News Update

L2D Page (102)

‘คลัง’ เตรียมแผนปรับขึ้น VAT จาก 7% เป็น 8.5% ภายในปี 71 ลุ้นเศรษฐกิจฟื้น

คลังเผยแผนการคลังระยะปานกลาง เตรียมปรับ VAT แบบค่อยเป็นค่อยไป หากเศรษฐกิจฟื้นตัวตามเป้า
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายละเอียดแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium-Term Fiscal Framework: MTFF) ปี 2569–2573 ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยแผนดังกล่าวมุ่งเพิ่มศักยภาพการคลังและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือการทยอยปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากปัจจุบันที่ 7%

ตามกรอบ MTFF การปรับขึ้น VAT จะทำเป็นลำดับขั้น โดยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 8.5% ในปี 2571 ภายใต้เงื่อนไขว่าเศรษฐกิจไทยต้องฟื้นตัวจนเติบโตเต็มศักยภาพก่อน จากนั้นจะทยอยขยับสู่ระดับสูงสุด 10% ภายในปี 2573 เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและเพิ่มความมั่นคงทางการคลังของประเทศในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังย้ำว่า สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันยังไม่เอื้อให้มีการขึ้น VAT ในปีนี้และปีหน้า หากในปี 2571 เศรษฐกิจยังไม่แข็งแรงเพียงพอ รัฐบาลก็ได้เตรียมมาตรการชดเชยที่ระบุไว้ใน MTFF แล้ว ทั้งการเพิ่มรายได้จากภาษีประเภทอื่น และการปรับลดรายจ่ายของภาครัฐ

คณะรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเร่งจัดทำแผนลดรายจ่ายโดยเฉพาะรายการซ้ำซ้อน เช่น ระบบสวัสดิการจากหลายหน่วยงานที่อาจต้องรวมศูนย์เพื่อจ่ายเพียงช่องทางเดียว ส่วนงบลงทุนของรัฐอาจปรับไปใช้รูปแบบการลงทุนอื่นแทนงบประมาณปกติ เช่น การลงทุนโดยรัฐวิสาหกิจ โครงการร่วมลงทุนรัฐ–เอกชน (PPP) และการใช้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระงบประมาณแผ่นดิน

เป้าหมายสำคัญของ MTFF คือการลดระดับการขาดดุลการคลังจากปัจจุบันที่อยู่ที่ 4.4% ของ GDP ให้ลดลงต่ำกว่า 3% ภายในปี 2572 ผ่านชุดมาตรการที่ครอบคลุมทั้งด้านรายได้ การลดรายจ่าย การใช้เครื่องมือทางการคลังใหม่ รวมถึงการรักษาวินัยการคลังอย่างเข้มงวด

นายเอกนิติระบุว่า การเดินหน้าแผนการคลังอย่างรอบคอบได้ช่วยเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ โดยล่าสุดบริษัทจัดอันดับเครดิตสากล S&P ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกยังเผชิญความไม่แน่นอน ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นต่อความพยายามของรัฐบาลในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ

L2D Page (101)

รถไฟฟ้า "สายสีม่วง-แดง" 40 บาท/วัน ไม่จำกัดรอบ เริ่ม 1 ธ.ค. 68 คมนาคม ชง ครม. ปลาย พ.ย. นี้

กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 เพื่อขออนุมัติโครงการเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าแบบเหมาจ่ายรายวัน 40 บาท สำหรับรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดง โดยผู้โดยสารจะสามารถเดินทางได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยวภายในหนึ่งวัน และจะเริ่มใช้มาตรการอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

มาตรการนี้เป็นการสานต่อจากโครงการ “20 บาทตลอดสาย” ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 โดยแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังระบุว่า การเปลี่ยนรูปแบบเป็นตั๋วเหมาวันราคา 40 บาทจะช่วยให้มาตรการด้านค่าครองชีพดำเนินต่อเนื่อง โดยไม่เกิดช่องว่างที่อาจกระทบต่อผู้โดยสารประจำในชีวิตประจำวัน

แนวทางดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการกำหนดอัตราค่าโดยสารตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา และกระทรวงการคลังได้เห็นชอบทั้งรูปแบบและงบประมาณแล้ว ขั้นต้นโครงการจะดำเนินงานในลักษณะปีต่อปี โดยต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นรายรอบ เนื่องจากยังติดข้อจำกัดของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง หากต้องดำเนินมาตรการระยะยาวจำเป็นต้องแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมในภายหลัง

งบประมาณที่ใช้ในโครงการนี้มาจากงบกลางปี 2569 ซึ่งถือว่าใช้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมอย่างมาก เพราะจำกัดให้ใช้เฉพาะสองเส้นทางคือสายสีม่วงและสายสีแดง ต่างจากนโยบาย 20 บาทตลอดสายที่ครอบคลุมกว่า 10 สาย และต้องใช้งบประมาณสูงถึงราว 7,000 ล้านบาท การปรับรูปแบบเป็นตั๋วเหมาวัน 40 บาทจึงทำให้รัฐอุดหนุนน้อยลง และลดภาระขาดทุนที่ต้องรับไว้ในโครงการ

มาตรการใหม่นี้อาจไม่เอื้อต่อผู้โดยสารที่เดินทางเพียงเที่ยวเดียว แต่ผู้ที่ใช้บริการเป็นประจำหรือเดินทางหลายรอบต่อวันจะได้รับประโยชน์มากกว่า โดยกระทรวงคมนาคมมองว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่เดินทางแบบไป-กลับ ซึ่งทำให้ตั๋วเหมาวันราคา 40 บาทคุ้มค่ากว่าการจ่ายค่าโดยสารแยกรายเที่ยว

สำหรับการศึกษานโยบายเชื่อมต่อรถไฟฟ้าทุกสายให้สามารถใช้ตั๋วราคา 40 บาทได้ทั่วทั้งโครงข่ายยังต้องรอการแก้ไขสัมปทานในหลายส่วน ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาแนวทางปรับโครงสร้างสัญญา โดยหนึ่งในทางเลือกที่ถูกหยิบยกคือการจัดตั้งกองทุนเพื่อซื้อคืนสัมปทาน ซึ่งประเมินเบื้องต้นว่าหากรวมทุกเส้นทางจะต้องใช้วงเงินราวหนึ่งแสนล้านบาท แหล่งเงินที่อาจนำมาใช้รวมถึงงบประมาณบางส่วน รายได้จากกิจการคมนาคม และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานหรือ IFF

โครงการตั๋วรายวัน 40 บาทจึงถือเป็นก้าวแรกของการปฏิรูปค่าโดยสารรถไฟฟ้า ที่มุ่งลดภาระค่าครองชีพประชาชน ขณะเดียวกันก็ลดภาระงบประมาณภาครัฐ ก่อนนำไปสู่แผนการเชื่อมต่อระบบทั้งหมดในอนาคตเมื่อการเจรจาสัมปทานแล้วเสร็จ

L2D Page (100)

‘เวียดนาม’ ดาวเด่นเศรษฐกิจอาเซียน ‘เอสซีจี’ ปักธงลงทุนบ้านหลังที่ 2

SCG ชู “เวียดนาม” เป็นตลาดยุทธศาสตร์หลัก ดันศูนย์กลางการผลิต-ส่งออกอาเซียน พร้อมเร่งปรับโครงสร้างปิโตรเคมีรับการแข่งขันโลก
เวียดนามถูกวางตำแหน่งเป็นตลาดยุทธศาสตร์หลักของ SCG จากศักยภาพการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในอาเซียน โดยในปี 2567 เศรษฐกิจเวียดนามเติบโต 7.1% และรัฐบาลตั้งเป้าผลักดัน GDP โตเฉลี่ยถึง 10% ต่อปีในช่วงห้าปีข้างหน้า พร้อมยกระดับสู่ประเทศรายได้สูงภายในปี 2030 ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการลงทุนระยะยาวของภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก

กุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ Country Director – Vietnam ของ SCG เปิดเผยว่า ปัจจุบัน SCG และบริษัทในเครือ 28 แห่ง ได้ลงทุนในเวียดนามรวมกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 28% ของสินทรัพย์รวมทั้งหมด ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจเคมีภัณฑ์ ซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ไปจนถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์และโลจิสติกส์ทั่วประเทศ โดยกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์มาจากการลงทุนด้านปิโตรเคมีซึ่งช่วยให้ SCG สามารถบริหารต้นทุนและสร้างโครงข่ายห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร

จุดแข็งสำคัญที่ทำให้เวียดนามขึ้นแท่นฐานการผลิตระดับภูมิภาค ได้แก่ ต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าไทยราว 15–20% ค่าไฟฟ้าที่ต่ำกว่าประมาณ 30–35% และกำลังซื้อภายในประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่องจากประชากรกว่า 100 ล้านคน โดย 70% อยู่ในวัยแรงงาน ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 60% ของ GDP เติบโตอย่างแข็งแรง ควบคู่กับการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่มากกว่า 200 โครงการทั่วประเทศ ทั้งถนน รถไฟความเร็วสูง และระบบขนส่งสมัยใหม่ นอกจากนี้ เวียดนามยังมีข้อตกลงการค้าเสรีมากถึง 17 ฉบับ ครอบคลุมกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ช่วยให้ผู้ผลิตในประเทศมีความได้เปรียบด้านภาษีอย่างชัดเจน เช่น การส่งออกเคมีภัณฑ์ไปยุโรปที่ถูกเก็บภาษี 0% ขณะที่สินค้าประเภทเดียวกันจากไทยถูกเก็บภาษี 6.5%

SCG จึงเดินหน้ากลยุทธ์ Regional Optimization เพื่อผสานจุดแข็งของเครือข่ายการผลิตในอาเซียนทั้งไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ให้เกิดการแบ่งบทบาทด้านการผลิต การตลาด และโลจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในธุรกิจเคมิคอลส์ที่ปรับแผนการผลิตร่วมกันระหว่าง Cracker ทั้งสามแห่ง ได้แก่ ROC–MOC–LSP เพื่อให้ไทยมุ่งผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง ขณะที่โรงงาน Long Son Petrochemicals (LSP) ในเวียดนามจะมุ่งผลิตสินค้าเพื่อรองรับตลาดภายในประเทศที่มีขนาดใหญ่ และส่งออกต่อไปยังภูมิภาคอื่นของโลก

LSP ซึ่งเคยหยุดการเดินเครื่องชั่วคราวจากภาวะวัฏจักรปิโตรเคมีต่ำสุดในรอบ 30 ปี ได้กลับมาดำเนินงานแล้ว โดยผลิตเฉลี่ยราวสองแสนตันต่อเดือน หรือคิดเป็น 85–90% ของกำลังการผลิต แม้ผลประกอบการยังไม่พลิกมีกำไร แต่ขาดทุนน้อยกว่าช่วงที่หยุดเดินเครื่องอย่างชัดเจน โรงงานยังใช้จุดเด่นด้านความยืดหยุ่นของวัตถุดิบที่เลือกใช้ได้ทั้งแนฟทาและโพรเพน ทำให้ช่วงที่ราคาโพรเพนลดลง LSP สามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้โพรเพนถึง 70% เพื่อบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

เพื่อรับมือความท้าทายในระยะยาว SCG ได้ลงทุนในโครงการ LSPE มูลค่าราว 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มการใช้ก๊าซอีเทนที่นำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งราคาผูกกับ LNG และสามารถลดต้นทุนวัตถุดิบลงได้ราว 30% ปัจจุบันโครงการคืบหน้า 20–25% อยู่ระหว่างการก่อสร้างถังเก็บอีเทนขนาดใหญ่สองถัง คาดเปิดใช้งานปลายปี 2570 ส่วนแผนลงทุน LSP เฟส 2 ถูกชะลอไว้ก่อน เนื่องจากสภาวะอุตสาหกรรมโลกยังชะลอตัว แต่จะมีการทบทวนรูปแบบโครงการใหม่ให้สอดคล้องกับทิศทางตลาดในอนาคต

