News

news-20250507-03

ลุยแปลงโฉม “ท่าเรือคลองเตย” เริ่มพัฒนา 520 ไร่แรก ผุดแทรมเชื่อม MRT-BTS พร้อมเป้าหมายสู่ศูนย์พาณิชย์ใหม่ริมเจ้าพระยา

โครงการยกระดับ “ท่าเรือคลองเตย” กำลังเดินหน้าครั้งใหญ่ โดยกระทรวงคมนาคมเตรียมพลิกโฉมพื้นที่บริเวณหน้าท่ากว่า 520 ไร่ ให้กลายเป็นศูนย์กลางเชิงพาณิชย์รูปแบบใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมเชื่อมโยงระบบขนส่งมวลชนครบวงจรทั้งทางถนน ทางราง และทางน้ำ

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า หลังการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำโดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีมติให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนแผนแม่บทการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ บนพื้นที่รวม 2,353 ไร่ โดยจะเริ่มต้นจากพื้นที่บริเวณหน้าท่า 520 ไร่ ซึ่งเป็นโซนที่ไม่มีพื้นที่อยู่อาศัยและใช้สำหรับขนถ่ายสินค้าเทกองและตู้คอนเทนเนอร์อยู่แล้ว

พื้นที่นี้จะถูกพัฒนาให้เป็นโซนพาณิชย์สมาร์ท (Smart Commercial) ในรูปแบบมิกซ์ยูส ประกอบด้วยท่าเทียบเรือสำราญ โรงแรม ศูนย์การค้า และอาคารจัดเก็บสินค้ารูปแบบแนวดิ่ง เพื่อลดการใช้พื้นที่แนวราบเดิม และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ โดยคาดว่าจะออกแบบแผนผังพื้นที่และรูปแบบการลงทุนแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2569

ไม่เพียงเท่านั้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องยังเร่งเดินหน้าไปพร้อมกัน โดยเฉพาะการเชื่อมต่อระบบขนส่ง ซึ่ง กทท. และการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะเดินหน้าทางเชื่อมระหว่างท่าเรือคลองเตยกับทางด่วนบางนา-อาจณรงค์ (S1) ซึ่งจะช่วยลดความแออัดของจราจรบริเวณท่าเรือได้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่กรมการขนส่งทางราง การรถไฟแห่งประเทศไทย และการท่าเรือฯ เอง ก็กำลังร่วมกันศึกษาแนวทางเชื่อมโยงระบบรางเพื่อรองรับการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์เข้าสู่ท่าเรือโดยตรง

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่น่าจับตาคือการศึกษาแนวเส้นทาง “แทรม” หรือรถไฟฟ้ารางเบา ที่จะวิ่งเชื่อมสถานี MRT ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผ่านพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพ ไปยังสถานี BTS พระโขนง แนวคิดนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการเดินทางสาธารณะในพื้นที่ ยกระดับคุณภาพชีวิต และลดภาระจราจรในบริเวณโดยรอบ

สำหรับพื้นที่ที่เหลืออีก 1,833 ไร่ จะมีการพัฒนาในระยะถัดไป โดยจะเน้นการทำความเข้าใจกับชุมชนในพื้นที่ และบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

การแปลงโฉมท่าเรือคลองเตยครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการสร้างเมืองใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่พร้อมเชื่อมโยงกรุงเทพฯ เข้ากับเครือข่ายโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค

ที่มา - dailynews

news-20250507-02

เปิดแล้ว! ถนนพระราม 1 เพิ่ม 2 เลนแก้รถติดช่วงสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม

เริ่มคลี่คลายแล้วสำหรับปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณใจกลางกรุงเทพฯ หลัง สน.ปทุมวัน ประกาศเปิดใช้ถนนพระราม 1 เพิ่มอีก 2 ช่องทางจราจรในฝั่งขาออก โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนที่ต้องสัญจรผ่านบริเวณแยกกษัตริย์ศึกไปยังแยกเฉลิมเผ่า

มาตรการนี้เป็นการตอบสนองต่อปัญหาการจราจรที่สะสมมายาวนาน อันเนื่องมาจากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – ตลิ่งชัน ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ และกินพื้นที่ผิวถนนในหลายจุด

การเปิดช่องทางใหม่บนถนนพระราม 1 ครั้งนี้ ไม่เพียงช่วยระบายรถที่ติดสะสมในช่วงเร่งด่วนเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณบวกว่าการบริหารจัดการจราจรในพื้นที่ก่อสร้างเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น

คนกรุงเทพฯ ที่ใช้เส้นทางนี้เป็นประจำ เตรียมวางแผนการเดินทางให้ดี เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจช่วยประหยัดเวลาเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วนได้ไม่น้อย

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250507-01

'ไปรษณีย์ไทย' โชว์กำไรโต 227% รับอีคอมเมิร์ซพุ่ง ลุยต่อยอดบริการครบวงจร พร้อมจับตาภาษีนำเข้ากระทบ SME

