News

L2D Page (59)

เกาหลีใต้ส่งออกรถยนต์โตต่อเนื่อง 4 เดือน แรงหนุนดีมานด์ยุโรป–เอเชีย ขยายตัวสูงทดแทนตลาดสหรัฐฯ ชะลอ

กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกรถยนต์ของประเทศในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 16.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แตะระดับ 6.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากตลาดยุโรปและเอเชีย รวมถึงความต้องการรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แม้ยอดส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาจะลดลง 7.5% เหลือ 2.38 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ แต่การส่งออกไปยังสหภาพยุโรปและตลาดเอเชียกลับเติบโตในอัตราเลขสองหลัก โดยยอดส่งออกไปยังสหภาพยุโรปอยู่ที่ 958 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดส่งออกไปยังภูมิภาคเอเชียอยู่ที่ 823 ล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการรถยนต์เกาหลีใต้ที่ยังคงแข็งแกร่งในตลาดโลก

สำหรับรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถไฮบริด มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 22.9% แตะระดับ 2.67 พันล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนจำนวนรถยนต์ที่ส่งออกทั้งหมดอยู่ที่ 228,153 คัน เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ขยายตัว 6% สู่ระดับ 1.92 พันล้านดอลลาร์

รายงานจากสำนักข่าวซินหัวระบุเพิ่มเติมว่า ปริมาณการผลิตรถยนต์ภายในประเทศในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 8.9% อยู่ที่ 334,319 คัน ส่วนยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ ซึ่งรวมถึงทั้งรถผลิตในประเทศและรถนำเข้า เพิ่มขึ้น 20.8% อยู่ที่ 157,898 คัน แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของตลาดยานยนต์ในประเทศควบคู่กับการขยายตัวในตลาดส่งออก

การเติบโตต่อเนื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์เกาหลีใต้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของภาคการผลิตและนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการของตลาดโลก โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์พลังงานสะอาดที่กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกในอนาคต

L2D Page (58)

สหรัฐเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าอินเดีย–โคลอมเบีย กดดันจำกัดการซื้อน้ำมันรัสเซีย

วันที่ 19 ตุลาคม นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเตือนว่า รัฐบาลสหรัฐฯ อาจเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากอินเดีย หากรัฐบาลนิวเดลีไม่ดำเนินมาตรการจำกัดการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยให้มอสโกยังสามารถสร้างรายได้ในช่วงที่ถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ

ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุผ่านสื่อมวลชนว่า อินเดียในฐานะประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่และพันธมิตรของสหรัฐฯ ควรมีท่าทีที่ชัดเจนมากกว่านี้ต่อรัสเซีย พร้อมย้ำว่าสหรัฐฯ จะใช้ “มาตรการทางการค้า” เป็นเครื่องมือกดดัน หากอินเดียยังคงนำเข้าน้ำมันรัสเซียในปริมาณสูงต่อไป

นอกจากนั้น ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้ประกาศระงับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจต่อโคลอมเบีย โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลโคลอมเบียปกปิดข้อมูลและละเลยการควบคุมการผลิตยาเสพติดภายในประเทศในวงกว้าง ปัจจุบัน สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีร้อยละ 10 สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากโคลอมเบีย แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า อัตราภาษีดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งจะมีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในวันที่ 21 ตุลาคม

ท่าทีล่าสุดของสหรัฐฯ สะท้อนถึงแนวนโยบายทางการค้าที่เข้มงวดขึ้นภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ที่มุ่งใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการเมืองและเศรษฐกิจ ทั้งต่อประเทศคู่ค้าและพันธมิตรที่มีบทบาทสำคัญในภูมิภาคเอเชียและลาตินอเมริกา

L2D Page (57)

พิพัฒน์ลงพื้นที่ภูเก็ต แก้รถติด-ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม สู่เมืองท่องเที่ยวยั่งยืน

วันที่ 20 ตุลาคม 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อตรวจราชการและติดตามแนวทางแก้ไขปัญหาการจราจร พร้อมหารือแนวทางพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งอย่างเป็นระบบ โดยมีนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมผู้บริหารระดับสูงจากกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมเจ้าท่า การทางพิเศษแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย รวมถึงภาคเอกชนในจังหวัดภูเก็ต เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด หอการค้า สภาอุตสาหกรรม และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมท่าอากาศยานภูเก็ต เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางการพัฒนาระบบคมนาคมของจังหวัดในระยะยาว

