News

L2D Page (114)

LEO ส่งซิก Q4 ฟื้นตัว รับไฮซีซั่น แย้มปี 69 เล็งร่วมมือพันธมิตร-ขยายเส้นทางขนส่ง

LEO เผยผลประกอบการ 9 เดือนปี 2568 ลดลง แต่ธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ยังเติบโตต่อเนื่อง
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยภาพรวมธุรกิจผ่านงาน Opportunity Day ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 โดยระบุว่า ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 16.34 ล้านบาท ลดลง 52.27% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 34.22 ล้านบาท แม้ว่ารายได้รวมจะอยู่ในระดับ 1,024 ล้านบาท แต่บริษัทสามารถรักษาการเติบโตจากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/2568 คาดว่าสถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นจากแรงหนุนของช่วงไฮซีซัน ซึ่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคการค้าและการขนส่งระหว่างประเทศ บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถขยายตัวตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นอีกจุดท้าทายที่สะท้อนศักยภาพด้านกลยุทธ์ของผู้บริหารและองค์กร

ธุรกิจลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ยังคงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโต โดยคาดว่ารายได้จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4/2568 ไปจนถึงปี 2569 จากฐานลูกค้ารายใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยสนับสนุนการเติบโตระยะยาวของบริษัท

ด้านธุรกิจ LEO Coldbotic ซึ่งเป็นศูนย์เก็บและกระจายสินค้าอัจฉริยะ รวมถึงคลังเก็บไวน์ควบคุมอุณหภูมิ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแรง และคาดว่าจะขยายตัวอย่างชัดเจนในไตรมาส 4/2568 จากปัจจัยฤดูกาลของสินค้าไวน์และจำนวกลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทร่วมทุน LEO JITU จะเริ่มรับรู้รายได้จากบริการ Power Bank ภายในไตรมาสเดียวกัน ซึ่งช่วยเสริมความหลากหลายและความยืดหยุ่นของพอร์ตธุรกิจ

สำหรับแผนปี 2569 บริษัทเตรียมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในหลายประเทศ เพื่อเพิ่มเส้นทางขนส่งสู่ตลาดศักยภาพในเอเชียและยุโรป โดยบริษัทเชื่อว่าการพัฒนาเครือข่ายขนส่งทางรางจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะเส้นทางจีนตอนใต้และยุโรปผ่านรถไฟสายจีน–ลาว

LEO วางเป้าหมายเดินหน้าสร้างการเติบโตในธุรกิจโลจิสติกส์และนอนโลจิสติกส์ รวมถึงบริการที่เกี่ยวเนื่องกับ Green Logistics และการดำเนินงานแบบ ESG เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจและสร้างผลตอบแทนในระยะยาวอย่างยั่งยืน

ขณะเดียวกัน พันธมิตรในประเทศจีนยังได้ตอบรับเชิงบวกต่อทิศทางธุรกิจใหม่ของบริษัท พร้อมยืนยันความร่วมมือที่เตรียมเริ่มดำเนินงานในปีหน้า ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของ LEO ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือการขนส่งไปจีนจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปริมาณงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอัตรากำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามสภาวะธุรกิจที่ขยายตัว

บริษัทมีแผนขยายธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามแดนและการขนส่งสินค้าระหว่างไทย–จีน เพื่อรองรับความต้องการจากกลุ่มอุตสาหกรรมการค้า การผลิต และอีคอมเมิร์ซ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญของบริษัทในช่วงปีต่อไป

L2D Page (113)

ครม.ไฟเขียว ลดค่าครองชีพด้านคมนาคม ไฟเขียวรถไฟฟ้า 40 บาทตลอดวัน เริ่ม 1 ธ.ค. 2568 - 30 พ.ย. 2569

ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการลดค่าครองชีพด้านการเดินทาง ด้วยการกำหนดค่าโดยสารแบบเหมาจ่าย 40 บาทต่อวัน สำหรับรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงทั้งสองเส้นทาง คือ ช่วงบางซื่อ–รังสิต และบางซื่อ–ตลิ่งชัน รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน–คลองบางไผ่ โดยจะเริ่มใช้มาตรการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 ต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2569 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องหลังจากมาตรการค่าโดยสารสูงสุด 20 บาทตลอดสายสิ้นสุดลง

