News

L2D Page (123)

รฟม. ลุยขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมาย “ศูนย์กลางพัฒนาบุคลากรระบบรางของประเทศไทย”

รฟม. เดินหน้าพัฒนาศักยภาพบุคลากร มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางฝึกอบรมระบบรางของประเทศ
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) นำโดยนายพัฒนพงษ์ พงศ์ศุภสมิทธิ์ รองผู้ว่าการ (บริหาร) พร้อมนายสุทัศน์ สิขเรศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ และผู้แทนองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ได้นำคณะสื่อมวลชนสายคมนาคมเดินทางเยี่ยมชมศูนย์ฝึกอบรมระบบราง Tokyo Metro Academy ของบริษัท โตเกียว เมโทร จำกัด ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อศึกษาการบริหารจัดการหลักสูตร การถ่ายทอดประสบการณ์เดินรถ และองค์ความรู้ด้านระบบรางจากหนึ่งในผู้ให้บริการรถไฟใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ปัจจุบัน Tokyo Metro Academy ยังเปิดหลักสูตรออนไลน์เพื่อรองรับผู้ฝึกอบรมจากทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมด้านองค์ความรู้และบทบาทของสถาบันในฐานะแหล่งแลกเปลี่ยนความรู้ระดับนานาชาติ

นายพัฒนพงษ์เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรระบบรางของ รฟม. มาแล้วกว่า 6 ปี โดยเปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2562 เพื่อพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการเดินรถไฟฟ้าและระบบขนส่งทางรางในทุกมิติ หลักสูตรการเรียนการสอนครอบคลุมตั้งแต่การควบคุมการเดินรถ การควบคุมรถไฟฟ้า การซ่อมบำรุง การจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉิน ไปจนถึงองค์ความรู้ด้านระบบสนับสนุนต่าง ๆ อาทิ ระบบสื่อสาร ระบบสถานี ลิฟต์ บันไดเลื่อน และงานระบบอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเปิดรับทั้งพนักงานของ รฟม. บุคลากรในบริษัทเดินรถ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านระบบราง อาจารย์ นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่สนใจ

วิทยากรของศูนย์ฯ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก รฟม. และเครือข่ายพันธมิตรด้านวิชาการ ซึ่งร่วมกันพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานสากล สามารถปฏิบัติงานในระบบรางได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการบุคลากรในอุตสาหกรรมระบบรางที่ขยายตัวต่อเนื่องในประเทศไทย

รฟม. ยังมุ่งพัฒนาศูนย์ฝึกอบรมฯ ให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการพัฒนาบุคลากรระบบรางของประเทศ โดยนำองค์ความรู้และประสบการณ์จากความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศมาบูรณาการ เพื่อผลักดัน รฟม. ให้เป็นองค์กรชั้นนำด้านระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางของประชาชน และยกระดับมาตรฐานระบบรางไทยให้ทัดเทียมสากลในอนาคต

L2D Page (122)

คมนาคม ย้ำ สนามบินอุบลฯ-สุราษฎร์ฯ ยังคงพื้นที่ “ห้ามบินโดรน” เด็ดขาด!!

คมนาคมย้ำคุมเข้ม “ห้ามบินโดรน” รอบสนามบินอุบลฯ–สุราษฎร์ฯ ตลอดเดือนธันวาคม 2568
นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ออกประกาศฉบับที่ 11 เรื่องการห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่ยังต้องเฝ้าระวังร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคง แม้จะมีการประเมินสถานการณ์และปรับลดพื้นที่ห้ามบินรอบสนามบินเหลือ 6 แห่ง แต่พื้นที่บางจุดยังคงต้องใช้มาตรการควบคุมเข้มงวด โดยเฉพาะสนามบินในภาคใต้และอีสานตอนล่าง ประกาศดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 1–31 ธันวาคม 2568 หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

