News

ซาอุฯ ขยายเวลานำเข้าสัตว์ปีกจากไทยอีก 6 เดือน ก่อนบังคับใช้มาตรฐานใหม่ Saudi GAP มี.ค. 69

ซาอุดีอาระเบียตอบรับคำขอฝ่ายไทย ขยายเวลานำเข้าสินค้าสัตว์ปีกจากโรงงานที่ขึ้นทะเบียนเดิมออกไปอีก 6 เดือน ก่อนจะเริ่มบังคับใช้มาตรฐานใหม่ “Saudi GAP” อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2569 ถือเป็นโอกาสสำคัญให้ภาคธุรกิจสัตว์ปีกไทยปรับตัวเข้าสู่ระบบใหม่โดยไม่สะดุด

นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า มกอช. ได้มอบหมายให้นางสาวรวินันท์ ฉ่ำเฉลิม ผู้อำนวยการกองนโยบายมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร นำคณะเจ้าหน้าที่จาก มกอช. และกรมปศุสัตว์ เข้าหารือแบบทวิภาคีกับกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และเกษตรกรรมของซาอุดีอาระเบีย (MEWA) เพื่อเตรียมความพร้อมของไทยในการปฏิบัติตามมาตรฐาน Saudi GAP

ตามข้อกำหนดของซาอุดีอาระเบีย ฟาร์มสัตว์ปีกที่ต้องการส่งออกไปยังประเทศดังกล่าวจะต้องผ่านการขึ้นทะเบียนและได้รับการรับรองจากหน่วยงาน MEWA ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอให้กรมปศุสัตว์ของไทยเป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจประเมินและรับรองแทน เพื่ออำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน และลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการไทย โดยข้อเสนอนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของทางการซาอุฯ

ขณะเดียวกัน MEWA เตรียมเปิดระบบลงทะเบียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ “Naama” ภายในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อให้ฟาร์มสัตว์ปีกสามารถยื่นขอรับรอง Saudi GAP ได้โดยตรง

นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียยังตอบรับคำขอของฝ่ายไทยในการขยายระยะเวลาการผ่อนผันการใช้มาตรฐาน Saudi GAP สำหรับโรงงาน 11 แห่งที่เคยได้รับการขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยาของซาอุฯ (SFDA) โดยโรงงานเหล่านี้ยังสามารถส่งออกสินค้าจากฟาร์มที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ MEWA ได้ต่อไปจนถึงเดือนมีนาคม 2569 อย่างไรก็ตาม โรงงานทั้ง 11 แห่งต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนฟาร์มต้นทางให้เรียบร้อยก่อนครบกำหนด

นายชัยวัฒน์ระบุว่า การหารือครั้งนี้เป็นความคืบหน้าที่สำคัญในการรักษาตลาดส่งออกสัตว์ปีกของไทยในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยมีเวลาปรับตัวอย่างเหมาะสม ก่อนมาตรฐานใหม่จะมีผลบังคับใช้ โดยหากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับระบบการขึ้นทะเบียนฟาร์มเพิ่มเติม มกอช. จะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการรับทราบอย่างต่อเนื่อง

รฟท.-กทท. จับมือดันระบบราง เป้าหมาย 2 ล้านตู้/ปี ฟื้น ICD ลาดกระบัง เตรียมเสนอ ครม.เปิด PPP ใน 2 สัปดาห์

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถการขนส่งตู้สินค้าทางราง โดยมีนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีลงนาม พร้อมระบุว่า ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้ระบบรางกลายเป็นกลไกหลักของโลจิสติกส์ไทยในอนาคต

นางมนพรกล่าวว่า การขนส่งสินค้าทางรางมีต้นทุนด้านพลังงานต่ำ ปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าระบบขนส่งอื่น ทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมการขนส่งที่ยั่งยืน โดยการร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านอย่างจริงจัง

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. เปิดเผยว่า ปัจจุบันการขนส่งสินค้าทางรางของ กทท. อยู่ที่ราว 500,000 ทีอียูต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป้าหมายภายใน 10 ปีคือการเพิ่มเป็น 2 ล้านทีอียูต่อปี โดย กทท. จะสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การลงทุนกว่า 900 ล้านบาทในโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 สำหรับติดตั้งเครื่องจักรยกขนสินค้า (RMG) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนถ่ายตู้สินค้า

