News

L2D Page (110)

รมช.คมนาคม สั่งสนามบินเตรียมแผนฉุกเฉิน รับมือฝนตกหนัก 9 จว.ใต้

คมนาคมสั่งสนามบินใต้เฝ้าระวังเต็มกำลัง หลัง 9 จังหวัดเสี่ยงน้ำท่วมหนัก – นราธิวาสเปิดทางเข้าออกได้เพียงช่องเดียว

สถานการณ์ฝนตกหนักในภาคใต้สร้างความกังวลต่อระบบการบินในหลายจังหวัด กระทรวงคมนาคมเปิดเผยมาตรการเข้มเพื่อรองรับความเสี่ยง หลังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประเมินว่า พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาสอาจเผชิญน้ำท่วมและดินถล่มจากฝนตกหนักมาก ขณะที่นครศรีธรรมราช กระบี่ ตรัง และสตูลยังมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากฝนอย่างต่อเนื่อง

น.ส.มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมท่าอากาศยานเฝ้าติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยท่าอากาศยานทุกแห่งในภาคใต้ต้องเตรียมพร้อมปฏิบัติตามแผนบรรเทาสาธารณภัยอย่างเคร่งครัด พร้อมตรวจสอบพื้นที่รอบสนามบินเพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำกระทบต่อการขึ้นลงของอากาศยาน เจ้าหน้าที่ในสนามบินถูกกำชับให้ตรวจวัดระดับน้ำทั้งภายในและภายนอกสนามบินอย่างต่อเนื่อง ตรวจสอบรางระบายน้ำเพื่อไม่ให้เกิดการอุดตัน และเตรียมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองเพื่อรองรับกรณีระบบไฟฟ้าขัดข้อง

รมช.คมนาคมระบุว่า การเตรียมแผนฉุกเฉินเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ จึงได้มอบหมายให้กรมท่าอากาศยานสนับสนุนประชาชนในพื้นที่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอำนวยความสะดวกให้เครื่องบินทหาร เครื่องบินแพทย์ และเครื่องบินของ ปภ. เข้าบินนำส่งอุปกรณ์หรือทีมช่วยเหลือ รวมถึงเตรียมรถฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อช่วยทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะและบ้านเรือนเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย

ด้านนายดนัย เรืองสอน อธิบดีกรมท่าอากาศยาน รายงานว่าท่าอากาศยานที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือท่าอากาศยานนราธิวาส ซึ่งฝนที่ตกหนักต่อเนื่องทำให้เกิดน้ำขังบริเวณหัวทางวิ่ง โดยกรมท่าอากาศยานร่วมกับป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดได้ประสานขอกำลังสนับสนุนจาก ปภ. เขต 12 จังหวัดสงขลา เพื่อติดตั้งเครื่องสูบน้ำระยะไกลเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่การบิน ป้องกันไม่ให้กระทบต่อความปลอดภัยของอากาศยานและผู้โดยสาร

สถานการณ์การเดินทางมายังสนามบินนราธิวาสยังคงได้รับผลกระทบ เส้นทางเข้าออกเปิดใช้ได้เพียงหนึ่งช่องทาง ขณะที่บริเวณลานจอดรถยนต์ถูกน้ำท่วมจนไม่สามารถให้บริการได้ ส่วนสนามบินอื่นของกรมท่าอากาศยานในพื้นที่ภาคใต้ยังเปิดให้บริการตามปกติ ระดับน้ำบนพื้นผิวทางวิ่ง ทางขับ และลานจอดอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถใช้งานได้ ระบบระบายน้ำและระบบป้องกันน้ำท่วมยังทำงานได้ดี

อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารในจังหวัดที่ประสบฝนตกหนักยังต้องใช้ความระมัดระวังในการสัญจร โดยเฉพาะรถขนาดเล็กที่อาจได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมขัง กรมท่าอากาศยานจึงแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารเผื่อเวลาเดินทางมายังสนามบินอย่างน้อย 3–4 ชั่วโมง พร้อมยืนยันว่าจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนทราบทันทีหากมีเหตุเร่งด่วน

L2D Page (109)

'โลจิสติกส์สีเขียว' โอกาสทองของเศรษฐกิจเกิดใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อม

