต้นทุน

การเติบโตของธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์นี้ไม่เพียงสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ยังสร้างงานและรายได้ให้ประชาชน ส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ และช่วยลดต้นทุนสินค้าให้ผู้บริโภค ขณะเดียวกัน แนวโน้มการสร้างคลังสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและใช้พลังงานสะอาดก็สะท้อนถึงการพัฒนาที่คำนึงถึงสุขภาพและคุณภาพชีวิตในระยะยาว

ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่าการปลดล็อกศักยภาพเชียงแสนและเชียงของต้องเร่งเจรจากับจีนเพื่อยกเลิกข้อจำกัดสินค้าควบคุมอุณหภูมิ ปรับเวลาทำการด่านร่วมกับลาว และเร่งสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าที่เชียงของ รวมถึงโครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของให้แล้วเสร็จตามแผน ควบคู่กับความร่วมมือจัดการแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน Cold Chain เพื่อรองรับสินค้าเกษตร

ด้วยทิศทางนี้ ไทยกำลังเดินหน้าอย่างมั่นคงสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ครบวงจรของภูมิภาค พร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลกและใช้โอกาสที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนอย่างยั่งยืน

L2D Page (59)

CPF เดินหน้าเพิ่มลงทุนในสหรัฐฯ หลังภาษี 0% หนุนต้นทุนวัตถุดิบลด คว้าโอกาสจากคาร์บอนเครดิต หนุนส่งออกไก่แปรรูปแข่งตลาดโลก

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เปิดเผยในงานเสวนา “Trump’s Tariffs: ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยว่า การปรับเปลี่ยนนโยบายภาษีระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบต่อระบบเกษตรอุตสาหกรรมไทยทั้งในเชิงโอกาสและความท้าทาย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรที่ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า เช่น ข้าวโพด กากถั่วเหลือง และกากข้าวโพด (DDGS) ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารสัตว์ ส่งผลให้ต้นทุนของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

นายประสิทธิ์ระบุว่า การนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ประมาณ 3 ล้านตัน จะสามารถช่วยลดต้นทุนได้กิโลกรัมละ 1 บาท รวมแล้วประหยัดได้กว่า 6,000 ล้านบาท ส่วนการนำเข้ากากถั่วเหลืองกว่า 3,000 ตัน มีมูลค่าประมาณ 48,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ภายใต้ระบบโควตาของรัฐบาล จะมีการกำหนดให้นำเข้าสินค้าเหล่านี้ในสัดส่วน 1 ส่วน ต่อการจัดซื้อในประเทศ 3 ส่วน เพื่อไม่ให้กระทบต่อเกษตรกรในประเทศ

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ CPF มองว่าไทยจะได้ประโยชน์ในเชิงสิ่งแวดล้อม คือการสะสมคาร์บอนเครดิตจากการนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่มีการใช้การเผาป่าในการเพาะปลูก จึงช่วยลดปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์ ส่งผลดีต่อภาคการส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูป โดยเฉพาะเนื้อไก่แปรรูปที่ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 3 ของโลก ด้วยมูลค่าระหว่าง 100,000–150,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่างบราซิลยังคงเผชิญกับข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้โอกาสของผู้ประกอบการไทยในการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะตลาดยุโรปซึ่งให้ความสำคัญกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด

ในภาพรวม CPF เตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้าโลก โดยเน้นกลยุทธ์ “Local for Local” หรือการผลิตและจำหน่ายในประเทศปลายทางมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและภาษีระหว่างประเทศ พร้อมเดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีและ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตอาหาร เช่น การพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ การตรวจสภาพอากาศ และการวิเคราะห์ข้อมูลการเติบโตของสัตว์ปีก เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและลดต้นทุนอย่างยั่งยืน

ปัจจุบัน CPF มีการลงทุนโรงงานผลิตอาหารพร้อมรับประทานในสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแผนที่จะขยายการลงทุนเพิ่มเติม เพื่อรองรับกลยุทธ์การผลิตและจำหน่ายในประเทศสหรัฐฯ โดยตรง โดยอาศัยข้อได้เปรียบจากอัตราภาษี 0% ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนในการทำธุรกิจลดลงในระยะยาว พร้อมกันนี้ CPF ยังตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาแนวทางการนำเข้าวัตถุดิบสำคัญจากสหรัฐฯ เช่น กากถั่วเหลือง ที่ก่อนหน้านี้ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าจากบราซิลมากว่า 30 ปี ซึ่งการกระจายแหล่งนำเข้าจะช่วยเสริมความมั่นคงและเสถียรภาพของซัพพลายเชนในอนาคต

