admin L2D

L2D Page (107)

ยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ Hub สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจในอนาคต

แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก: จุดบรรจบการค้าใหม่ของเอเชีย และโอกาสยุทธศาสตร์ที่ไทยต้องไม่พลาด
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในฐานะประธานสภาธุรกิจไทย–เมียนมา ผมได้เดินทางไปยังกรุงย่างกุ้งเพื่อร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับสมาคมนักธุรกิจไทยในเมียนมา (TBAM) สภาธุรกิจเมียนมา–ไทย ภายใต้การดูแลของ UMFCCI และสมาคมการเดินขนส่งทางเรือเมียนมา (MIFFA) ความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของภาคเอกชนทั้งสองประเทศ เพื่อผลักดันการค้าและการลงทุนให้เดินหน้าอย่างยั่งยืน โดยบรรยากาศการหารือร่วมกันสะท้อนถึงความตั้งใจที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตไปพร้อมกันอย่างแท้จริง

ระหว่างพูดคุย มีสมาชิกท่านหนึ่งหยิบยกแนวคิดการพัฒนาเมืองท่าขี้เหล็ก–อำเภอแม่สาย ให้เป็น “จุดบรรจบ 5 ทิศทาง” และเป็นกุญแจเชื่อมตลาดประชากรหลายร้อยล้านคนในภูมิภาคนี้ แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์เมียนมา ซึ่งต้องการพลิกโฉมพื้นที่ชายแดนให้กลายเป็น “สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจยุคใหม่” หากเกิดขึ้นจริง ผลประโยชน์จะกระจายไปยังทุกประเทศที่เชื่อมโยงอยู่ในเส้นทางนี้อย่างไม่อาจประเมินค่าได้

ด้วยธรรมชาติของโลกยุคโลกาภิวัตน์ พรมแดนไม่ใช่กำแพง แต่คือจุดเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การยกระดับจากการค้าชายแดนแบบดั้งเดิมไปสู่การสร้าง “ศูนย์กลางโลจิสติกส์” หรือ Logistics Hub อย่างเป็นระบบจึงเป็นความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ พื้นที่แม่สาย–ท่าขี้เหล็กคือจุดยุทธศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดในเวลานี้ เพราะสามารถเชื่อมต่อได้ถึง 5 ตลาดใหญ่ ได้แก่ ไทย เมียนมา จีนตอนใต้ อินเดีย (เอเชียใต้) และลาวซึ่งเป็นประตูไปสู่เวียดนาม การลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่นี้จึงไม่ใช่เพียงการอำนวยความสะดวกด้านการค้า แต่คือการเปิดประตูเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค

แรงส่งสำคัญของแนวคิดนี้มาจากโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นโดยรอบ โดยเฉพาะจากฝั่งจีน ผมเพิ่งมีโอกาสเข้าร่วมประชุมที่เมืองยวี่ซี (Yuxi) ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาให้เป็นฐานโลจิสติกส์ตอนใต้ของมณฑลยูนนาน ด้วยเป้าหมายรองรับการค้ากับอาเซียนอย่างจริงจัง การเชื่อมต่อผ่านถนน R3A และ R3B รวมถึงเครือข่ายรถไฟจีน–ลาว จะทำให้เส้นทางนี้กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าระดับภูมิภาค ในขณะเดียวกัน ไทยเองก็กำลังเดินหน้าโครงการรถไฟรางคู่ เด่นชัย–เชียงของ ซึ่งจะเป็นตัวเร่งสำคัญ ทำให้ขนส่งสินค้าปริมาณมากจากชายแดนภาคเหนือเข้าสู่ท่าเรือหลักทางภาคกลางและตะวันออกได้รวดเร็วและประหยัดต้นทุนมากกว่าเดิมหลายเท่า

อีกด้านหนึ่ง เมียนมาก็มีบทบาทสำคัญในการเป็น “จุดตั้งต้น” ของการเชื่อมต่อสู่ตลาดอินเดีย ผ่านโครงการถนนสามฝ่าย (Trilateral Highway) ไทย–เมียนมา–อินเดีย ซึ่งจะเปิดเส้นทางการค้าใหม่จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังเอเชียใต้โดยตรง สร้างโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การค้าระดับภูมิภาค

หากศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่แม่สาย–ท่าขี้เหล็กสามารถเกิดขึ้นได้จริง หน้าที่ของพื้นที่นี้จะเปลี่ยนจาก “จุดผ่านแดน” ไปเป็น “หัวใจของการกระจายสินค้าในภูมิภาค” ทำให้เกิดศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า (Consolidation & Distribution Center) ที่สามารถนำสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยเข้าสู่ตลาดรัฐฉานและตอนบนของเมียนมา พร้อมกันนั้นยังรวบรวมสินค้าเกษตรและสินค้าแปรรูปจากเมียนมาตอนบน เพื่อส่งออกสู่ตลาดจีนด้วยระบบ Cold Chain ที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังมีศักยภาพในการเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งระหว่างถนน–ราง เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและลดต้นทุนในการเชื่อมต่อกับท่าเรือของไทย

อย่างไรก็ตาม การสร้าง Logistics Hub ระดับภูมิภาคจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและความผันผวนในพื้นที่ชายแดนเป็นพิเศษ ตั้งแต่ความเสี่ยงด้านความมั่นคง ไปจนถึงความผันผวนของกฎระเบียบในเมียนมา การบริหารจัดการความเสี่ยงจึงต้องครอบคลุมทั้งด้านความปลอดภัย ความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และการมีพันธมิตรท้องถิ่นที่เชื่อถือได้ การใช้แนวคิด “Dual-Hub Strategy” คือการให้ท่าขี้เหล็กทำหน้าที่เป็น Mini-Hub สำหรับการรวบรวมสินค้าเบื้องต้น ขณะที่แม่สายทำหน้าที่เป็น Major-Hub สำหรับกิจกรรมที่มีมูลค่าสูงและมีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น งานศุลกากรและเอกสาร นับว่าเป็นแนวทางที่เหมาะสมอย่างยิ่งในเชิงปฏิบัติ

นอกจากนี้ การลงทุนควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเน้นสินทรัพย์ที่ยืดหยุ่นและเคลื่อนย้ายได้ง่าย เช่น คลังสินค้าแบบ Modular เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และต้องให้ความสำคัญกับสินค้าในกลุ่มมูลค่าเพิ่ม เช่น ผลิตผลเกษตรที่ต้องการระบบควบคุมอุณหภูมิ ตลอดจนการบูรณาการเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นระบบติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์ ระบบจัดการเส้นทาง หรือระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในสภาวะไม่แน่นอน

สุดท้ายแล้ว การสร้าง Logistics Hub บริเวณแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก ไม่ได้เป็นเพียงการมองหาโอกาสในมิติของการค้าเท่านั้น แต่คือการวางเดิมพันบนอนาคตของ “เศรษฐกิจเอเชีย” ทั้งภูมิภาคนี้กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ หากไทยและเมียนมาสามารถผสานศักยภาพของตนเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของจีนและไทยได้อย่างลงตัว พื้นที่นี้จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่สำคัญในอนาคต

สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือการผลักดันความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถพัฒนาและยกระดับการขนส่งข้ามพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากโลจิสติกส์ฮับแห่งนี้เกิดขึ้นจริง มันจะไม่เพียงช่วยเชื่อมผู้คนหลายร้อยล้านคนในห้าประเทศเท่านั้น แต่ยังจะเปิดช่องทางใหม่ให้สินค้าไทยเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ได้ง่ายขึ้น และทำให้ภูมิภาคนี้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเติบโตเศรษฐกิจที่สำคัญของเอเชียอย่างแท้จริง

L2D Page (106)

‘คมนาคม’ เร่งเครื่อง ‘บัญชีสีเขียว’ สกัดรถควันดำเข้ากรุงเทพฯ แก้ฝุ่น PM 2.5

ด้านนางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญสูงสุดต่อการรับมือและลดปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยได้เร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์สะอาดอย่างจริงจัง ทั้งการผลักดันให้เพิ่มสัดส่วนรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (EV) และรถที่ใช้มาตรฐานเครื่องยนต์ Euro 5 มาแทนที่รถโดยสารรุ่นเก่าที่มีการปล่อยมลพิษสูง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณควันดำและฝุ่น PM 2.5 จากภาคขนส่งได้โดยตรง

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังได้กำชับให้กรมการขนส่งทางบกบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการตรวจวัดควันดำจากรถบรรทุกและรถโดยสารทั่วประเทศ รวมถึงสนับสนุนมาตรการเขตควบคุมการปล่อยมลพิษต่ำ (Low Emission Zone) ของกรุงเทพมหานคร เพื่อจำกัดการเข้าพื้นที่ของรถที่ปล่อยควันดำเกินมาตรฐานในช่วงที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับวิกฤติ พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าร่วม “บัญชีสีเขียว” หรือ Green List เพื่อรับรองว่ารถได้รับการบำรุงรักษาและพร้อมใช้งานโดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษเกินค่ามาตรฐาน

