admin L2D

ส่งออกหนุนเศรษฐกิจต้นปี ขับเคลื่อนตลาดอุตสาหกรรมไทยโตต่อเนื่องครึ่งแรกปี 2568

ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เปิดเผยรายงานตลาดอสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรมครึ่งปีแรก 2568 โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกขยายตัว 3.1% ได้แรงหนุนหลักจากการส่งออกที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 13 ไตรมาส มีมูลค่ารวม 80.44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นแรงผลักสำคัญ ทั้งคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบที่เติบโตถึง 130.8% เครื่องใช้ไฟฟ้า 50.4% และอุปกรณ์โทรคมนาคม 24.6% ขณะเดียวกัน การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นถึง 26.3% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกัน

อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนกลับหดตัว 0.9% สะท้อนความระมัดระวังท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลงเหลือ 2.6% ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิถุนายนอยู่ที่ 97.18 ขยายตัว 0.58% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะยานยนต์ไฮบริดและไฟฟ้า รวมถึงภาคเกษตร

คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานว่าในไตรมาสแรกปีนี้ยังมีความเคลื่อนไหวคึกคัก โดยมีโครงการได้รับอนุมัติรวม 530 โครงการ มูลค่ารวม 368,510 ล้านบาท เพิ่มขึ้นชัดเจนจากปีก่อน การเติบโตนี้มาจากอุตสาหกรรมมูลค่าสูง โดยเฉพาะภาคดิจิทัลที่มีการลงทุนเพิ่มขึ้นมากกว่า 900% ขณะที่กลุ่มไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญ แม้จำนวนโรงงานใหม่ลดลง 33% และการขยายโรงงานลดลงถึง 55% แต่กลับไม่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของการอนุมัติ FDI และยอดขายที่ดินอุตสาหกรรม

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนสองแนวโน้มหลัก คือการรวมกิจการที่ทำให้โครงการลงทุนมีขนาดใหญ่ขึ้นแม้มีจำนวนลดลง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงอย่างยานยนต์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งยังเห็นความต้องการที่ดินจากธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่โรงงาน เช่น ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างในตลาดอสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรมไทยไปสู่โครงการขนาดใหญ่และมูลค่าสูง

ในช่วงครึ่งปีแรก 2568 อุปทานที่ดินอุตสาหกรรมพร้อมบริการ (SILP) เพิ่มขึ้น 1.5% อยู่ที่ 184,028 ไร่ โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายจากนิคมเดิมและโครงการใหม่ เช่น WHA Eastern Seaboard 3.1 ขณะที่อุปสงค์มียอดขายรวม 4,684 ไร่ เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อน โดยพื้นที่ EEC ยังคงครองสัดส่วนสูงสุดถึง 85% ส่งผลให้อัตราการขายสะสมของตลาดปรับขึ้นเป็น 90% ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 4.5% มาอยู่ที่ 6.64 ล้านบาทต่อไร่ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล (BMR) ที่พุ่งขึ้นเป็นสถิติสูงสุดที่ 11.6 ล้านบาทต่อไร่

ตลาดโรงงานสำเร็จรูป (RBF) ไม่มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดในครึ่งปีแรก แสดงถึงความระมัดระวังของผู้พัฒนา ส่งผลให้อัตราการครอบครองปรับขึ้นเป็น 96.2% โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่เกือบเต็มกำลังถึง 98.73% ส่วน BMR และภาคกลางก็ยังคงมีอัตราการครอบครองสูงเช่นกัน

มาร์คัส เบอร์เทนชอว์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านพื้นที่โลจิสติกส์และอุตสาหกรรมของไนท์แฟรงค์ ชี้ว่าภาพรวมตลาดสะท้อนการปรับตัวของเศรษฐกิจไทยในท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก แม้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะสร้างแรงกดดัน แต่การส่งออกที่แข็งแกร่งในช่วงต้นปียังคงช่วยพยุงการเติบโต

เขาย้ำว่าการลดลงของจำนวนโรงงานใหม่ไม่ได้เป็นสัญญาณลบ แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้นไปสู่การลงทุนในอุตสาหกรรมมูลค่าสูง เช่น ดิจิทัลและยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐและศักยภาพเชิงแข่งขันของไทยในระยะยาว แนวโน้มในอนาคตแม้อาจเผชิญการชะลอตัวของการขายที่ดินในระยะสั้น แต่ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายที่ชัดเจนยังคงทำให้ไทยเป็นเป้าหมายการลงทุนคุณภาพสูงที่น่าจับตามองต่อไป