มาตรการนี้กำหนดให้ประชาชนทั่วไปใช้บริการในอัตราไม่เกิน 40 บาทต่อวัน หากเดินทางในระยะทางที่มีค่าโดยสารต่ำกว่า 40 บาท จะคิดตามระยะทางจริง กลุ่มนักเรียน นักศึกษาจะจ่ายไม่เกิน 30 บาทต่อวัน ส่วนผู้สูงอายุและเด็กที่มีความสูงเกิน 90 เซนติเมตรแต่ไม่เกิน 120 เซนติเมตร ชำระครึ่งหนึ่งของค่าโดยสารปกติต่อเที่ยว ขณะที่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้สิทธิจากวงเงิน 750 บาทต่อเดือนในการชำระค่าเดินทาง กลุ่มผู้พิการและเด็กที่มีความสูงไม่เกิน 90 เซนติเมตรจะได้รับสิทธิเดินทางฟรี รัฐยังได้กำหนดให้ใช้บัตร EMV Contactless Card เป็นบัตรโดยสารสำหรับรองรับมาตรการเหมาจ่ายรายวันนี้

กระทรวงคมนาคมประเมินว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงมีรายได้ลดลง และจำเป็นต้องใช้งบประมาณชดเชยตามจริงประมาณ 142.02 ล้านบาท ส่วนรถไฟฟ้าสายสีม่วง รฟม. จะรับภาระชดเชยประมาณ 30 ล้านบาทจากรายได้ของโครงการเอง โดย ครม. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมติดตามประเมินผลมาตรการเป็นรายปี ทั้งด้านปริมาณผู้โดยสาร รายได้ที่ลดลง และประโยชน์ต่อประชาชน เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินมาตรการต่อเนื่องในอนาคต

สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นว่า มาตรการใหม่นี้มีการเปลี่ยนเงื่อนไขจากเดิมที่ผู้โดยสารสามารถจ่ายไม่เกิน 20 บาทต่อเที่ยวโดยไม่มีข้อกำหนด มาเป็นต้องใช้บัตรโดยสารที่กำหนดจึงจะได้รับสิทธิ์เหมาจ่ายรายวัน อาจทำให้เกิดความสับสนในช่วงเริ่มต้น จึงจำเป็นต้องมีการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนเข้าใจรูปแบบ ค่าใช้จ่าย และเงื่อนไขการใช้สิทธิก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้.

L2D Page (112)

ผู้เชี่ยวชาญภัยพิบัติ คาด "น้ำท่วมหาดใหญ่" พื้นที่เศรษฐกิจอาจจมไปถึงกลาง ธ.ค.

ไทยเร่งขยายข้อตกลงการค้าเสรี 3 ฉบับใหม่ กระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งตลาดสหรัฐ
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 สหรัฐยังคงเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย โดยมีมูลค่าส่งออกสูงถึง 52,109 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 28.6% จากปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วนกว่า 20.5% ของการส่งออกทั้งหมด ขณะที่จีนเป็นตลาดใหญ่อันดับสอง ส่งออกมูลค่า 30,667 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16.1% หรือคิดเป็น 12.1% ของยอดส่งออกไทย แม้ภาพรวมการส่งออกจะขยายตัว แต่ความเสี่ยงที่ไทยต้องเผชิญเพิ่มสูงขึ้น เมื่อสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยอีก 19% ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งเดินหน้ากลยุทธ์กระจายตลาดอย่างจริงจัง เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐในสัดส่วนที่มากเกินไป

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ย้ำว่ากลยุทธ์ส่งออกของไทยต้องเปลี่ยนผ่านอย่างเด็ดขาดไปสู่แนวคิด “Balance–Inclusive–Diversify” ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาตลาดเดิม การเจาะตลาดใหม่ และการเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานใหม่ของโลก พร้อมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในอาเซียนและเอเชียแปซิฟิก โดยใช้จุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งและโครงสร้างพื้นฐานของไทยอย่างเต็มที่

