News

news-20250716-03

หอการค้าไทยเตือนเศรษฐกิจครึ่งปีหลังเผชิญแรงกระแทก ส่งออกชะลอ-สงครามการค้าระอุ เร่งดันนวัตกรรมและอาหารอนาคตพยุงเศรษฐกิจ

สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกที่เริ่มส่งผลกระทบต่อการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ล่าสุดในการสัมมนา “Decode 2025 The Mid-Year Signal ถอดสัญญาณเศรษฐกิจโลก พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทย” นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย แสดงความกังวลว่า แนวโน้มเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังของปีมีความเสี่ยงสูง ทั้งจากภาวะสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะบริเวณช่องแคบฮอร์มุซที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย

ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.5% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 3.1% และปีนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ลงมาอยู่ที่ 1.5–2.0% จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 2.0–2.2% เช่นเดียวกับภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มถดถอย โดยคาดว่าจะหดตัวลงมาอยู่ในช่วง -0.5% ถึง 0.3% ซึ่งเป็นการปรับลดจากกรอบเดิมที่คาดไว้ระหว่าง 0.3–0.9% โดยหนึ่งในปัจจัยหลักคือการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและครอบคลุมมากขึ้น

หอการค้าไทยกำลังติดตามอย่างใกล้ชิดถึงผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งมีความสำคัญต่อโครงสร้างการส่งออกของประเทศ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไทยอาจถูกมองว่าเป็นประเทศทางผ่านของสินค้าจากจีน ทำให้ต้องเผชิญกับมาตรการด้านภาษีที่อาจเข้มงวดขึ้นในอนาคต นายวิศิษฐ์เปิดเผยว่า หอการค้าไทยได้หารือร่วมกับสมาคมการค้าต่างๆ ให้เร่งตรวจสอบโครงสร้างวัตถุดิบของตนเอง โดยเฉพาะสัดส่วนของวัตถุดิบที่ใช้ในประเทศ ซึ่งหากมีสัดส่วนสูงพอ อาจสามารถต่อรองในกรอบเจรจาที่ใกล้เคียงกับเวียดนามได้ โดยใช้โมเดลอัตราภาษีแยกตามประเภทหรือแหล่งผลิต

สถานการณ์สงครามการค้าระลอกใหม่นี้มีความรุนแรงกว่ารอบก่อนหน้า โดยไม่เพียงจำกัดเป้าหมายที่จีนเท่านั้น แต่ยังขยายผลไปยังประเทศที่มีความเชื่อมโยงทางห่วงโซ่อุปทานกับจีน ซึ่งไทยก็อยู่ในข่ายที่ได้รับผลกระทบ ในช่วงครึ่งปีแรก ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยยังเติบโตได้ดีถึง 14.9% แต่ภาคเอกชนประเมินว่าแนวโน้มในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 อาจลดลงอย่างมาก เนื่องจากผู้นำเข้าสหรัฐฯ ได้เร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้าในช่วงเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้ยอดการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในเดือนดังกล่าวสูงถึง 35% จากค่าเฉลี่ย 27% ตลอด 5 เดือนแรกของปี

สัญญาณการชะลอตัวเริ่มปรากฏแล้วในหลายกลุ่มสินค้า อาทิ อัญมณี เครื่องประดับ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และอุปกรณ์สื่อสาร ขณะที่สหรัฐฯ เตรียมประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าชุดใหม่ในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะมีผลทันทีหรือเลื่อนออกไป อย่างไรก็ดี มีแนวโน้มที่สหรัฐฯ จะใช้วิธีจัดเก็บภาษีแบบแยกประเทศ โดยบางประเทศ เช่น อังกฤษและสิงคโปร์ ได้บรรลุข้อตกลงไปแล้ว ส่วนประเทศอื่นรวมถึงเวียดนามยังต้องรอท่าทีอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกัน สหภาพยุโรป (EU) ถูกตั้งอัตราภาษีใหม่สูงถึง 30% ซึ่งเกินความคาดหมายและสะท้อนถึงการเจรจาที่ยังไม่บรรลุผลสมบูรณ์

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ หอการค้าไทยเสนอให้ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันผลักดันเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเร่งส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้ง e-commerce, e-business, AI และ Big Data เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ โดยเฉพาะในภาคเกษตร ซึ่งสามารถใช้เทคโนโลยีโดรนเพื่อลดต้นทุนและทดแทนแรงงาน การนำระบบ Blockchain มาใช้เพื่อตรวจสอบย้อนกลับสินค้าอย่างโปร่งใส รวมถึงการใช้ระบบอัจฉริยะเพื่อควบคุมคุณภาพและป้องกันสินค้าลอกเลียนแบบ