โลจิสติกส์สีเขียว: โอกาสเชิงยุทธศาสตร์ของเศรษฐกิจเกิดใหม่

ภาคโลจิสติกส์กำลังก้าวสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของโลก เศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตของอีคอมเมิร์ซได้ผลักดันให้ความต้องการขนส่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดโลจิสติกส์ทั่วโลกอาจทะลุเกิน 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2571 ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมนี้ยังเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นสัดส่วนราว 11% ของการปล่อยทั้งหมด นำมาซึ่งโจทย์สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่ทุกประเทศต้องเร่งรับมือ

ภาคโลจิสติกส์ซึ่งเป็นกลไกหลักของการค้าโลกและเป็นแหล่งจ้างงานกว่า 10% ของประชากรโลกกำลังเผชิญแรงกดดันสามด้าน ได้แก่ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการค้า ความเร่งด่วนของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล ความท้าทายเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังต้องการการยกระดับ ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และข้อกำหนดด้านการลดคาร์บอนที่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการขนส่งทางถนนและทางรางที่คาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วตามกระแสอีคอมเมิร์ซ ซึ่งถูกประเมินว่าจะขยายตัวมากกว่า 2.7 เท่าภายในปี 2593

จากบริบทดังกล่าว แนวคิด “โลจิสติกส์สีเขียว” จึงถูกหยิบยกขึ้นเป็นทางออกสำคัญที่ช่วยให้ภาคโลจิสติกส์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้พร้อมกัน รายงาน Green Logistics Innovation for Emerging Markets: Driving Competitiveness and Shared Value ได้ตีแผ่ว่า นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในโลจิสติกส์มีศักยภาพครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่เชื้อเพลิงสะอาดและยานยนต์พลังงานทางเลือก ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ทั้งหมดนี้สะท้อนโอกาสใหม่ของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ รวมถึงไทย ซึ่งสามารถนำแนวทางเหล่านี้ไปต่อยอดเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

สำหรับประเทศไทย บทบาทในฐานะศูนย์กลางการค้าและการผลิตของอาเซียนทำให้ประเทศมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ต่อการก้าวสู่ระบบโลจิสติกส์สีเขียว การลงทุนขนาดใหญ่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) การพัฒนาระบบราง รถไฟทางคู่ และท่าเรือน้ำลึก ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับขนส่งที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร รวมถึงหน่วยงานวิจัยด้านโลจิสติกส์ต่างชี้ให้เห็นความพยายามร่วมของภาครัฐและเอกชนในการนำแนวคิดสีเขียวมาใช้ ตั้งแต่การสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและเชื้อเพลิงชีวภาพในภาคขนส่ง ไปจนถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT และระบบติดตามเส้นทาง เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนและลดการใช้พลังงานระหว่างการขนส่ง

เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง มีการเสนอ “พิมพ์เขียว 4 ขั้น” ที่ทุกฝ่ายสามารถนำไปใช้ร่วมกันได้ ขั้นแรกคือการสร้างกรอบนโยบายที่บูรณาการและชัดเจน โดยเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ระดับชาติไปสู่แผนการทำงานเฉพาะภาคธุรกิจ พร้อมมาตรการจูงใจ เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนระยะยาว ขั้นต่อมาคือการผลักดันกลไกการระดมทุนสีเขียว ทั้งจากภาครัฐ นักลงทุนเอกชน ไปจนถึงการใช้รูปแบบการเงินผสม เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการขนาดเล็กสามารถเข้าถึงเงินทุนที่จำเป็นได้ง่ายขึ้น

การยกระดับทักษะของแรงงานถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะการจัดการโลจิสติกส์สมัยใหม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ด้านดิจิทัลและการคำนวณคาร์บอนอย่างแม่นยำ การจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมที่ตอบโจทย์จริงในอุตสาหกรรมจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายคือความร่วมมือของทุกภาคส่วนในระบบนิเวศ ทั้งภาครัฐ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ เจ้าของสินค้า สถาบันการเงิน และภาควิชาการ ซึ่งต้องจับมือกันกำหนดมาตรฐานร่วม พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และแบ่งปันข้อมูล เพื่อเร่งการปรับใช้เทคโนโลยีสีเขียวในวงกว้าง

ท้ายที่สุด การเปลี่ยนผ่านสู่โลจิสติกส์สีเขียวในระดับโลกไม่อาจเกิดขึ้นได้จากผู้เล่นรายใดรายหนึ่ง หากแต่ต้องอาศัยการประสานพลังจากทั้งห่วงโซ่คุณค่า การกำหนดกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกัน การสนับสนุนด้านเงินทุน และการสร้างความร่วมมืออย่างจริงจังคือรากฐานสำคัญที่จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเดินหน้าไปพร้อมกับความยั่งยืนของโลกในระยะยาว