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า นโยบายขยายตลาดใหม่ถูกจัดเป็นหนึ่งใน “Quick Big Win” ที่กระทรวงพาณิชย์นำเสนอและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีภารกิจสำคัญคือการเร่งผลักดันการเปิดเสรีทางการค้า (FTA) 3 ฉบับให้มีผลในหนึ่งปี เพื่อเพิ่มการค้า มูลค่าการลงทุน และจีดีพีของประเทศในระยะยาว ได้แก่ FTA ไทย–EFTA ที่ตั้งเป้านำเสนอรัฐสภาในเดือนมกราคม 2569 FTA ไทย–สหภาพยุโรป ที่อยู่ระหว่างการปิดประเด็นที่ยังค้างคา และ FTA ไทย–เกาหลีใต้ ที่มีกำหนดสรุปประเด็นสำคัญภายในเดือนธันวาคม 2568 กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า ความสำเร็จของ FTA เหล่านี้จะช่วยสร้างมูลค่าทางการค้าเพิ่ม 8,750 ล้านบาทภายในเวลาเพียง 4 เดือนแรก และมากกว่า 139,000 ล้านบาทภายในหนึ่งปี

ควบคู่กับการเร่งเจรจา FTA กระทรวงพาณิชย์ยังเดินหน้าขยายตลาดใหม่ผ่านโครงการ “Special Task Force: STF” ภายใต้นโยบาย Quick Big Win เพื่อผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดศักยภาพใหม่ ไม่ว่าจะเป็นจีนตะวันตก เช่น เฉิงตู ฉงชิ่ง และสิบสองปันนา สำหรับสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และอาหารสัตว์เลี้ยง ตลาดอาเซียนอย่างเวียดนาม สำหรับสินค้าแม่และเด็ก รวมถึงตลาดอินเดีย โดยเฉพาะเมืองมุมไบ สำหรับสินค้าและบริการด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้คาดว่าจะทำให้ไทยเพิ่มมูลค่าการค้าได้ไม่น้อยกว่า 190 ล้านบาทในระยะแรก และตั้งเป้ายอดการส่งออกไปตลาดใหม่รวมไม่น้อยกว่า 95,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตอย่างน้อย 9% จากปีที่แล้ว

สำหรับปี 2569 รัฐบาลเตรียมบุกตลาดใหม่เพิ่มเติมในยุโรป ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา ไปจนถึงเอเชียใต้และรัสเซีย พร้อมวางแผนส่งออกสินค้าให้เหมาะสมกับลักษณะของแต่ละภูมิภาค เช่น สินค้าอุตสาหกรรมหนักและเครื่องจักรสำหรับตลาดแอฟริกา สินค้าอาหารและแฟชั่นสำหรับตลาดยุโรป โดยจะใช้ประโยชน์จาก FTA ใหม่และเครือข่ายพันธมิตรการค้าอย่างเต็มที่

ด้านสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นพ้องกับรัฐบาลว่า การขยายตลาดใหม่เป็นภารกิจสำคัญของประเทศในปี 2568–2569 เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าที่อาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดจากมาตรการกีดกันทางการค้า สศช. ยังเสนอให้เร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ พร้อมทั้งเตรียมศึกษาตลาดศักยภาพใหม่ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิต การขจัดอุปสรรคด้านกฎระเบียบของประเทศคู่ค้า และการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

แม้ว่าสหรัฐจะยังเป็นตลาดส่งออกสำคัญที่สุดของไทย แต่รัฐบาลยืนยันว่าการเจรจาการค้ากับสหรัฐยังคงต้องเดินหน้าต่อ เพื่อรักษาแรงส่งของการค้าไทย ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสมดุลใหม่ให้ระบบเศรษฐกิจโดยการขยายตลาด กระจายความเสี่ยง และเพิ่มพลังแข่งขันของการส่งออกไทยให้ยั่งยืนในระยะยาว

L2D Page (109)

'โลจิสติกส์สีเขียว' โอกาสทองของเศรษฐกิจเกิดใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อม

โลจิสติกส์สีเขียว: โอกาสเชิงยุทธศาสตร์ของเศรษฐกิจเกิดใหม่

ภาคโลจิสติกส์กำลังก้าวสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของโลก เศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตของอีคอมเมิร์ซได้ผลักดันให้ความต้องการขนส่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดโลจิสติกส์ทั่วโลกอาจทะลุเกิน 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2571 ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมนี้ยังเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นสัดส่วนราว 11% ของการปล่อยทั้งหมด นำมาซึ่งโจทย์สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่ทุกประเทศต้องเร่งรับมือ