รมช.คมนาคมระบุว่า ได้สั่งการให้กรมท่าอากาศยานกำชับท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานีและท่าอากาศยานอุบลราชธานี ซึ่งยังอยู่ในพื้นที่ควบคุมตามประกาศของกพท. ให้คงความเข้มงวดในการเฝ้าระวังและตรวจสอบการใช้โดรนในรัศมี 9 กิโลเมตรรอบสนามบิน เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการบินเชิงพาณิชย์และความปลอดภัยของผู้โดยสาร พร้อมให้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ ทั้งทหาร ตำรวจ และศูนย์ต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (ศบตอ.น.) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้ท่าอากาศยานติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์เงื่อนไขการบินและข้อห้ามต่าง ๆ ให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง โดยย้ำว่าผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามบินโดรนในเขตหวงห้าม จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

ด้านนายดนัย เรืองสอน อธิบดีกรมท่าอากาศยาน ยืนยันว่าท่าอากาศยานในสังกัดทุกแห่งมีมาตรฐานความปลอดภัยตามข้อกำหนดของกพท. ทั้งในด้านมาตรการรักษาความปลอดภัย ระบบอำนวยความสะดวก ผู้ปฏิบัติงาน และความพร้อมตามแผนเผชิญเหตุและแผนฉุกเฉินของสนามบิน โดยเจ้าหน้าที่ประจำการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้มั่นใจว่าการเดินทางของประชาชนจะปลอดภัยสูงสุด

L2D Page (121)

"พิชัย" จี้รัฐเร่งกู้เศรษฐกิจ หลังน้ำท่วมใต้–ส่งออกสะดุด หวั่นไทยเข้าสู่ภาวะถดถอย

ผลกระทบเศรษฐกิจจากอุทกภัยภาคใต้ – ความเสี่ยงถดถอย และโจทย์ใหญ่ด้านการส่งออกของไทย
วันที่ 1 ธันวาคม 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ออกมาแสดงความกังวลถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่อาจทรุดตัวลงมากกว่าที่คาด หลังเกิดมหันตภัยน้ำท่วมรุนแรงในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และหลายจังหวัดในภาคใต้ ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นวงกว้าง โดยมีผู้เสียชีวิตถึง 170 ราย บ้านเรือนและธุรกิจจำนวนมากได้รับความเสียหายอย่างหนัก

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงซ้ำเติมความเป็นอยู่ของประชาชน แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยตรง นายพิชัยประเมินว่า GDP ไตรมาส 4/2568 น่าจะออกมาต่ำกว่าที่ประเมินไว้เดิม และอาจเติบโตต่ำกว่า 1% หลังจากไตรมาส 3 เติบโตเพียง 1.2% เท่านั้น ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะ “Technical Recession” สูงขึ้น เพราะอาจติดลบต่อเนื่องสองไตรมาส ขณะที่เศรษฐกิจไทยโดยรวมก็อยู่ในสภาวะเปราะบางอยู่แล้ว

ในด้านการค้า ระบุว่าการส่งออกเดือนตุลาคม 2568 ขยายตัวได้เพียง 5.7% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบปี เมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกที่ยังเติบโตเฉลี่ยถึง 13.9% โดยในเดือนกันยายน หลังการเจรจาภาษี “ทรัมป์” การส่งออกยังขยายสูงถึง 19% สูงสุดในรอบ 42 เดือน แต่กลับชะลอแรงในเดือนถัดมา ขณะที่การนำเข้าไม่ลดลง ทำให้ดุลการค้าขาดดุลพุ่งขึ้นถึง 3.4 พันล้านดอลลาร์

นายพิชัยจึงเสนอให้เร่งฟื้นการส่งออกให้กลับมาในระดับที่กระทรวงพาณิชย์เคยวางเป้าหมายไว้ การส่งออกทั้งปีควรขยายได้อย่างน้อย 11–12% เพื่อรักษาโมเมนตัมจากช่วง 9 เดือนแรก และปีหน้าจำเป็นต้องผลักดันให้เติบโตต่อเนื่องหลายปี เพื่อสร้างความสามารถแข่งขันของไทยในระยะยาว

