News Update

L2D Page (51)

เวียดนามเร่งดันข้าวคุณภาพสูง สร้างแบรนด์ระดับชาติ หลังแซงไทยขึ้นแท่นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 ของโลก

รัฐบาลเวียดนามเดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรมข้าวเต็มกำลัง หลังจากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 เวียดนามสามารถแซงหน้าไทยขึ้นเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลกได้สำเร็จ ข้อมูลล่าสุดจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเผยว่า ปริมาณการส่งออกของเวียดนามเติบโตต่อเนื่องจนสามารถครองตำแหน่งรองแชมป์ผู้ส่งออกข้าวโลกเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จึงห์ ของเวียดนาม ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนายุทธศาสตร์ใหม่ โดยเน้นการส่งออกข้าวคุณภาพสูงและข้าวออร์แกนิก พร้อมทั้งสร้างแบรนด์ข้าวระดับชาติ เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก ยุทธศาสตร์ดังกล่าวสะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนทิศทางจากเดิมที่เน้นปริมาณการผลิต ไปสู่การยกระดับมูลค่าและสร้างจุดขายด้านคุณภาพ

แม้เวียดนามจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับสองของโลก แต่อุตสาหกรรมข้าวของประเทศยังคงเผชิญความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อผลผลิต ตลอดจนข้อกำหนดและกฎระเบียบเข้มงวดจากตลาดสำคัญอย่างสหภาพยุโรป (อียู) และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานคุณภาพและความยั่งยืน

เพื่อรับมือกับปัญหาเหล่านี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งด่วน โดยมีแผนริเริ่มสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการเพาะปลูกข้าวคุณภาพสูงในพื้นที่กว่า 6.25 ล้านไร่ในเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง การนำระบบตรวจสอบย้อนกลับมาใช้ เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิต รวมถึงการพัฒนาแบรนด์ข้าวในระดับชาติให้มีภาพลักษณ์ชัดเจนในตลาดโลก

กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมเวียดนามเปิดเผยว่า ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2568 เวียดนามส่งออกข้าวได้ 5.5 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 2,810 ล้านดอลลาร์ แม้ปริมาณส่งออกจะเพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ในด้านมูลค่ากลับลดลงเกือบ 16% สะท้อนแรงกดดันด้านราคาในตลาดโลก

ฟิลิปปินส์ยังคงเป็นตลาดหลักของเวียดนาม โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 43% ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ตามมาด้วยกานา 11.1% และไอวอรีโคสต์ 10.6% ที่น่าสนใจคือ บังกลาเทศมีอัตราการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าข้าวจากเวียดนามสูงสุดถึง 188 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกไปมาเลเซียกลับเผชิญแรงกดดันด้านราคา ลดลงกว่า 58.5%

สำหรับปี 2568 กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมเวียดนามตั้งเป้าหมายรายได้จากการส่งออกข้าวไว้ที่ 5,700 ล้านดอลลาร์ โดยมีแผนที่จะรักษาส่วนแบ่งตลาดที่ครองอยู่ พร้อมทั้งขยายตลาดใหม่ โดยเฉพาะตลาดข้าวหอมในสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นสนามแข่งขันสำคัญที่ไทยและอินเดียครองความได้เปรียบ

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนชัดเจนว่า เวียดนามกำลังเดินหน้าสร้างยุทธศาสตร์ระยะยาวที่มุ่งเน้นมูลค่าและคุณภาพมากกว่าปริมาณ เพื่อตอกย้ำบทบาทการเป็นผู้เล่นหลักในตลาดข้าวโลก และรักษาตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับสองให้มั่นคงต่อไป

L2D Page (50)

สวิตเซอร์แลนด์ส่งออกทองคำไปสหรัฐพุ่งสูงสุดรอบ 4 เดือน สะท้อนความไม่สมดุลทางการค้าและแรงกดดันจากนโยบายทรัมป์

