สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศทวีความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง เมื่อสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไว้ที่ระดับสูงถึง 36% ในขณะที่ปรับลดภาษีนำเข้าจากหลายประเทศอื่น โดยเฉพาะเวียดนามซึ่งบรรลุข้อตกลงทางการค้าใหม่กับสหรัฐฯ ทำให้ไทยเผชิญกับแรงกดดันรอบใหม่ที่อาจส่งผลอย่างมีนัยต่อเศรษฐกิจและการส่งออกในระยะกลางถึงยาว
ตลาดหุ้นโลกยังคงแกว่งตัวอย่างระมัดระวัง ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ (EM) แสดงสัญญาณอ่อนตัว หลังมีข่าวว่าทรัมป์เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้ายาและเวชภัณฑ์สูงถึง 200% ซึ่งกระทบต่อกลุ่มประเทศ BRICS ที่อาจต้องเผชิญภาษีเพิ่มอีก 10% การดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รอบใหม่นี้ สะท้อนถึงแนวทาง “America First” ที่กลับมาเป็นจุดศูนย์กลางของนโยบายเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยไม่เว้นแม้แต่พันธมิตรการค้าหลักอย่างไทย
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ วิเคราะห์ว่า การที่สหรัฐฯ เลือกคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในระดับสูง สวนทางกับการปรับลดภาษีให้กับหลายประเทศ ทำให้ไทยถูกบีบเข้าสู่สถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง 2 ทางหลัก คือ การยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 0% แลกกับสิทธิพิเศษทางภาษีตอบแทน หรือต้องยืนหยัดอยู่ในโครงสร้างภาษีปัจจุบันและเสี่ยงต่อการสูญเสียขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลก
แนวทางการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อาจยึดรูปแบบของข้อตกลงที่สหรัฐฯ ทำไว้กับเวียดนามเป็นฐาน เช่น การเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้ามามากขึ้น พร้อมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงสู่ระดับต่ำถึง 0% ซึ่งอาจส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย หากสามารถบรรลุข้อตกลงที่ลดภาษีนำเข้าได้เหลือราว 15-20% อัตราการเติบโตของ GDP ไทยในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1.1-1.4% โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ราว 30%
ในทางกลับกัน หากไทยไม่สามารถตกลงได้และอัตราภาษียังคงอยู่ในระดับ 21-28% เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้เพียงเล็กน้อย หรืออาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว โดยมีการคาดการณ์ว่า GDP ปี 2025 อาจขยายตัวเพียง 0.0-1.0% ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นมากถึง 50% โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้นทุนส่งออกยังสูงและประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามหรืออินโดนีเซียได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเหนือกว่า
ภายใต้แรงกดดันทางการค้าจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไทยอาจจำเป็นต้องทบทวนนโยบายการค้าต่างประเทศอย่างจริงจัง และเร่งหาทางออกที่สมดุลระหว่างการรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กับการไม่เสียอำนาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง และทิศทางนโยบายสหรัฐฯ ยังคงมีผลกระทบในเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคโดยรวม