News

news-2025070715-03

ศ.ดร.สุชาติ แนะไทยยึดแนวทาง "แบบเวียดนาม" ต่อรองสหรัฐฯ รับภาษี 20% แลกสิทธิ์ส่งออก พร้อมแนะใช้งบรัฐ-ภาษีผู้ส่งออก หนุนสินค้าเกษตรสู้ตลาดโลก

เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อท่าทีของประเทศไทยในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็น "ภาษีทรัมป์" ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐอเมริกา พร้อมเสนอแนวทางที่เป็นไปได้และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ศ.ดร.สุชาติ ระบุว่า แนวทางที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้คือการยื่นข้อเสนอเชิงรุก โดยใช้ “โมเดลเวียดนาม” เป็นต้นแบบ ซึ่งเวียดนามเคยเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ สูงถึง 46% ขณะที่ไทยถูกเรียกภาษีในระดับ 36% หากรัฐบาลไทยสามารถเจรจาให้ยอมรับอัตราภาษี 20% ในการส่งออกสินค้าบางประเภทไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้ และพร้อมกันนั้นยินดีที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% ก็จะเป็นการแสดงความจริงใจทางการค้าของไทยในฐานะประเทศขนาดเล็กที่มีอำนาจต่อรองจำกัด ซึ่งสหรัฐฯ เองก็น่าจะยอมรับได้ เนื่องจากเป็นเงื่อนไขที่ยุติธรรมและสอดคล้องกับแนวทางที่เคยปฏิบัติกับประเทศอื่นในภูมิภาค

ในส่วนของสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในหมวดสินค้าที่มีความอ่อนไหวอย่างยิ่ง ศ.ดร.สุชาติ เสนอให้รัฐบาลเร่งปรับบทบาทจากผู้ควบคุมกลไลตลาดด้วยมาตรการภาษีนำเข้า โควตา หรือการห้ามนำเข้า มาเป็นผู้ส่งเสริมและสนับสนุนให้สินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดเสรีอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในยุคที่ต้องเผชิญการแข่งขันจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หลังการลดภาษีฝั่งไทยลงเหลือ 0% วิธีการหนึ่งที่เหมาะสมและเป็นไปได้คือ การนำรายได้จากภาษีที่จัดเก็บจากผู้ส่งออก รวมถึงงบประมาณแผ่นดิน มาใช้เป็นเงินทุนในการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรกลุ่มเปราะบาง ทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งเคยได้รับการปกป้องมานาน เพื่อรักษาระดับความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน และไม่ให้ตลาดในประเทศถูกแทรกแซงโดยสินค้านำเข้าในช่วงเริ่มต้นของการเปิดตลาด

ศ.ดร.สุชาติ ยังมองว่า หากรัฐบาลสามารถจัดสรรงบประมาณและกลไลสนับสนุนดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้เกษตรกรไทยสามารถรักษาเสถียรภาพของรายได้ และช่วยพยุงภาคเกษตรให้ปรับตัวเข้ากับบริบทใหม่ของการแข่งขันในตลาดเสรีได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งจะดีกว่าการที่ไทยยังคงต้องเผชิญกับการเรียกเก็บภาษีส่งออกในอัตราสูงจากสหรัฐฯ ส่งผลให้การส่งออกชะลอตัว ประเทศไทยไม่สามารถขยายเศรษฐกิจได้ตามศักยภาพ และในที่สุดประชาชนจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองระยะยาว ศ.ดร.สุชาติ เห็นว่านี่คือโอกาสสำคัญที่รัฐบาลไทยจะใช้การแข่งขันเสรีเป็นแรงผลักดันให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพในภาคเกษตร โดยเฉพาะการเพิ่มผลิตภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีเกษตร การลดต้นทุนการผลิต และการเพิ่มคุณภาพสินค้าสู่มาตรฐานสากล เมื่อแรงกระตุ้นมาจากการแข่งขันจริง ไม่ใช่แค่จากการปกป้องโดยรัฐ ภาคเกษตรไทยจะพัฒนาไปอีกขั้น และยืนได้อย่างมั่นคงในตลาดโลก

