News

L2D-Page-70

“พิพัฒน์”ผลักดันร่วมมือคมนาคม”ไทย-รัสเซีย”เล็งเปิดเส้นทางบินตรง กระตุ้นท่องเที่ยว

ไทย–รัสเซียกระชับสัมพันธ์คมนาคม เดินหน้าความร่วมมือด้านระบบราง–เปิดเส้นทางบินตรง สร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้การต้อนรับนายเยฟเกนี โทมิคิน (H.E. Mr. Evgeny Tomikhin) เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย และคณะ ในโอกาสเข้าพบเพื่อแสดงความยินดีในการเข้ารับตำแหน่งใหม่ พร้อมหารือแนวทางส่งเสริมความร่วมมือด้านคมนาคมขนส่งระหว่างสองประเทศ โดยมีนายปัญญา ชูพานิช รองปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้แทนกองต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมการหารือ

นายพิพัฒน์กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งอย่างครบวงจร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดต้นทุนการเดินทางและขนส่ง รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยยึดแนวทางการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน ไทยและสหพันธรัฐรัสเซียมีความสัมพันธ์ทางการทูตอันยาวนานกว่า 128 ปี และได้พัฒนาความร่วมมือในหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม การศึกษา และการท่องเที่ยว ซึ่งสะท้อนถึงมิตรภาพและความไว้วางใจระหว่างกัน

ในด้านคมนาคมขนส่ง ทั้งสองประเทศได้ร่วมกันขับเคลื่อนความร่วมมือผ่านบันทึกแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงคมนาคมของไทยและรัสเซีย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบราง การขนส่งทางทะเลและทางอากาศ รวมถึงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การฝึกอบรมวิชาชีพ และการประสานความร่วมมือในเวทีพหุภาคี เช่น ESCAP, APEC และอาเซียน โดยกระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการพิจารณาเดินทางไปร่วมพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ณ สหพันธรัฐรัสเซียในโอกาสอันเหมาะสม

นายเยฟเกนี โทมิคิน เอกอัครราชทูตรัสเซียฯ กล่าวว่า รัสเซียให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความร่วมมือด้านคมนาคมกับไทยมาโดยตลอด และต้องการผลักดันให้เกิดความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเสนอแนวคิดจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างสองประเทศ เพื่อขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเสนอให้ไทยพิจารณาเปิดเส้นทางบินตรงสู่รัสเซียอีกครั้ง เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทางและกระตุ้นการท่องเที่ยว หลังจากที่เส้นทางดังกล่าวถูกระงับไปในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ รัสเซียยังแสดงความสนใจที่จะหารือกับการรถไฟแห่งประเทศไทยในเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางและการซ่อมบำรุง โดยเชื่อมั่นว่ารัสเซียมีศักยภาพและประสบการณ์เพียงพอในการสนับสนุนการพัฒนาระบบรางของไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นายพิพัฒน์กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยมีนโยบายเปิดกว้างต่อการรับเทคโนโลยีจากทุกประเทศ และพร้อมร่วมมือกับทุกภาคีอย่างเท่าเทียมกัน แต่เนื่องจากระบบรางของไทยมีความกว้างเพียง 1 เมตร จึงขอให้ฝ่ายรัสเซียพิจารณาปรับเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับมาตรฐานของไทย นอกจากนี้ ไทยยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีด้านการซ่อมบำรุงระบบราง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมให้มีความยั่งยืนในระยะยาว

การพบปะหารือในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของความสัมพันธ์ไทย–รัสเซียในการยกระดับความร่วมมือด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น นายพิพัฒน์กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในวันนี้จะนำไปสู่ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม สร้างการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต.

L2D Page (69)

คมนาคม เตรียมพร้อมความปลอดภัยการบินช่วงลอยกระทง จัดโซน-เวลาปล่อยโคม

คมนาคม–บวท. เข้มมาตรการความปลอดภัยทางการบินช่วงลอยกระทงภาคเหนือ เน้นความร่วมมือควบคู่สืบสานประเพณียี่เป็ง

วันนี้ (4 พฤศจิกายน 2568) นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เทศกาลลอยกระทงปีนี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของหลายจังหวัดในภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน และพะเยา ที่จัดงานประเพณียี่เป็งและกิจกรรมลอยกระทง เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทยและส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยในปี 2568 มีการปรับรูปแบบการจัดงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์และเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก

จากรายงานของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) พบว่า ในช่วงเทศกาลลอยกระทงระหว่างวันที่ 5–6 พฤศจิกายน 2568 สนามบินเชียงใหม่จะมีเที่ยวบินรวม 363 เที่ยวบิน โดยมีการปรับเปลี่ยนตารางบิน 96 เที่ยวบิน และเพิ่มเที่ยวบินพิเศษอีกกว่า 44 เที่ยวบิน ขณะที่สนามบินเชียงรายมีเที่ยวบินรวม 72 เที่ยวบิน และมีการปรับเปลี่ยนตารางบิน 30 เที่ยวบิน ทั้งนี้ บวท. ได้จัดทำมาตรการรองรับการจราจรทางอากาศร่วมกับสนามบินในพื้นที่อย่างเข้มงวด พร้อมประสานงานกับสายการบินล่วงหน้า เพื่อปรับเวลาการบินให้สอดคล้องกับช่วงเวลาการจัดกิจกรรมลอยกระทงของแต่ละจังหวัด

นางสาวมัลลิกา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงคมนาคมขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ให้ปฏิบัติตามประกาศของจังหวัดเกี่ยวกับช่วงเวลาการปล่อยโคมลอย โคมไฟ และโคมควันอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันอันตรายต่อการบินและรักษาความปลอดภัยสูงสุดของเที่ยวบินในช่วงเทศกาล

ด้านนายสุรชัย หนูพรหม รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บวท. เปิดเผยว่า บวท. ได้จัดทำแผนบริหารจัดการจราจรทางอากาศอย่างรอบคอบ โดยกำหนดเขตห้ามปล่อยโคมลอยโดยเด็ดขาด และจัดพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษ รวมถึงกำหนดพื้นที่ปลอดภัยบริเวณแนวขึ้น–ลงของอากาศยาน เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนจากกิจกรรมจุดและปล่อยโคม นอกจากนี้ยังได้วางแผนกำหนดทิศทางการบินเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง พร้อมปรับเวลาทำการบินให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่มีกิจกรรมปล่อยโคม รวมทั้งเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น

สำหรับจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน ได้อนุญาตให้จุดและปล่อยโคมลอยและโคมไฟระหว่างเวลา 19.00–01.00 น. ของวันที่ 5–6 พฤศจิกายน ส่วนโคมควันอนุญาตให้ปล่อยได้เฉพาะวันที่ 5 พฤศจิกายน ระหว่างเวลา 10.00–12.00 น. ขณะที่จังหวัดเชียงรายและลำปางกำหนดช่วงเวลาอนุญาตในลักษณะเดียวกัน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการด้านความปลอดภัยทางการบิน

บวท. ย้ำว่ามาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อให้การบริหารจัดการเที่ยวบินในช่วงเทศกาลลอยกระทงดำเนินไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมบูรณาการความร่วมมือกับสายการบิน หน่วยงานท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศที่เพิ่มกำลังดูแลเป็นพิเศษ เพื่อรองรับปริมาณเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาล ทั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือสำคัญในการรักษาสมดุลระหว่างการสืบสานประเพณียี่เป็งอันงดงามของไทยกับการรักษาความปลอดภัยในการเดินอากาศอย่างยั่งยืน.

L2D Page (68)

พณ.คาดส่งออกปี 69 ผลกระทบทรัมป์หนัก

พาณิชย์คาดส่งออกไทยปี 2569 ได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ แต่ยังมีโอกาสเติบโตบางกลุ่มสินค้า

นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการประเมินเบื้องต้น การส่งออกสินค้าของไทยในปี 2569 อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา ภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงการจัดเก็บภาษีตอบโต้สินค้าจากไทยในอัตรา 19% ตลอดทั้งปี แม้แรงกดดันดังกล่าวอาจทำให้การส่งออกชะลอตัวลงจากปี 2568 แต่กระทรวงพาณิชย์เชื่อว่าการส่งออกไทยจะไม่ตกต่ำอย่างรุนแรงอย่างที่หลายฝ่ายกังวล และยังมีแนวโน้มเติบโตในบางอุตสาหกรรม

หนึ่งในกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งคือ อาหารสำเร็จรูป ซึ่งผู้ประกอบการระบุว่าสินค้าของไทยยังสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในตลาดสหรัฐฯ ได้ดี โดยเฉพาะในด้านคุณภาพและความแข็งแกร่งของแบรนด์ อาหารกระป๋อง อาหารพร้อมรับประทาน ขนมขบเคี้ยว และซอสปรุงรสจากไทย ยังคงเป็นที่ต้องการสูงในหลายประเทศ รวมถึงตลาดสหรัฐฯ ที่ถือเป็นตลาดมาร์จิ้นสูงสุด แม้อัตราภาษีจะเพิ่มขึ้น แต่ผู้ประกอบการไทยยังเชื่อมั่นว่าสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ เนื่องจากจีน ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญ อาจถูกจัดเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราที่สูงกว่าไทย

