News

news-20250425-01

คมนาคมเร่งยกระดับสนามบินสุราษฎร์ธานี ย้ำมาตรฐานความปลอดภัย-บริการ พร้อมรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพัฒนาท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานีว่า ขณะนี้งานก่อสร้างเพื่อเสริมความแข็งแรงของทางวิ่ง (รันเวย์) และทางขับขนาน พร้อมระบบไฟฟ้าภายในสนามบิน มีความคืบหน้าแล้วกว่า 90.5% จากวงเงินงบประมาณ 799 ล้านบาท ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับอากาศยานขนาดใหญ่ได้อย่างปลอดภัย และเพิ่มศักยภาพในการรองรับเที่ยวบิน จากเดิมที่รองรับได้ 9 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เป็น 18 เที่ยวบินต่อชั่วโมง พร้อมทั้งขยายขีดความสามารถในการให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศ

เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยกระดับด้านความปลอดภัยของสนามบิน นางมนพรได้สั่งการให้กรมท่าอากาศยาน (ทย.) เร่งเดินหน้าโครงการเพิ่มประสิทธิภาพสนามบินสุราษฎร์ธานีในปีงบประมาณ 2568 โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบรักษาความปลอดภัย และครุภัณฑ์ที่ทันสมัย อาทิ รถดับเพลิง เครื่องสแกนอาวุธ X-ray ระบบตรวจวัตถุระเบิด กล้อง Panorama ตรวจการณ์พื้นที่การบิน และระบบควบคุมภายในอาคารผู้โดยสาร เพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับผู้โดยสาร เจ้าหน้าที่ และทรัพย์สิน พร้อมยกระดับมาตรฐานให้สอดคล้องกับข้อกำหนดขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)

ในด้านการบริการ นางมนพรได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดสรรพื้นที่ให้บริการให้เกิดความคล่องตัว ลดความแออัด โดยเฉพาะบริเวณจุดเช็กอินและระบบลำเลียงกระเป๋า พร้อมดูแลความสะอาดของพื้นที่ภายในอาคารผู้โดยสารอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังได้สั่งการให้จัดระเบียบบริการขนส่งสาธารณะภายในสนามบินให้มีความเพียงพอและสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสาร พร้อมทั้งผลักดันแนวคิด “สนามบินมีชีวิต” เพื่อสร้างบรรยากาศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

ปัจจุบัน อาคารผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานีสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 1,400 คนต่อชั่วโมง หรือประมาณ 4 ล้านคนต่อปี มีลานจอดรถยนต์รองรับได้ 210 คัน และมีหลุมจอดอากาศยาน 11 หลุม สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ประเภท A330 และ B777 ได้พร้อมกันสูงสุด 10 ลำ หรือเครื่องบินขนาดกลางอย่าง A320 และ B737 ได้ถึง 19 ลำในเวลาเดียวกัน ขณะที่ทางวิ่งมีความยาว 3,000 เมตร กว้าง 45 เมตร รองรับเที่ยวบินได้ 9 เที่ยวต่อชั่วโมง

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดให้บริการศูนย์ขนส่งผู้โดยสารภายในสนามบิน เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทางเชื่อมต่อไปยังแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัด และในอนาคตจะมีการปรับปรุงตกแต่งภายในอาคารผู้โดยสารเพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยอยู่ระหว่างการขอรับการจัดสรรงบประมาณในปี 2569

ที่มา - infoquest

news-20250424-02

ครม. อนุมัติแผนกู้เงิน 15,650 ล้านบาท เดินหน้า “รันเวย์ 2 อู่ตะเภา” และมอเตอร์เวย์เชื่อมสนามบิน หนุนโครงสร้างพื้นฐาน EEC

รัฐบาลเดินหน้าเสริมศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานเขตเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินรวมกว่า 15,650 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ใน 2 โครงการใหญ่ ได้แก่ การก่อสร้างรันเวย์ที่ 2 สนามบินอู่ตะเภา และโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา

สำหรับโครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายดังกล่าว จะได้รับเงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) วงเงินประมาณ 2,440 ล้านบาท เพื่อเร่งเชื่อมการเดินทางเข้าสู่สนามบินนานาชาติอู่ตะเภาอย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการเป็นศูนย์กลางการเดินทางและขนส่งในอนาคตของภาคตะวันออก

ขณะเดียวกัน โครงการก่อสร้างรันเวย์และทางขับที่สองของสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญของเมืองการบินภาคตะวันออก ก็ได้รับการอนุมัติเงินกู้จากธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (AIIB) วงเงินประมาณ 13,210 ล้านบาท โดยครอบคลุมถึงการจัดทำสัญญาเงินกู้และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการกำหนดให้มีการระงับข้อพิพาทด้วยอนุญาโตตุลาการตามหลักสากล

อย่างไรก็ตาม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้แสดงความเห็นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กองทัพเรือ และ สกพอ. ร่วมกันพิจารณาการวางแผนการกู้เงินและเบิกจ่ายให้สอดคล้องกับแผนการเปิดใช้สนามบินอู่ตะเภาที่ล่าช้ากว่ากำหนดเดิม เพื่อป้องกันการใช้งบประมาณอย่างไร้ประสิทธิภาพ

ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การกู้เงินในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐนั้นมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้และต้นทุนในอนาคต จึงเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางการบริหารความเสี่ยงในส่วนนี้อย่างรอบคอบ