นอกจากนี้ หอการค้ายังชี้ให้เห็นถึงโอกาสในกลุ่ม “อาหารแห่งอนาคต” หรือ Future Food ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และคิดเป็นมูลค่าราว 1 แสนล้านบาท หรือ 10% ของการส่งออกอาหารทั้งหมด กลุ่มที่เติบโตได้ดีประกอบด้วย Functional Food โปรตีนทางเลือก อาหารออร์แกนิก และอาหารสำหรับผู้สูงอายุและทารก รวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยงที่เริ่มมีแนวโน้มเติบโตสูงเช่นกัน

ในระยะยาว แนวทาง Green Economy จะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันที่สำคัญ โดยเน้นให้ธุรกิจติดตั้งระบบพลังงานสะอาด เช่น Solar Rooftop มีการรายงานข้อมูลด้าน ESG และสนับสนุนแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนตามโมเดล BCG ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลกที่มีความซับซ้อนและแข่งขันสูงมากขึ้น

นายวิศิษฐ์กล่าวย้ำในช่วงท้ายว่า ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคด้านภาษี กฎระเบียบ หรือเงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศที่เข้มงวดขึ้นเพียงใด ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวและวางแผนรับมือให้ทันต่อสถานการณ์ โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชนจะเป็นกุญแจสำคัญในการฝ่าฟันความท้าทายและสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต

news-20250716-02

รถไฟทรานส์แคสเปียนเริ่มเดินหน้าขนส่งสินค้าจีนสู่ยุโรป เส้นทางใหม่เชื่อมเอเชียกลาง ทะเลแคสเปียน และยุโรปตะวันออก รองรับโอกาสส่งออกของไทย

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 รถไฟขบวนแรกในเส้นทาง “ทรานส์แคสเปียน” ได้ออกเดินทางจากเขตฝางชานในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มุ่งหน้าสู่กรุงบากู เมืองหลวงของประเทศอาเซอร์ไบจาน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเส้นทางโลจิสติกส์ใหม่ที่มีศักยภาพสูงในการเชื่อมโยงระหว่างจีนและยุโรป โดยรถไฟขบวนนี้บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐานจำนวน 104 ตู้ (TEUs) ซึ่งภายในบรรจุสินค้าหลากหลายประเภท เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์เครื่องจักรกล รวมมูลค่าสินค้ากว่า 15 ล้านหยวน หรือคิดเป็นเงินกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ

เส้นทางขนส่งนี้มีลักษณะพิเศษตรงที่เป็นการขนส่งแบบผสมผสานหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) โดยเริ่มต้นจากทางรถไฟในจีนเข้าสู่คาซัคสถานผ่านด่าน Khorgos ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนที่สำคัญระหว่างจีนกับคาซัคสถาน จากนั้นสินค้าได้รับการเคลื่อนย้ายต่อไปยังท่าเรือ Aktau ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลแคสเปียนในคาซัคสถาน ก่อนจะลำเลียงข้ามทะเลด้วยเรือเฟอร์รีไปยังท่าเรือ Alat ในประเทศอาเซอร์ไบจาน และส่งต่อเข้าสู่ระบบรถไฟภายในประเทศ เพื่อนำสินค้าไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้ายคือ กรุงบากู

ตลอดเส้นทางกว่า 8,000 กิโลเมตร กระบวนการขนส่งนี้ใช้เวลาประมาณ 15 วัน ซึ่งนับว่ารวดเร็วกว่าการขนส่งทางเรือผ่านช่องแคบมะละกาและคลองสุเอซหลายวัน โดยเมื่อสินค้าถึงกรุงบากูแล้ว ยังสามารถขนส่งต่อไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรป เช่น จอร์เจีย ตุรกี เซอร์เบีย และประเทศในยุโรปตะวันออก ผ่านโครงข่ายรางที่เชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเขตคอเคซัสและคาบสมุทรบอลข่าน

เส้นทางรถไฟทรานส์แคสเปียนจึงถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จีนพัฒนาเพื่อลดการพึ่งพาเส้นทางการขนส่งผ่านรัสเซีย โดยเฉพาะภายใต้บริบททางภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางการค้าแก่ประเทศในเอเชียกลางและภูมิภาคคอเคซัส ที่ต้องการลดการพึ่งพาเส้นทางทะเลเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ ความแออัดของท่าเรือ หรือปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศ

สำหรับประเทศไทย เส้นทางทรานส์แคสเปียนนับเป็นโอกาสใหม่ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่ระบบโลจิสติกส์มีบทบาทเป็นหัวใจสำคัญของการขยายตลาดส่งออก ปัจจุบันไทยสามารถเชื่อมต่อการขนส่งทางรางสู่จีนได้ผ่านทางรถไฟลาว-จีน ซึ่งเปิดใช้อย่างเป็นทางการและมีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากผู้ประกอบการไทยสามารถจัดส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดจีนได้แล้ว ก็สามารถใช้ประโยชน์จากเส้นทางทรานส์แคสเปียนเป็นทางเลือกในการกระจายสินค้าไปยังตลาดใหม่ในคาซัคสถาน อาเซอร์ไบจาน และกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออกได้ทันที

นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพในการใช้เส้นทางนี้เพื่อลดต้นทุนด้านเวลาและเพิ่มความยืดหยุ่นในการวางแผนห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่ต้องการขนส่งสินค้าที่มีมูลค่าสูงหรือมีข้อจำกัดด้านเวลา เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่ต้องรักษาคุณภาพในระหว่างขนส่ง

การเปิดเส้นทางทรานส์แคสเปียนจึงไม่เพียงเป็นการเสริมโครงข่ายยุทธศาสตร์ "สายทางสายไหมใหม่" ของจีน แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสทางการค้าที่หลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้นให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย ซึ่งหากมีการส่งเสริมความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ระหว่างรัฐและเอกชนอย่างจริงจัง ก็สามารถพลิกความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ของไทยให้เป็นประโยชน์ต่อการขยายการค้าไปสู่ดินแดนใหม่ ๆ ในยุโรปและเอเชียกลางผ่านโครงข่ายเส้นทางรางระดับทวีปนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต

news=20250716-01

ซิลลิค ฟาร์มา ทุ่ม 130 ล้านบาท ขยายศูนย์กระจายสินค้ามาตรฐานสูง ยกระดับระบบโลจิสติกส์ด้านยาและอุปกรณ์การแพทย์ในไทย

ซิลลิค ฟาร์มา บริษัทชั้นนำด้านการให้บริการโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพแบบครบวงจรในภูมิภาคเอเชีย ประกาศเดินหน้าการลงทุนเชิงกลยุทธ์มูลค่ากว่า 130 ล้านบาท เพื่อขยายศูนย์กระจายสินค้าด้านเภสัชภัณฑ์ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ โดยตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ

นายจอห์น เกรแฮม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เปิดเผยว่า การลงทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมศักยภาพด้านการจัดเก็บและขนส่งเวชภัณฑ์ที่มีความไวต่ออุณหภูมิ โดยเฉพาะยาและวัคซีนที่ต้องการสภาพแวดล้อมเฉพาะ เพื่อให้สามารถกระจายสินค้าได้อย่างทั่วถึงครอบคลุมทั้งประเทศ พร้อมรักษาคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ไว้ตลอดกระบวนการเคลื่อนย้าย

ระบบหลังบ้านของศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่นี้ได้รับการออกแบบให้ทันสมัย รองรับการควบคุมอุณหภูมิอย่างเข้มงวด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเสื่อมสภาพของเวชภัณฑ์ เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับโรงพยาบาล คลินิก และร้านขายยาทั่วประเทศในแง่ของความรวดเร็วและความปลอดภัยในการรับเวชภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน

การขยายโครงสร้างพื้นฐานครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเติบโตของธุรกิจของซิลลิค ฟาร์มาในระดับภูมิภาค และตอกย้ำพันธกิจของบริษัทในการสนับสนุนระบบสาธารณสุขไทย พร้อมทั้งสอดคล้องกับมาตรฐานการจัดจำหน่ายที่ดี (GDP) ในระดับสากล ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับคุณภาพของการให้บริการด้านโลจิสติกส์สุขภาพ

ศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่นี้สามารถรองรับปริมาณการจัดเก็บเวชภัณฑ์ได้มากถึง 1,800 พาเลท พร้อมห้องแช่เย็นที่สามารถควบคุมอุณหภูมิในช่วง -20 ถึง -30 องศาเซลเซียส ซึ่งเหมาะสมสำหรับเวชภัณฑ์ที่ไวต่อความร้อน เช่น วัคซีน ชีววัตถุ และยาพิเศษชนิดต่าง ๆ

