admin L2D

คมนาคมเร่งเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ ตั้งเป้าเปิดประมูลปี 2569

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ “โครงการแลนด์บริดจ์” โดยมีการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และวิเคราะห์รูปแบบการลงทุนครบถ้วน

โครงการแลนด์บริดจ์ถูกวางให้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่จะช่วยยกระดับโครงข่ายคมนาคมทั้งทางถนนและทางราง เพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ของประเทศ พร้อมสร้างงานกว่า 280,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ อีกทั้งยังเอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น การประมง อาหาร การแพทย์ และการท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการพัฒนาสาธารณสุข การศึกษา และสาธารณูปโภคพื้นฐานในพื้นที่

นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวถึงความคืบหน้าว่า ที่ผ่านมาได้มีการจัดเวทีสรุปผลการศึกษาแล้ว 3 ครั้งในจังหวัดระนอง ชุมพร และกรุงเทพฯ รวมทั้งเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชนกว่า 60 ครั้งตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ข้อห่วงกังวลต่าง ๆ โดยเฉพาะผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การประมงพื้นบ้าน และการถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรือ ถูกนำมาพิจารณาเป็นมาตรการป้องกันและเยียวยา

นอกจากนี้ สนข.ได้เสนอให้ผู้ลงทุนจัดตั้ง “กองทุนพัฒนาชุมชน” โดยมีภาคเอกชนในพื้นที่ร่วมสมทบ เพื่อใช้เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างต่อเนื่อง สำหรับรูปแบบการลงทุน จะใช้แนวทาง “One Port Two Sides” คือการก่อสร้างและบริหารท่าเรือทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามันภายใต้สัญญาเดียว นักลงทุนที่เข้าร่วมต้องมีประสบการณ์ด้านท่าเรือและสายเดินเรือ รวมถึงมีศักยภาพทางการเงิน ขณะเดียวกันรัฐบาลยังเตรียมจัดทำกฎหมายพิเศษ (พ.ร.บ. SEC) และตั้งคณะกรรมการนโยบายเพื่อกำกับดูแลให้การขับเคลื่อนโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับขั้นตอนต่อไป กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้ สนข.จัดทำเอกสารประกวดราคาเพื่อคัดเลือกนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ภายในปี 2569 ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้โครงการแลนด์บริดจ์เดินหน้าเข้าสู่การปฏิบัติจริง

นายปัญญา ยังกล่าวถึงกระแสความกังวลเรื่องสถานการณ์การเมืองที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตว่า แม้จะมีการสลับขั้วรัฐบาลหรือเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่เชื่อว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะยังคงเดินหน้าต่อไป เพราะได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่ายและหลายพรรคการเมืองที่เห็นถึงประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของโครงการนี้ต่อการพัฒนาประเทศ

พาณิชย์เร่งบูรณาการดันส่งออกข้าว รุกตลาดใหม่ทั่วโลก รับมือผลผลิตล้นตลาดโลก มั่นใจปีนี้แตะ 7.5 ล้านตัน

กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งออกสินค้าเกษตร โดยเฉพาะ “ข้าว” หลังสถานการณ์ผลผลิตทางการเกษตรทั่วโลกในปี 2568 ออกมาจำนวนมาก ทำให้หลายประเทศต่างเร่งหาตลาดรองรับ ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดโลกดุเดือดและราคามีแนวโน้มผันผวนลดต่ำลง โดยนายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยอมรับว่า ไทยจำเป็นต้องเร่งหารือและบูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ รองรับผลผลิต โดยเฉพาะสินค้าข้าวและมันสำปะหลังที่กำลังทยอยออกสู่ตลาด

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า แนวทางแก้ปัญหาในเบื้องต้นคือต้องเร่งผลักดันการส่งออกโดยใช้กลไกการเจรจารัฐต่อรัฐ (G to G) ร่วมกับประเทศคู่ค้า รวมถึงการหาช่องทางผ่านภาคเอกชน เพื่อระบายผลผลิตออกไปให้ได้มากที่สุดในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งถือเป็นมาตรการเฉพาะหน้าเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกษตรกรไทยกำลังเผชิญ ขณะเดียวกัน ยังเตรียมวางแผนระยะยาวในด้านการพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ที่สามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะกับข้าวจากเวียดนามที่มีคุณภาพสูงขึ้นต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการผลักดันให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิต เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยว่า แม้ในช่วงครึ่งปีแรก ไทยส่งออกข้าวได้เพียง 3.73 ล้านตัน ลดลงถึง 27.29% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีมูลค่าการส่งออก 75,563 ล้านบาท ลดลงกว่า 36% แต่กรมยังคงมั่นใจว่าภาพรวมทั้งปีจะบรรลุเป้าหมายที่ 7.5 ล้านตัน เนื่องจากได้เตรียมมาตรการเชิงรุกในช่วง 5 เดือนสุดท้ายของปีอย่างเข้มข้น