การเดินหน้ากู้เงินครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานหลักของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว และจะกลายเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับการขนส่งและโลจิสติกส์ของไทยให้เทียบเท่าสากลในอนาคต

ที่มา - prachachat

news-20250424-01

ท่าเรือบ่าเรีย-หวุงเต่า ครองแชมป์ขนส่งตู้คอนเทนเนอร์เวียดนาม โตแรงแซงทุกเมืองท่า

การขนส่งสินค้าทางเรือของเวียดนามในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขนส่งผ่านท่าเรือหลักของประเทศ เช่น นครโฮจิมินห์ เมืองบ่าเรีย-หวุงเต่า และไฮฟอง ซึ่งมีปริมาณสินค้าไหลเวียนรวมกันทะลุ 342 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024

ในจำนวนนี้ ปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์แตะระดับมากกว่า 10 ล้าน TEU ซึ่งเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกันที่ 6% ถือเป็นสัญญาณบวกสำหรับภาคโลจิสติกส์และการส่งออกของประเทศที่กำลังเติบโต

จังหวัดบ่าเรีย-หวุงเต่ากลายเป็นผู้นำของประเทศในด้านปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ ด้วยอัตราการเติบโตสูงถึง 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่นครโฮจิมินห์ตามมาเป็นอันดับสอง ด้วยอัตราเติบโต 10.58% และไฮฟอง อยู่ในอันดับสามที่ 7.64%

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของท่าเรือบ่าเรีย-หวุงเต่าชี้ให้เห็นถึงการพัฒนาเชิงกลยุทธ์ของโครงสร้างพื้นฐานด้านท่าเรือในพื้นที่ดังกล่าว ไม่เพียงแต่รองรับปริมาณสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดสินค้าส่งออกจากต่างประเทศเข้าสู่ระบบท่าเรือเวียดนามมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ที่มา - vietnam

news-20250423-02

รถไฟฟ้าสีชมพูส่วนขยาย “ศรีรัช–เมืองทองธานี” ใกล้พร้อมเปิดเดินรถ! คาดทดลองใช้ มิ.ย. นี้ ก่อนเก็บค่าโดยสารเต็มรูปแบบ ก.ค.

ความคืบหน้าของรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช–เมืองทองธานี ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร กำลังเดินหน้าเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายก่อนเปิดให้บริการประชาชน โดยกระทรวงคมนาคมได้รับรายงานล่าสุดว่า ขณะนี้บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (NBM) ผู้รับสัมปทานสายหลักช่วงแคราย–มีนบุรี ได้เริ่มทดสอบเดินรถในเส้นทางส่วนต่อขยายอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

การทดสอบเบื้องต้นเป็นลักษณะของการวิ่งขบวนรถเปล่า จากสถานีเมืองทองธานี (PK10) ผ่านสถานีอิมแพ็คเมืองทองธานี (MT01) ไปยังปลายทางที่สถานีทะเลสาบเมืองทองธานี (MT02) และวิ่งกลับโดยไม่มีผู้โดยสาร โดยมีการทดสอบระบบประกอบต่างๆ อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้า อาณัติสัญญาณ ระบบราง ตัวรถ และระบบควบคุมการเดินรถ โดยเริ่มจากความเร็วต่ำก่อนค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้นจนใกล้เคียงกับความเร็วใช้งานจริงของระบบโมโนเรล ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30-40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

หลังจากการทดสอบเบื้องต้นเป็นไปด้วยดี ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2568 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะร่วมกับวิศวกรที่ปรึกษาอิสระ (ICE) เข้าประเมินความพร้อมและตรวจสอบความปลอดภัยของระบบโดยรวม หากพบข้อบกพร่องจะมีการแก้ไขให้เสร็จสิ้นก่อนเข้าสู่ขั้นตอนถัดไป ซึ่งเมื่อผ่านการประเมินเรียบร้อยแล้ว จึงจะเข้าสู่การทดสอบเดินรถแบบมีผู้โดยสาร เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดให้บริการจริง

ตามแผนเดิม รถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายนี้จะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรีช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2568 เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ก่อนเริ่มเก็บค่าโดยสารตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคมเป็นต้นไป ในอัตราเริ่มต้นที่ 15-22 บาท และตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน รถไฟฟ้าสายนี้จะเข้าร่วมโครงการ “ค่าโดยสารไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย” ตามนโยบายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

เพื่อรองรับมาตรการดังกล่าว รัฐเตรียมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ภายในเดือนสิงหาคม โดยผู้ใช้จะต้องนำบัตร EMV เช่น บัตรเดบิตหรือเครดิตแบบไร้สัมผัส รวมถึงบัตรแรบบิทที่ใช้งานอยู่มาลงทะเบียน เพื่อให้ระบบสามารถตรวจสอบและคำนวณค่าโดยสาร พร้อมจ่ายชดเชยให้ผู้ประกอบการตามการเดินทางจริงที่เกิดขึ้น โดยระบบรถไฟฟ้าสีชมพูทั้งส่วนหลักและส่วนต่อขยายรองรับการใช้งานทั้งบัตร EMV และบัตรแรบบิทอย่างครบถ้วน

การขยายเส้นทางรถไฟฟ้าเข้าสู่เมืองทองธานีครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มความสะดวกในการเดินทางสู่พื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูงทางกิจกรรมและการจัดงาน เช่น อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งจะช่วยลดปริมาณรถยนต์บนท้องถนน และเสริมศักยภาพการเดินทางของประชาชนในย่านนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ที่มา - dailynews

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us