News

L2D Page (141)

ปิดด่าน 138 วัน ฉุด GDP กัมพูชา 2.1% 'การค้า-ท่องเที่ยว-กาสิโน' รายได้หาย

ปิดด่านไทย–กัมพูชา 138 วัน ฉุดเศรษฐกิจหนัก การค้าหาย 8 หมื่นล้าน กระแทก GDP กัมพูชา 2.1%
สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2568 ต่อเนื่องจากเหตุปะทะช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้ด่านชายแดนทั้ง 18 แห่งตลอดแนวชายแดนกว่า 800 กิโลเมตรต้องปิดดำเนินการ โดยพื้นที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมจังหวัดตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานีความเสียหายทางเศรษฐกิจจึงขยายวงกว้างทั้งสองประเทศ

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เปิดเผยผลประเมินตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ถึง 8 ธันวาคม 2568 รวมเวลา 138 วัน พบว่าการส่งออกชายแดนของไทยไปกัมพูชาซึ่งปกติมีมูลค่าปีละกว่า 220,800 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 613 ล้านบาท หายไปรวม 84,640 ล้านบาท การหยุดชะงักดังกล่าวกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทยราว 0.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่มูลค่านำเข้าจากกัมพูชาปกติปีละ 32,000 ล้านบาท ก็หยุดชะงักเช่นกัน ทำให้ฝั่งกัมพูชาสูญเสียรายได้ส่งออกราว 12,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นผลกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.9 เปอร์เซ็นต์

นอกจากการค้าแล้ว อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกิจการกาสิโนของกัมพูชาก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยซึ่งเป็นกลุ่มหลักของประเทศมีมูลค่าปกติปีละประมาณ 42,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 120 ล้านบาท ถูกตัดขาดลงทันที ส่วนรายได้ของกาสิโนกว่า 20 แห่งตามแนวชายแดนที่เคยมียอดหมุนเวียนเดือนละ 200 ล้านบาท ก็หยุดนิ่งตลอดช่วงเวลาเหตุปะทะ

เมื่อรวมผลกระทบจากทั้งการค้า การท่องเที่ยว และกาสิโน ตลอดระยะเกือบห้าเดือน เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบรวมราว 0.5 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ขณะที่เศรษฐกิจกัมพูชาถูกฉุดลงสูงถึง 2.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าหนักกว่าหลายเท่า รศ.ดร.อัทธ์เตือนว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจสร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่กำลังพิจารณาขยายฐานในภูมิภาค โดยอุตสาหกรรมที่เสี่ยงมากที่สุด ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเสื้อผ้า พร้อมชี้ว่าการสู้รบที่ยังไม่จบอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นด้านท่องเที่ยว เนื่องจากประเทศไทยยังเผชิญปัญหาอื่นทั้งสแกมเมอร์และการค้ามนุษย์ รวมถึงอาจต้องเร่งหาตลาดส่งออกใหม่แทนกัมพูชา รวมถึงหาแรงงานต่างชาติทดแทนแรงงานกัมพูชาที่ไม่สามารถเดินทางเข้าไทยได้

ด้านนายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย–กัมพูชา ให้ข้อมูลว่า สถานการณ์ความตึงเครียดที่ยังดำเนินต่อไปไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนว่าจะคลี่คลายในช่วงใด เพราะการปิดด่านครั้งนี้เป็นการปิดแบบเต็มรูปแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแตกต่างจากเหตุการณ์ครั้งก่อนที่ยังเปิดบางส่วน ทำให้ผลกระทบด้านการค้าและการขนส่งสินค้าหนักเท่าเดิมหรือมากกว่า หากสถานการณ์ยุติลงภายในไม่กี่วัน ความเสียหายอาจอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ถ้ายืดเยื้อไปอีกหลายสัปดาห์ ความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจลุกลามไปอีกขั้นจนยากต่อการประเมิน

ขณะนี้นักธุรกิจไทยในกัมพูชายังไม่มีการประชุมหรือหารืออย่างเป็นทางการกับสภาธุรกิจไทย–กัมพูชา เนื่องจากทุกฝ่ายกำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ากิจการไทยในพื้นที่ได้รับความเสียหายเพิ่มเติม แต่ความไม่แน่นอนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

L2D Page (140)

"คมนาคม"จัดชุดใหญ่ของขวัญ ปีใหม่2569 ลดค่าใช้จ่ายดินทาง ทางด่วน-มอเตอร์เวย์ฟรี-เข้มปลอดภัยทุกโหมด