ด้านนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ รฟท. ย้ำว่าความร่วมมือครั้งนี้สอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านรางเพื่อเชื่อมโยงฐานการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร โดย รฟท. มีแผนเพิ่มแคร่รถไฟจาก 32 แคร่เป็น 35 แคร่ คาดว่าจะเพิ่มขีดความสามารถขนส่งได้อีก 50,000-60,000 ทีอียูต่อปี และเพิ่มจำนวนขบวนรถไฟจากปัจจุบัน 24 ขบวน เป็น 26–28–30 ขบวนตามลำดับ พร้อมเดินหน้าโครงการจัดซื้อแคร่ขนส่งสินค้าอีก 946 แคร่ ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบ

ขณะเดียวกัน รฟท. ยังเดินหน้าฟื้นโครงการเปิดให้เอกชนร่วมทุนในสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ลาดกระบัง โดยได้ส่งเรื่องไปยังกระทรวงคมนาคม และคาดว่าจะเสนอสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ภายใน 1–2 สัปดาห์ ก่อนเสนอ ครม. พิจารณา ซึ่งในสัญญาใหม่ รฟท. ได้ปรับเกณฑ์ให้เอกชนต้องดำเนินการขนส่งสินค้าทางรางในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 50% ของปริมาณขนส่งทั้งหมดภายใน 1 ปี เพิ่มขึ้นจากสัญญาเดิมที่กำหนดไว้ที่ 40%

ทั้งหมดนี้คือการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เปลี่ยนผ่านระบบขนส่งไทยไปสู่ระบบรางที่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศในการยกระดับโครงสร้างโลจิสติกส์ให้แข่งขันได้ในเวทีโลก

สหรัฐฯ เก็บภาษีทองแดง 50% ทรัมป์ลุยปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ กระทบการค้าโลก

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในอัตรา 50% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยคำสั่งดังกล่าวครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ทองแดงกึ่งสำเร็จรูปและสินค้าทองแดงแปรรูปจำนวนมาก เช่น ท่อทองแดง สายไฟ ขั้วต่อ สายเคเบิล แท่งทองแดง และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ทองแดงเป็นส่วนประกอบสำคัญ โดยอ้างเหตุผลด้าน “ความมั่นคงของชาติ” เป็นหลักในการดำเนินมาตรการดังกล่าว

แหล่งข่าวจากทำเนียบขาวเปิดเผยว่า คำสั่งนี้มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศจากการพึ่งพาทองแดงนำเข้าซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2534 สหรัฐฯ มีการนำเข้าทองแดงน้อยมาก แต่ในปี 2567 ตัวเลขการใช้ทองแดงนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็นถึง 45% ของการบริโภคภายในประเทศ สะท้อนถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานโลหะสำคัญที่สหรัฐฯ เคยครอบครองความสามารถในการผลิตอย่างมั่นคง

การใช้ทองแดงภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตามความต้องการในภาคอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยเฉพาะในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ รวมถึงฮาร์ดแวร์ทางทหารขั้นสูง ซึ่งต่างก็ต้องใช้ทองแดงในปริมาณมาก การที่สหรัฐฯ ขาดแคลนกำลังการผลิตและต้องพึ่งพาทองแดงจากต่างประเทศจึงถูกมองว่าเป็นช่องโหว่ที่อาจกระทบต่อศักยภาพของประเทศทั้งในด้านความมั่นคง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถทางเทคโนโลยีในระยะยาว

เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณล่วงหน้าเกี่ยวกับแนวคิดที่จะเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในอัตราสูงถึง 50% แต่ในขณะนั้นยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด จนกระทั่งคำสั่งอย่างเป็นทางการได้รับการลงนามในช่วงปลายเดือน โดยมีพื้นฐานจากผลการสอบสวนและข้อเสนอแนะที่ส่งมาจากกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีโฮเวิร์ด ลุตนิก ซึ่งทรัมป์ได้มอบหมายให้ดำเนินการตรวจสอบความจำเป็นในการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว

ภายใต้คำสั่งใหม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังได้รับอำนาจพิเศษในการกำหนดมาตรการควบคุมเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศ หนึ่งในมาตรการที่ถูกกำหนดไว้คือ การบังคับให้เศษทองแดงคุณภาพสูงที่ผลิตได้ภายในประเทศในสัดส่วนอย่างน้อย 25% ต้องถูกจัดสรรให้ขายภายในประเทศก่อน เพื่อเพิ่มปริมาณวัตถุดิบภายในและลดการพึ่งพานำเข้าจากต่างชาติ

แหล่งข่าวระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐฯ ย้ำว่า มาตรการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องตลาดจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม หากยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตในด้านความมั่นคง เทคโนโลยี และพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่การแย่งชิงทรัพยากรและวัตถุดิบสำคัญทั่วโลกกำลังทวีความรุนแรง

นักวิเคราะห์มองว่าการเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในระดับสูงเช่นนี้จะกระทบต่อประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ ซึ่งมีทั้งประเทศในละตินอเมริกาและเอเชียที่เป็นผู้ส่งออกทองแดงรายใหญ่ ทั้งยังอาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในบางอุตสาหกรรมภายในประเทศระยะสั้น แต่รัฐบาลสหรัฐฯ เชื่อว่า ความได้เปรียบในระยะยาวของการฟื้นฟูฐานการผลิตและห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ จะชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจในเบื้องต้น

มาตรการภาษีล่าสุดของทรัมป์จึงสะท้อนภาพรวมของแนวนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ที่เขาเคยยึดถือมาตั้งแต่การดำรงตำแหน่งในสมัยแรก และยังเป็นสัญญาณว่าหากเขาได้รับเลือกเป็นผู้นำอีกครั้งในปลายปีนี้ แนวทางเศรษฐกิจแบบชาตินิยมและการปกป้องอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศจะถูกผลักดันอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้นในระยะต่อไป

คมนาคมเผยน้ำท่วมกระทบถนน 184 แห่งใน 22 จังหวัด รถผ่านไม่ได้ 17 จุด เร่งซ่อมแซมทันทีเมื่อระดับน้ำลด” เนื้อหาเรียบเรียงใหม่

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 กระทรวงคมนาคมรายงานสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นบนโครงข่ายถนนทั่วประเทศ โดยระบุว่าในช่วงวันที่ 1–30 กรกฎาคม มีถนนในความรับผิดชอบของทั้งกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมรวมทั้งสิ้น 184 แห่ง ใน 22 จังหวัด โดยในจำนวนนี้มี 17 แห่งที่ระดับน้ำสูงจนไม่สามารถให้รถผ่านได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งวางแผนเข้าซ่อมแซมฟื้นฟูถนนทันทีเมื่อระดับน้ำเริ่มลดลง

ตามรายงานสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา ณ เวลา 06.00 น. ของวันเดียวกัน ระบุว่าประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ เช่น เชียงราย พะเยา น่าน ตาก อุตรดิตถ์ และพิษณุโลก ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก 10 จังหวัด รวมถึงบางส่วนของภาคกลางและภาคตะวันออก เช่น กาญจนบุรี ราชบุรี นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด ส่งผลกระทบต่อถนนสายหลักและสายรองอย่างต่อเนื่อง

สำหรับถนนในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง มีจำนวนที่ได้รับผลกระทบสะสม 147 แห่ง และในจำนวนนั้น มี 7 แห่งที่ระดับน้ำยังคงสูงเกินกว่ารถจะสัญจรผ่านได้ ซึ่งกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย น่าน แพร่ และสุโขทัย เช่น ถนนทางหลวงหมายเลข 1098, 1155 และ 101 ซึ่งน้ำท่วมขังในหลายช่วงทาง ทำให้ต้องปิดการจราจรเพื่อความปลอดภัย

ขณะที่ถนนในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท มีจำนวนจุดที่ได้รับผลกระทบรวม 37 แห่ง โดย 10 แห่งไม่สามารถสัญจรได้ พบมากในจังหวัดน่านและแพร่ ซึ่งถนนสายรองหลายสายถูกน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเขตอำเภอเมืองและพื้นที่ห่างไกล กระทบต่อการเดินทางและการเข้าถึงของหน่วยช่วยเหลือ

กระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้ทั้งกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทระดมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ ติดตั้งป้ายเตือน เครื่องหมายจราจร กรวย และกระสอบทรายเพื่ออำนวยความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ พร้อมเร่งซ่อมแซมพื้นผิวถนนที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม

นอกจากนี้ หน่วยงานในพื้นที่ยังได้ปักเสาแสดงแนวเขตถนนในบริเวณที่น้ำท่วมสูง รวมถึงติดตั้งป้ายแจ้งเตือนระดับน้ำ เพื่อให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัญจรในเส้นทางที่มีความเสี่ยง พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมฟื้นฟูโครงข่ายคมนาคมโดยเร็วเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us