News

L2D Page (117)

เศรษฐกิจดิจิทัลไทยปี 68 สะพัด 1.8 ล้านล้านบาท Google ชี้ 'อีคอมเมิร์ซ' แรงขับเคลื่อนหลัก

เศรษฐกิจดิจิทัลไทยโตแกร่ง แม้เศรษฐกิจภายในประเทศเผชิญแรงกดดัน

แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังมีอุปสรรค จากการบริโภคที่ชะลอตัวและภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แต่เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รายงาน e-Conomy SEA Report 2024: From Digital Decade to AI Reality ที่จัดทำโดยกูเกิล เทมาเส็ก และเบนแอนด์คอมพานี ระบุว่า เศรษฐกิจดิจิทัลไทยยังเป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และคาดว่ามูลค่าสินค้ารวม (GMV) จะพุ่งขึ้นถึง 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2568 เพิ่มขึ้น 16% จากปีที่ผ่านมา โดยมีภาคอีคอมเมิร์ซเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อน

อีคอมเมิร์ซยังคงเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค ด้วยอัตราเพิ่มขึ้น 22% และคาดว่ามูลค่าตลาดจะขึ้นแตะ 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีหน้า ปัจจัยสำคัญของการเติบโตมาจากกระแส “วิดีโอคอมเมิร์ซ” ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผู้ขายผ่านวิดีโอมีจำนวนสูงถึง 850,000 ราย เพิ่มขึ้นกว่า 175% ภายในปีเดียว ส่งผลให้ไทยกลายเป็นตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค ด้วยยอดธุรกรรมกว่า 1.3 พันล้านครั้ง โดยกลุ่มแฟชั่นและเครื่องประดับเป็นหมวดสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุด

ปรากฏการณ์นี้ได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างเห็นได้ชัด และเปิดโอกาสใหม่ให้ผู้ขายและแบรนด์ต่างๆ เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้งขึ้นผ่านการผสานการขายสินค้ากับคอนเทนต์ที่ตรงใจผู้ชม เป็นการยืนยันว่าความนิยมด้านไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของคนไทยได้กลายเป็นพลังสำคัญที่ขยายเศรษฐกิจออนไลน์ในวงกว้าง

ขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวออนไลน์ก็ยังคงเติบโต แม้ว่าการท่องเที่ยวโดยรวมจะฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยคาดว่ามูลค่าตลาดจะถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีหน้า เติบโต 6% ปัจจัยหนุนสำคัญคือมาตรการของรัฐบาลในการดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น การขยายสิทธิ์ยกเว้นวีซ่าให้ครอบคลุมกว่า 90 ประเทศ รองรับนักท่องเที่ยวจากอินเดียและตะวันออกกลาง รวมถึงการผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพระดับโลก และการใช้วัฒนธรรมไทยในการสร้างความน่าสนใจในตลาดต่างประเทศ

ภาคบริการทางการเงินดิจิทัล (DFS) ก็เป็นอีกหนึ่งแรงขับสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีแนวโน้มเติบโตในอัตราเร่ง ธุรกิจด้านดิจิทัลเวลธ์คาดว่าจะขยายตัวสูงถึง 29% มูลค่า AUM แตะ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่สินเชื่อดิจิทัลคาดว่ามียอดคงค้างสูงถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2568 เพิ่มขึ้น 21% ด้านการชำระเงินดิจิทัลยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ามูลค่าธุรกรรมรวมจะสูงถึง 1.63 แสนล้านดอลลาร์ สอดคล้องกับการเข้าสู่ระบบธนาคารดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยคาดว่าจะมีธนาคารดิจิทัลใหม่ 3 รายได้รับใบอนุญาตดำเนินงานภายในปี 2569 ซึ่งจะช่วยขยายบริการทางการเงินให้เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้รายย่อยและผู้ประกอบการขนาดเล็กมากขึ้น

