News

L2D Page (20)

แรงกดดันใหม่จากสหรัฐฯ คงภาษีนำเข้า 36% ดันไทยสู่ทางแยก ลดภาษีแลกการเติบโต หรือเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอ

สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศทวีความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง เมื่อสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไว้ที่ระดับสูงถึง 36% ในขณะที่ปรับลดภาษีนำเข้าจากหลายประเทศอื่น โดยเฉพาะเวียดนามซึ่งบรรลุข้อตกลงทางการค้าใหม่กับสหรัฐฯ ทำให้ไทยเผชิญกับแรงกดดันรอบใหม่ที่อาจส่งผลอย่างมีนัยต่อเศรษฐกิจและการส่งออกในระยะกลางถึงยาว

ตลาดหุ้นโลกยังคงแกว่งตัวอย่างระมัดระวัง ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ (EM) แสดงสัญญาณอ่อนตัว หลังมีข่าวว่าทรัมป์เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้ายาและเวชภัณฑ์สูงถึง 200% ซึ่งกระทบต่อกลุ่มประเทศ BRICS ที่อาจต้องเผชิญภาษีเพิ่มอีก 10% การดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รอบใหม่นี้ สะท้อนถึงแนวทาง “America First” ที่กลับมาเป็นจุดศูนย์กลางของนโยบายเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยไม่เว้นแม้แต่พันธมิตรการค้าหลักอย่างไทย

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ วิเคราะห์ว่า การที่สหรัฐฯ เลือกคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในระดับสูง สวนทางกับการปรับลดภาษีให้กับหลายประเทศ ทำให้ไทยถูกบีบเข้าสู่สถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง 2 ทางหลัก คือ การยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 0% แลกกับสิทธิพิเศษทางภาษีตอบแทน หรือต้องยืนหยัดอยู่ในโครงสร้างภาษีปัจจุบันและเสี่ยงต่อการสูญเสียขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลก

แนวทางการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อาจยึดรูปแบบของข้อตกลงที่สหรัฐฯ ทำไว้กับเวียดนามเป็นฐาน เช่น การเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้ามามากขึ้น พร้อมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงสู่ระดับต่ำถึง 0% ซึ่งอาจส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย หากสามารถบรรลุข้อตกลงที่ลดภาษีนำเข้าได้เหลือราว 15-20% อัตราการเติบโตของ GDP ไทยในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1.1-1.4% โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ราว 30%

ในทางกลับกัน หากไทยไม่สามารถตกลงได้และอัตราภาษียังคงอยู่ในระดับ 21-28% เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้เพียงเล็กน้อย หรืออาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว โดยมีการคาดการณ์ว่า GDP ปี 2025 อาจขยายตัวเพียง 0.0-1.0% ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นมากถึง 50% โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้นทุนส่งออกยังสูงและประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามหรืออินโดนีเซียได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเหนือกว่า

ภายใต้แรงกดดันทางการค้าจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไทยอาจจำเป็นต้องทบทวนนโยบายการค้าต่างประเทศอย่างจริงจัง และเร่งหาทางออกที่สมดุลระหว่างการรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กับการไม่เสียอำนาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง และทิศทางนโยบายสหรัฐฯ ยังคงมีผลกระทบในเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคโดยรวม

L2D Page (18)

NSW e-D/O” ยกระดับการนำเข้าสินค้าทางเรือ NT ผนึกกำลังภาครัฐ เดินหน้าสู่ระบบโลจิสติกส์ไร้กระดาษ

บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ร่วมกับกรมศุลกากรและการท่าเรือแห่งประเทศไทย เปิดตัวระบบบริการ “NSW e-D/O” หรือใบสั่งปล่อยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านแพลตฟอร์มกลาง THAI NSW ซึ่งเป็นระบบเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร ณ จุดเดียวของประเทศ การเปิดตัวครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับกระบวนการนำเข้าสินค้าทางเรือของไทยเข้าสู่ยุค Paperless Trade อย่างสมบูรณ์ เพิ่มความโปร่งใส ตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย ลดการใช้เอกสารและขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการ และส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาคในอนาคต

ภายในงานเสวนา "NSW e-D/O กับการยกระดับโลจิสติกส์ไทยสู่ Paperless Trade" ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์พอยต์ ลุมพินี กรุงเทพฯ มีตัวแทนจากภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วม ทั้งภาครัฐ ผู้ประกอบการขนส่ง สายเรือ และโลจิสติกส์ โดยคุณพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี กรมศุลกากร ระบุว่า ระบบ e-D/O ในรูปแบบ B2B ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของแพลตฟอร์ม THAI NSW ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกรมศุลกากรในการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยด้านการค้า พร้อมเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเชื่อมโยงข้อมูลมากยิ่งขึ้น และยังสามารถขยายการเชื่อมต่อสู่ต่างประเทศในอนาคต

คุณทอม เฉลิมกาญจนา ประธานสมาคมเจ้าของและตัวแทนเรือกรุงเทพมหานคร มองว่า e-D/O ไม่ใช่เพียงการแปลงเอกสารกระดาษให้เป็นดิจิทัล แต่คือการปฏิรูปกระบวนการโลจิสติกส์ครั้งสำคัญ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการของสายการเดินเรือ พร้อมเรียกร้องความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อผลักดันการใช้ระบบนี้ให้เกิดผลจริง

ด้านเรือโท ภัทธวุฒิ กนกวรรณากร ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ย้ำว่า e-D/O จะช่วยพลิกโฉมท่าเรือไทยสู่ “Smart Port” โดยระบบใหม่นี้จะช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการ ลดความล่าช้า ลดของเสียจากกระบวนการเดินเอกสาร และเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศอย่างรอบด้าน

ดร.วงกต วิจักขณ์สังสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานดิจิทัลและโซลูชัน NT ระบุว่า ระบบ e-D/O ถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา Sea PCS (Port Community System) ซึ่งจะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำคัญของประเทศ ทั้งยังสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการยกระดับการให้บริการโลจิสติกส์ของไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล และรองรับการค้าโลกในอนาคตอย่างยั่งยืน

news-20250716-03

หอการค้าไทยเตือนเศรษฐกิจครึ่งปีหลังเผชิญแรงกระแทก ส่งออกชะลอ-สงครามการค้าระอุ เร่งดันนวัตกรรมและอาหารอนาคตพยุงเศรษฐกิจ

สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกที่เริ่มส่งผลกระทบต่อการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ล่าสุดในการสัมมนา “Decode 2025 The Mid-Year Signal ถอดสัญญาณเศรษฐกิจโลก พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทย” นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย แสดงความกังวลว่า แนวโน้มเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังของปีมีความเสี่ยงสูง ทั้งจากภาวะสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะบริเวณช่องแคบฮอร์มุซที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย

ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.5% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 3.1% และปีนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ลงมาอยู่ที่ 1.5–2.0% จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 2.0–2.2% เช่นเดียวกับภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มถดถอย โดยคาดว่าจะหดตัวลงมาอยู่ในช่วง -0.5% ถึง 0.3% ซึ่งเป็นการปรับลดจากกรอบเดิมที่คาดไว้ระหว่าง 0.3–0.9% โดยหนึ่งในปัจจัยหลักคือการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและครอบคลุมมากขึ้น

หอการค้าไทยกำลังติดตามอย่างใกล้ชิดถึงผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งมีความสำคัญต่อโครงสร้างการส่งออกของประเทศ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไทยอาจถูกมองว่าเป็นประเทศทางผ่านของสินค้าจากจีน ทำให้ต้องเผชิญกับมาตรการด้านภาษีที่อาจเข้มงวดขึ้นในอนาคต นายวิศิษฐ์เปิดเผยว่า หอการค้าไทยได้หารือร่วมกับสมาคมการค้าต่างๆ ให้เร่งตรวจสอบโครงสร้างวัตถุดิบของตนเอง โดยเฉพาะสัดส่วนของวัตถุดิบที่ใช้ในประเทศ ซึ่งหากมีสัดส่วนสูงพอ อาจสามารถต่อรองในกรอบเจรจาที่ใกล้เคียงกับเวียดนามได้ โดยใช้โมเดลอัตราภาษีแยกตามประเภทหรือแหล่งผลิต

