News Update

L2D Page (149)

ราคาน้ำมันดิบปรับลด กังวลอุปทานล้นตลาด-ตัวเลขเศรษฐกิจจีนเปราะบาง

น้ำมันดิบอ่อนตัวต่อเนื่อง ตลาดกังวลอุปทานล้น–เศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณชะลอ

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลง ท่ามกลางความกังวลเรื่องภาวะอุปทานน้ำมันที่มีแนวโน้มล้นตลาดในระยะยาว ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ออกมาต่ำกว่าคาด ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดพลังงานยังคงระมัดระวัง

หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนักกับมุมมองด้านอุปทานเป็นหลัก โดยฝ่ายวิจัยสินค้าโภคภัณฑ์ของ J.P. Morgan ประเมินว่าภาวะน้ำมันล้นตลาดในปี 2568 มีแนวโน้มจะยืดเยื้อต่อเนื่องไปถึงปี 2569–2570 เนื่องจากอุปทานน้ำมันทั่วโลกขยายตัวเร็วกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้ ส่งผลกดดันต่อราคาน้ำมันในตลาดล่วงหน้า

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส (WTI) ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2568 ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 56.82 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 0.62 ดอลลาร์ ขณะที่น้ำมันดิบเบรนต์ปิดที่ระดับ 60.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 0.56 ดอลลาร์

แรงกดดันเพิ่มเติมมาจากข้อมูลเศรษฐกิจจีน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤศจิกายน 2568 ขยายตัวเพียง 4.8% ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 และต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่ยอดค้าปลีก ซึ่งสะท้อนการบริโภคภายในประเทศ เพิ่มขึ้นเพียง 1.3% ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่จีนยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด-19 ในช่วงปลายปี 2565 สะท้อนถึงความเปราะบางของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก

นอกจากนี้ ความคืบหน้าในการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามรัสเซีย–ยูเครน ยังเป็นอีกปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมัน โดยประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ส่งสัญญาณว่ายูเครนพร้อมพิจารณาละทิ้งความพยายามในการเข้าร่วมองค์การนาโต หากสามารถแลกกับหลักมอบหลักประกันด้านความมั่นคงภายใต้ข้อตกลงสันติภาพได้ ซึ่งหากการเจรจาประสบความสำเร็จ อาจนำไปสู่การผ่อนคลายหรือยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย และเปิดทางให้การส่งออกน้ำมันของรัสเซียกลับเข้าสู่ตลาดโลกมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงจับตาความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในลาตินอเมริกา หลังความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอลามีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น โดยบริษัทน้ำมันแห่งชาติของเวเนซุเอลา PDVSA รายงานว่าถูกโจมตีทางไซเบอร์ ขณะที่การส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังสหรัฐฯ ดำเนินการยึดเรือบรรทุกน้ำมันนอกชายฝั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีรายงานว่าสหรัฐฯ เตรียมเพิ่มมาตรการสกัดกั้นเรือบรรทุกน้ำมันเพิ่มเติม ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่ออุปทานจากเวเนซุเอลาในตลาดโลก

โดยรวมแล้ว ราคาน้ำมันยังคงเคลื่อนไหวภายใต้แรงกดดันจากอุปทานส่วนเกินและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดในระยะถัดไป

L2D Page (148)

คนเอเชีย 88% ซื้อออนไลน์เพิ่มช่วงปลายปี แต่ 55% ยังติดปัญหาล่าช้า–ค่าขนส่งสูง

ผลสำรวจชี้นักช้อปเอเชียเร่งซื้อออนไลน์ปลายปี แต่ยังสะดุดปัญหาส่งช้า–ต้นทุนขนส่งสูง

เฟดเดอรัล เอ็กซ์เพรส คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการจับจ่ายช่วงเทศกาลปลายปีของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ SMEs ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและยุโรป ซึ่งสะท้อนว่าอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการใช้จ่ายในช่วงไฮซีซัน แม้ผู้บริโภคจะมีความกังวลด้านความล่าช้าในการจัดส่งและค่าขนส่งที่อยู่ในระดับสูง

การสำรวจซึ่งจัดทำในเดือนกันยายน 2568 จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 2,000 ราย พบว่า ธุรกิจส่วนใหญ่คาดว่ายอดขายในช่วงเทศกาลปลายปีจะขยายตัวจากปีก่อน โดยผู้ประกอบการในเอเชียแปซิฟิกประมาณ 70% และในยุโรปราว 80% เชื่อว่ายอดคำสั่งซื้อจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้หลายกิจการเริ่มเตรียมสต๊อกสินค้าและระบบหลังบ้านล่วงหน้าตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการค้าระหว่างยุโรปและเอเชีย