ภาคสื่อออนไลน์และบริการดิจิทัลบันเทิงยังคงเติบโตที่ระดับ 8% ด้วยแรงหนุนจากรายได้โฆษณา การขยายตัวของวิดีโอคอมเมิร์ซ และความนิยมของคอนเทนต์ไทยในตลาดโลก โดยกรุงเทพฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางสำคัญที่กำหนดทิศทางเทรนด์ด้านดนตรีและสื่อออนไลน์ของภูมิภาค

นอกจากนี้ บริการขนส่งและส่งอาหารออนไลน์ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยคาดว่ามูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นแตะ 5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568 เติบโต 15% จากปีที่ผ่านมา หลังผ่านช่วงการแข่งขันดุเดือดและการถอนตัวของผู้เล่นรายใหญ่ ตลาดเริ่มเข้าสู่ช่วงสร้างความยั่งยืน แพลตฟอร์มต่างๆ ปรับกลยุทธ์ไปสู่การเพิ่มรายได้และกำไร ผ่านบริการรูปแบบใหม่ เช่น ระบบสมาชิก วอยเชอร์ร้านอาหาร และโฆษณาในแอปพลิเคชัน

แม้เศรษฐกิจไทยจะเผชิญความท้าทายหลายด้าน แต่เศรษฐกิจดิจิทัลยังคงเป็นจุดสว่างสำคัญของประเทศ ด้วยความแข็งแกร่งของอีคอมเมิร์ซ การเติบโตของการท่องเที่ยวออนไลน์ และการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของบริการการเงินดิจิทัลและแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลไทยเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงในปีต่อ ๆ ไป.

L2D Page (116)

ส่งออก ต.ค. โตแผ่ว 5.7% ภาษีสหรัฐเริ่มส่งผล-สินค้าเกษตรหดตัวแรง

ส่งออกไทยเดือนตุลาคมโตเพียง 5.7% แผ่วสุดรอบปี ผลจากภาษีสหรัฐฯ และแรงกดดันสินค้าเกษตร

การส่งออกของไทยในเดือนตุลาคม 2568 ขยายตัวที่ 5.7% คิดเป็นมูลค่า 28,835.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 910,316 ล้านบาท แม้ยังเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 แต่ถือเป็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงและต่ำสุดในรอบหนึ่งปี หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย อัตราการขยายตัวอยู่ที่ 15.7% ขณะเดียวกันการนำเข้ามีมูลค่า 32,272.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.3% ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้ากว่า 3,436.9 ล้านเหรียญสหรัฐ

ภาพรวมในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกแตะ 282,982.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 13% หรือ 13.8% หากไม่รวมสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ส่วนการนำเข้ามีมูลค่ารวม 286,848.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12.4% ทำให้ไทยขาดดุลการค้าสะสมกว่า 3,866.2 ล้านเหรียญสหรัฐ

การเติบโตของการส่งออกในเดือนตุลาคมชะลอตัวลงชัดเจน เนื่องจากเริ่มได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ประกอบกับการแข่งขันด้านราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้สินค้าเกษตรของไทยหดตัวต่อเนื่อง โดยเดือนตุลาคมหดตัวถึง 14.6% เป็นเดือนที่สามติดต่อกัน ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมยังขยายตัวที่ 8.8% ตลาดส่งออกสำคัญยังเติบโตดี โดยเฉพาะสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 32.9% รองลงมาคือจีน 9.3% ญี่ปุ่น 1.9% สหภาพยุโรป 9.9% และอาเซียน 5 ประเทศ 5.4%

แนวโน้มการส่งออกในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2568 คาดว่ายังคงเติบโตได้ แต่จะเป็นการขยายตัวในอัตราชะลอลง โดยประเมินมูลค่าส่งออกเฉลี่ยที่ 25,000-26,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน เดือนพฤศจิกายนคาดอาจติดลบเล็กน้อยหรือขยายตัวไม่ถึง 1.4% ส่วนเดือนธันวาคมคาดเติบโตได้ 1-5% ทำให้ทั้งปี 2568 การส่งออกไทยน่าจะขยายตัว 10.7-11.4% รวมมูลค่าราว 332,982-334,982 ล้านเหรียญสหรัฐ

