News

L2D Page (40)

ลาวเปิดเส้นทางนำเข้าเชื้อเพลิงใหม่ผ่านท่าเรืองเซิน เสริมความมั่นคงพลังงานและเศรษฐกิจภูมิภาค

บริษัทน้ำมันเชื้อเพลิงแห่งชาติลาวได้เปิดเส้นทางนำเข้าเชื้อเพลิงสายใหม่ผ่านท่าเรืองเซินของเวียดนาม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดหาเชื้อเพลิงและเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ เส้นทางใหม่นี้เชื่อมต่อจากท่าเรือในเขตเศรษฐกิจพิเศษจีเขิน จังหวัดทัญสว่า ของเวียดนาม มายังประเทศลาว โดยผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองระหว่างประเทศป่าดังในแขวงเชียงขวาง และด่านตรวจระหว่างประเทศน้ำโสยในแขวงหัวพันตอนเหนือ

เชื้อเพลิงที่นำเข้าผ่านเส้นทางดังกล่าวจะถูกจัดเก็บไว้ที่คลังน้ำทองในแขวงหัวพัน ซึ่งจะช่วยให้การจัดส่งเชื้อเพลิงไปยังพื้นที่ตอนเหนือของลาวมีความต่อเนื่องและมั่นคงมากขึ้น โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลลาวในการรับประกันการจัดหาเชื้อเพลิงให้เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมในภูมิภาค

นอกจากนี้ เส้นทางใหม่ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างลาวและเวียดนามให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมทั้งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศและภูมิภาคโดยรวม

ปัจจุบัน ลาวยังคงพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงจากไทย เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์เป็นหลัก โดยเส้นทางใหม่นี้จะช่วยกระจายแหล่งนำเข้าและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเส้นทางเดิมเพียงไม่กี่เส้นทาง

L2D Page (39)

กรมทางหลวงเตรียมเปิดทดลองใช้มอเตอร์เวย์ M81 “ครบ 8 ด่าน” ตลอดสาย ระหว่างวันที่ 10–14 ตุลาคมนี้ ฟรีค่าผ่านทาง

กรมทางหลวงประกาศความพร้อมเปิดทดลองให้บริการ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 (มอเตอร์เวย์ M81) สายบางใหญ่–กาญจนบุรี ตลอดเส้นทางระยะทางกว่า 96 กิโลเมตร โดยเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรีโดยไม่เก็บค่าผ่านทาง ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม 2568 เวลา 15.00 น. ไปจนถึงวันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2568 เวลา 09.00 น. เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนในช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันนวมินทรมหาราช

การเปิดทดลองใช้งานในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงคมนาคม ภายใต้การกำกับดูแลของ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งยกระดับโครงข่ายคมนาคมของประเทศให้มีความสะดวก ปลอดภัย และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน โดยมอเตอร์เวย์ M81 ถือเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญของภูมิภาคตะวันตก เชื่อมต่อพื้นที่เศรษฐกิจ ชุมชน และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัด นนทบุรี นครปฐม ราชบุรี และกาญจนบุรี อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งเส้นทางทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางสู่ภาคใต้ โดยช่วยบรรเทาการจราจรหนาแน่นบนถนนกาญจนาภิเษกและถนนเพชรเกษม ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในปัจจุบัน

โครงการมอเตอร์เวย์ M81 ยังนับเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะในด้านโลจิสติกส์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้า ลดระยะเวลาเดินทาง และส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของภาคธุรกิจในภูมิภาคตะวันตก รวมทั้งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการเชื่อมโยงพื้นที่อุตสาหกรรมและแหล่งท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน

สำหรับการเปิดทดลองให้บริการในครั้งนี้ กรมทางหลวงระบุว่า เนื่องจากมอเตอร์เวย์ M81 ยังอยู่ระหว่างการติดตั้งระบบควบคุมและอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงเปิดให้ทดลองใช้งานเฉพาะ รถยนต์ 4 ล้อ เท่านั้น โดยจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ทาง พร้อมขอความร่วมมือให้ผู้ขับขี่ศึกษาข้อมูลเส้นทาง ตรวจสอบสภาพรถให้พร้อมใช้งาน และปฏิบัติตามกฎจราจร ป้ายแนะนำ และคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด

การเปิดให้ทดลองใช้มอเตอร์เวย์ M81 ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของกรมทางหลวงในการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดใช้งานจริงในอนาคต โดยคาดว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในช่วงวันหยุดยาว เพิ่มทางเลือกในการเดินทางที่รวดเร็ว ปลอดภัย และมีมาตรฐานระดับสากล

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ M81 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน สายด่วนกรมทางหลวง โทร. 1586 หรือ มอเตอร์เวย์ Call Center โทร. 1586 กด 7 และ มอเตอร์เวย์ M81 Call Center โทร. 092-280-8181 รวมถึงติดตามข่าวสารและประกาศสำคัญต่างๆ ได้ที่เว็บไซต์ www.motorway.go.th

L2D Page (38)

เกาหลีใต้นำเข้าเมล็ดกาแฟพุ่ง 31% ใน 8 เดือนแรกปี 2568 คาดทั้งปีทำนิวไฮต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์

สำนักงานศุลกากรเกาหลีใต้ (Korea Customs Service: KCS) เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–สิงหาคม) ปริมาณการนำเข้าเมล็ดกาแฟของเกาหลีใต้ทั้งชนิดดิบและคั่วรวมอยู่ที่ 136,318 ตัน เพิ่มขึ้นราว 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แม้ปริมาณจะขยายตัวเพียงเล็กน้อย แต่ในด้านมูลค่ากลับพุ่งสูงถึง 1.17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นถึง 31% สะท้อนถึงการปรับตัวขึ้นของราคากาแฟในตลาดโลกและความต้องการบริโภคกาแฟระดับพรีเมียมที่เพิ่มขึ้นในประเทศ

ข้อมูลของ KCS ระบุว่า มูลค่าการนำเข้าในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 แทบจะเท่ากับตัวเลขนำเข้าตลอดทั้งปี 2567 แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 1.24 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 94% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งปีที่ผ่านมา หากแนวโน้มการเติบโตยังคงดำเนินต่อไปในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี คาดว่ามูลค่าการนำเข้ากาแฟของเกาหลีใต้ในปี 2568 จะทำ สถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-time high) ทะลุระดับ 1.3 พันล้านดอลลาร์ ที่เคยเกิดขึ้นในปี 2565

ในปี 2567 ที่ผ่านมา เกาหลีใต้นำเข้าเมล็ดกาแฟรวม 194,809 ตัน เพิ่มขึ้น 5.7% จากปีก่อนหน้า ขณะที่มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 1.24 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% จากปี 2566 โดยมีแหล่งนำเข้าหลักคือ บราซิล ซึ่งครองสัดส่วนสูงสุดประมาณ 30% ของปริมาณทั้งหมด ตามมาด้วย โคลอมเบีย และ เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย

นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมกาแฟเกาหลีใต้ให้ความเห็นว่า การนำเข้ากาแฟที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคเกาหลีใต้ โดยกาแฟได้กลายเป็นเครื่องดื่มหลักในชีวิตประจำวัน จากเดิมที่นิยมดื่มเฉพาะกาแฟสำเร็จรูป ปัจจุบันผู้บริโภคหันมาบริโภคกาแฟสดและกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) มากขึ้น ทั้งในรูปแบบของร้านกาแฟอิสระ คาเฟ่พรีเมียม และเครื่องชงกาแฟภายในบ้าน

ข้อมูลจากสมาคมกาแฟเกาหลี (KCA) ระบุว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ความนิยมในการบริโภคกาแฟต่อหัวของคนเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉลี่ยชาวเกาหลีดื่มกาแฟมากกว่า 350 ถ้วยต่อปี ต่อคน ทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นหนึ่งในตลาดบริโภคกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย รองจากญี่ปุ่น และยังเป็นหนึ่งในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก

นอกจากนี้ การขยายตัวของร้านกาแฟแบรนด์ท้องถิ่นและต่างประเทศ เช่น Starbucks, A Twosome Place, Ediya Coffee และCompose Coffee รวมถึงการเติบโตของธุรกิจ กาแฟพรีเมียมและกาแฟเพื่อสุขภาพ ที่เน้นการใช้เมล็ดกาแฟคุณภาพสูงจากแหล่งผลิตเฉพาะถิ่น (Single Origin) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผลักดันให้การนำเข้าเมล็ดกาแฟของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ในด้านราคาตลาดโลก ราคากาแฟอาราบิกาและโรบัสตาที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงต้นปี 2568 เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยในบราซิลและเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก ได้ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ปริมาณนำเข้าจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ตาม

เกาหลีใต้เริ่มเห็นการขยายตัวของตลาดกาแฟตั้งแต่ปี 2561 โดยมูลค่าการนำเข้าขยายตัวต่อเนื่องจากราว 900 ล้านดอลลาร์ ในปี 2561 สู่ระดับ 1.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2565 ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุด ก่อนจะชะลอตัวเล็กน้อยในปี 2566 เนื่องจากราคากาแฟในตลาดโลกผันผวนและการปรับฐานของการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในปี 2568 บ่งชี้ว่าอุปสงค์กำลังกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง

นักเศรษฐศาสตร์ด้านการค้าของ KCS มองว่า ปัจจัยหนุนสำคัญคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ การท่องเที่ยวที่คึกคักขึ้นหลังโควิด-19 และการขยายตัวของวัฒนธรรมคาเฟ่ในเมืองใหญ่ เช่น โซล ปูซาน และแทกู ซึ่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ที่ขับเคลื่อนด้วยธุรกิจกาแฟโดยตรง

ด้วยแนวโน้มเช่นนี้ เกาหลีใต้มีแนวโน้มจะทำสถิติใหม่ในการนำเข้าเมล็ดกาแฟทั้งในด้านปริมาณและมูลค่าในปี 2568 และตอกย้ำบทบาทของประเทศในฐานะหนึ่งใน ตลาดกาแฟที่มีพลวัตและมีอิทธิพลมากที่สุดของเอเชีย โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดพรีเมียมที่มุ่งเน้นคุณภาพและแหล่งที่มาของเมล็ดกาแฟอย่างยั่งยืน

L2D Page (37)

ท่าเรือโลจิสติกส์ T&T ก้าวสู่ศูนย์กลางคลังสินค้าขนส่งทางอากาศแบบบูรณาการชั้นนำของภูมิภาค

ภายในงาน FIATA World Congress (FWC) 2025 บูธของ Vietnam SuperPort ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานทั่วโลก รวมถึง นาย Turgut Erkeskin ประธาน FIATA และผู้แทนจากสมาคมโลจิสติกส์ชั้นนำหลายแห่ง ดร. ยัป กวง เวง (Yap Kwong Weng) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Vietnam SuperPort ได้เปิดเผยแผนการดำเนินงานของ คลังสินค้าขนส่งสินค้าทางอากาศขยายใหม่ (OACT) ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นจุดเชื่อมโยงเชิงกลยุทธ์ในห่วงโซ่อุปทานหลายรูปแบบ และจะเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้

OACT ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์บนระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือของเวียดนาม เชื่อมโยงกว่า 20 เขตอุตสาหกรรมกับท่าเรือและสนามบินสำคัญ เช่น สนามบินโหน่ยบ่าย ท่าเรือไฮฟอง และท่าเรือกวางนิญ รวมทั้งขยายการเชื่อมต่อไปถึงยูนนานและคุนหมิงของจีน ทำให้เวียดนามกลายเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญในการขนส่งสินค้าระหว่างอาเซียน จีน และตลาดหลักในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย

คลังสินค้าแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในคลังสินค้าขนส่งสินค้าทางอากาศระยะไกลแห่งแรกของเวียดนามที่ผสานฟังก์ชันต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างเต็มรูปแบบในฐานะ “อาคารขนส่งสินค้าภายนอกสนามบิน” รองรับทั้งกระบวนการศุลกากร การตรวจสอบความปลอดภัย การจัดเก็บ การโหลดและขนถ่ายอุปกรณ์ขนส่งสินค้า (ULD) และการขนส่งไปยังสนามบินโดยตรง สินค้าทุกชิ้นจะถูกควบคุมภายใต้มาตรการความปลอดภัยเข้มงวดและระบบกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนเป็นไปตามมาตรฐานสากล