นายศศธร ภาสภิญโญ กรรมการผู้จัดการ เฟดเอ็กซ์ ประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการ SMEs ให้ความสำคัญกับการค้าข้ามพรมแดนมากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่อีคอมเมิร์ซเติบโตสูงและมีการแข่งขันด้านราคาและความเร็วอย่างเข้มข้น ธุรกิจจึงต้องการโซลูชันด้านโลจิสติกส์ที่ช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทาน

ในฝั่งผู้บริโภค ผลสำรวจสะท้อนว่าแรงซื้อออนไลน์ในเอเชียแปซิฟิกยังคงแข็งแกร่ง โดยผู้บริโภคถึง 88% มีแผนซื้อสินค้าออนไลน์คิดเป็นอย่างน้อยหนึ่งในสี่ของงบใช้จ่ายทั้งหมดในช่วงปลายปี และกว่าครึ่งระบุว่าจะเพิ่มสัดส่วนการซื้อออนไลน์มากกว่าปีก่อน เทศกาลลดราคาขนาดใหญ่ เช่น 11.11, Black Friday และ Cyber Monday ยังคงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมาก โดยผู้บริโภคในเอเชียกว่า 80% ยอมรับว่าช่วงโปรโมชั่นเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อสินค้า

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกให้ความสำคัญกับประสบการณ์การจัดส่งมากกว่าประเทศต้นทางหรือชื่อแบรนด์สินค้า โดยเกือบ 90% ระบุว่าความรวดเร็วและประสิทธิภาพของการจัดส่งมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อ ในขณะเดียวกัน ปัญหาที่พบซ้ำ ๆ ได้แก่ ความล่าช้าในการจัดส่งและค่าขนส่งที่สูง ซึ่งยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการซื้อสินค้าข้ามพรมแดน หลายคนระบุว่าจะเพิ่มการสั่งซื้อจากยุโรปหากค่าขนส่งถูกลง และพร้อมตัดสินใจซื้อเร็วขึ้นหากสามารถจัดส่งได้รวดเร็วกว่าเดิม

ด้านผู้ประกอบการ ทั้งในเอเชียแปซิฟิกและยุโรป ต่างเร่งปรับระบบการดำเนินงานเพื่อรองรับปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น โดยมีการลงทุนพัฒนาระบบจัดการคำสั่งซื้อ การจัดส่ง และการบริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าสามารถจัดส่งสินค้าได้ตามกำหนดในช่วงพีคซีซัน สะท้อนถึงการยกระดับการบริหารจัดการโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เฟดเอ็กซ์ระบุว่า การนำดิจิทัลโซลูชันมาใช้ เช่น การเชื่อมต่อระบบจัดส่งเข้ากับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซโดยตรง ช่วยลดขั้นตอนการทำงานและลดข้อผิดพลาดด้านเอกสาร ขณะที่บริการจัดส่งระหว่างประเทศแบบเร่งด่วนสามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านเวลาและต้นทุนของผู้ค้าได้ดีขึ้น นอกจากนี้ การขยายจุดรับพัสดุผ่านตู้ล็อกเกอร์อัจฉริยะ และฟังก์ชันติดตามสถานะแบบเรียลไทม์ ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ความโปร่งใส และความเชื่อมั่นให้กับทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ซึ่งกำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในช่วงเทศกาลปลายปี

L2D Page (147)

เงินบาทเปิด 31.53 แข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี จับตาประชุมกนง.-ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐสัปดาห์นี้

เงินบาทแข็งค่าทะลุ 31.53 ต่อดอลลาร์ สูงสุดรอบกว่า 4 ปี ตลาดจับตาประชุม กนง. และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ

เงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (15 ธ.ค. 2568) ที่ระดับ 31.53 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเย็นวันศุกร์ที่ 31.61 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 ปีครึ่ง และแข็งค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในภูมิภาค

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ทิศทางเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจากความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐ ส่งผลให้เงินทุนบางส่วนไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย

ในสัปดาห์นี้ ตลาดการเงินจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ซึ่งจะประกาศในวันที่ 16 ธันวาคม รวมถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) ในวันที่ 17 ธันวาคม ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ระดับ 31.50–31.65 บาทต่อดอลลาร์

ด้านค่าเงินต่างประเทศ เงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับประมาณ 155.72 เยนต่อดอลลาร์ ขณะที่เงินยูโรอยู่ที่บริเวณ 1.1740 ดอลลาร์ต่อยูโร ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์แบบถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธนาคารแห่งประเทศไทย อยู่ที่ระดับ 31.654 บาทต่อดอลลาร์