บลูมเบิร์กรายงานว่า การส่งออกทองคำของสวิตเซอร์แลนด์ไปยังสหรัฐอเมริกาในเดือนกรกฎาคม 2568 เพิ่มสูงขึ้นแตะระดับเกือบ 51 ตัน ถือเป็นปริมาณสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และตอกย้ำถึงความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างสองประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ในอัตรา 39%

ตัวเลขการส่งออกล่าสุดถือว่าพุ่งขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนที่มีเพียงไม่ถึง 0.3 ตัน แม้ว่าสถิติสูงสุดในปีนี้จะยังคงอยู่ที่เดือนมกราคมซึ่งสวิตเซอร์แลนด์ส่งออกทองคำไปยังสหรัฐมากถึง 193 ตัน แต่ความเคลื่อนไหวในเดือนกรกฎาคมก็เพียงพอที่จะสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลสวิสและทำให้ตลาดทองคำโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด

มูลค่าการส่งออกทองคำของสวิตเซอร์แลนด์ในเดือนกรกฎาคมสูงถึงกว่า 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวคิดเป็นมากกว่าสองในสามของดุลการค้าส่วนเกินที่สวิตเซอร์แลนด์มีกับสหรัฐในไตรมาสแรก แม้โรงกลั่นทองคำของสวิสจะครองตลาดโลกเพียงบางส่วน แต่ผลกระทบของอุตสาหกรรมนี้กลับทวีความสำคัญมากขึ้น เมื่อรัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของทรัมป์พยายามลดการขาดดุลการค้าและใช้นโยบายภาษีเป็นเครื่องมือ

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสวิสยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่สูงเกินไปได้ ทว่าการตัดสินใจล่าสุดของทรัมป์ในการขึ้นภาษีทองคำแท่งสร้างความไม่แน่นอนในตลาดและทำให้นักลงทุนจำนวนมากเร่งเก็งกำไร โดยการส่งออกทองคำจำนวนมหาศาลเมื่อต้นปีนี้มีสาเหตุสำคัญจากการคาดการณ์ว่าภาษีใหม่อาจส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดสหรัฐพุ่งสูง

โรงกลั่นทองคำของสวิตเซอร์แลนด์จึงกลายเป็นกลไกหลักในการตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ เนื่องจากผู้ค้าทองคำในยุโรปจำเป็นต้องนำทองคำแท่งมาตรฐานขนาด 400 ออนซ์จากตลาดลอนดอนมาหลอมใหม่เป็นทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัมหรือ 100 ออนซ์ ตามข้อกำหนดของตลาด Comex ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กระบวนการดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปริมาณการส่งออกของสวิสเพิ่มสูงในช่วงแรกของปี ก่อนที่กระแสจะพลิกกลับในไตรมาสสอง หลังจากที่ทองคำแท่งได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า ส่งผลให้ราคาทองคำในสหรัฐปรับลดลงมาใกล้เคียงกับราคาอ้างอิงในลอนดอน

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์กลับมาเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลกลางสหรัฐมีคำสั่งเรียกเก็บภาษีทองคำแท่ง ส่งผลให้ตลาดทองคำทั่วโลกปั่นป่วน ก่อนที่ในเวลาต่อมาทรัมป์จะออกมาชี้แจงว่าทองคำจะไม่ได้ถูกเก็บภาษีนำเข้า ซึ่งยิ่งสะท้อนความไม่แน่นอนทางนโยบายและเพิ่มความกังวลให้กับผู้ค้าในตลาดโลก

ด้านธนาคารกลางสวิสเคยกล่าวถึงประเด็นนี้ตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยเน้นย้ำว่าการส่งออกทองคำปริมาณมากไปยังสหรัฐไม่ควรถูกนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ เนื่องจากทองคำถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรและความต้องการในตลาดมากกว่าจะสะท้อนภาพการค้ารวมที่แท้จริง

L2D Page (49)

“ฉันทวิชญ์” หารือ HKTDC กระชับความร่วมมือการค้า-การลงทุน ดันส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารอนาคตไทยสู่ตลาดฮ่องกงและจีน

นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ได้เข้าพบและหารือกับศาสตราจารย์ เฟรเดอริค หม่า ซี-หัง (Professor Frederick Ma Si-Hang) ประธานองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (Hong Kong Trade Development Council: HKTDC) เกี่ยวกับแนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกง โดยเฉพาะการสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ของไทยไปสู่ตลาดฮ่องกงและขยายต่อไปยังจีนแผ่นดินใหญ่

ศาสตราจารย์เฟรเดอริค กล่าวว่า HKTDC ถือเป็นพันธมิตรสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ไทยมาโดยตลอด โดยมีบทบาทเสมือน “Super-connector” ที่เชื่อมโยงการค้าและการลงทุนระหว่างจีนกับนานาประเทศ ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในด้านสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและผู้สูงอายุ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดฮ่องกง

ด้านนายฉันทวิชญ์ ระบุว่า ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ HKTDC เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างกัน และต่อจากนี้จะผลักดันให้ความร่วมมือดังกล่าวเข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยจะมุ่งเน้นไปที่สินค้าเกษตรที่มีศักยภาพสูงของไทย เช่น ข้าวเพื่อสุขภาพ ผลไม้พรีเมียมอย่างทุเรียนและส้มโอ รวมถึงอาหารแห่งอนาคตที่ตอบโจทย์กระแสรักสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคชาวฮ่องกงและจีน

นอกจากนั้น ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือถึงการแลกเปลี่ยนความร่วมมือผ่านการจัดแสดงสินค้า โดยไทยพร้อมนำผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน “CENTRESTAGE” งานแฟชั่นนานาชาติที่ฮ่องกง พร้อมกันนี้ยังได้เชิญภาคธุรกิจฮ่องกงเข้าร่วมงานสำคัญของไทย เช่น งาน TILOG-LOGISTIX และงาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ในปีหน้า เพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ และเปิดโอกาสการจับคู่เจรจาเชิงพาณิชย์ระหว่างผู้ประกอบการทั้งสองประเทศ

สำหรับสถานการณ์การค้าระหว่างไทยกับฮ่องกง ปัจจุบัน ฮ่องกงเป็นคู่ค้าอันดับที่ 12 ของไทย โดยในปี 2567 การค้ารวมมีมูลค่าถึง 17,038.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยส่งออก 10,851.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 6,187.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (มกราคม–มิถุนายน) มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ 9,004.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 12.65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกของไทยมีมูลค่า 6,166.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.25% ขณะที่การนำเข้าจากฮ่องกงมีมูลค่า 2,838.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มสูงถึง 36.58% แสดงถึงพลวัตทางการค้าที่เติบโตต่อเนื่องและสะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นของทั้งสองฝ่าย

นายฉันทวิชญ์ย้ำว่า การหารือในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการสร้างโอกาสในการผลักดันสินค้าเกษตรและอาหารของไทยเข้าสู่ตลาดฮ่องกง แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมต่อไปสู่ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ โดยอาศัยฮ่องกงเป็นประตูการค้าหลัก และเชื่อมั่นว่าความร่วมมือกับ HKTDC จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการไทย พร้อมทั้งยกระดับศักยภาพของสินค้าไทยในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน

L2D Page (49)

"TILOG-LOGISTIX 2025" จุดพลุงานใหญ่โลจิสติกส์นานาชาติ ดันไทยสู่ศูนย์กลางการค้าอาเซียน คาดเงินสะพัดกว่า 600 ล้านบาท

บรรยากาศที่ฮอลล์ 98 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 เต็มไปด้วยความคึกคักจากการเปิดฉากงานมหกรรมด้านโลจิสติกส์ครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี “ไทล็อก – โลจิสติกซ์ 2025” (TILOG – LOGISTIX 2025) ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ร่วมกับบริษัท อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ จำกัด งานนี้รวบรวมสุดยอดนวัตกรรมและบริการด้านโลจิสติกส์จาก 415 แบรนด์ชั้นนำ ครอบคลุม 25 ประเทศทั่วโลก โดยตั้งเป้าดึงดูดผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมทั้งผู้ผลิต ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า ผู้ให้บริการขนส่งและซัพพลายเชนกว่า 9,000 ราย พร้อมคาดการณ์เม็ดเงินหมุนเวียนภายในงานมากกว่า 600 ล้านบาท

พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน โดยเขาได้กล่าวปาฐกถาชูประเด็นสำคัญว่า ระบบโลจิสติกส์คือ “หัวใจของการค้า” และเป็นปัจจัยหลักที่ชี้วัดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในยุคที่โลกเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนมาตรการการค้าที่เข้มงวดขึ้น เช่น กฎเกณฑ์ CBAM ของสหภาพยุโรป ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ

เขาย้ำว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งที่ไม่อาจมองข้าม ทั้งระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพสูงติดอันดับที่ 34 ของโลก และอยู่ในอันดับ 3 ของอาเซียน รวมถึงทำเลทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาค ถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาไทยสู่ศูนย์กลางการค้าและการขนส่งของอาเซียน รัฐบาลจึงเดินหน้าสนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ เพิ่มประสิทธิภาพซัพพลายเชน และสร้างเครื่องมือช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยให้สามารถยืนหยัดและแข่งขันได้อย่างยั่งยืนบนเวทีโลก

สำหรับงานในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Resilient Supply Chain: Overcoming Global Challenges พิชิตทุกสิ่งท้าทายด้วยความแกร่งแห่งซัพพลายเชน” โดยนางสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวถึงแก่นของการจัดงานว่า มุ่งเน้นการรับมือความผันผวนของเศรษฐกิจและการค้าโลกด้วย 3 พลังสำคัญ ได้แก่ เทคโนโลยีดิจิทัล อาทิ AI และ IoT ที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็วในการบริหารจัดการซัพพลายเชน โซลูชันเพื่อความยั่งยืนที่ตอบโจทย์มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งเข้มงวดขึ้นทั่วโลก และการรวมตัวของเครือข่ายผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ที่จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งและลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน

ภายในพื้นที่จัดแสดง ผู้เข้าชมจะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีล้ำสมัยครบวงจร ตั้งแต่ระบบบริหารจัดการคลังสินค้าอัจฉริยะ อุปกรณ์เคลื่อนย้ายแบบไร้คนขับ รถโฟล์กลิฟต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ไปจนถึงแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับบริหารการขนส่ง โดยมีโซนไฮไลต์อย่าง Innovation Showcase ที่นำเสนอรถบรรทุกไฟฟ้าขนาด 13.5 ตันจาก CP FOTON ซึ่งได้รับการออกแบบให้เหมาะกับการขนส่งระยะกลางและยาว ตอบโจทย์ทั้งด้านต้นทุนและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีการสาธิตสายการบรรจุสินค้าอัตโนมัติครบวงจรจาก TKK ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของระบบที่ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มความแม่นยำในการทำงาน

นอกจากโซนจัดแสดงแล้ว งานยังมีเวทีสัมมนาวิชาการนานาชาติที่จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทรนด์ใหม่ ๆ ในวงการโลจิสติกส์ หนึ่งในนั้นคือ Trade Logistics Symposium ภายใต้หัวข้อ “LogiResilience 2025: The Trade & Transport Reset” ที่วิเคราะห์การปรับตัวของซัพพลายเชนและการค้าระหว่างประเทศท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ขณะที่อีกเวทีสำคัญคือ World Transport & Logistics Forum ซึ่งจัดร่วมกับ World Bank Group เปิดมุมมองเชิงกลยุทธ์ระดับโลกที่ผู้ประกอบการไทยสามารถนำไปต่อยอดเพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขัน

การจัดงานครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นเวทีแสดงนวัตกรรมและโซลูชันด้านโลจิสติกส์ แต่ยังเป็นจุดนัดพบสำคัญของผู้เล่นในห่วงโซ่การค้าและการขนส่ง ที่จะช่วยสร้างความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งยืนยันบทบาทของประเทศไทยในการก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียนในอนาคต

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us