ข้อเสนอของ ศ.ดร.สุชาติ จึงเป็นการวางแนวทางทั้งในเชิงนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศอย่างบูรณาการ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ การสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจของไทยภายใต้บริบทโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น 
 

news-20250715-02

จีนเผยแนวโน้มโลจิสติกส์ห่วงโซ่อาหารแช่แข็งโตต่อเนื่อง ครึ่งปีแรกยอดความต้องการพุ่งแตะ 192 ล้านตัน มูลค่าขนส่งกว่า 4.7 ล้านล้านหยวน

เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อท่าทีของประเทศไทยในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็น "ภาษีทรัมป์" ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐอเมริกา พร้อมเสนอแนวทางที่เป็นไปได้และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ศ.ดร.สุชาติ ระบุว่า แนวทางที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้คือการยื่นข้อเสนอเชิงรุก โดยใช้ “โมเดลเวียดนาม” เป็นต้นแบบ ซึ่งเวียดนามเคยเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ สูงถึง 46% ขณะที่ไทยถูกเรียกภาษีในระดับ 36% หากรัฐบาลไทยสามารถเจรจาให้ยอมรับอัตราภาษี 20% ในการส่งออกสินค้าบางประเภทไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้ และพร้อมกันนั้นยินดีที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% ก็จะเป็นการแสดงความจริงใจทางการค้าของไทยในฐานะประเทศขนาดเล็กที่มีอำนาจต่อรองจำกัด ซึ่งสหรัฐฯ เองก็น่าจะยอมรับได้ เนื่องจากเป็นเงื่อนไขที่ยุติธรรมและสอดคล้องกับแนวทางที่เคยปฏิบัติกับประเทศอื่นในภูมิภาค

ในส่วนของสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในหมวดสินค้าที่มีความอ่อนไหวอย่างยิ่ง ศ.ดร.สุชาติ เสนอให้รัฐบาลเร่งปรับบทบาทจากผู้ควบคุมกลไลตลาดด้วยมาตรการภาษีนำเข้า โควตา หรือการห้ามนำเข้า มาเป็นผู้ส่งเสริมและสนับสนุนให้สินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดเสรีอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในยุคที่ต้องเผชิญการแข่งขันจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หลังการลดภาษีฝั่งไทยลงเหลือ 0% วิธีการหนึ่งที่เหมาะสมและเป็นไปได้คือ การนำรายได้จากภาษีที่จัดเก็บจากผู้ส่งออก รวมถึงงบประมาณแผ่นดิน มาใช้เป็นเงินทุนในการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรกลุ่มเปราะบาง ทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งเคยได้รับการปกป้องมานาน เพื่อรักษาระดับความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน และไม่ให้ตลาดในประเทศถูกแทรกแซงโดยสินค้านำเข้าในช่วงเริ่มต้นของการเปิดตลาด

ศ.ดร.สุชาติ ยังมองว่า หากรัฐบาลสามารถจัดสรรงบประมาณและกลไลสนับสนุนดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้เกษตรกรไทยสามารถรักษาเสถียรภาพของรายได้ และช่วยพยุงภาคเกษตรให้ปรับตัวเข้ากับบริบทใหม่ของการแข่งขันในตลาดเสรีได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งจะดีกว่าการที่ไทยยังคงต้องเผชิญกับการเรียกเก็บภาษีส่งออกในอัตราสูงจากสหรัฐฯ ส่งผลให้การส่งออกชะลอตัว ประเทศไทยไม่สามารถขยายเศรษฐกิจได้ตามศักยภาพ และในที่สุดประชาชนจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองระยะยาว ศ.ดร.สุชาติ เห็นว่านี่คือโอกาสสำคัญที่รัฐบาลไทยจะใช้การแข่งขันเสรีเป็นแรงผลักดันให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพในภาคเกษตร โดยเฉพาะการเพิ่มผลิตภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีเกษตร การลดต้นทุนการผลิต และการเพิ่มคุณภาพสินค้าสู่มาตรฐานสากล เมื่อแรงกระตุ้นมาจากการแข่งขันจริง ไม่ใช่แค่จากการปกป้องโดยรัฐ ภาคเกษตรไทยจะพัฒนาไปอีกขั้น และยืนได้อย่างมั่นคงในตลาดโลก

