News

L2D Page (152)

คาดเศรษฐกิจปี 69 โตต่ำรอบ 30 ปี

SCB EIC เตือนเศรษฐกิจไทยปี 2569 เสี่ยงโตต่ำสุดในรอบ 30 ปี นอกช่วงวิกฤติ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง หลังปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568 ลงเหลือ 2% จากเดิม 2.1% ขณะที่ภาพเศรษฐกิจในปี 2569 น่าเป็นห่วงมากกว่า โดยคาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.5% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตต่ำกว่า 2% เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี หากไม่นับรวมช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา

นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า แม้ปี 2569 จะไม่ใช่ปีแห่งวิกฤต แต่เศรษฐกิจไทยกลับมีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำผิดปกติ ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน และไม่ควรปล่อยให้การเติบโตระดับต่ำเช่นนี้กลายเป็นภาวะปกติใหม่ของประเทศ

แรงกดดันสำคัญมาจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดจากสงครามการค้า และผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกันการแข่งขันจากต่างประเทศรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจากจีนที่ส่งเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ส่งผลต่อภาคการผลิตและการส่งออกของไทยโดยตรง

ในประเทศเอง เศรษฐกิจยังเผชิญข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน ทั้งความเปราะบางของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ซึ่งกดดันกำลังซื้อและการลงทุน จำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติแม้จะฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้ แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิดอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ภาครัฐยังเผชิญข้อจำกัดด้านการคลังที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน

SCB EIC ประเมินว่า เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ คณะกรรมการนโยบายการเงินมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ระดับ 1.0% ภายในครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อลดต้นทุนทางการเงินและช่วยบรรเทาแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาท

ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงทางการเมืองยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยหากมีการยุบสภาเร็วกว่ากำหนด จะทำให้การเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2569 ต่ำกว่าปกติ แต่ในอีกด้านหนึ่ง อาจช่วยลดความล่าช้าในการประกาศใช้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี 2570 หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งจะทำให้งบประมาณล่าช้าเพียง 1–2 เดือน

อย่างไรก็ดี หากการเลือกตั้งหรือการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าออกไป ความเสี่ยงที่งบประมาณปี 2570 จะล่าช้าเกินกว่า 3 เดือนจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะกลาง เนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐถูกจำกัดอยู่แล้วจากแรงกดดันด้านการปฏิรูปการคลัง เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณและควบคุมระดับหนี้สาธารณะไม่ให้เกิน 70% ของ GDP

นายยรรยงยังกล่าวเพิ่มเติมว่า SCB EIC คาดหวังให้สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ คลี่คลายลงโดยเร็ว เพื่อเปิดทางให้เงินลงทุนจากต่างประเทศที่เตรียมจะเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีหน้า หากสถานการณ์ยืดเยื้อ อาจส่งผลให้การใช้จ่ายภาครัฐขาดความต่อเนื่อง การเจรจากับสหรัฐฯ ล่าช้า หรือเสียเปรียบมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในอนาคต

L2D Page (151)

รฟท. ลุยที่ดินเชิงพาณิชย์ 'สถานีกลางบางซื่อ' เริ่มสร้างปี 69

รฟท. เร่งปั้นที่ดินบางซื่อ สู่ศูนย์พาณิชย์ใหม่ของประเทศ ประเดิมสร้างอาคารคมนาคมปี 2569

การรถไฟแห่งประเทศไทยเดินหน้าขับเคลื่อนแผนพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์รอบสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ หรือย่านบางซื่ออย่างเป็นรูปธรรม โดยเตรียมเริ่มโครงการนำร่องในปีงบประมาณ 2569 ด้วยการพัฒนาที่ดินแปลง E ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นที่ตั้งของอาคารกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่ ภายใต้แนวคิด MOT Smart Building ใช้งบลงทุนรวม 4,500 ล้านบาท และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2571

นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการผู้ว่าฯ รฟท. เปิดเผยว่า รฟท. ได้อนุมัติให้บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด หรือ SRTA เช่าที่ดินขนาดใหญ่จำนวน 10 แปลงทั่วประเทศ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเกิน 500 ล้านบาทต่อแปลง เพื่อบริหารจัดการเชิงพาณิชย์และเพิ่มรายได้ระยะยาวให้กับองค์กร โดยขณะนี้ SRTA อยู่ระหว่างจัดทำแผนพัฒนาภาพรวม แต่ยังไม่ได้เสนอเข้าสู่การพิจารณาของกระทรวงคมนาคมและ รฟท.