นายพิพัฒน์กล่าวว่า ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่สร้างรายได้จำนวนมหาศาลให้กับประเทศ แต่ระบบขนส่งสาธารณะและโครงข่ายถนนยังไม่เพียงพอต่อการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ปัญหาหลักอยู่ที่ถนนสายหลักหมายเลข 402 ซึ่งเป็นทางเข้าออกเมืองเพียงเส้นเดียว และมีทางแยกขนาดใหญ่ถึง 13 จุด ทำให้การจราจรติดขัดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเส้นทางจากสนามบินสู่ตัวเมืองที่ใช้เวลาเดินทางมากกว่า 2 ชั่วโมง รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและยกระดับเศรษฐกิจภาคใต้ให้เติบโตอย่างยั่งยืน กระทรวงคมนาคมจึงได้วางแผนพัฒนาจังหวัดภูเก็ตทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม

ในระยะเร่งด่วน กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้กรมทางหลวงเร่งปรับปรุงจุดกลับรถบนทางหลวงหมายเลข 402 เพื่อเพิ่มความคล่องตัวของการจราจร พร้อมเดินหน้าโครงการพัฒนาทางเลี่ยงเมืองหมายเลข 4027 ให้เป็นทางเลือกใหม่ในการเข้าสู่ตัวเมือง ประกอบด้วยการขยายช่องจราจรให้ครบ 4 ช่อง การพัฒนาเส้นทางเชื่อมถนนแนวใหม่เข้าสู่ท่าอากาศยานภูเก็ตโดยตรงเพื่อลดปัญหาการจราจรแออัด และการก่อสร้างถนนสายบ้านป่าคลอก–บ้านบางคู เพื่อเปิดเส้นทางใหม่จากพื้นที่ตอนเหนือเข้าสู่ตัวเมือง ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ประชาชนเดินทางสะดวกขึ้น ปลอดภัยขึ้น และนักท่องเที่ยวใช้เวลาเดินทางลดลงอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับแผนระยะยาว กระทรวงคมนาคมจะบูรณาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางถนน ทางราง และทางอากาศ โดยมอบหมายให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเร่งรัดพัฒนาทางพิเศษสายใหม่ในรูปแบบบูรณาการระหว่างมอเตอร์เวย์และระบบราง (MR-Map) จากท่าอากาศยานภูเก็ตไปยังหาดป่าตองและอำเภอเมือง แบ่งเป็นสองระยะ ได้แก่ ช่วงกะทู้–ป่าตอง ระยะทางเกือบ 4 กิโลเมตร ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปี 2569 และเปิดบริการในปี 2573 ส่วนช่วงท่าอากาศยานภูเก็ต–กะทู้ ระยะทางกว่า 30 กิโลเมตร จะเริ่มก่อสร้างในปี 2570 และเปิดให้บริการพร้อมกันในปี 2573 เมื่อแล้วเสร็จจะช่วยลดเวลาเดินทางจากสนามบินถึงหาดป่าตองเหลือเพียง 20 นาทีจากเดิมที่ใช้เวลากว่าชั่วโมงครึ่ง

นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนา “สะพานสารสินแห่งใหม่” ในรูปแบบสะพานขึงที่ไม่มีตอม่อกลางทะเล เพื่อให้เรือสำราญสามารถแล่นผ่านได้สะดวก และจะกลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของภูเก็ต อีกทั้งยังเชื่อมโยงกับโครงการ “ท่าอากาศยานอันดามัน” ที่มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2573 เส้นทางดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่าย MR-Map สาย MR9 สุราษฎร์ธานี–ภูเก็ต ที่เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างฝั่งอ่าวไทยและอันดามันได้อย่างไร้รอยต่อ พร้อมทั้งเตรียมพัฒนาโครงการทางรถไฟสายทับปุด–กระบี่ เพื่อเชื่อมโยงจังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่ เข้าสู่เครือข่ายคมนาคมเดียวกัน โดยมีเป้าหมายเริ่มก่อสร้างในปี 2573 และเปิดใช้บริการภายในปี 2577