อย่างไรก็ตาม CPF ยังจับตาประเด็นการเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยประเมินว่าจะมีการนำเข้าประมาณ 10,000 ตัน หรือคิดเป็นราว 1% ของปริมาณการบริโภคหมูในประเทศ โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือการควบคุมเรื่อง “สารเร่งเนื้อแดง” ซึ่งเป็นสารที่ประเทศไทยไม่ได้อนุญาตให้ใช้มานานกว่า 30 ปี แต่ในสหรัฐฯ ยังอนุญาตภายใต้แนวทางของ Codex หากมีการเปิดให้นำเข้าหมูที่มีการใช้สารดังกล่าว อาจทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และเสี่ยงกระตุ้นให้เกษตรกรในประเทศหันไปใช้สารเร่งเนื้อแดงเพื่อแข่งขันด้านต้นทุน ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมหมูไทยในระยะยาว และกระทบต่อเสถียรภาพของระบบอาหารในประเทศ

นายประสิทธิ์เน้นย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระดับนโยบายการค้าโลกต้องใช้การปรับตัวอย่างรอบด้าน ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐควรร่วมกันวางแผนรองรับโอกาสและความเสี่ยง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้มั่นคงในระยะยาว

L2D Page (58)

CPF ห่วงผลกระทบนำเข้าหมูสหรัฐฯ สารเร่งเนื้อแดง-หมูเถื่อนอาจกระทบเกษตรกรรายย่อย ขณะต้นทุนปศุสัตว์มีแนวโน้มลดจากการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF แสดงความกังวลต่อแนวโน้มการเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐอเมริกา ภายในงานเสวนา “Trump’s Tariffs : ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” ซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้บริโภคจากการใช้สารเร่งเนื้อแดง ซึ่งในประเทศไทยห้ามใช้มาแล้วกว่า 30 ปี แต่ในสหรัฐฯ ยังคงอนุญาตให้ใช้สารดังกล่าวได้

แม้ว่ารัฐบาลอาจเปิดให้นำเข้าหมูจากสหรัฐฯ ได้เพียงไม่เกิน 1% ของปริมาณการบริโภคภายในประเทศ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของเนื้อหมูนำเข้า โดยเฉพาะการป้องกันการปนเปื้อนของสารเร่งเนื้อแดงที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ CPF ยังแสดงความห่วงใยว่า หากมีการเปิดนำเข้าจริง อาจนำไปสู่การระบาดของ “หมูเถื่อน” ในตลาดไทยอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นภัยต่ออุตสาหกรรมหมูทั้งระบบ โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมูรายย่อยที่มีสัดส่วนกว่า 95% ของทั้งประเทศ

ประเทศไทยมีผู้เลี้ยงหมูรายใหญ่ประมาณ 65% ส่วนที่เหลือคือเกษตรกรรายย่อยและกลุ่มวิสาหกิจขนาดเล็ก ซึ่งมีความเปราะบางต่อการแข่งขันด้านราคาและมาตรฐานจากต่างประเทศ เนื่องจากระบบปศุสัตว์ในไทยพึ่งพาวัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก ทำให้อุตสาหกรรมนี้มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหาร และไม่เคยมีประสบการณ์รับมือกับความเสี่ยงจากการนำเข้าที่อาจไม่ปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม CPF มองว่าการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในด้านอื่นยังมีแง่บวก โดยเฉพาะการนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลืองปลอดภาษีในช่วงนอกฤดูกาล ซึ่งไทยสามารถใช้โอกาสนี้ลดต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันไทยยังนำเข้ากากถั่วเหลืองจากบราซิลในอัตราภาษี 2% ดังนั้น การเปลี่ยนแหล่งนำเข้าไปยังสหรัฐฯ ที่ไม่เสียภาษี จะช่วยให้ต้นทุนวัตถุดิบลดลง ส่งผลให้ราคาหมูและไก่ในประเทศปรับตัวดีขึ้น และช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์แปรรูปในตลาดโลก

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีโอกาสได้รับประโยชน์ทางอ้อมในเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยการนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่มีการเผาป่าในการเพาะปลูก อาจช่วยให้ไทยสามารถสะสมคาร์บอนเครดิตได้มากขึ้น โดยเฉพาะภายใต้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของยุโรป ซึ่งกำลังเป็นประเด็นสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ

นายประสิทธิ์ย้ำว่า การเปิดเสรีทางการค้ากับสหรัฐฯ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการรักษาสมดุลระหว่างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในประเทศ และความมั่นคงของระบบอาหาร รวมถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคในระยะยาว

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us