ปี 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของไปรษณีย์ไทยสู่การเป็น “Tech Post” อย่างเต็มตัว โดยเฉพาะในไตรมาสแรกที่ผลประกอบการเติบโตโดดเด่น รายได้รวมพุ่งแตะ 5,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิกระโดดขึ้นถึง 227% แตะระดับ 534 ล้านบาท สะท้อนถึงทิศทางใหม่ที่บริษัทวางไว้ในการขยายบริการให้ครอบคลุมมากขึ้น และตอบรับกระแสดิจิทัลอีคอมเมิร์ซที่ยังคงเติบโตไม่หยุด

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ระบุว่า การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาใช้บริการออนไลน์มากขึ้น เป็นปัจจัยหนุนหลักของรายได้ในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะบริการไปรษณีย์ในประเทศที่มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 20% และบริการขนส่ง-โลจิสติกส์ที่ขยายตัวอีกกว่า 13% ปริมาณชิ้นงานโดยรวมในไตรมาสแรกก็ขยายตัวถึง 7.5% ขณะที่ EMS ยังเป็นหัวใจหลักที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มจะสดใส แต่ไปรษณีย์ไทยก็ยังจับตาความเสี่ยงจากนโยบายการค้าโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการที่สหรัฐฯ อาจยกเลิกสิทธิยกเว้นภาษีนำเข้า (De Minimis Exemption) สำหรับสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ ซึ่งอาจกระทบต่อธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศ รวมถึงลูกค้า SME ไทยที่ใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในการค้าขายข้ามแดน ไปรษณีย์ไทยจึงเร่งเจรจาและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ USPS อย่างต่อเนื่องเพื่อประเมินผลกระทบและเตรียมรับมือ

ในไตรมาส 2-4 ที่จะถึงนี้ บริษัทวางกลยุทธ์ชัดเจน โดยเดินหน้าขยายบริการแบบครบวงจรจากจุดแข็งที่มีอยู่ ตั้งแต่การส่งด่วน EMS สำหรับตลาด B2C และ C2C รวมถึงบริการขนส่งที่หลากหลาย ทั้งสินค้าเกษตร ยา อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ ไปจนถึงชิ้นงานขนาดใหญ่ที่รองรับรูปแบบ B2B ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ

ด้านบริการทางการเงิน ไปรษณีย์ไทยเร่งเดินหน้าบทบาท “Banking Agent” ใช้เครือข่ายสาขาทั่วประเทศเป็นช่องทางให้บริการทางการเงินครบวงจร เช่น ฝาก-ถอนเงิน รับชำระค่าสาธารณูปโภค ฯลฯ ขณะที่บริการค้าปลีกจะเน้นรูปแบบ Omni-Channel เพื่อมอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อให้กับลูกค้า ผ่านสินค้าไปรษณีย์ สินค้า House Brand และแพลตฟอร์ม ThailandPostMart ที่รวบรวมสินค้าทั่วไทยกว่า 20,000 รายการไว้ในที่เดียว

สำหรับการขยายบริการข้ามพรมแดน ไปรษณีย์ไทยได้จับมือกับ eBay และ Amazon FBA ในการให้บริการคลังสินค้า พร้อมจัดตั้งเครือข่าย “Regional ASEAN Post Alliance” (RAPA) ร่วมกับไปรษณีย์เวียดนาม อินโดนีเซีย และพันธมิตรในภูมิภาค เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการขนส่งระหว่างประเทศในอาเซียน

กลุ่มธุรกิจ Post Next ก็เตรียมอัปเกรดแพลตฟอร์ม “Prompt Post” ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ โดยจะมีบริการใหม่ๆ เช่น Digital Postbox, ระบบติดตามพาสปอร์ต, Prompt Pass สำหรับเชื่อมโยงข้อมูลกับภาครัฐ และ Prompt Vote ที่รองรับการลงคะแนนเสียงออนไลน์

อีกหนึ่งบทบาทสำคัญคือการใช้ศักยภาพของเครือข่ายบุรุษไปรษณีย์ ภายใต้บริการ “Postman Cloud” ซึ่งได้เริ่มร่วมมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติในการลงพื้นที่เก็บข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะ ปี 2568 ครอบคลุม 11 จังหวัด และกว่า 4.17 ล้านครัวเรือน

ทั้งหมดนี้คือทิศทางใหม่ของไปรษณีย์ไทยในปีแห่งการเปลี่ยนผ่าน ที่ไม่เพียงแต่ปรับตัวตามยุคดิจิทัล แต่ยังพยายามรักษาบทบาทความมั่นคงของระบบไปรษณีย์แห่งชาติ ขณะเดียวกันก็พร้อมรับมือกับความท้าทายจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการค้าข้ามแดนในอนาคตอันใกล้

ที่มา - techsauce

news-20250506-03

“ศึกภาษีทรัมป์” เขย่าเศรษฐกิจไทย SMEs สูญรายได้ 3.8 หมื่นล้าน จ่อเข้าสู่ภาวะชะลอตัวครึ่งหลังปี 68