L2D Page (108)

ไทยเร่งดีล FTA 3 ตลาด หวังลดพึ่งส่งออกตลาดสหรัฐ กระจายความเสี่ยง

ไทยเร่งขยายข้อตกลงการค้าเสรี 3 ฉบับใหม่ กระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งตลาดสหรัฐ
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 สหรัฐยังคงเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย โดยมีมูลค่าส่งออกสูงถึง 52,109 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 28.6% จากปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วนกว่า 20.5% ของการส่งออกทั้งหมด ขณะที่จีนเป็นตลาดใหญ่อันดับสอง ส่งออกมูลค่า 30,667 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16.1% หรือคิดเป็น 12.1% ของยอดส่งออกไทย แม้ภาพรวมการส่งออกจะขยายตัว แต่ความเสี่ยงที่ไทยต้องเผชิญเพิ่มสูงขึ้น เมื่อสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยอีก 19% ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งเดินหน้ากลยุทธ์กระจายตลาดอย่างจริงจัง เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐในสัดส่วนที่มากเกินไป

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ย้ำว่ากลยุทธ์ส่งออกของไทยต้องเปลี่ยนผ่านอย่างเด็ดขาดไปสู่แนวคิด “Balance–Inclusive–Diversify” ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาตลาดเดิม การเจาะตลาดใหม่ และการเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานใหม่ของโลก พร้อมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในอาเซียนและเอเชียแปซิฟิก โดยใช้จุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งและโครงสร้างพื้นฐานของไทยอย่างเต็มที่

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า นโยบายขยายตลาดใหม่ถูกจัดเป็นหนึ่งใน “Quick Big Win” ที่กระทรวงพาณิชย์นำเสนอและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีภารกิจสำคัญคือการเร่งผลักดันการเปิดเสรีทางการค้า (FTA) 3 ฉบับให้มีผลในหนึ่งปี เพื่อเพิ่มการค้า มูลค่าการลงทุน และจีดีพีของประเทศในระยะยาว ได้แก่ FTA ไทย–EFTA ที่ตั้งเป้านำเสนอรัฐสภาในเดือนมกราคม 2569 FTA ไทย–สหภาพยุโรป ที่อยู่ระหว่างการปิดประเด็นที่ยังค้างคา และ FTA ไทย–เกาหลีใต้ ที่มีกำหนดสรุปประเด็นสำคัญภายในเดือนธันวาคม 2568 กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า ความสำเร็จของ FTA เหล่านี้จะช่วยสร้างมูลค่าทางการค้าเพิ่ม 8,750 ล้านบาทภายในเวลาเพียง 4 เดือนแรก และมากกว่า 139,000 ล้านบาทภายในหนึ่งปี

ควบคู่กับการเร่งเจรจา FTA กระทรวงพาณิชย์ยังเดินหน้าขยายตลาดใหม่ผ่านโครงการ “Special Task Force: STF” ภายใต้นโยบาย Quick Big Win เพื่อผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดศักยภาพใหม่ ไม่ว่าจะเป็นจีนตะวันตก เช่น เฉิงตู ฉงชิ่ง และสิบสองปันนา สำหรับสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และอาหารสัตว์เลี้ยง ตลาดอาเซียนอย่างเวียดนาม สำหรับสินค้าแม่และเด็ก รวมถึงตลาดอินเดีย โดยเฉพาะเมืองมุมไบ สำหรับสินค้าและบริการด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้คาดว่าจะทำให้ไทยเพิ่มมูลค่าการค้าได้ไม่น้อยกว่า 190 ล้านบาทในระยะแรก และตั้งเป้ายอดการส่งออกไปตลาดใหม่รวมไม่น้อยกว่า 95,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตอย่างน้อย 9% จากปีที่แล้ว

สำหรับปี 2569 รัฐบาลเตรียมบุกตลาดใหม่เพิ่มเติมในยุโรป ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา ไปจนถึงเอเชียใต้และรัสเซีย พร้อมวางแผนส่งออกสินค้าให้เหมาะสมกับลักษณะของแต่ละภูมิภาค เช่น สินค้าอุตสาหกรรมหนักและเครื่องจักรสำหรับตลาดแอฟริกา สินค้าอาหารและแฟชั่นสำหรับตลาดยุโรป โดยจะใช้ประโยชน์จาก FTA ใหม่และเครือข่ายพันธมิตรการค้าอย่างเต็มที่