ราคาพริกไทยเวียดนามทรงตัวในประเทศ – นำเข้าเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ราคาพริกไทยในเวียดนามประจำวันที่ 9 กันยายน ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 150,000–152,000 ดองต่อกิโลกรัม โดยในเขตเพาะปลูกสำคัญอย่างดั๊กลักและลัมดงซื้อขายที่ 152,000 ดองต่อกิโลกรัม จังหวัดย่าลายอยู่ที่ 150,000 ดองต่อกิโลกรัม ส่วนภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้อย่างนครโฮจิมินห์และด่งนายคงระดับที่ 151,000 ดองต่อกิโลกรัม ทั้งหมดไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้า

ตลอด 8 เดือนแรกของปี 2568 เวียดนามนำเข้าพริกไทยรวม 34,524 ตัน มูลค่า 215.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นพริกไทยดำ 29,297 ตัน และพริกไทยขาว 5,227 ตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่าปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นกว่า 61% ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้นมากถึง 143% การขยายตัวที่ต่างกันเกือบสองเท่านี้สะท้อนว่าราคานำเข้าพริกไทยเฉลี่ยสูงขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้ผู้ประกอบการเวียดนามต้องแบกรับต้นทุนมากขึ้นสำหรับการแปรรูปและการส่งออก

บราซิลยังคงเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนามด้วยปริมาณ 17,506 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 117% คิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งของการนำเข้าทั้งหมด กัมพูชาอยู่อันดับสองด้วย 8,539 ตัน และอินโดนีเซีย 6,326 ตัน แม้ทั้งสองประเทศจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น แต่ส่วนแบ่งตลาดกลับลดลง เนื่องจากต้องแข่งขันกับอุปทานที่มีเสถียรภาพและราคาต่ำจากบราซิล

ในด้านบริษัทผู้นำเข้า Olam ยังคงเป็นผู้นำด้วยปริมาณ 8,268 ตัน เพิ่มขึ้นกว่า 10% ตามมาด้วย Pearl ที่ 2,823 ตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 2.4% ขณะที่ Nedspice ขยายตัวโดดเด่นที่สุดถึง 363% เป็น 2,287 ตัน สะท้อนกลยุทธ์การรุกเข้าสู่ตลาดอย่างแข็งขัน

สถานการณ์ตลาดโลกยังคงทรงตัว โดยข้อมูลจากสมาคมพริกไทยนานาชาติ (IPC) ณ วันที่ 8 กันยายน ระบุว่าพริกไทยดำลัมปุงของอินโดนีเซียอยู่ที่ 7,086 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน พริกไทยขาวมุนต็อก 10,042 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่วนพริกไทยดำ ASTA ของบราซิลขายที่ 6,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน มาเลเซียคงราคาพริกไทยดำ ASTA ที่ 9,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และพริกไทยขาว ASTA ที่ 12,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สำหรับเวียดนาม พริกไทยดำขนาด 500 กรัม/ลิตร อยู่ที่ 6,240 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขนาด 550 กรัม/ลิตร อยู่ที่ 6,370 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขณะที่พริกไทยขาวทรงตัวที่ 9,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทั้งหมดไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้า

ส่งออกไทยภายใต้ CBAM โตสวนกระแสโลก เหล็กและเหล็กกล้าผงาดนำตลาดอียู

ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกและทิศทางการค้าที่มุ่งสู่ความยั่งยืน การส่งออกสินค้าของไทยภายใต้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) ของสหภาพยุโรป กลับแสดงศักยภาพเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรกของ 2568 โดยมีมูลค่ารวม 203.63 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29.08% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สวนทางกับภาพรวมการส่งออกของไทยทั้งปี 2567 ที่หดตัวลง 5.68%

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ความสำเร็จดังกล่าวเป็นสัญญาณเชิงบวกที่สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการไทยต่อมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดอียูที่ถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่กำหนดมาตรฐานสูงสุดด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

กลุ่มสินค้าเหล็กและเหล็กกล้า ถือเป็นหัวหอกสำคัญของไทยในการขับเคลื่อนการส่งออกภายใต้ CBAM โดยมีมูลค่าส่งออก 169.78 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นกว่า 83% ของการส่งออกสินค้าประเภทนี้ทั้งหมดจากไทยไปยังอียู และขยายตัวสูงถึง 40.36% แม้ว่าภาพรวมการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าไปตลาดโลกจะหดตัว 15.19% ตัวเลขนี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่าสินค้าเหล็กของไทยสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดยุโรปที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและการผลิตที่ยั่งยืน

ในทางกลับกัน กลุ่มอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกลับประสบภาวะหดตัวต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าส่งออก 33.85 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 7.99% จากปีก่อน แม้ว่าการส่งออกไปตลาดโลกในกลุ่มนี้จะเติบโตได้กว่า 17% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความท้าทายของผู้ประกอบการไทยที่ต้องปรับตัวให้ทันกับข้อกำหนด CBAM ของยุโรป

มาตรการ CBAM ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของ “European Green Deal” ที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป CBAM จะบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ผู้นำเข้าสินค้าในอียูจะต้องซื้อและส่งมอบ “CBAM Certificate” ตามปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้าที่นำเข้า ซึ่งย่อมส่งผลต่อต้นทุนของผู้ประกอบการไทย