ท่ามกลางความผันผวนของนโยบายการค้าโลก สถานการณ์สงครามภาษีที่สหรัฐฯ จุดชนวนขึ้นอีกครั้งกำลังส่งแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SMEs ที่พึ่งพาตลาดส่งออกสหรัฐฯ อย่างมาก ข้อมูลล่าสุดจาก Krungthai COMPASS ชี้ว่าในปี 2568 เศรษฐกิจไทยอาจต้องเผชิญภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง พร้อมความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย หากสงครามภาษีลุกลามจนส่งผลกระทบเต็มรูปแบบ

การวิเคราะห์แบ่งเป็นสองสถานการณ์หลัก หากไทยเผชิญภาษี Universal Tariff ที่ 10% ในไตรมาส 2 และยังคงมีการยกเว้นบางกลุ่มสินค้า เช่น อิเล็กทรอนิกส์กับเซมิคอนดักเตอร์ เศรษฐกิจยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 2% จากเดิมที่คาดไว้ 2.7% แต่หากสถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นต้องรับมือกับ Reciprocal Tariff เต็มอัตรา 36% ครอบคลุมสินค้ากลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วน เหล็ก และเซมิคอนดักเตอร์ในช่วงครึ่งปีหลัง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอาจหดตัวเหลือเพียง 0.7%

แม้ผลกระทบจะไม่รุนแรงฉับพลันเหมือนวิกฤตโควิด-19 แต่นักวิเคราะห์มองว่าสถานการณ์นี้คือ "ภัยเงียบ" ที่มาในรูปแบบ slow burn คือค่อยๆ ซึมลึกและกัดกร่อนโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง หาก GDP หดตัวต่อเนื่องสองไตรมาสติด ก็จะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคทันที

ภาคการส่งออกกำลังเจ็บหนักจากต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคธุรกิจยังคงชะลอการลงทุนเพราะรอดูความแน่นอนของทิศทางตลาด โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ กลายเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุด ตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทยเผยว่ามี SMEs ราว 4,990 รายที่เข้าข่ายได้รับผลกระทบโดยตรง และอาจต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นจากอัตราภาษีนำเข้าที่อาจพุ่งจาก 1.7% ไปแตะ 9.3%

กลุ่มที่เจอแรงกระแทกแรงที่สุดคือ ผู้ประกอบการในหมวดชิ้นส่วนยานยนต์ เหล็ก และอลูมิเนียมที่อาจโดนภาษีเพิ่มขึ้นอีก 25% และกลุ่มที่โดนภาษีตอบโต้จากฝั่งสหรัฐฯ ในสินค้าจำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร และเกษตรแปรรูป ก็ไม่พ้นโดนภาษี 10% ส่วนกลุ่มที่ยังไม่โดนแต่สุ่มเสี่ยงสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์และโลหะอื่นๆ ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มสินค้าที่มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ เช่น กุ้งแช่แข็ง อาหารสัตว์เลี้ยง และบรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งไทยมีมาร์จิ้นกำไรต่ำ อาจเจอกระแสตีกลับอย่างรุนแรง

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) คาดการณ์ว่า SMEs ไทยอาจสูญรายได้จากการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงถึง 38,300 ล้านบาทภายในปีนี้ ซึ่งตัวเลขนี้ใกล้เคียงกับช่วงที่เศรษฐกิจไทยถูกล็อกดาวน์จากโควิด-19 แม้รูปแบบของวิกฤตจะต่างกัน แต่ระดับผลกระทบแทบไม่ต่างกัน

ในระยะสั้น ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการป้องกัน ไม่ให้ไทยถูกใช้เป็นฐานหลบภาษีของสินค้าจากประเทศอื่น รวมถึงเร่งเสริมภูมิคุ้มกันให้ผู้ประกอบการในประเทศรับมือกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจากสินค้านำเข้าที่เบี่ยงเส้นทางเข้ามา

ในอีกมุมหนึ่ง นักวิเคราะห์กลับมองว่านี่อาจเป็น "โอกาสในวิกฤต" หากไทยใช้จังหวะนี้พลิกปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้ยั่งยืนและแข่งขันได้ในระยะยาว ทั้งการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน การเพิ่มทักษะแรงงาน การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ และการเร่งขยายตลาดการค้าไปยังประเทศที่ยังไม่ถูกรบกวนด้วยข้อพิพาทการค้า

ไทยจะต้องหาจุดยืนที่มั่นคงในเวทีการค้าระดับโลก เดินเกมการทูตเศรษฐกิจให้สมดุล และรักษาความเป็นกลางอย่างชาญฉลาด เพื่อไม่ให้กลายเป็นเพียง “ฐานส่งออกสำรอง” ของชาติอื่นที่ต้องการหลบเลี่ยงกำแพงภาษี

ที่มา - posttoday

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us