ด้านนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมฯ เดินหน้าสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าผ่านมาตรการด้านภาษี และจัดชุดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจวัดควันดำจากรถบรรทุกและรถโดยสารทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง พร้อมประสานความร่วมมือกับกรุงเทพมหานครในการตรวจสอบสถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางควบคุมมลพิษเป็นไปตามมาตรฐาน

สำหรับมาตรการเขตมลพิษต่ำที่กรุงเทพมหานครเตรียมดำเนินการ จะห้ามรถโดยสารและรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปที่ปล่อยมลพิษสูงไม่ให้เข้าสู่เขตเมืองในช่วงสถานการณ์ PM 2.5 รุนแรง แต่จะยกเว้นให้เฉพาะรถที่ได้รับการบำรุงรักษาตามมาตรฐาน เช่น การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศอย่างถูกต้อง รวมถึงรถประเภท EV, NGV และรถที่ผ่านมาตรฐาน Euro 5–6 ซึ่งได้ลงทะเบียนอยู่ในบัญชีสีเขียวเรียบร้อยแล้ว สามารถเข้าพื้นที่ทั้ง 50 เขตของกรุงเทพมหานครได้ เพื่อให้ระบบขนส่งยังคงเดินต่อได้โดยไม่เพิ่มภาระมลพิษ

กรมการขนส่งทางบกยังเน้นย้ำให้ผู้ประกอบการดูแลรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ทั้งการตรวจเช็กเครื่องยนต์ การทำความสะอาดระบบกรองอากาศ การปรับตั้งหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงดูแลระบบน้ำมันเชื้อเพลิงให้สะอาดเพื่อลดการปล่อยมลพิษจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับรถบรรทุกที่ไม่มีหลังคา โดยต้องมีผ้าใบคลุมสัมภาระหรือสิ่งของที่บรรทุกให้แน่นหนา เพื่อป้องกันเศษวัสดุตกหล่นหรือปลิวกระจายจนกลายเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น PM 2.5

กรมฯ ยังเดินหน้าดำเนินการเชิงรุกในการควบคุมมลพิษ โดยจัดเจ้าหน้าที่ออกตรวจวัดควันดำตามเส้นทางหลักและเส้นทางรองทั่วประเทศตามมาตรฐานกฎหมาย พร้อมประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การแก้ปัญหามลพิษทางอากาศเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในทุกมิติ และนำไปสู่การสร้างคุณภาพชีวิตที่ปลอดภัยและยั่งยืนให้กับประชาชน.

L2D Page (105)

ครม. ญี่ปุ่น อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 4.4 ล้านล้าน หวังบรรเทาพิษเงินเฟ้อ

ญี่ปุ่นทุ่มงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 21.3 ล้านล้านเยน สู้เงินเฟ้อ–พยุงค่าเงินท่ามกลางแรงกดดันการเมืองและความตึงเครียดทางการทูต
คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ ได้อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 21.3 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทั้งเงินอุดหนุนด้านพลังงานและการลดหย่อนภาษี เพื่อบรรเทาผลกระทบของเงินเฟ้อต่อครัวเรือนและภาคธุรกิจ มาตรการดังกล่าวนับเป็นชุดกระตุ้นเศรษฐกิจของผู้นำญี่ปุ่นคนที่ห้าภายในรอบห้าปี สะท้อนแรงกดดันของรัฐบาลในการแก้ไขภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรีทาคาอิจิเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยให้คำมั่นว่าจะจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อที่สร้างความไม่พอใจให้ประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้นายชิเงรุ อิชิบะ ต้องพ้นจากตำแหน่งหลังดำรงตำแหน่งเพียงหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม แพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ครั้งนี้ได้สร้างความกังวลว่าหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นซึ่งอยู่ในระดับสูงอยู่แล้วอาจเพิ่มขึ้นจนกระทบเสถียรภาพทางการเงิน ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และกดดันให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์

การอ่อนค่าของเงินเยนยังทำให้ต้นทุนการนำเข้าพุ่งสูง เนื่องจากญี่ปุ่นพึ่งพาอาหาร พลังงาน และวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลเริ่มส่งสัญญาณการแทรกแซงในตลาดเงิน โดยนายซัตสึกิ คาตายามะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่าจะดำเนินการอย่างเหมาะสมหากพบความผันผวนที่ไม่มีระเบียบในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน

นักวิเคราะห์หลายฝ่ายสะท้อนความกังวลเช่นเดียวกัน มาร์การิตา เอสเตเวซ-อาเบ จากมหาวิทยาลัย Syracuse ระบุว่า ญี่ปุ่นใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวมานานเกินไปโดยไม่ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ขณะที่หนี้สาธารณะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เธอชี้ว่าการอ่อนค่าของเงินเยนจะยิ่งเพิ่มภาระค่าครองชีพของประชาชนด้วยราคาสินค้าที่สูงขึ้น

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ นายกรัฐมนตรีทาคาอิจิยังย้ำถึงเป้าหมายในการใช้นโยบายการคลังอย่างรับผิดชอบควบคู่ไปกับความเชิงรุก โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการควบคุมราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลทางการล่าสุด อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนตุลาคมปรับเพิ่มขึ้น 3.0% จากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะราคา “ข้าว” ซึ่งสูงขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

นอกจากความท้าทายด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ ญี่ปุ่นยังเผชิญแรงกดดันด้านการทูตจากจีน หลังนายกรัฐมนตรีทาคาอิจิแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับไต้หวัน ทำให้จีนเรียกเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นเข้าพบ และแนะนำให้ชาวจีนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่น ซึ่งกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันยังมีรายงานว่าปักกิ่งอาจระงับการนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่น แม้ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ

ความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นหลังทาคาอิจิระบุว่า ญี่ปุ่นอาจจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงทางทหารหากเกิดการโจมตีไต้หวัน สหรัฐอเมริกาจึงออกแถลงการณ์ย้ำความมั่นคงของพันธมิตรสหรัฐ–ญี่ปุ่น รวมถึงการปกป้องหมู่เกาะเซนกากุ พร้อมคัดค้านการเปลี่ยนแปลงสถานะปัจจุบันในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

L2D Page (104)

เตรียมเฮ! 'ขึ้นมอเตอร์เวย์ฟรี' ปีใหม่ 2569 ยาว 7 วัน คมนาคมยกร่างกฎหมายแล้ว

คมนาคมเคาะแนวทางยกเว้นค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์ช่วงปีใหม่ 2569 เปิดรับฟังความเห็นสาธารณะแล้ว
กระทรวงคมนาคมโดยกรมทางหลวงได้เดินหน้ายกร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวถูกจัดทำเสร็จเรียบร้อยและอยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน เพื่อให้มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันตามกำหนดช่วงวันหยุดยาวปลายปี

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมระบุว่า มาตรการยกเว้นค่าผ่านทางมีความจำเป็น เนื่องจากในช่วงเทศกาลปีใหม่ประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยว ทำให้การจราจรทุกเส้นทางโดยรอบกรุงเทพมหานครและปริมณฑลติดขัดอย่างหนัก การเปิดให้ใช้มอเตอร์เวย์ฟรีในระยะเวลาดังกล่าวจึงช่วยเพิ่มความคล่องตัว ลดความแออัดบริเวณด่านเก็บเงิน และสนับสนุนให้ประชาชนเดินทางได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ลดค่าครองชีพ รวมถึงช่วยลดการใช้พลังงานและมลพิษจากการจราจรที่ติดขัด

ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้กำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมบนมอเตอร์เวย์ทั้งสองสาย ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 30 ธันวาคม 2568 จนถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 5 มกราคม 2569 โดยครอบคลุมทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพ–บ้านฉาง ทั้งตอนกรุงเทพฯ–เมืองพัทยา รวมทางแยกเชื่อมบางวัว ชลบุรี ท่าเรือแหลมฉบัง และพัทยา ตลอดจนตอนบ้านหนองปรือ–บ้านฉาง ซึ่งอยู่ภายใต้กฎกระทรวงปี 2564

ส่วนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ครอบคลุมทั้งตอนพระประแดง–ต่างระดับบางขุนเทียน บนถนนกาญจนาภิเษกตามกฎกระทรวงปี 2555 รวมถึงช่วงบางปะอิน–บางพลี ซึ่งอ้างอิงตามกฎกระทรวงปี 2558 เมื่อร่างกฎหมายผ่านความเห็นชอบและประกาศใช้ ประชาชนจะสามารถใช้มอเตอร์เวย์ทั้งสองเส้นทางได้โดยไม่เสียค่าผ่านทางตลอดเจ็ดวันช่วงปีใหม่

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us