อีกประเด็นที่ถูกหยิบยกคือการเจรจาการค้ากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ซึ่งได้หยุดชะงัก โดย USTR ยังไม่ได้ตอบรับกลับมาอย่างเป็นทางการ นายพิชัยเตือนว่าหากสหรัฐตัดสินใจขึ้นภาษีไทย ความเสียหายจะรุนแรงต่อเศรษฐกิจ เพราะไทยส่งออกไปสหรัฐมากถึงประมาณปีละ 2 ล้านล้านบาท หรือเกือบหนึ่งในห้าของการส่งออกทั้งหมด การหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนสหรัฐแทบทำได้ยากมาก เขายังระบุว่ารูปแบบการประชาสัมพันธ์ของฝ่ายไทยที่ทำให้ดูเหมือนว่าสหรัฐต้อง “ง้อไทย” อาจสร้างความไม่พอใจและเสี่ยงต่อการตัดสินใจขึ้นภาษี จึงควรเร่งชี้แจงและปรับท่าทีโดยด่วน

ในภาคการเกษตร เขากล่าวถึงสถานการณ์ราคาข้าวที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างข้าวหอมมะลิและข้าวเปลือกเจ้า โดยข้าวหอมมะลิมีคุณภาพสูงและสหรัฐนำเข้าจำนวนมาก ทำให้ราคาทรงตัวที่ตันละ 15,000–16,500 บาทต่อเนื่องหลายปี ในขณะที่ข้าวเปลือกเจ้าราคายังต่ำมากอยู่เพียง 6,100–6,800 บาท และยังไม่ฟื้นกลับไปที่ช่วงก่อนหน้าแม้จะมีการทำตลาดเชิงรุก เช่น การจัดงาน Thai Rice Convention ที่ขายข้าวได้ 660,000 ตัน และการส่งออกไปแอฟริกาอีก 440,000 ตัน ราคายังไม่ขยับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

หลังวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ เขาย้ำว่ากระทรวงพาณิชย์ต้องเข้ามาควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัย เพื่อไม่ให้ประชาชนถูกเอาเปรียบ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าค่าโดยสารเครื่องบินเส้นทางกรุงเทพ–หาดใหญ่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นแล้ว รวมถึงค่าใช้จ่ายการทำความสะอาดบ้านเรือนและร้านค้าที่ถูกโคลนท่วม ซึ่งต้องไม่ให้มีการปรับราคาเกินจริง

ในอีกด้านหนึ่ง เขาชื่นชมรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล และทีมเศรษฐกิจ ที่ออกมาตรการปลดล็อกให้การลงทุนในอุตสาหกรรมมูลค่าสูง เช่น Data Center, AI, พลังงานสะอาด, เซมิคอนดักเตอร์, อิเล็กทรอนิกส์ และ EV เดินหน้าได้เร็วขึ้น ผ่านมาตรการ “Thailand FastPass” ซึ่งช่วยลดขั้นตอนและเร่งให้การลงทุนในธุรกิจสมัยใหม่เกิดขึ้นเร็วขึ้น ปัจจุบันมีนักลงทุนต่างชาติเพียงรอเข้ามาในไทยหลายแสนล้านบาท และอาจเพิ่มเป็นหลักล้านล้านบาทในอนาคต

นายพิชัยสรุปว่า หากไทยต้องการพัฒนาอย่างมั่นคงในระยะยาว จำเป็นอย่างยิ่งที่การส่งออกจะต้องขยายตัวแรงและต่อเนื่องหลายปี ขณะเดียวกันต้องดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ เพราะนี่คือโอกาสสำคัญที่จะทำให้ไทยยืนระยะได้ท่ามกลางการแข่งขันระดับนานาชาติที่รุนแรงขึ้นทุกปี

L2D Page (120)