แรงสนับสนุนสำคัญในช่วงปลายปีมาจากความต้องการสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัลที่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมถึงสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารที่เป็นที่ต้องการในตลาดโลก ส่วนปัจจัยเสี่ยงยังคงต้องจับตา ทั้งแนวโน้มเงินบาทแข็งค่า และปริมาณผลผลิตเกษตรที่อาจลดลงจากปัญหาอุทกภัยภายในประเทศ

มองไปข้างหน้าในปี 2569 แนวโน้มการส่งออกยังเติบโตได้ แต่คาดว่าจะอยู่ในอัตราชะลอตัวจากสามปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ฐานส่งออกปี 2568 ที่สูงเป็นพิเศษจากการเร่งนำเข้าสินค้าเพื่อเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ ผลกระทบจากมาตรการ Reciprocal Tariff ที่สหรัฐฯ จะบังคับใช้เต็มรูปแบบ และความยืดเยื้อของสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์โดยนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการฯ เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายเพื่อรักษาตลาดเดิม ขยายตลาดใหม่ และเร่งเจรจาความตกลงทางการค้า รวมถึงการเร่งหาข้อสรุปเรื่อง Reciprocal Tariff เพื่อให้ผู้ส่งออกสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงได้อย่างเต็มที่ พร้อมจัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อติดตามผลกระทบจากมาตรการภาษีและให้ข้อมูลสำคัญแก่ผู้ประกอบการอย่างทันท่วงที.

L2D Page (115)

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส เปิดตัวระบบคัดแยกอัตโนมัติแห่งแรกในไทย ที่ Drop-Point ขับเคลื่อนศักยภาพ Smart Logistics

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส เดินหน้าปรับโฉม Smart Logistics ด้วยระบบคัดแยกพัสดุอัตโนมัติรุ่นใหม่ในไทย

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย เดินหน้าพัฒนาระบบ Smart Logistics อย่างต่อเนื่อง ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีสายพานคัดแยกพัสดุอัตโนมัติ (Automatic Sorting Conveyor System) รุ่นใหม่ภายในศูนย์คัดแยกหลักในกรุงเทพมหานคร โดยร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำด้านระบบคัดแยกอัตโนมัติ เพื่อยกระดับความเร็ว ความแม่นยำ และประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น

บริษัทถือเป็นผู้ให้บริการขนส่งรายแรกของไทยที่นำเทคโนโลยีคัดแยกระดับอุตสาหกรรมรุ่นใหม่มาใช้งานจริง ระบบสายพานใหม่นี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการคัดแยกได้มากกว่าเดิมถึง 100% ภายในช่วงเวลาเท่ากัน โดยใช้เทคโนโลยี AI ผสานกับกล้องอัจฉริยะสำหรับตรวจจับและอ่านรหัสปลายทางแบบอัตโนมัติ พร้อมคัดแยกพัสดุลงช่องที่เพิ่มจำนวนเป็น 60 ช่อง ทำให้กระบวนการคัดแยกมีความเป็นระบบ ลดข้อผิดพลาด และช่วยย่นระยะเวลาในการดำเนินงานได้อย่างชัดเจน

ระบบดังกล่าวยังรองรับการบันทึกข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ฝ่ายบริหารสามารถติดตามสถานการณ์ วิเคราะห์ประสิทธิภาพ และวางแผนทรัพยากรได้อย่างแม่นยำมากขึ้น การนำระบบใหม่เข้ามาใช้งานที่ศูนย์คัดแยกเขตวังทองหลางถือเป็นหมุดหมายสำคัญของกลยุทธ์ Smart Logistics ที่บริษัทตั้งใจขยายไปยังศูนย์อื่นทั่วประเทศในปี 2569 เพื่อตอบรับกับปริมาณพัสดุที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงช่วยยกระดับความถูกต้องและความรวดเร็วของกระบวนการคัดแยก แต่ยังช่วยมอบประสบการณ์จัดส่งที่สะดวก ปลอดภัย และเชื่อถือได้ให้แก่ลูกค้าทุกกลุ่ม โดยการผสานนวัตกรรมดิจิทัลเข้ากับการบริหารจัดการสมัยใหม่ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์ยุคใหม่ พร้อมรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ไทยอย่างยั่งยืน.

