เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อท่าทีของประเทศไทยในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็น "ภาษีทรัมป์" ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐอเมริกา พร้อมเสนอแนวทางที่เป็นไปได้และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ศ.ดร.สุชาติ ระบุว่า แนวทางที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้คือการยื่นข้อเสนอเชิงรุก โดยใช้ “โมเดลเวียดนาม” เป็นต้นแบบ ซึ่งเวียดนามเคยเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ สูงถึง 46% ขณะที่ไทยถูกเรียกภาษีในระดับ 36% หากรัฐบาลไทยสามารถเจรจาให้ยอมรับอัตราภาษี 20% ในการส่งออกสินค้าบางประเภทไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้ และพร้อมกันนั้นยินดีที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% ก็จะเป็นการแสดงความจริงใจทางการค้าของไทยในฐานะประเทศขนาดเล็กที่มีอำนาจต่อรองจำกัด ซึ่งสหรัฐฯ เองก็น่าจะยอมรับได้ เนื่องจากเป็นเงื่อนไขที่ยุติธรรมและสอดคล้องกับแนวทางที่เคยปฏิบัติกับประเทศอื่นในภูมิภาค
ในส่วนของสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในหมวดสินค้าที่มีความอ่อนไหวอย่างยิ่ง ศ.ดร.สุชาติ เสนอให้รัฐบาลเร่งปรับบทบาทจากผู้ควบคุมกลไลตลาดด้วยมาตรการภาษีนำเข้า โควตา หรือการห้ามนำเข้า มาเป็นผู้ส่งเสริมและสนับสนุนให้สินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดเสรีอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในยุคที่ต้องเผชิญการแข่งขันจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หลังการลดภาษีฝั่งไทยลงเหลือ 0% วิธีการหนึ่งที่เหมาะสมและเป็นไปได้คือ การนำรายได้จากภาษีที่จัดเก็บจากผู้ส่งออก รวมถึงงบประมาณแผ่นดิน มาใช้เป็นเงินทุนในการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรกลุ่มเปราะบาง ทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งเคยได้รับการปกป้องมานาน เพื่อรักษาระดับความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน และไม่ให้ตลาดในประเทศถูกแทรกแซงโดยสินค้านำเข้าในช่วงเริ่มต้นของการเปิดตลาด
ศ.ดร.สุชาติ ยังมองว่า หากรัฐบาลสามารถจัดสรรงบประมาณและกลไลสนับสนุนดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้เกษตรกรไทยสามารถรักษาเสถียรภาพของรายได้ และช่วยพยุงภาคเกษตรให้ปรับตัวเข้ากับบริบทใหม่ของการแข่งขันในตลาดเสรีได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งจะดีกว่าการที่ไทยยังคงต้องเผชิญกับการเรียกเก็บภาษีส่งออกในอัตราสูงจากสหรัฐฯ ส่งผลให้การส่งออกชะลอตัว ประเทศไทยไม่สามารถขยายเศรษฐกิจได้ตามศักยภาพ และในที่สุดประชาชนจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองระยะยาว ศ.ดร.สุชาติ เห็นว่านี่คือโอกาสสำคัญที่รัฐบาลไทยจะใช้การแข่งขันเสรีเป็นแรงผลักดันให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพในภาคเกษตร โดยเฉพาะการเพิ่มผลิตภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีเกษตร การลดต้นทุนการผลิต และการเพิ่มคุณภาพสินค้าสู่มาตรฐานสากล เมื่อแรงกระตุ้นมาจากการแข่งขันจริง ไม่ใช่แค่จากการปกป้องโดยรัฐ ภาคเกษตรไทยจะพัฒนาไปอีกขั้น และยืนได้อย่างมั่นคงในตลาดโลก
ข้อเสนอของ ศ.ดร.สุชาติ จึงเป็นการวางแนวทางทั้งในเชิงนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศอย่างบูรณาการ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ การสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจของไทยภายใต้บริบทโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น