นายพิพัฒน์กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากจัดการปัญหาการจราจรในระยะสั้นแล้ว เป้าหมายต่อไปคือการยกระดับระบบขนส่งสาธารณะภายในเมืองภูเก็ตให้มีคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล โดยเตรียมพัฒนารถไฟฟ้ารางเบา (Light Rail) จากท่าอากาศยานภูเก็ตถึงห้าแยกฉลอง ระยะทาง 42 กิโลเมตร ซึ่งในระยะแรกจะให้บริการด้วยรถโดยสารไฟฟ้า (EV Bus) ก่อนจะพัฒนาเป็นระบบรางเบาเต็มรูปแบบภายในปี 2574 เพื่อให้ภูเก็ตกลายเป็นเมืองที่เดินทางได้สะดวก ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอย่างยั่งยืน

ในโอกาสนี้ นายพิพัฒน์ได้ขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต สมาชิกวุฒิสภา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตัวแทนหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว และภาคเอกชนกว่า 30 หน่วยงานที่เข้าร่วมประชุม โดยย้ำว่าการหารือครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการลงมือทำจริง และทุกโครงการที่ผ่านการพิจารณาจะถูกผลักดันสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนเห็นการเปลี่ยนแปลงและให้นักท่องเที่ยวเดินทางสู่ภูเก็ตได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น

ด้านนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวเสริมว่า ภายใต้นโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กระทรวงได้มอบหมายให้ทุกกรมในสังกัดขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ อย่างบูรณาการ ทั้งทางถนน ทางราง ทางเรือ และทางอากาศ โดยจะเร่งออกแบบ จัดลำดับความสำคัญ และบริหารแผนงานให้เห็นผลเป็นรูปธรรมในระยะเวลาอันใกล้ เพื่อยกระดับภูเก็ตให้เป็นเมืองต้นแบบด้านคมนาคมของภาคใต้

การลงพื้นที่ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางเชิงรุกของรัฐบาลในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจท่องเที่ยวของประเทศ ทั้งในด้านการลดเวลาเดินทาง เพิ่มความปลอดภัย และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนส่งอย่างครบวงจร เพื่อให้ภูเก็ตก้าวสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกอย่างยั่งยืน และเป็นแบบอย่างของการพัฒนาเมืองเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

L2D Page (56)

ขนส่งฯ ปัดขึ้นค่าแท็กซี่ ชี้แค่แนวคิดใช้ GPS คำนวณค่ารถติด ลดปัญหาปฏิเสธผู้โดยสาร

กรมการขนส่งทางบกยืนยันไม่ได้มีการปรับขึ้นค่าโดยสารรถแท็กซี่ตามที่มีกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ โดยชี้แจงว่าเป็นเพียงแนวคิดนำเทคโนโลยีระบบ GPS มาช่วยคำนวณค่ารถติดภายใต้สูตรเดิมของมาตรมิเตอร์ เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมแก่ทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร รวมถึงลดปัญหาการปฏิเสธรับผู้โดยสารในช่วงเวลาเร่งด่วน

นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า แนวคิดดังกล่าวไม่ได้มีเจตนาในการขึ้นราคาค่าโดยสาร แต่เป็นการปรับปรุงเครื่องมือคำนวณจากระบบกลไกของมาตรมิเตอร์แบบเดิม มาใช้เทคโนโลยี GPS เพื่อประมวลผลตามสภาพการจราจรจริง ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการโกงมิเตอร์และสะท้อนระยะเวลาเดินทางได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาแนวทางเท่านั้น ยังไม่มีการนำมาใช้จริงหรือปรับอัตราใด ๆ

อธิบดีกรมการขนส่งทางบกย้ำว่า การพิจารณานำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้เป็นเพียงแนวทางในอนาคต หากมีการบังคับใช้จะเริ่มเฉพาะรถแท็กซี่ใหม่ที่จดทะเบียน หรือเปิดให้สมัครใจเข้าร่วมเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดภาระกับผู้ขับแท็กซี่ปัจจุบัน ทั้งนี้จะต้องมีการประเมินผลกระทบในทุกมิติก่อนตัดสินใจดำเนินการจริง

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า กรมฯ มุ่งหวังให้ระบบใหม่นี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นระหว่างคนขับและผู้โดยสาร ลดข้อพิพาทเรื่องค่าโดยสาร และทำให้บริการแท็กซี่มีมาตรฐานและโปร่งใสมากขึ้น โดยยืนยันชัดเจนว่า “ยังไม่มีการขึ้นค่าโดยสารใด ๆ ทั้งสิ้นในขณะนี้”

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us