สถานการณ์สงครามการค้าระลอกใหม่นี้มีความรุนแรงกว่ารอบก่อนหน้า โดยไม่เพียงจำกัดเป้าหมายที่จีนเท่านั้น แต่ยังขยายผลไปยังประเทศที่มีความเชื่อมโยงทางห่วงโซ่อุปทานกับจีน ซึ่งไทยก็อยู่ในข่ายที่ได้รับผลกระทบ ในช่วงครึ่งปีแรก ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยยังเติบโตได้ดีถึง 14.9% แต่ภาคเอกชนประเมินว่าแนวโน้มในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 อาจลดลงอย่างมาก เนื่องจากผู้นำเข้าสหรัฐฯ ได้เร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้าในช่วงเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้ยอดการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในเดือนดังกล่าวสูงถึง 35% จากค่าเฉลี่ย 27% ตลอด 5 เดือนแรกของปี

สัญญาณการชะลอตัวเริ่มปรากฏแล้วในหลายกลุ่มสินค้า อาทิ อัญมณี เครื่องประดับ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และอุปกรณ์สื่อสาร ขณะที่สหรัฐฯ เตรียมประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าชุดใหม่ในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะมีผลทันทีหรือเลื่อนออกไป อย่างไรก็ดี มีแนวโน้มที่สหรัฐฯ จะใช้วิธีจัดเก็บภาษีแบบแยกประเทศ โดยบางประเทศ เช่น อังกฤษและสิงคโปร์ ได้บรรลุข้อตกลงไปแล้ว ส่วนประเทศอื่นรวมถึงเวียดนามยังต้องรอท่าทีอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกัน สหภาพยุโรป (EU) ถูกตั้งอัตราภาษีใหม่สูงถึง 30% ซึ่งเกินความคาดหมายและสะท้อนถึงการเจรจาที่ยังไม่บรรลุผลสมบูรณ์

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ หอการค้าไทยเสนอให้ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันผลักดันเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเร่งส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้ง e-commerce, e-business, AI และ Big Data เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ โดยเฉพาะในภาคเกษตร ซึ่งสามารถใช้เทคโนโลยีโดรนเพื่อลดต้นทุนและทดแทนแรงงาน การนำระบบ Blockchain มาใช้เพื่อตรวจสอบย้อนกลับสินค้าอย่างโปร่งใส รวมถึงการใช้ระบบอัจฉริยะเพื่อควบคุมคุณภาพและป้องกันสินค้าลอกเลียนแบบ

นอกจากนี้ หอการค้ายังชี้ให้เห็นถึงโอกาสในกลุ่ม “อาหารแห่งอนาคต” หรือ Future Food ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และคิดเป็นมูลค่าราว 1 แสนล้านบาท หรือ 10% ของการส่งออกอาหารทั้งหมด กลุ่มที่เติบโตได้ดีประกอบด้วย Functional Food โปรตีนทางเลือก อาหารออร์แกนิก และอาหารสำหรับผู้สูงอายุและทารก รวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยงที่เริ่มมีแนวโน้มเติบโตสูงเช่นกัน

ในระยะยาว แนวทาง Green Economy จะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันที่สำคัญ โดยเน้นให้ธุรกิจติดตั้งระบบพลังงานสะอาด เช่น Solar Rooftop มีการรายงานข้อมูลด้าน ESG และสนับสนุนแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนตามโมเดล BCG ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลกที่มีความซับซ้อนและแข่งขันสูงมากขึ้น

นายวิศิษฐ์กล่าวย้ำในช่วงท้ายว่า ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคด้านภาษี กฎระเบียบ หรือเงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศที่เข้มงวดขึ้นเพียงใด ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวและวางแผนรับมือให้ทันต่อสถานการณ์ โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชนจะเป็นกุญแจสำคัญในการฝ่าฟันความท้าทายและสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต

news-20250716-02

รถไฟทรานส์แคสเปียนเริ่มเดินหน้าขนส่งสินค้าจีนสู่ยุโรป เส้นทางใหม่เชื่อมเอเชียกลาง ทะเลแคสเปียน และยุโรปตะวันออก รองรับโอกาสส่งออกของไทย