ยังมีการติดตั้งระบบละลายน้ำแข็งแบบอัจฉริยะและระบบตรวจสอบอุณหภูมิอัตโนมัติ ที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังและรักษาสภาพแวดล้อมภายในศูนย์อย่างต่อเนื่องตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยระบบเหล่านี้ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน Computer System Validation (CSV) ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมคุณภาพสินค้าได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ

นางสาวพักตร์นลิน บูลกุล กรรมการผู้จัดการของซิลลิค ฟาร์มา ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนและขยายศูนย์กระจายสินค้านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการทำให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงยาและเวชภัณฑ์ที่มีความจำเป็นต่อการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ทันท่วงที และอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิผลของการรักษาและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

ศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ยังให้ความสำคัญกับมาตรการความปลอดภัยขั้นสูง โดยเตรียมความพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉินผ่านระบบไฟฟ้าสำรอง เพื่อให้การดำเนินงานสามารถดำเนินต่อเนื่องได้แม้ในสถานการณ์วิกฤต พร้อมติดตั้งระบบป้องกันอัคคีภัยอัตโนมัติที่ผ่านการรับรองจากมาตรฐาน NFPA 13 รวมถึงโครงสร้างอาคารที่ออกแบบตามมาตรฐาน FM 4800 และ FM 4881 เพื่อป้องกันความเสียหายจากไฟไหม้และรักษาคุณภาพสินค้าในทุกสภาวะ

อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือการใช้บรรจุภัณฑ์ eZCooler ซึ่งเป็นเทคโนโลยีควบคุมอุณหภูมิแบบนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ช่วยลดการใช้บรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียว และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการจัดส่ง รวมถึงมีการติดตั้งระบบแสงสว่าง LED อัตโนมัติ ระบบปรับอากาศแบบอินเวอร์เตอร์ และฉนวนกันความร้อนทนไฟ ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานในภาพรวม และส่งเสริมเป้าหมายด้านความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจของซิลลิค ฟาร์มา อย่างเป็นรูปธรรม

news-20250716-03

ถนนสาย ง2 ผังเมืองร้อยเอ็ด เสริมศักยภาพโลจิสติกส์อีสาน คาดเปิดใช้ภายในปีนี้

กรมทางหลวงชนบทเดินหน้าก่อสร้างถนนสาย ง2 ผังเมืองรวมเมืองร้อยเอ็ด เพื่อยกระดับการคมนาคมขนส่งในจังหวัดร้อยเอ็ดและพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายถนนให้สมบูรณ์ ลดความแออัดของการจราจรในเขตเมือง และรองรับปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ทั้งยังช่วยให้ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น

โครงการนี้มีจุดเริ่มต้นที่ทางหลวงหมายเลข 23 ช่วงร้อยเอ็ด – เสลภูมิ ที่กิโลเมตรที่ 3+810 และสิ้นสุดบริเวณทางหลวงหมายเลข 23 ช่วงร้อยเอ็ด – มหาสารคาม ที่กิโลเมตรที่ 11+193 รวมระยะทางประมาณ 7.383 กิโลเมตร โดยเป็นถนนตัดใหม่ที่ออกแบบเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาด 4 ช่องจราจร ความกว้างช่องละ 3.5 เมตร พร้อมเกาะกลางเพื่อแบ่งทิศทางการจราจรซึ่งมีทั้งแบบกำแพงคอนกรีตและแบบทาสีตีเส้น รวมถึงระบบระบายน้ำ ไฟฟ้าแสงสว่าง เครื่องหมายจราจร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 569.7 ล้านบาท

ก่อนการเริ่มงานและระหว่างดำเนินการก่อสร้าง กรมทางหลวงชนบทได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ พร้อมลงนามบันทึกความร่วมมือ 3 ฝ่ายระหว่างหน่วยงานรัฐ ผู้รับจ้าง และตัวแทนชุมชน เพื่อให้แนวทางการดำเนินโครงการสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนมากที่สุด รวมทั้งมีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ ตอบข้อซักถาม รับฟังข้อเสนอแนะจากประชาชน ผู้นำท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง

เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ กรมฯ จะจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนอีกครั้งก่อนเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ เพื่อให้มั่นใจว่าถนนสายใหม่จะสามารถตอบโจทย์ด้านคมนาคมและการพัฒนาเมืองได้อย่างเต็มศักยภาพ

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us