แผนดังกล่าวครอบคลุมทั้งการเร่งเจรจาซื้อขายข้าวกับรัฐบาลจีน โดยเฉพาะกับรัฐวิสาหกิจ COFCO ที่ยังเหลือสัญญาส่งมอบอีกกว่า 280,000 ตัน ซึ่งจะมีการเดินทางไปเจรจาที่กรุงปักกิ่งในเดือนกันยายนนี้ พร้อมทั้งรุกเปิดตลาดใหม่ในตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบียและอิรัก รวมถึงการขยายตลาดไปยังฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น ซึ่งไทยมีการส่งออกข้าวไปญี่ปุ่นปีละราว 300,000 ตัน ขณะเดียวกัน ยังมีการเตรียมต้อนรับคณะผู้นำเข้าข้าวจากฮ่องกงที่จะเดินทางมาเยือนประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน

นอกจากการเจรจาแล้ว กระทรวงพาณิชย์ยังวางกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยผ่านงานแสดงสินค้านานาชาติหลายแห่ง อาทิ งาน Fine Food Australia ที่นครซิดนีย์ งาน China-ASEAN Expo ที่เมืองหนานหนิง งาน ANUGA ที่เยอรมนี งาน Foodex Saudi ที่ซาอุดีอาระเบีย และงาน CIIE ที่นครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งล้วนเป็นเวทีสำคัญในการขยายโอกาสทางการค้าของข้าวไทย นอกจากนี้ ยังเตรียมจัดประชุมข้าวนานาชาติ “Thailand Rice Convention” สัญจร ระหว่างวันที่ 28-30 สิงหาคมนี้ เพื่อเชื่อมโยงผู้ผลิตและผู้ซื้อ และสร้างการรับรู้เชิงบวกในตลาดโลก

แม้จะเผชิญแรงกดดันจากผลผลิตที่ล้นตลาด แต่ภาครัฐยังคงเชื่อมั่นว่าการบูรณาการอย่างรอบด้าน ทั้งการเจรจาทางการค้า การขยายตลาดใหม่ การสร้างภาพลักษณ์สินค้า และการพัฒนาพันธุ์ข้าวในระยะยาว จะช่วยให้ไทยรักษาตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวรายสำคัญของโลก และสามารถบรรลุเป้าหมายการส่งออก 7.5 ล้านตันในปีนี้ได้สำเร็จ

เปิดตลาดสหรัฐฯ ภาษีนำเข้า 0% แลก “ภาษีทรัมป์” คนไทยได้ของถูก แต่ไทยอาจเสียเปรียบการค้า

การเปิดตลาดสินค้านำเข้าสหรัฐฯ ภายใต้อัตราภาษี 0% กำลังกลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในประเทศไทยว่า ผู้บริโภคได้ประโยชน์จริงหรือไม่ และไทยต้องสูญเสียอะไรจากข้อตกลงการค้าในครั้งนี้ เพราะแม้สินค้าสหรัฐฯ จะมีราคาถูกลง แต่ในอีกด้านหนึ่ง ไทยกลับต้องเผชิญกับมาตรการภาษี “ทรัมป์” ที่บังคับใช้กับการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ ในอัตรา 19% หลังจากที่ถูกปรับลดลงมาจากเดิม 36% ซึ่งแน่นอนว่าย่อมกระทบต่อศักยภาพการส่งออกไทย

จากข้อมูลปี 2567 ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่า 6.33 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่นำเข้าจากสหรัฐฯ 1.77 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 4.56 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่สหรัฐฯ ใช้เป็นเหตุผลเรียกเก็บภาษีตอบโต้ อย่างไรก็ตาม การเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้ามาโดยไม่เสียภาษีนำเข้า อาจทำให้ผู้บริโภคไทยได้รับประโยชน์มากกว่าที่หลายคนคาดคิด

สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม เช่น น้ำมันปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ เครื่องบิน และเซมิคอนดักเตอร์ แต่ก็มีสินค้าสำหรับผู้บริโภคทั่วไปที่มีมูลค่าเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเมื่อนำมาคำนวณแล้ว ราคาสินค้าในกลุ่มนี้จะลดลงเฉลี่ยชิ้นละกว่า 13,000 บาท หากเปิดตลาด 0% อย่างเต็มรูปแบบ

ตัวอย่างสินค้าที่ราคาจะปรับลดลงชัดเจน ได้แก่ รถกระบะนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ราคาจะลดลงมากถึงกว่า 1 แสนบาทต่อคัน เครื่องซักผ้าลดลงราว 2,800 บาท โน้ตบุ๊กลดลง 1,200 บาท สมาร์ตโฟนลดลง 2,000 บาท รวมถึงสินค้าอุปโภคอื่น ๆ อย่างลู่วิ่งไฟฟ้า เครื่องสำอาง และชิ้นส่วนจักรยานที่ราคาถูกลงในระดับจับต้องได้ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อจะได้โอกาสใช้สินค้าที่มีคุณภาพสูงมาตรฐานสากล ในราคาที่ไม่สูงเกินไป ภายใต้แบรนด์ “Made in USA”

ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ให้ความเห็นว่า ข้อตกลงดังกล่าวไม่เพียงช่วยให้คนไทยได้เข้าถึงสินค้าที่มีมาตรฐาน แต่ยังอาจเป็นแรงผลักดันให้ตลาดผู้บริโภคในประเทศปรับตัวไปสู่สินค้าที่ปลอดภัยและมีคุณภาพมากขึ้น แทนที่จะพึ่งพาสินค้าราคาถูกจากประเทศอื่นที่ไม่ได้มาตรฐานจนกลายเป็นปัญหาในระยะยาว

ประเด็นที่น่าจับตาคือ การเปิดตลาดสินค้าสหรัฐฯ ไม่ได้กระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตเอสเอ็มอีไทย เนื่องจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ไม่ใช่คู่แข่งในตลาดเดียวกัน แต่กลับเป็นโอกาสที่ภาคการผลิตของไทยจะได้ยกระดับมาตรฐานการผลิตให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล และอาจต่อยอดไปสู่การร่วมสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมกับสหรัฐฯ ได้ในอนาคต

แม้ไทยจะยังเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ในการส่งออก แต่ในอีกด้านหนึ่ง การเปิดตลาดนำเข้าอาจกลายเป็น “ดาบสองคม” ที่สร้างทั้งความท้าทายและโอกาส หากไทยสามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงสินค้าและเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานระดับโลก ก็อาจกลายเป็นแรงหนุนสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

เกษตรกรเดือดร้อนหนัก! ส.ส.วอนรัฐบาลประกันราคาข้าวโพดไม่ต่ำกว่า 7 บาท พร้อมชะลอนำเข้าจากต่างประเทศ

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2568 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภารายงานว่า นายบัญชา เดชเจริญศิริกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครสวรรค์ พรรคกล้าธรรม ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งหามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด หลังราคาตกต่ำอย่างต่อเนื่อง เหลือเพียงกิโลกรัมละ 4-5 บาท ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบกว่า 20 ปี และไม่สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะราคาปุ๋ยและสารเคมีที่ปรับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ส่งผลให้เกษตรกรขาดทุนและประสบปัญหาความเป็นอยู่รุนแรง

นายบัญชาเปิดเผยว่า ตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรได้ออกมาเคลื่อนไหวและประท้วงหลายครั้งเพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งแก้ไข แต่ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจน ยกเว้นเพียงการดูแลเรื่องข้าวซึ่งได้รับการช่วยเหลือไปก่อนหน้านี้ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา เกษตรกรในจังหวัดนครสวรรค์และเพชรบูรณ์ได้รวมตัวกันปิดถนน เพื่อกดดันรัฐบาลให้เร่งหาทางออกต่อวิกฤตราคาข้าวโพดที่กำลังถาโถม

สิ่งที่เกษตรกรเรียกร้องหลัก ๆ คือ ให้รัฐบาลประกาศประกันราคาข้าวโพดไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 7 บาท เพื่อเป็นหลักประกันรายได้ขั้นต่ำและช่วยให้เกษตรกรพอมีแรงในการทำเกษตรต่อไป นอกจากนี้ ยังต้องการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ทบทวนตัวเลขการผลิตข้าวโพดที่ประกาศว่ามีเพียงปีละ 5 ล้านตัน เพราะเชื่อว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าความเป็นจริง อันอาจนำไปสู่ความคลาดเคลื่อนในการกำหนดนโยบาย

อีกประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือเรื่องการนำเข้าข้าวโพดจากต่างประเทศ โดยปัจจุบันประเทศไทยเปิดให้นำเข้าในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 ซึ่งเกษตรกรเห็นว่ามีผลกระทบโดยตรงต่อราคาผลผลิตในประเทศอย่างมาก ทำให้ราคาข้าวโพดตกต่ำลงไปอีก จึงเรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์ทบทวนและตรวจสอบตัวเลขการนำเข้าให้รอบคอบ พร้อมทั้งเสนอให้ชะลอหรือระงับการนำเข้าข้าวโพดจากต่างประเทศชั่วคราว

นายบัญชายังได้ฝากข้อเรียกร้องถึงนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เร่งดำเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโดยด่วน โดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตข้าวโพดกำลังทยอยออกสู่ตลาด หากยังปล่อยให้ราคาตกต่ำต่อไป จะทำให้เกษตรกรจำนวนมากไม่สามารถรับมือได้ และอาจกระทบต่อเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจฐานรากของประเทศในวงกว้าง

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us