L2D Page (114)

LEO ส่งซิก Q4 ฟื้นตัว รับไฮซีซั่น แย้มปี 69 เล็งร่วมมือพันธมิตร-ขยายเส้นทางขนส่ง

LEO เผยผลประกอบการ 9 เดือนปี 2568 ลดลง แต่ธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ยังเติบโตต่อเนื่อง
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยภาพรวมธุรกิจผ่านงาน Opportunity Day ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 โดยระบุว่า ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 16.34 ล้านบาท ลดลง 52.27% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 34.22 ล้านบาท แม้ว่ารายได้รวมจะอยู่ในระดับ 1,024 ล้านบาท แต่บริษัทสามารถรักษาการเติบโตจากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/2568 คาดว่าสถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นจากแรงหนุนของช่วงไฮซีซัน ซึ่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคการค้าและการขนส่งระหว่างประเทศ บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถขยายตัวตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นอีกจุดท้าทายที่สะท้อนศักยภาพด้านกลยุทธ์ของผู้บริหารและองค์กร

ธุรกิจลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ยังคงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโต โดยคาดว่ารายได้จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4/2568 ไปจนถึงปี 2569 จากฐานลูกค้ารายใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยสนับสนุนการเติบโตระยะยาวของบริษัท

ด้านธุรกิจ LEO Coldbotic ซึ่งเป็นศูนย์เก็บและกระจายสินค้าอัจฉริยะ รวมถึงคลังเก็บไวน์ควบคุมอุณหภูมิ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแรง และคาดว่าจะขยายตัวอย่างชัดเจนในไตรมาส 4/2568 จากปัจจัยฤดูกาลของสินค้าไวน์และจำนวกลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทร่วมทุน LEO JITU จะเริ่มรับรู้รายได้จากบริการ Power Bank ภายในไตรมาสเดียวกัน ซึ่งช่วยเสริมความหลากหลายและความยืดหยุ่นของพอร์ตธุรกิจ

สำหรับแผนปี 2569 บริษัทเตรียมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในหลายประเทศ เพื่อเพิ่มเส้นทางขนส่งสู่ตลาดศักยภาพในเอเชียและยุโรป โดยบริษัทเชื่อว่าการพัฒนาเครือข่ายขนส่งทางรางจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะเส้นทางจีนตอนใต้และยุโรปผ่านรถไฟสายจีน–ลาว

LEO วางเป้าหมายเดินหน้าสร้างการเติบโตในธุรกิจโลจิสติกส์และนอนโลจิสติกส์ รวมถึงบริการที่เกี่ยวเนื่องกับ Green Logistics และการดำเนินงานแบบ ESG เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจและสร้างผลตอบแทนในระยะยาวอย่างยั่งยืน

ขณะเดียวกัน พันธมิตรในประเทศจีนยังได้ตอบรับเชิงบวกต่อทิศทางธุรกิจใหม่ของบริษัท พร้อมยืนยันความร่วมมือที่เตรียมเริ่มดำเนินงานในปีหน้า ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของ LEO ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือการขนส่งไปจีนจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปริมาณงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอัตรากำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามสภาวะธุรกิจที่ขยายตัว

บริษัทมีแผนขยายธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามแดนและการขนส่งสินค้าระหว่างไทย–จีน เพื่อรองรับความต้องการจากกลุ่มอุตสาหกรรมการค้า การผลิต และอีคอมเมิร์ซ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญของบริษัทในช่วงปีต่อไป

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us