ในทำนองเดียวกัน กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับของไทยก็ยังมีศักยภาพในการแข่งขันกับอินเดียในตลาดสหรัฐฯ เพราะอินเดียเองก็เผชิญการจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าเช่นกัน ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้สินค้าของไทยบางประเภทสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้ แม้อยู่ท่ามกลางสภาวะการค้าระหว่างประเทศที่ตึงตัว

ข้อมูลการวิเคราะห์เบื้องต้นของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า สินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ 20 อันดับแรก มีถึง 18 รายการที่จีนเป็นคู่แข่งหลัก การที่จีนถูกเก็บภาษีสูงกว่ามาก จะเปิดโอกาสให้สินค้าจากไทยเข้าไปทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ ได้ในบางหมวดหมู่ ถือเป็นจุดแข็งที่ไทยสามารถใช้ประโยชน์ได้ในระยะสั้นถึงกลาง

ขณะเดียวกัน “ทีมไทยแลนด์” ซึ่งเป็นคณะเจรจาของไทย ได้เดินหน้าหารือกับสหรัฐฯ เพื่อจัดทำข้อตกลงทางการค้า โดยเน้นเจรจาในประเด็นทางเทคนิคสำคัญ เช่น การเปิดตลาด การลดและยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่มาตรการทางภาษี มาตรฐานสินค้า มาตรฐานสุขอนามัย และการค้าบริการ โดยตั้งเป้าหมายปิดการเจรจาให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อสร้างความชัดเจนทางการค้าสำหรับผู้ประกอบการไทย

ส่วนในประเด็น “กฎถิ่นกำเนิดสินค้า” ซึ่งจะกำหนดว่าสินค้าที่ส่งออกจากไทยจะต้องมีสัดส่วนวัตถุดิบหรือส่วนประกอบจากประเทศใดบ้างจึงจะได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตรา 19% นั้น คาดว่าสหรัฐฯ จะไม่เจรจาแบบทวิภาคีกับแต่ละประเทศ แต่จะกำหนดเป็นมาตรฐานเดียวกันให้ทุกประเทศต้องปฏิบัติตาม เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและลดความซับซ้อนของกฎเกณฑ์ทางภาษี

แม้จะต้องเผชิญแรงกดดันจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ แต่กระทรวงพาณิชย์ยังคงมองว่าการส่งออกของไทยในปี 2569 จะสามารถประคองตัวได้ โดยมีบางอุตสาหกรรมที่ยังมีโอกาสขยายตัว โดยเฉพาะสินค้าที่มีความได้เปรียบเชิงคุณภาพและมาตรฐานการผลิต ซึ่งเป็นจุดแข็งสำคัญของสินค้าไทยในตลาดโลก.

L2D Page (67)

"อ่าวเป่ยปู้" ท่าเรืออัจฉริยะศูนย์กลางโลจิสติกส์การค้าทางบก-ทะเล เชื่อมจีนกับอาเซียน

“อ่าวเป่ยปู้” ท่าเรืออัจฉริยะศูนย์กลางโลจิสติกส์การค้าทางบก–ทะเล เชื่อมจีนกับอาเซียน

เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทางตอนใต้ของประเทศจีน กำลังกลายเป็นประตูการค้าสำคัญของภูมิภาคอาเซียน ผ่าน “ท่าเรืออ่าวเป่ยปู้” (Beibu Gulf Port) หรือที่รู้จักในชื่อ “อ่าวตังเกี๋ย” ท่าเรือแห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเส้นทางการค้าทางบกและทางทะเลระหว่างจีนกับประเทศอาเซียน โดยมีบทบาทสำคัญในการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนและผลักดันเศรษฐกิจในภูมิภาคตะวันตกของจีนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มท่าเรืออ่าวเป่ยปู้ประกอบด้วยท่าเรือชินโจว (Qinzhou Port) ท่าเรือเป๋ยไห่ (Beihai Port) และท่าเรือฝางเฉิงก่าง (Fangchenggang Port) โดยท่าเรือชินโจวเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะของจีน ด้วยงบลงทุนกว่า 7.1 พันล้านหยวน เพื่อยกระดับเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ให้ทัดเทียมนานาชาติ นับตั้งแต่ปี 2017 ที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเน้นย้ำให้พัฒนาท่าเรือแห่งนี้ให้มีความเป็น “first class” ใน 4 ด้าน คือ โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี การบริหารจัดการ และการบริการ