ด้านสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นพ้องกับรัฐบาลว่า การขยายตลาดใหม่เป็นภารกิจสำคัญของประเทศในปี 2568–2569 เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าที่อาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดจากมาตรการกีดกันทางการค้า สศช. ยังเสนอให้เร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ พร้อมทั้งเตรียมศึกษาตลาดศักยภาพใหม่ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิต การขจัดอุปสรรคด้านกฎระเบียบของประเทศคู่ค้า และการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

แม้ว่าสหรัฐจะยังเป็นตลาดส่งออกสำคัญที่สุดของไทย แต่รัฐบาลยืนยันว่าการเจรจาการค้ากับสหรัฐยังคงต้องเดินหน้าต่อ เพื่อรักษาแรงส่งของการค้าไทย ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสมดุลใหม่ให้ระบบเศรษฐกิจโดยการขยายตลาด กระจายความเสี่ยง และเพิ่มพลังแข่งขันของการส่งออกไทยให้ยั่งยืนในระยะยาว

L2D Page (107)

ยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ Hub สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจในอนาคต

แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก: จุดบรรจบการค้าใหม่ของเอเชีย และโอกาสยุทธศาสตร์ที่ไทยต้องไม่พลาด
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในฐานะประธานสภาธุรกิจไทย–เมียนมา ผมได้เดินทางไปยังกรุงย่างกุ้งเพื่อร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับสมาคมนักธุรกิจไทยในเมียนมา (TBAM) สภาธุรกิจเมียนมา–ไทย ภายใต้การดูแลของ UMFCCI และสมาคมการเดินขนส่งทางเรือเมียนมา (MIFFA) ความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของภาคเอกชนทั้งสองประเทศ เพื่อผลักดันการค้าและการลงทุนให้เดินหน้าอย่างยั่งยืน โดยบรรยากาศการหารือร่วมกันสะท้อนถึงความตั้งใจที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตไปพร้อมกันอย่างแท้จริง

ระหว่างพูดคุย มีสมาชิกท่านหนึ่งหยิบยกแนวคิดการพัฒนาเมืองท่าขี้เหล็ก–อำเภอแม่สาย ให้เป็น “จุดบรรจบ 5 ทิศทาง” และเป็นกุญแจเชื่อมตลาดประชากรหลายร้อยล้านคนในภูมิภาคนี้ แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์เมียนมา ซึ่งต้องการพลิกโฉมพื้นที่ชายแดนให้กลายเป็น “สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจยุคใหม่” หากเกิดขึ้นจริง ผลประโยชน์จะกระจายไปยังทุกประเทศที่เชื่อมโยงอยู่ในเส้นทางนี้อย่างไม่อาจประเมินค่าได้

ด้วยธรรมชาติของโลกยุคโลกาภิวัตน์ พรมแดนไม่ใช่กำแพง แต่คือจุดเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การยกระดับจากการค้าชายแดนแบบดั้งเดิมไปสู่การสร้าง “ศูนย์กลางโลจิสติกส์” หรือ Logistics Hub อย่างเป็นระบบจึงเป็นความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ พื้นที่แม่สาย–ท่าขี้เหล็กคือจุดยุทธศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดในเวลานี้ เพราะสามารถเชื่อมต่อได้ถึง 5 ตลาดใหญ่ ได้แก่ ไทย เมียนมา จีนตอนใต้ อินเดีย (เอเชียใต้) และลาวซึ่งเป็นประตูไปสู่เวียดนาม การลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่นี้จึงไม่ใช่เพียงการอำนวยความสะดวกด้านการค้า แต่คือการเปิดประตูเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค

แรงส่งสำคัญของแนวคิดนี้มาจากโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นโดยรอบ โดยเฉพาะจากฝั่งจีน ผมเพิ่งมีโอกาสเข้าร่วมประชุมที่เมืองยวี่ซี (Yuxi) ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาให้เป็นฐานโลจิสติกส์ตอนใต้ของมณฑลยูนนาน ด้วยเป้าหมายรองรับการค้ากับอาเซียนอย่างจริงจัง การเชื่อมต่อผ่านถนน R3A และ R3B รวมถึงเครือข่ายรถไฟจีน–ลาว จะทำให้เส้นทางนี้กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าระดับภูมิภาค ในขณะเดียวกัน ไทยเองก็กำลังเดินหน้าโครงการรถไฟรางคู่ เด่นชัย–เชียงของ ซึ่งจะเป็นตัวเร่งสำคัญ ทำให้ขนส่งสินค้าปริมาณมากจากชายแดนภาคเหนือเข้าสู่ท่าเรือหลักทางภาคกลางและตะวันออกได้รวดเร็วและประหยัดต้นทุนมากกว่าเดิมหลายเท่า