ในระยะแรก ที่ดินย่านสถานีกลางบางซื่อถือเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมมากที่สุด โดยเฉพาะแปลง E ซึ่งถูกเลือกให้เป็นโครงการแรกของแผนพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ เนื่องจากได้รับการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐแล้ว และสามารถเริ่มก่อสร้างได้ทันทีในปีงบประมาณหน้า

ที่ดินแปลง E ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพื้นที่พัฒนาบางซื่อ ติดกับสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และใกล้สำนักงานใหญ่ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 138 ไร่ โดยมีความชัดเจนแล้วว่าส่วนแปลง E1 จะถูกพัฒนาเป็นอาคารที่ทำการกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่ รองรับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ไม่น้อยกว่า 1,200 คน

อาคารดังกล่าวถูกออกแบบให้เป็นอาคารประหยัดพลังงาน มีพื้นที่ใช้สอยสำนักงานหลักและทางเดินรวมประมาณ 156,000 ตารางเมตร พื้นที่ส่วนกลางราว 30,000 ตารางเมตร และพื้นที่จอดรถประมาณ 62,000 ตารางเมตร รองรับรถยนต์ได้กว่า 1,500 คัน เพื่อตอบโจทย์การเป็นศูนย์ราชการด้านคมนาคมในอนาคต

สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติกรอบงบประมาณตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2569 ถึง 2571 ด้วยวงเงินรวม 4,500 ล้านบาท เพื่อทดแทนอาคารสำนักงานเดิมบนถนนราชดำเนินนอก ซึ่งเป็นอาคารสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และควรอนุรักษ์ไว้ ไม่เหมาะแก่การขยายหรือรื้อปรับปรุงใหม่

รฟท. ประเมินว่า ที่ดินทั้ง 10 แปลงที่มอบหมายให้ SRTA บริหาร มีมูลค่าทรัพย์สินตามราคาประเมินธนารักษ์รวมกว่า 27,500 ล้านบาท และหากพัฒนาเต็มศักยภาพ จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและรายได้รวมได้มากกว่า 100,000 ล้านบาทในระยะยาว

ในภาพรวม การพัฒนาพื้นที่ย่านบางซื่อไม่เพียงเป็นการเพิ่มรายได้ให้ รฟท. แต่ยังสอดรับกับแผนยกระดับพื้นที่ให้เป็นศูนย์กลางคมนาคมและเศรษฐกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างเมืองและระบบขนส่งของประเทศในอนาคต

L2D Page (150)

ถูกเดือดในจีน เสียงเรียกร้อง "หยวนแข็งค่า" ดังขึ้น ท้าทายนโยบาย เศรษฐกิจยุคสี จิ้นผิง

กระแส “หยวนแข็งค่า” เขย่านโยบายจีน นักเศรษฐศาสตร์ถกทางเลือกใหม่ ท้าทายยุคสี จิ้นผิง

กระแสถกเถียงเรื่องทิศทางค่าเงินหยวนเริ่มดังขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในจีน เมื่อกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์และอดีตผู้กำหนดนโยบายการเงินจำนวนมากมองตรงกันว่า การปล่อยให้หยวนอ่อนค่าต่อเนื่องกำลังกลายเป็นภาระต่อเศรษฐกิจ มากกว่าจะเป็นเครื่องยนต์สนับสนุนการเติบโตเหมือนในอดีต

รายงานของบลูมเบิร์กระบุว่า ค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ช่วยหนุนการส่งออก แต่กลับซ้ำเติมปัญหาการบริโภคภายในประเทศที่อ่อนแอ กดทับกำลังซื้อของประชาชน และเพิ่มแรงเสียดทานทางการค้ากับประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะในช่วงที่จีนพยายามปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้พึ่งพาการส่งออกน้อยลง

การเปิดพื้นที่ถกเถียงเรื่องนโยบายค่าเงินถือเป็นเรื่องไม่ปกติในบริบทการเมืองจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งนโยบายเศรษฐกิจมักถูกกำหนดจากส่วนกลางอย่างรัดกุม อย่างไรก็ดี เสียงเรียกร้องให้ปล่อยให้หยวนแข็งค่าขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป กำลังเพิ่มน้ำหนักมากขึ้นในแวดวงวิชาการและผู้กำหนดนโยบายเบื้องหลัง

Goldman Sachs ประเมินว่าหยวนยังอ่อนค่ากว่าระดับที่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจถึงราว 25% ขณะที่นักวิเคราะห์หลายรายชี้ว่าค่าเงินที่อ่อนเกินไปทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้น กระทบอำนาจซื้อ และบั่นทอนความพยายามกระตุ้นอุปสงค์ภายใน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาเงินฝืดที่จีนกำลังเผชิญ

ในช่วงสามปีจนถึงปี 2567 ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงราว 13% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ จากผลพวงของวิกฤตอสังหาริมทรัพย์และความตึงเครียดเชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐ แม้ปีนี้หยวนจะฟื้นตัวขึ้นบ้าง แต่เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ ยังคงอยู่ในระดับอ่อนค่า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับยูโร

ท่าทีของธนาคารกลางจีนยังสะท้อนความระมัดระวัง โดยยังคงควบคุมกรอบการเคลื่อนไหวของหยวนอย่างใกล้ชิด และถูกมองว่าพยายามสกัดการแข็งค่ามากเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อภาคส่งออก ซึ่งยังเป็นเสาหลักพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่การบริโภคภายในซบเซาและภาคอุตสาหกรรมเผชิญแรงกดดันเงินฝืด

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนเห็นว่าการแข็งค่าของหยวนในระดับที่เหมาะสมอาจเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบในการลดดุลการค้าเกินดุลขนาดใหญ่ เพิ่มอำนาจซื้อในต่างประเทศ และยกระดับบทบาทของเงินหยวนบนเวทีโลก ขณะที่อีกฝ่ายเตือนว่าหากแข็งค่าเร็วหรือแรงเกินไป อาจย้อนรอยบทเรียนของญี่ปุ่นหลัง Plaza Accord และสร้างความเปราะบางทางการเงินในระยะยาว

มุมมองของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงยังเอนเอียงไปในทิศทางเดียวกัน คือจีนอาจเปิดทางให้หยวนแข็งค่าขึ้น แต่จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการฟื้นฟูอุปสงค์ภายในประเทศ กับการป้องกันไม่ให้ภาคส่งออกและเศรษฐกิจโดยรวมเผชิญแรงกระแทกมากเกินไป

L2D Page (149)

ราคาน้ำมันดิบปรับลด กังวลอุปทานล้นตลาด-ตัวเลขเศรษฐกิจจีนเปราะบาง

น้ำมันดิบอ่อนตัวต่อเนื่อง ตลาดกังวลอุปทานล้น–เศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณชะลอ

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลง ท่ามกลางความกังวลเรื่องภาวะอุปทานน้ำมันที่มีแนวโน้มล้นตลาดในระยะยาว ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ออกมาต่ำกว่าคาด ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดพลังงานยังคงระมัดระวัง

หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนักกับมุมมองด้านอุปทานเป็นหลัก โดยฝ่ายวิจัยสินค้าโภคภัณฑ์ของ J.P. Morgan ประเมินว่าภาวะน้ำมันล้นตลาดในปี 2568 มีแนวโน้มจะยืดเยื้อต่อเนื่องไปถึงปี 2569–2570 เนื่องจากอุปทานน้ำมันทั่วโลกขยายตัวเร็วกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้ ส่งผลกดดันต่อราคาน้ำมันในตลาดล่วงหน้า

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส (WTI) ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2568 ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 56.82 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 0.62 ดอลลาร์ ขณะที่น้ำมันดิบเบรนต์ปิดที่ระดับ 60.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 0.56 ดอลลาร์

แรงกดดันเพิ่มเติมมาจากข้อมูลเศรษฐกิจจีน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤศจิกายน 2568 ขยายตัวเพียง 4.8% ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 และต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่ยอดค้าปลีก ซึ่งสะท้อนการบริโภคภายในประเทศ เพิ่มขึ้นเพียง 1.3% ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่จีนยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด-19 ในช่วงปลายปี 2565 สะท้อนถึงความเปราะบางของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก

นอกจากนี้ ความคืบหน้าในการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามรัสเซีย–ยูเครน ยังเป็นอีกปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมัน โดยประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ส่งสัญญาณว่ายูเครนพร้อมพิจารณาละทิ้งความพยายามในการเข้าร่วมองค์การนาโต หากสามารถแลกกับหลักมอบหลักประกันด้านความมั่นคงภายใต้ข้อตกลงสันติภาพได้ ซึ่งหากการเจรจาประสบความสำเร็จ อาจนำไปสู่การผ่อนคลายหรือยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย และเปิดทางให้การส่งออกน้ำมันของรัสเซียกลับเข้าสู่ตลาดโลกมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงจับตาความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในลาตินอเมริกา หลังความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอลามีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น โดยบริษัทน้ำมันแห่งชาติของเวเนซุเอลา PDVSA รายงานว่าถูกโจมตีทางไซเบอร์ ขณะที่การส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังสหรัฐฯ ดำเนินการยึดเรือบรรทุกน้ำมันนอกชายฝั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีรายงานว่าสหรัฐฯ เตรียมเพิ่มมาตรการสกัดกั้นเรือบรรทุกน้ำมันเพิ่มเติม ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่ออุปทานจากเวเนซุเอลาในตลาดโลก

โดยรวมแล้ว ราคาน้ำมันยังคงเคลื่อนไหวภายใต้แรงกดดันจากอุปทานส่วนเกินและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดในระยะถัดไป

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us