‘ต่างชาติ’ ทิ้งหุ้นไทยเดือนพ.ย. ‘หมื่นล้าน’ เศรษฐกิจถ่วงการฟื้นตัว

ต่างชาติเทขายหุ้นไทยต่อเนื่อง เดือนพ.ย.เงินไหลออกแรงสุดในภูมิภาค ท่ามกลางกังวลเศรษฐกิจ–การเมืองภายในประเทศ
แม้ตลาดหุ้นโลกจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงปลายปี แต่ภาพของตลาดหุ้นไทยยังคงอึมครึม เมื่อแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติยังไม่หยุดลง โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่เม็ดเงินไหลออกอย่างหนักตลอดช่วงวันที่ 1–26 พฤศจิกายน รวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ถือเป็นการขายสุทธิที่สูงกว่าหลายตลาดในภูมิภาค สะท้อนความไม่มั่นใจต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยและปัจจัยเฉพาะตัวที่กดดันตลาดต่อเนื่อง

ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า แม้เดือนพฤศจิกายนจะเป็นช่วงที่เงินทุนโลกหมุนเข้าสู่กลุ่มหุ้นคุณค่า (Value) อย่างโดดเด่น แต่หุ้นไทยกลับถูกขายสุทธิถึง 337 ล้านดอลลาร์ หรือราว 10,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดหุ้นโลกเองก็มีความผันผวนสูง โดยหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐปรับตัวลงแรงและแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่าสิบปี เนื่องจากความกังวลด้าน Valuation ที่เริ่มตึงตัว ทำให้นักลงทุนเร่งปรับพอร์ตออกจากหุ้นเติบโต (Growth) เข้าสู่หุ้นคุณค่าในหลายภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยซึ่งควรเป็นหนึ่งในตลาดที่ได้ประโยชน์จากกระแสการหมุนเงินดังกล่าว กลับถูกเทขายหนักจากความกังวลภายในประเทศ ทั้งข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง และสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะสงขลา ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของภูมิภาค ทำให้นักลงทุนเริ่มมองว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปีนี้อาจเผชิญความเสี่ยงชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้

บรรยากาศในเดือนธันวาคมก็อาจไม่คึกคักนัก เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาวของนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายบางลงและความผันผวนลดทอนลงตามฤดูกาล โดยตลาดยังคงจับตาความชัดเจนด้านการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการเลือกตั้งและทิศทางนโยบายใหม่ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยดึงเงินทุนต่างชาติให้เริ่มกลับมาในปีถัดไปได้

วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย มองว่า ภาพระยะยาวของฟันด์โฟลว์ยังมีความท้าทาย เนื่องจากในรอบ 6–7 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยสะสมรวมกว่า 6–7 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นว่ากระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดไทยมาอย่างต่อเนื่อง การจะให้เงินทุนกลับมาอย่างจริงจังจำเป็นต้องเห็นสัญญาณบวกชัดเจนในเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการเติบโต กำไรบริษัทจดทะเบียน และศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจไทย ซึ่งปัจจุบันยังเติบโตในระดับต่ำ โดยไตรมาส 3 ปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียงระดับ 1% กว่า ๆ เท่านั้น ขณะที่ความหวังในไตรมาส 4 อาจสะดุดจากผลกระทบน้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ

ด้านมุมมองของสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย ชี้ว่า ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน นักลงทุนต่างชาติเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกจากความเสี่ยงกรณี US Government Shutdown ซึ่งทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐขาดช่วงประกาศ พร้อมทั้งความกังวลว่าหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐอาจตึงตัวใกล้เคียงช่วงฟองสบู่ปี 2000 ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ตลาดเกิดแรงขายทำกำไร โดยตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงราว 4% ส่วนตลาดหุ้นไทยร่วงลงประมาณ 3–4% ในช่วงครึ่งเดือนแรก

แต่หลังจากกลางเดือนเป็นต้นไป บรรยากาศเริ่มปรับดีขึ้นตามความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในเดือนธันวาคม ซึ่งช่วยให้เม็ดเงินบางส่วนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง โดยกสิกรไทยประเมินว่าตลาดอาจประเมินการลดดอกเบี้ยต่ำไป และเห็นโอกาสที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้งในปีหน้า สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทย คาดว่าสิ้นปีนี้มีโอกาสปิดใกล้ระดับ 1,275 จุด และขยับขึ้นสู่ช่วงประมาณ 1,375 จุดในปีหน้า หากบรรยากาศลงทุนและเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวตามคาด

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us