ท่าเรือชินโจวถือเป็นท่าเทียบเรือตู้คอนเทนเนอร์อัตโนมัติเต็มรูปแบบแห่งแรกของจีน และเป็นต้นแบบของระบบขนส่ง “Sea-Rail Joint Transport” ที่สามารถถ่ายโอนสินค้าระหว่างเรือและรถไฟได้โดยตรงในเวลาไม่กี่นาที ลดขั้นตอนและเวลาในการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่าเรือแห่งนี้ยังคงมีพื้นที่ปฏิบัติการแบบดั้งเดิมบางส่วนที่ใช้แรงงานคนในการควบคุมเครนและขับรถบรรทุกเพื่อขนถ่ายสินค้า

นวัตกรรมสำคัญที่ทำให้ท่าเรืออ่าวเป่ยปู้โดดเด่น คือการใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยี AI ในทุกกระบวนการ โดยเฉพาะการนำรูปแบบการทำงาน “U-shaped Process” มาใช้เป็นแห่งแรกของโลก ซึ่งช่วยให้การเคลื่อนย้ายตู้คอนเทนเนอร์เป็นวงจรปิดที่สั้นลง เพิ่มความคล่องตัวและลดการใช้พลังงานลงอย่างมาก ผลลัพธ์คือการลดการใช้แรงงานคนเหลือเพียง 10% ของเดิม พร้อมยกระดับความปลอดภัยในการทำงานและเพิ่มโอกาสจ้างงานให้กับแรงงานหญิงมากขึ้น

ระบบเครนอัตโนมัติของท่าเรือสามารถระบุประเภทสินค้าได้จากหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์ ขณะที่พื้นที่ยกและลำเลียงติดตั้งกล้อง AI เพื่อจับตาความเคลื่อนไหวและตรวจจับสิ่งแปลกปลอม เช่น รถหรือคน ที่อาจเข้ามาขัดขวางการทำงานของระบบอัตโนมัติ นับเป็นการยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพการทำงานของท่าเรือสู่ระดับโลก

ท่าเรือชินโจวถูกออกแบบให้รองรับตู้คอนเทนเนอร์ได้สูงสุดถึง 2.6 ล้านตู้มาตรฐานต่อปี และเป็นจุดยุทธศาสตร์หลักในโครงการ “เส้นทางใหม่เชื่อมทางบกและทางทะเลด้านตะวันตก” ของจีน ที่มุ่งสร้างการเชื่อมโยงกับประเทศในอาเซียนอย่างครอบคลุม ปัจจุบันรัฐบาลจีนยังเดินหน้าก่อสร้างท่าเรือแม่น้ำเพื่อเชื่อมต่อกับคลองขนส่งผิงลู่ (Pinglu Canal) ซึ่งจะรองรับเรือขนาด 5,000 ตัน เพิ่มศักยภาพในการขนส่งภายในประเทศและขยายสู่ภูมิภาค

ในปี 2024 ท่าเรืออ่าวเป่ยปู้มียอดขนส่งสินค้ารวม 449 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.8% จากปีก่อนหน้า และมีปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์รวม 9.015 ล้านตู้มาตรฐาน (TEUs) เติบโต 12.4% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยเฉพาะท่าเรือชินโจวมีสัดส่วนการขนส่งถึง 327 ล้านตัน หรือคิดเป็น 73% ของปริมาณทั้งหมด ส่งผลให้กลุ่มท่าเรืออ่าวเป่ยปู้ติดอันดับท็อป 10 ของท่าเรือชายฝั่งทั่วประเทศจีน

นอกจากนี้ ยังมีขบวนรถไฟในโครงการเชื่อมทางบก–ทางทะเลตะวันตกเดินรถรวม 10,018 ขบวน เพิ่มขึ้น 4.6% จากปีก่อนหน้า ขณะที่เครือข่ายเส้นทางขนส่งสินค้าทั้งภายในและระหว่างประเทศของท่าเรืออ่าวเป่ยปู้มีมากถึง 91 เส้นทาง แบ่งเป็นเส้นทางในประเทศ 35 เส้นทาง และต่างประเทศ 56 เส้นทาง ครอบคลุมกว่า 70 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่เชื่อมต่อโดยตรงกับท่าเรือแหลมฉบัง

ท่าเรืออ่าวเป่ยปู้จึงไม่เพียงเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญของจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมเศรษฐกิจระหว่างจีนกับอาเซียน ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและการพัฒนาที่ยั่งยืนในยุคการค้าระดับโลกใหม่อย่างแท้จริง.

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us