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 รถไฟขบวนแรกในเส้นทาง “ทรานส์แคสเปียน” ได้ออกเดินทางจากเขตฝางชานในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มุ่งหน้าสู่กรุงบากู เมืองหลวงของประเทศอาเซอร์ไบจาน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเส้นทางโลจิสติกส์ใหม่ที่มีศักยภาพสูงในการเชื่อมโยงระหว่างจีนและยุโรป โดยรถไฟขบวนนี้บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐานจำนวน 104 ตู้ (TEUs) ซึ่งภายในบรรจุสินค้าหลากหลายประเภท เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์เครื่องจักรกล รวมมูลค่าสินค้ากว่า 15 ล้านหยวน หรือคิดเป็นเงินกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ

เส้นทางขนส่งนี้มีลักษณะพิเศษตรงที่เป็นการขนส่งแบบผสมผสานหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) โดยเริ่มต้นจากทางรถไฟในจีนเข้าสู่คาซัคสถานผ่านด่าน Khorgos ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนที่สำคัญระหว่างจีนกับคาซัคสถาน จากนั้นสินค้าได้รับการเคลื่อนย้ายต่อไปยังท่าเรือ Aktau ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลแคสเปียนในคาซัคสถาน ก่อนจะลำเลียงข้ามทะเลด้วยเรือเฟอร์รีไปยังท่าเรือ Alat ในประเทศอาเซอร์ไบจาน และส่งต่อเข้าสู่ระบบรถไฟภายในประเทศ เพื่อนำสินค้าไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้ายคือ กรุงบากู

ตลอดเส้นทางกว่า 8,000 กิโลเมตร กระบวนการขนส่งนี้ใช้เวลาประมาณ 15 วัน ซึ่งนับว่ารวดเร็วกว่าการขนส่งทางเรือผ่านช่องแคบมะละกาและคลองสุเอซหลายวัน โดยเมื่อสินค้าถึงกรุงบากูแล้ว ยังสามารถขนส่งต่อไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรป เช่น จอร์เจีย ตุรกี เซอร์เบีย และประเทศในยุโรปตะวันออก ผ่านโครงข่ายรางที่เชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเขตคอเคซัสและคาบสมุทรบอลข่าน

เส้นทางรถไฟทรานส์แคสเปียนจึงถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จีนพัฒนาเพื่อลดการพึ่งพาเส้นทางการขนส่งผ่านรัสเซีย โดยเฉพาะภายใต้บริบททางภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางการค้าแก่ประเทศในเอเชียกลางและภูมิภาคคอเคซัส ที่ต้องการลดการพึ่งพาเส้นทางทะเลเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ ความแออัดของท่าเรือ หรือปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศ

สำหรับประเทศไทย เส้นทางทรานส์แคสเปียนนับเป็นโอกาสใหม่ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่ระบบโลจิสติกส์มีบทบาทเป็นหัวใจสำคัญของการขยายตลาดส่งออก ปัจจุบันไทยสามารถเชื่อมต่อการขนส่งทางรางสู่จีนได้ผ่านทางรถไฟลาว-จีน ซึ่งเปิดใช้อย่างเป็นทางการและมีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากผู้ประกอบการไทยสามารถจัดส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดจีนได้แล้ว ก็สามารถใช้ประโยชน์จากเส้นทางทรานส์แคสเปียนเป็นทางเลือกในการกระจายสินค้าไปยังตลาดใหม่ในคาซัคสถาน อาเซอร์ไบจาน และกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออกได้ทันที

นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพในการใช้เส้นทางนี้เพื่อลดต้นทุนด้านเวลาและเพิ่มความยืดหยุ่นในการวางแผนห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่ต้องการขนส่งสินค้าที่มีมูลค่าสูงหรือมีข้อจำกัดด้านเวลา เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่ต้องรักษาคุณภาพในระหว่างขนส่ง

การเปิดเส้นทางทรานส์แคสเปียนจึงไม่เพียงเป็นการเสริมโครงข่ายยุทธศาสตร์ "สายทางสายไหมใหม่" ของจีน แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสทางการค้าที่หลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้นให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย ซึ่งหากมีการส่งเสริมความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ระหว่างรัฐและเอกชนอย่างจริงจัง ก็สามารถพลิกความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ของไทยให้เป็นประโยชน์ต่อการขยายการค้าไปสู่ดินแดนใหม่ ๆ ในยุโรปและเอเชียกลางผ่านโครงข่ายเส้นทางรางระดับทวีปนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us