คมนาคมเปิดชุดใหญ่ “ของขวัญปีใหม่ 2569” ลดค่าเดินทาง–เปิดทางด่วนฟรี เสริมความปลอดภัยทุกโหมดขนส่ง
กระทรวงคมนาคมประกาศมาตรการชุดใหญ่เป็น “ของขวัญปีใหม่ 2569” ให้ประชาชนทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด “H.N.Y 2569 – Happiness of All, Network of Care, Year of Safety” โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด ร่วมกันจัดแพ็กเกจลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความสะดวก และยกระดับความปลอดภัยบนเส้นทางคมนาคมทุกประเภทในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

มาตรการสำคัญเริ่มจากการลดภาระค่าเดินทาง โดยกรมทางหลวงยกเว้นค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และ 9 ตลอดช่วงเทศกาล พร้อมเปิดใช้ชั่วคราวทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 (M6) บางปะอิน–นครราชสีมา เพื่อลดความแออัดบนถนนมิตรภาพ และแจกคูปองส่วนลดค่าผ่านทางบนดอนเมืองโทลล์เวย์ ด้านการทางพิเศษแห่งประเทศไทยก็งดเก็บค่าผ่านทางบนเส้นทางหลักหลายสาย ขณะที่รฟม. ขยายเวลาเดินรถไฟฟ้า MRT ทุกสายถึงเช้ามืดวันปีใหม่

ระบบเดินทางสาธารณะได้รับการเพิ่มศักยภาพรองรับคนเดินทางจำนวนมากเช่นกัน การรถไฟแห่งประเทศไทยเสริมขบวนรถพิเศษในทุกภูมิภาคและเปิดให้จองตั๋วล่วงหน้าผ่านแอป D-Ticket ส่วนองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเพิ่มเที่ยวรถ ขยายเวลาเดินรถเชื่อมเส้นทางวัดสำคัญและสถานีขนส่ง พร้อมให้บริการอำนวยความสะดวกตลอดคืนปีใหม่ ขณะที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (ทอท.) เปิดที่จอดรถฟรีและจัดกิจกรรมปีใหม่ภายในสนามบิน ทั้งการแจกของที่ระลึก น้ำดื่ม และชุด Travel Kit เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความอบอุ่นให้ผู้โดยสาร

ภาคเอกชนด้านการบินร่วมสนับสนุนเช่นกัน โดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยประสานสายการบินไทย 6 แห่ง ลดค่าโดยสารจากเพดานสูงสุดลง 30 เปอร์เซ็นต์ในเส้นทางยอดนิยม พร้อมเพิ่มเที่ยวบินช่วงเทศกาล ส่วนบริษัท ขนส่ง จำกัด นำเสนอโปรโมชั่น “ไปก่อน–กลับทีหลัง” ลดค่าตั๋วโดยสาร 20 เปอร์เซ็นต์สำหรับผู้จองผ่านออนไลน์ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้โดยสารทั่วประเทศ

ด้านการดูแลประชาชน กระทรวงคมนาคมจัดบริการครอบคลุมทั่วประเทศ เครือข่ายศูนย์อาชีวะอาสาถูกตั้งขึ้นกว่า 150 จุดโดยกรมการขนส่งทางบก เพื่อช่วยตรวจสภาพรถและรองรับเหตุฉุกเฉิน พร้อมให้บริการระบบ Q Ride สำหรับตรวจข้อมูลคนขับรถแท็กซี่และร้องเรียนได้อย่างรวดเร็ว กรมทางหลวงจัดจุดพักรถและจุดกางเต็นท์ฟรี มีห้องน้ำ น้ำดื่ม และทีมกู้ภัย 24 ชั่วโมง รวมถึงแนะนำให้ผู้ใช้ทางตรวจสภาพจราจรผ่านแอป Highway Traffic ขณะที่กรมทางหลวงชนบทให้บริการสายด่วน 1146 ตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อประสานงานและช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุบนทางชนบท

มาตรการด้านความปลอดภัยถูกยกระดับเป็นพิเศษในฐานะ “Year of Safety” กรมการขนส่งทางบกเข้มงวดตรวจสภาพรถโดยสารและความพร้อมของคนขับ พร้อมจัดกิจกรรมตรวจรถฟรีทั่วประเทศและอบรมผู้ขับรถบรรทุกและรถลากจูงให้ได้มาตรฐาน กรมทางหลวงชนบทตรวจสอบจุดเสี่ยง ติดตั้งป้ายเตือน ไฟสัญญาณ และจัดเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนตลอดวัน บริษัท ขนส่ง จำกัด เปิดบริการตรวจสภาพรถฟรีที่ศูนย์รังสิต ส่วนการรถไฟแห่งประเทศไทยตั้งศูนย์ปลอดภัย 24 ชั่วโมงและจัดทำของขวัญพิเศษอย่าง “ถุงรถไฟรักษ์โลก” เพื่อรณรงค์การลดใช้พลาสติก