อีกด้านหนึ่ง เมียนมาก็มีบทบาทสำคัญในการเป็น “จุดตั้งต้น” ของการเชื่อมต่อสู่ตลาดอินเดีย ผ่านโครงการถนนสามฝ่าย (Trilateral Highway) ไทย–เมียนมา–อินเดีย ซึ่งจะเปิดเส้นทางการค้าใหม่จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังเอเชียใต้โดยตรง สร้างโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การค้าระดับภูมิภาค

หากศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่แม่สาย–ท่าขี้เหล็กสามารถเกิดขึ้นได้จริง หน้าที่ของพื้นที่นี้จะเปลี่ยนจาก “จุดผ่านแดน” ไปเป็น “หัวใจของการกระจายสินค้าในภูมิภาค” ทำให้เกิดศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า (Consolidation & Distribution Center) ที่สามารถนำสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยเข้าสู่ตลาดรัฐฉานและตอนบนของเมียนมา พร้อมกันนั้นยังรวบรวมสินค้าเกษตรและสินค้าแปรรูปจากเมียนมาตอนบน เพื่อส่งออกสู่ตลาดจีนด้วยระบบ Cold Chain ที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังมีศักยภาพในการเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งระหว่างถนน–ราง เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและลดต้นทุนในการเชื่อมต่อกับท่าเรือของไทย

อย่างไรก็ตาม การสร้าง Logistics Hub ระดับภูมิภาคจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและความผันผวนในพื้นที่ชายแดนเป็นพิเศษ ตั้งแต่ความเสี่ยงด้านความมั่นคง ไปจนถึงความผันผวนของกฎระเบียบในเมียนมา การบริหารจัดการความเสี่ยงจึงต้องครอบคลุมทั้งด้านความปลอดภัย ความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และการมีพันธมิตรท้องถิ่นที่เชื่อถือได้ การใช้แนวคิด “Dual-Hub Strategy” คือการให้ท่าขี้เหล็กทำหน้าที่เป็น Mini-Hub สำหรับการรวบรวมสินค้าเบื้องต้น ขณะที่แม่สายทำหน้าที่เป็น Major-Hub สำหรับกิจกรรมที่มีมูลค่าสูงและมีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น งานศุลกากรและเอกสาร นับว่าเป็นแนวทางที่เหมาะสมอย่างยิ่งในเชิงปฏิบัติ

นอกจากนี้ การลงทุนควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเน้นสินทรัพย์ที่ยืดหยุ่นและเคลื่อนย้ายได้ง่าย เช่น คลังสินค้าแบบ Modular เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และต้องให้ความสำคัญกับสินค้าในกลุ่มมูลค่าเพิ่ม เช่น ผลิตผลเกษตรที่ต้องการระบบควบคุมอุณหภูมิ ตลอดจนการบูรณาการเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นระบบติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์ ระบบจัดการเส้นทาง หรือระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในสภาวะไม่แน่นอน

สุดท้ายแล้ว การสร้าง Logistics Hub บริเวณแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก ไม่ได้เป็นเพียงการมองหาโอกาสในมิติของการค้าเท่านั้น แต่คือการวางเดิมพันบนอนาคตของ “เศรษฐกิจเอเชีย” ทั้งภูมิภาคนี้กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ หากไทยและเมียนมาสามารถผสานศักยภาพของตนเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของจีนและไทยได้อย่างลงตัว พื้นที่นี้จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่สำคัญในอนาคต

สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือการผลักดันความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถพัฒนาและยกระดับการขนส่งข้ามพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากโลจิสติกส์ฮับแห่งนี้เกิดขึ้นจริง มันจะไม่เพียงช่วยเชื่อมผู้คนหลายร้อยล้านคนในห้าประเทศเท่านั้น แต่ยังจะเปิดช่องทางใหม่ให้สินค้าไทยเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ได้ง่ายขึ้น และทำให้ภูมิภาคนี้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเติบโตเศรษฐกิจที่สำคัญของเอเชียอย่างแท้จริง

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us