ภาคโลจิสติกส์ซึ่งเป็นกลไกหลักของการค้าโลกและเป็นแหล่งจ้างงานกว่า 10% ของประชากรโลกกำลังเผชิญแรงกดดันสามด้าน ได้แก่ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการค้า ความเร่งด่วนของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล ความท้าทายเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังต้องการการยกระดับ ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และข้อกำหนดด้านการลดคาร์บอนที่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการขนส่งทางถนนและทางรางที่คาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วตามกระแสอีคอมเมิร์ซ ซึ่งถูกประเมินว่าจะขยายตัวมากกว่า 2.7 เท่าภายในปี 2593

จากบริบทดังกล่าว แนวคิด “โลจิสติกส์สีเขียว” จึงถูกหยิบยกขึ้นเป็นทางออกสำคัญที่ช่วยให้ภาคโลจิสติกส์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้พร้อมกัน รายงาน Green Logistics Innovation for Emerging Markets: Driving Competitiveness and Shared Value ได้ตีแผ่ว่า นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในโลจิสติกส์มีศักยภาพครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่เชื้อเพลิงสะอาดและยานยนต์พลังงานทางเลือก ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ทั้งหมดนี้สะท้อนโอกาสใหม่ของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ รวมถึงไทย ซึ่งสามารถนำแนวทางเหล่านี้ไปต่อยอดเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

สำหรับประเทศไทย บทบาทในฐานะศูนย์กลางการค้าและการผลิตของอาเซียนทำให้ประเทศมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ต่อการก้าวสู่ระบบโลจิสติกส์สีเขียว การลงทุนขนาดใหญ่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) การพัฒนาระบบราง รถไฟทางคู่ และท่าเรือน้ำลึก ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับขนส่งที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร รวมถึงหน่วยงานวิจัยด้านโลจิสติกส์ต่างชี้ให้เห็นความพยายามร่วมของภาครัฐและเอกชนในการนำแนวคิดสีเขียวมาใช้ ตั้งแต่การสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและเชื้อเพลิงชีวภาพในภาคขนส่ง ไปจนถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT และระบบติดตามเส้นทาง เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนและลดการใช้พลังงานระหว่างการขนส่ง

เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง มีการเสนอ “พิมพ์เขียว 4 ขั้น” ที่ทุกฝ่ายสามารถนำไปใช้ร่วมกันได้ ขั้นแรกคือการสร้างกรอบนโยบายที่บูรณาการและชัดเจน โดยเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ระดับชาติไปสู่แผนการทำงานเฉพาะภาคธุรกิจ พร้อมมาตรการจูงใจ เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนระยะยาว ขั้นต่อมาคือการผลักดันกลไกการระดมทุนสีเขียว ทั้งจากภาครัฐ นักลงทุนเอกชน ไปจนถึงการใช้รูปแบบการเงินผสม เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการขนาดเล็กสามารถเข้าถึงเงินทุนที่จำเป็นได้ง่ายขึ้น

การยกระดับทักษะของแรงงานถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะการจัดการโลจิสติกส์สมัยใหม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ด้านดิจิทัลและการคำนวณคาร์บอนอย่างแม่นยำ การจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมที่ตอบโจทย์จริงในอุตสาหกรรมจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายคือความร่วมมือของทุกภาคส่วนในระบบนิเวศ ทั้งภาครัฐ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ เจ้าของสินค้า สถาบันการเงิน และภาควิชาการ ซึ่งต้องจับมือกันกำหนดมาตรฐานร่วม พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และแบ่งปันข้อมูล เพื่อเร่งการปรับใช้เทคโนโลยีสีเขียวในวงกว้าง

ท้ายที่สุด การเปลี่ยนผ่านสู่โลจิสติกส์สีเขียวในระดับโลกไม่อาจเกิดขึ้นได้จากผู้เล่นรายใดรายหนึ่ง หากแต่ต้องอาศัยการประสานพลังจากทั้งห่วงโซ่คุณค่า การกำหนดกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกัน การสนับสนุนด้านเงินทุน และการสร้างความร่วมมืออย่างจริงจังคือรากฐานสำคัญที่จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเดินหน้าไปพร้อมกับความยั่งยืนของโลกในระยะยาว

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us