นายพิพัฒน์ย้ำว่า ของขวัญปีใหม่ปีนี้สะท้อนความตั้งใจของกระทรวงคมนาคมที่ต้องการให้ประชาชนเดินทางอย่างมีความสุขและปลอดภัยที่สุด ทั้งด้วยมาตรการลดค่าใช้จ่าย การให้บริการพิเศษในทุกโหมดขนส่ง และการดูแลความปลอดภัยบนทุกเส้นทาง พร้อมของที่ระลึกต่าง ๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความห่วงใยจากรัฐที่ต้องการอยู่เคียงข้างประชาชนตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569

L2D Page (139)

กทท. ปิดงบปี 2568 กำไรพุ่ง 7,096 ล้านบาท โลจิสติกส์ไทยโตตามการค้าโลก

กทท. ปิดงบปี 2568 กำไรพุ่ง 7,096 ล้านบาท สะท้อนศักยภาพโลจิสติกส์ไทยฟื้นแรงตามการค้าโลก
การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ประกาศผลการดำเนินงานปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – กันยายน 2568) โดยมีกำไรสุทธิสูงถึง 7,096 ล้านบาท สะท้อนความแข็งแกร่งของระบบท่าเรือไทยในช่วงที่การค้าโลกกลับมาขยายตัวต่อเนื่อง ปริมาณเรือเทียบท่า สินค้าผ่านพื้นที่ท่าเรือ และตู้คอนเทนเนอร์เพิ่มขึ้นทุกด้าน เป็นแรงหนุนสำคัญต่อรายได้และศักยภาพการแข่งขันของโลจิสติกส์ไทย

ข้อมูลทั้งปีแสดงให้เห็นว่า กทท. รองรับเรือเทียบท่ารวม 15,113 เที่ยว เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 4.61 ปริมาณสินค้าผ่านท่ารวม 125.07 ล้านตัน เติบโต 5.46% ขณะที่ปริมาณตู้สินค้าทะลุ 11.43 ล้าน TEU ขยายตัวสูงถึง 6.44% ตัวเลขทั้งหมดสะท้อนความต้องการใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านท่าเรือที่ยังคงเพิ่มขึ้นทั้งในภาคการส่งออก–นำเข้าและการขนส่งสินค้าในภูมิภาค

หัวใจสำคัญของการเติบโตยังอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งดำรงบทบาทพอร์ตหลักของประเทศอย่างต่อเนื่อง ปริมาณเรือเทียบท่าเพิ่มขึ้น 3.50% ปริมาณสินค้าเพิ่ม 6.60% และจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ขยายตัวถึง 7.28% ตอกย้ำบทบาทศูนย์กลางโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมส่งออกของไทย ส่วนท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) แม้ปริมาณสินค้ารวมจะปรับลดเล็กน้อย แต่ปริมาณตู้สินค้ายังขยายตัว สะท้อนความต้องการขนส่งสินค้ามูลค่าเพิ่มและสินค้าเฉพาะทางในเขตเมืองที่ยังแข็งแรง

ขณะเดียวกัน ท่าเรือภูมิภาคเริ่มมีบทบาทเด่นมากขึ้น โดยท่าเรือระนองและท่าเรือเชียงแสนเป็นพอร์ตที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นที่สุดในปีนี้ การขยายตัวของการค้าชายแดน การเชื่อมโยงโครงข่ายโลจิสติกส์ในอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รวมถึงบทบาทของไทยในเครือข่ายการค้า BIMSTEC ช่วยผลักดันให้ท่าเรือภูมิภาคกลายเป็นโอกาสใหม่สำหรับผู้ประกอบการโลจิสติกส์ คลังสินค้า และนิคมอุตสาหกรรม อีกทั้งช่วยกระจายปริมาณงานจากพอร์ตหลัก ลดความแออัด และเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบขนส่งของประเทศ

กทท. เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง โดยมีโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เป็นโครงการสำคัญควบคู่กับการจัดการจราจรรอบท่าเรือ ยกระดับประสิทธิภาพการขนส่ง และผลักดันแนวทางโลจิสติกส์สีเขียว เพื่อลดต้นทุนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ภาคธุรกิจทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้น

ในภาพรวม ผลประกอบการปี 2568 ของ กทท. สะท้อนอย่างชัดเจนว่าโครงสร้างท่าเรือไทยยังคงเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการค้าในช่วงที่โครงสร้างซัพพลายเชนโลกกำลังเปลี่ยนผ่าน ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมต่อ และเมกะโปรเจ็กต์ท่าเรือ จะเป็นตัวกำหนดขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว

L2D Page (138)

"คมนาคม" ชง ครม. 9 ธ.ค. เคาะหลักการ "ซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า" ดันตั๋วร่วมเต็มรูปแบบ

กระทรวงคมนาคมเตรียมนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ เพื่อขอความเห็นชอบในหลักการ “การซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า” ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสู่การปฏิรูประบบรางในกรุงเทพฯ ให้เป็นเอกภาพ โดยตั้งเป้าผลักดันให้การบริหารจัดการรถไฟฟ้าอยู่ภายใต้รูปแบบ Single Ownership นำโดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อให้สามารถเดินหน้าระบบตั๋วร่วมได้อย่างเต็มรูปแบบในอนาคต

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับกรมการขนส่งทางราง รฟม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาแนวทางและแหล่งเงินสำหรับการซื้อคืนสัมปทาน โดยต้องไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ แม้กระบวนการจะยังต้องใช้เวลาและคาดว่าจะไม่สามารถสรุปได้ทันรัฐบาลชุดปัจจุบัน แต่ต้องเร่งให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการไว้ก่อน เพื่อเป็นสารตั้งต้นให้รัฐบาลชุดถัดไปเดินหน้าต่ออย่างต่อเนื่อง

ในด้านการดำเนินงาน รฟม. ได้รับไฟเขียวจากคณะกรรมการจัดการจราจรทางบก (คจร.) ให้เป็นผู้บริหารระบบรถไฟฟ้าทั้งหมดเมื่อการซื้อคืนสำเร็จ ซึ่งจะนำไปสู่การรวมศูนย์การบริหาร ทำให้สามารถออกแบบโครงสร้างค่าโดยสารและระบบตั๋วร่วมได้อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียว นายพิพัฒน์ระบุว่า ได้หารือเบื้องต้นกับผู้ให้บริการรถไฟฟ้าทุกราย ทั้ง BEM และ BTSC รวมถึงผู้รับสัมปทานสายสีชมพูและสีเหลือง ทุกฝ่ายเปิดกว้างต่อแนวทางซื้อคืน แต่ต้องเจรจาให้ได้ราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งรัฐและเอกชน ขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานครก็เห็นด้วยกับแนวทางนี้ แต่ต้องการความชัดเจนในรายละเอียดด้านราคาสัมปทานเช่นกัน

ความท้าทายสำคัญของโครงการคือการหาแหล่งเงินโดยไม่กระทบต่อหนี้สาธารณะ โดยกำลังพิจารณาอยู่ 2 แนวทาง ได้แก่ การระดมทุนผ่านตราสารหนี้ลักษณะคล้ายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น TFFIF) และการให้สัมปทานใหม่ระยะยาว 30 ปี แก่เอกชนเพื่อนำไปเป็นหลักประกันในการกู้เงินจากสถาบันการเงิน แนวทางเหล่านี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของภาคเอกชนร่วมด้วย

ขณะเดียวกัน กระทรวงคมนาคมได้เริ่มวางรากฐานระบบตั๋วร่วมผ่านมาตรการ “40 บาทตลอดวัน” ซึ่งถือเป็นต้นแบบของค่าโดยสารแบบบูรณาการ ผู้โดยสารที่ใช้บัตร EMV เช่น บัตรเดบิตหรือเครดิต Visa และ Mastercard จะถูกคิดค่าโดยสาร 42 บาทต่อวัน แต่ระบบจะคืนเงิน 2 บาทภายในสามวันทำการ ทำให้จ่ายจริงเพียง 40 บาท หากไม่มีบัตร EMV ผู้โดยสารสามารถซื้อบัตรแบบใช้ครั้งเดียวจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ทำงานในลักษณะเดียวกัน

นโยบายนี้ออกแบบมาเพื่อลดภาระของผู้เดินทางเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางมากกว่า 2 เที่ยวต่อวัน เช่น ผู้ปกครองที่ต้องเดินทางหลายรอบเพื่อรับ–ส่งบุตรหลาน จากเดิมที่เสียค่าเดินทางเฉลี่ย 80 บาทต่อวัน จะลดเหลือเพียง 40 บาท หรือเที่ยวละประมาณ 10 บาท ช่วยลดค่าครองชีพได้ทันที นายพิพัฒน์ย้ำว่า มาตรการนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการวางระบบค่าโดยสารร่วมทั้งเครือข่าย เพื่อให้รถไฟฟ้าทุกเส้นทางสามารถใช้บัตรใบเดียวและจ่ายราคาแบบเดียวกันได้ในอนาคต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพมหานคร.

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us