บรรยากาศการลงทุนในประเทศยังได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและสถานการณ์ชายแดน โดยภาคเอกชนแสดงความกังวลว่าการชะลอการเลือกตั้งและความไม่ต่อเนื่องของนโยบายอาจกระทบต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนใหม่ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและการค้าคาดหวังให้รัฐบาลเร่งฟื้นความเชื่อมั่นและเดินหน้าเจรจาการค้าระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ด้านการค้าระหว่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ เกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา โดยในช่วงท้ายของการสนทนา ประธานาธิบดีสหรัฐได้สอบถามถึงความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ และยืนยันว่าจะเร่งประสานให้เกิดการเจรจาตามที่เคยให้คำมั่นไว้ ขณะที่โฆษกรัฐบาลยืนยันว่า สหรัฐพร้อมเดินหน้าเจรจาภาษีในระดับเทคนิค และข้อเสนอของไทยยังคงอยู่ในกระบวนการพิจารณา

ปัจจัยต่างประเทศยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ตลาดจับตา โดยนักลงทุนติดตามข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่จะประกาศในวันนี้ อาทิ ราคาบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และอัตราว่างงาน เพื่อประเมินทิศทางเศรษฐกิจจีนในระยะต่อไป ขณะเดียวกัน ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้ หลังดัชนีความเชื่อมั่นภาคการผลิตปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปี

นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก แม้ตลาดจะมีความผันผวนสูง ขณะที่ฝั่งสหรัฐยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากภาวะปิดหน่วยงานรัฐบาล ส่งผลให้กระทรวงแรงงานสหรัฐไม่สามารถเผยแพร่ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคบางช่วงเวลาได้ ซึ่งเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดการเงินในระยะสั้น

L2D Page (146)

“คมนาคม” ระดมช่วยเหลือประชาชน ได้รับผลกระทบจากชายแดน

คมนาคมระดมกำลังช่วยประชาชนชายแดนไทย–กัมพูชา สั่งปิดเส้นทางเสี่ยง อพยพกลุ่มเปราะบาง ดูแลศูนย์พักพิงเต็มที่

วันนี้ (14 ธันวาคม 2568) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมบูรณาการกำลังอย่างเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยย้ำให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของประชาชน การอพยพกลุ่มเปราะบาง และการอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมในพื้นที่ศูนย์พักพิงทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ

จากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในหลายจังหวัดชายแดน กระทรวงคมนาคมได้เร่งสนับสนุนการทำงานของจังหวัดและฝ่ายความมั่นคงอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการของพื้นที่

ในจังหวัดบุรีรัมย์ เกิดเหตุปะทะในพื้นที่อำเภอบ้านกรวด บริเวณช่องสายตะกู ส่งผลให้จังหวัดมีคำสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่อำเภอบ้านกรวดและอำเภอละหานทราย พร้อมงดใช้เส้นทางทางหลวงหมายเลข 224 สายบ้านกรวด–ละหานทราย–พนมดงรัก เพื่อความปลอดภัย สำนักงานขนส่งจังหวัดบุรีรัมย์ได้สนับสนุนรถยนต์จำนวน 10 คัน สำหรับการอพยพประชาชนกลุ่มเปราะบางไปยังสถานพยาบาลและศูนย์พักพิง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกภายในศูนย์พักพิงชั่วคราว และงดการเดินรถในพื้นที่เสี่ยงตามข้อสั่งการของจังหวัด

ด้านจังหวัดสุรินทร์ ยังคงมีสถานการณ์ความไม่สงบในหลายพื้นที่ชายแดน ส่งผลให้มีประชาชนอพยพเข้าสู่ศูนย์พักพิงชั่วคราวกว่า 80,000 คน กระจายอยู่ในศูนย์พักพิง 145 แห่ง สำนักงานขนส่งจังหวัดสุรินทร์ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่และยานพาหนะลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลการเดินทางและความปลอดภัยในศูนย์พักพิง พร้อมบูรณาการการทำงานร่วมกับจังหวัด กรมการขนส่งทางบก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน

ขณะที่จังหวัดตราด กรมทางหลวงรายงานเหตุลูกกระสุนตกบนทางหลวงหมายเลข 3 ตอนแม่น้ำตราด–หาดเล็ก ทำให้ต้องปิดการจราจรบางช่วงเป็นการชั่วคราว หน่วยงานด้านความมั่นคงได้เร่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ชายแดนเข้าสู่เขตตัวเมืองตราดเพื่อความปลอดภัย พร้อมกันนี้ แขวงทางหลวงตราดได้อพยพหมวดทางหลวงในพื้นที่เสี่ยง ได้แก่ หมวดทางหลวงแหลมกลัด ช้างทูน และด่านชุมพล ไปปฏิบัติงานในพื้นที่ปลอดภัย ตามแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินของหน่วยงาน

นายพิพัฒน์ระบุว่า กระทรวงคมนาคมได้กำชับให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง และปรับแผนการเดินรถรวมถึงการใช้เส้นทางให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง พร้อมสนับสนุนภารกิจการอพยพประชาชนและการดำเนินงานของศูนย์พักพิงในทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ โดยกระทรวงคมนาคมจะยังคงบูรณาการการทำงานร่วมกับจังหวัด ฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชนและเจ้าหน้าที่ และยืนหยัดเคียงข้างพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us