ในประเด็นความกังวลด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐ กุลเชฏฐ์ประเมินว่าผลกระทบต่อ SCG เวียดนามยังมีจำกัด ธุรกิจหลักหลายส่วนเน้นตลาดภายในประเทศ เช่น ธุรกิจท่อพลาสติก BMP จึงไม่ถูกกระทบโดยตรง แม้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์บางส่วนมีการส่งออกไปสหรัฐ แต่ก็มีสัดส่วนน้อยมาก อีกทั้งสินค้าส่วนใหญ่ขายในเงื่อนไข FOB ทำให้ต้นทุนภาษีและค่าขนส่งในสหรัฐเป็นภาระของผู้นำเข้า ไม่ใช่ของ SCG

นอกจากนี้ SCG ยังได้ประโยชน์จากกฎเกี่ยวกับ Transshipment ที่จำกัดสิทธิประโยชน์ของสินค้าที่นำเข้าและแปรรูปเพียงเล็กน้อยในเวียดนาม ซึ่งจะถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% เมื่อส่งออกไปสหรัฐ ทำให้การผลิตโดยผู้ประกอบการภายในประเทศอย่าง LSP ให้ข้อได้เปรียบกับลูกค้าในการลดความเสี่ยงด้านภาษีและเพิ่มความน่าเชื่อถือของห่วงโซ่อุปทาน

ด้วยโครงสร้างการผลิตที่ครบวงจร ต้นทุนที่แข่งขันได้ และตลาดภายในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง เวียดนามจึงกลายเป็นฐานกลยุทธ์ที่ช่วยให้ SCG เสริมความแข็งแกร่งทั้งด้านต้นทุน การตลาด และความยั่งยืนในระยะยาว พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตระดับภูมิภาคในทศวรรษต่อไป

L2D Page (99)

คลังสินค้าอัจฉริยะปักกิ่งช่วยขนส่งและจัดส่งรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง

ศูนย์โลจิสติกส์อัจฉริยะของ JD.com ในกรุงปักกิ่งได้รับการพัฒนาให้เป็นหนึ่งในศูนย์ปฏิบัติการล้ำยุคที่สุดในเอเชีย ด้วยการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงและการออกแบบพื้นที่ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ศูนย์แห่งนี้สามารถรองรับคำสั่งซื้อได้มากถึงวันละ 300,000 รายการ โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่ปริมาณคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด การจัดส่งสามารถทำได้ด้วยความเร็วระดับหลายสิบชิ้นต่อวินาที สะท้อนศักยภาพในการประมวลผลและขนส่งสินค้าที่เหนือกว่าระบบแบบดั้งเดิมอย่างชัดเจน

ภายในคลังสินค้า มีหุ่นยนต์กว่า 200 ตัวทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ไล่ตั้งแต่การหยิบสินค้า การเคลื่อนย้าย ไปจนถึงการคัดแยกและจัดวางบนชั้นเก็บขนาดใหญ่ เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบทำให้ศูนย์แห่งนี้มีประสิทธิภาพการคัดแยกสูงกว่าการทำงานด้วยมือถึงสามเท่า ส่งผลให้การจัดการสินค้าคงคลังเป็นไปอย่างแม่นยำ รวดเร็ว และลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดจากการทำงานของมนุษย์

คลังสินค้ามีพื้นที่มากกว่า 3,000 ตารางเมตร พร้อมชั้นวางสินค้าสูงถึง 12 เมตร สามารถรองรับสินค้าได้ประมาณ 10,000 กล่อง ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณสินค้าคงคลังทั้งปีของซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก การออกแบบให้ใช้พื้นที่ในแนวตั้งและบริหารจัดเก็บอย่างชาญฉลาด นับเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของศูนย์โลจิสติกส์อัจฉริยะนี้ให้โดดเด่นเหนือมาตรฐานทั่วไป ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า JD.com ไม่เพียงยกระดับระบบโลจิสติกส์ของตนเอง แต่ยังเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์อัจฉริยะระดับเอเชียอย่างแท้จริง.

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us