นายพูนพงษ์ย้ำว่า แม้มูลค่าการส่งออกไทยภายใต้ CBAM ไปยังอียูจะยังมีสัดส่วนเพียงราว 4.74% ของการส่งออก CBAM ไปทั่วโลก แต่การเติบโตที่โดดเด่นนี้สะท้อนถึงโอกาสและศักยภาพในการรักษาตลาดยุโรปไว้ ขณะเดียวกันยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการเจาะตลาดใหม่ ๆ ที่กำลังให้ความสำคัญกับมาตรการสิ่งแวดล้อมในลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสหราชอาณาจักร สหรัฐ หรือออสเตรเลีย

สำหรับผู้ประกอบการไทย ความท้าทายครั้งนี้จึงควรถูกมองเป็นโอกาสในการยกระดับขีดความสามารถ โดยต้องเร่งศึกษาและทำความเข้าใจระบบการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Embedded Emission) พร้อมลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดและกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกยุคใหม่ที่ “ความยั่งยืน” กำลังกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญสู่ความสำเร็จทางการค้า

L2D Page (83)

รถไฟจีน-ลาว พลิกเกมโลจิสติกส์ หนุนทุเรียนอาเซียนตีตลาดจีนทะลัก

การเดินรถไฟจีน-ลาวกำลังกลายเป็นกลไกสำคัญที่พลิกโฉมเส้นทางการค้าผลไม้ระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีน โดยเฉพาะในตลาดทุเรียนที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด สำนักข่าวซินหัวรายงานจากเมืองคุนหมิง ประเทศจีน ว่า ระบบโลจิสติกส์ที่ผสานเข้ากับเครือข่ายรถไฟและท่าด่านหงอวิ้น อินเตอร์เนชันแนล ซัพพลายเชน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 161,300 ตารางเมตร ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญในการเร่งรัดการขนส่งสินค้าเกษตรจากภูมิภาคสู่จีนแผ่นดินใหญ่

นายหลี่ หรงผิง ประธานบริษัทหงอวิ้น อินเตอร์เนชันแนล ซัพพลายเชน เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปลายปี 2563 บริษัทได้พัฒนาการผสานระบบโลจิสติกส์ทางรางเข้ากับสวนอุตสาหกรรมครบวงจร ช่วยให้บริการต่าง ๆ ครอบคลุมทั้งการจัดเก็บสินค้า การกระจาย การบรรจุหีบห่อ ไปจนถึงการซ่อมบำรุงตู้คอนเทเนอร์ จึงทำให้การเคลื่อนย้ายทุเรียนในฤดูส่งออกที่คึกคักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น ทุเรียนสดน้ำหนักราว 18 ตัน สามารถย้ายจากตู้คอนเทเนอร์รถไฟขึ้นสู่รถบรรทุกได้ภายในเวลาไม่ถึง 40 นาที ก่อนจะกระจายต่อไปยังตลาดค้าส่งผลไม้ในพื้นที่โดยรอบ

ในขณะเดียวกัน นายโอว เต้าชิง หัวหน้าฝ่ายการตลาดของสถานีท่าเรือบกนานาชาติคุนหมิง ระบุว่า รถไฟด่วนขนส่ง “ล้านช้าง–แม่โขง เอ็กซ์เพรส” ซึ่งวิ่งบนเส้นทางรถไฟจีน-ลาว ได้ย่นระยะเวลาการขนส่งทุเรียนจากนครเวียงจันทน์ของลาวถึงคุนหมิง เหลือเพียง 26 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้ผลไม้ยังคงความสดใหม่และคุณภาพรสชาติไม่ลดลง สอดรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของผู้บริโภคชาวจีน

เส้นทางรถไฟจีน-ลาวที่เปิดใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ 3 ธันวาคม 2564 ไม่เพียงสร้างความสะดวกสบายในการเชื่อมโยงการค้าระหว่างจีนกับอาเซียน แต่ยังช่วยแก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับการขนส่งทางรถยนต์และเรือ ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้าที่เกิดจากสภาพอากาศ ระยะเวลาขนส่งที่ยาวนาน หรือความเสียหายของผลไม้ระหว่างทาง

ข้อมูลจากการรถไฟแห่งประเทศจีน สาขาคุนหมิง ระบุว่า จนถึงวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา ปริมาณทุเรียนที่นำเข้าผ่านเส้นทางรถไฟจีน-ลาวสูงกว่า 150,000 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 91% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ารถไฟสายนี้กำลังกลายเป็น “เส้นเลือดหลัก” ของการค้าผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียน ที่กลายเป็นสินค้าหลักจากอาเซียนที่ผู้บริโภคชาวจีนให้ความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us