ด้วยพื้นที่รวมกว่า 11,000 ตารางเมตร และศักยภาพในการขนถ่ายสินค้าราว 50,000 ตันต่อปี OACT ได้รับการออกแบบและติดตั้งด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย สามารถรองรับสินค้าปริมาณมากจากผู้ประกอบการในตลาดที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป

ดร. ยัป กวง เวง กล่าวว่า OACT เป็นส่วนสำคัญของศูนย์โลจิสติกส์หลายรูปแบบของ Vietnam SuperPort ที่พัฒนาในแนวคิด “Park within a Park” ซึ่งรวมการขนส่งทุกประเภทไว้ในศูนย์กลางเดียว ทั้งทางบก ทางทะเล ทางอากาศ และทางรถไฟ เพื่อให้ธุรกิจสามารถเลือกวิธีการขนส่งได้อย่างยืดหยุ่นและคุ้มค่าที่สุด

Vietnam SuperPort ยังมีแผนพัฒนา OACT ให้กลายเป็น ศูนย์ขนส่งสินค้าอัจฉริยะ (Smart Air Cargo Terminal) โดยบูรณาการเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะการร่วมมือกับ Google และ Kyndryl ในการพัฒนา AI ตรวจจับสินค้าต้องห้ามและสินค้าอันตราย ตลอดจนระบบรับรองเอกสารอัตโนมัติเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย

นอกจากนี้ Vietnam SuperPort ยังได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัยแห่งสิงคโปร์ (A*STAR) ในการวิจัยยานยนต์นำทางอัตโนมัติ (AGV) หุ่นยนต์โหลดสินค้า และหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMR) เพื่อทำให้กระบวนการโลจิสติกส์ทั้งหมดเป็นระบบอัตโนมัติ คาดว่าจะช่วยเพิ่มผลผลิตในการปฏิบัติงานได้มากถึง 35% และลดความผิดพลาดได้กว่า 50%

ในระยะยาว OACT ตั้งเป้าที่จะพัฒนาเป็น แพลตฟอร์มโลจิสติกส์ดิจิทัลแบบบูรณาการ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถติดตาม จัดการ และจองบริการออนไลน์ได้ในระบบเดียว ตั้งแต่ขั้นตอนการศุลกากร การตรวจสอบความปลอดภัย ไปจนถึงการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง ห่วงโซ่อุปทานการบินดิจิทัล (Digital Air Supply Chain) ที่เชื่อมโยงเวียดนามเข้ากับเครือข่ายโลจิสติกส์อัจฉริยะของอาเซียนและทั่วโลก

ดร. โรเบิร์ต แยป ประธานบริหารของ YCH Group กล่าวย้ำในงานว่า “Vietnam SuperPort คือผลลัพธ์ของวิสัยทัศน์ร่วมระหว่าง YCH Group และ T&T Group ที่ต้องการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ชาญฉลาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเชื่อมโยงภูมิภาคเข้าด้วยกันอย่างแท้จริง”

OACT จึงไม่เพียงเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ แต่ยังเป็นพลังขับเคลื่อนใหม่ที่เสริมศักยภาพของเวียดนามในฐานะศูนย์กลางการค้าและนวัตกรรมของภูมิภาคอาเซียน ภายใต้แนวคิดการพัฒนา “เชื่อมต่อ – ชาญฉลาด – ยั่งยืน (Connect – Smart – Sustainable)”

ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และบุคลากรที่มีคุณภาพ Vietnam SuperPort มุ่งมั่นที่จะสร้างศูนย์โลจิสติกส์แห่งยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยความยั่งยืนและนวัตกรรม พร้อมเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันของเวียดนามในตลาดโลก และปูทางสู่การเป็น ศูนย์กลางโลจิสติกส์สีเขียวชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในปี พ.ศ. 2583

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us