ข้อเสนอของ ศ.ดร.สุชาติ จึงเป็นการวางแนวทางทั้งในเชิงนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศอย่างบูรณาการ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ การสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจของไทยภายใต้บริบทโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น

news-20250715-01

จีนจับมือสถาบันลุ่มน้ำโขง เดินหน้าจัดประชุมโลจิสติกส์และส่งเสริมการท่องเที่ยวรถไฟตามแนวจีน-ลาว-ไทย ดันเศรษฐกิจภูมิภาคโตอย่างยั่งยืน

จีนผนึกกำลังกับสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง เตรียมจัดประชุมใหญ่ด้านโลจิสติกส์และการท่องเที่ยวตามแนวเส้นทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย ในวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมพูลแมน จังหวัดขอนแก่น เพื่อส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจและการพัฒนาแบบครอบคลุมในภูมิภาค โดยมีสื่อมวลชน ผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้สนใจจากนานาประเทศตอบรับเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก

การแถลงข่าวเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา นำโดยนางสาวหยาง หนิง รองกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดขอนแก่น และนายสุริยัน วิจิตรเลขการ ผู้อำนวยการสถาบันความร่วมมือฯ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของรถไฟสายจีน-ลาว-ไทยในฐานะโครงสร้างพื้นฐานยุทธศาสตร์ที่ไม่เพียงเป็นเส้นทางเชื่อมต่อทางกายภาพ แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของภูมิภาค และสร้างความยืดหยุ่นในการพัฒนาในระยะยาว โดยเฉพาะหลังจากเปิดให้บริการรถไฟจีน-ลาวเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจตลอดแนวเส้นทางเติบโตขึ้น 4% และก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 120,000 ตำแหน่งในพื้นที่

นางสาวหยาง หนิง กล่าวว่า รถไฟสายนี้เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพระหว่างจีน ลาว และไทย อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนใหม่ของการค้าและการท่องเที่ยวข้ามพรมแดน โดยการประชุมครั้งนี้จะตอกย้ำวิสัยทัศน์ร่วมด้านการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาอย่างทั่วถึง ทั้งยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ให้แก่ชุมชน ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ภายใต้เป้าหมายในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันในภูมิภาค

ด้านนายสุริยัน วิจิตรเลขการ กล่าวเสริมว่า ภายในงานประชุมจะประกอบไปด้วยกิจกรรมหลากหลาย อาทิ เวทีเสวนาหลัก การอภิปรายแยกประเด็น นิทรรศการ และกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ โดยมีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งผู้กำหนดนโยบายระดับชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ ผู้นำภาคเอกชน นักลงทุน และพันธมิตรการพัฒนาทั้งในและต่างประเทศ โดยจะมุ่งเน้นกลยุทธ์สำคัญ อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขนส่งแบบหลายรูปแบบ การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลด้านโลจิสติกส์ การอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวข้ามแดน และการส่งเสริมบทบาทของชุมชนท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวแคมเปญ “10 แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย” ระหว่างวันที่ 18 กรกฎาคม ถึง 8 สิงหาคม 2568 โดยประชาชนสามารถร่วมโหวตผ่านหน้าเฟซบุ๊กของสถาบันฯ เพื่อคัดเลือกจุดหมายปลายทางที่โดดเด่นซึ่งสามารถเข้าถึงได้ผ่านเส้นทางรถไฟสายนี้ พร้อมลุ้นรับคูปองท่องเที่ยวมูลค่าสูงสุด 5,000 บาท ซึ่งจะมีการประกาศผลผู้โชคดีในวันประชุมใหญ่

การจับมือกันครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการประสานยุทธศาสตร์ด้านโครงสร้างพื้นฐานของจีน ลาว และไทย แต่ยังเป็นการยกระดับความร่วมมือในระดับภูมิภาค สร้างระบบเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงอย่างยั่งยืนและครอบคลุมทุกมิติในอนาคต 
 

news-20250714-03

แรงกดดันการค้ารอบใหม่! สหรัฐฯ คงภาษีนำเข้าไทย 36% ไทยเผชิญโจทย์ใหญ่ เลือกระหว่างเปิดตลาดเพื่อโต หรือเผชิญเศรษฐกิจชะลอ

สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศชุดนโยบายภาษีศุลกากรใหม่ต่อเนื่องตลอดช่วงวันที่ 7–9 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับแบบทรงตัว โดยเฉพาะตลาดกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets หรือ EM) ที่เริ่มส่งสัญญาณอ่อนตัวลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีที่อาจถูกเรียกเก็บกับสินค้าสำคัญอย่างยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งคาดว่าจะถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 200% ขณะเดียวกัน กลุ่มประเทศ BRICS ก็อาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการถูกปรับเพิ่มภาษีนำเข้าอีก 10%

สำหรับประเทศไทย ข่าวร้ายชิ้นใหญ่คือการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันการคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไว้ที่ระดับสูงถึง 36% ในขณะที่ประเทศคู่ค้าหลายแห่ง โดยเฉพาะในเอเชีย เช่น เวียดนาม ได้รับการปรับลดภาษีลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกเป็นสัดส่วนสูง และอาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดสหรัฐฯ

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ วิเคราะห์ว่า สถานการณ์นี้ถือเป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างในด้านการค้าระหว่างประเทศของไทย โดยเฉพาะเมื่อเวียดนามสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ให้ลดภาษีนำเข้าได้ ไทยจึงอาจต้องเผชิญกับแรงผลักให้หันไปพิจารณาการเจรจาในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ ไทยอาจต้องยินยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 0% เพื่อแลกกับการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ในอัตราภาษีที่ต่ำลง รวมถึงเปิดโอกาสให้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศบางกลุ่ม แต่ช่วยลดต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมอื่น และกระตุ้นการบริโภคในประเทศได้ในภาพรวม

การเจรจาทางเลือกนี้กำลังกลายเป็นประเด็นสำคัญ เพราะในกรณีที่ไทยสามารถตกลงกับสหรัฐฯ ให้ลดภาษีได้เหลือ 15-20% ผลที่ตามมาคือ GDP ของประเทศในปี 2568 มีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นราว 1.1-1.4% โดยมีความเป็นไปได้ราว 30% แต่หากการเจรจาล้มเหลวและยังต้องแบกรับภาษีในระดับสูงที่ 21-28% GDP อาจขยายตัวเพียงเล็กน้อยที่ราว 1.0% หรือแทบไม่ขยายตัวเลย ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่ามีโอกาสเกิดขึ้นถึง 50%

ท่ามกลางบริบทของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ความเสี่ยงทางการค้าในลักษณะนี้ถือเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะกลาง ภาคเอกชนและภาครัฐจึงจำเป็นต้องมีการประเมินทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบคอบ โดยเฉพาะการเปิดตลาดให้สมดุลกับการรักษาเสถียรภาพภายในประเทศ ทั้งในแง่การคุ้มครองผู้ผลิตภายในประเทศ และการรักษาฐานการบริโภค ขณะที่การเสริมความแข็งแกร่งด้านการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) อื่นๆ ก็อาจเป็นแนวทางช่วยลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และกระจายความเสี่ยงทางการค้าได้ในระยะยาว

ในช่วงเวลาที่ภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยนแปลงเร็วเช่นนี้ การตัดสินใจของไทยในประเด็นดังกล่าว อาจมีผลต่อศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us