News Update

news-20250530-03

ส่งออกไทยฟื้นตัว! เม.ย. 68 โต 0.3% รับอานิสงส์เร่งส่งสินค้าก่อนเจอภาษีสหรัฐฯ ดันอุตสาหกรรมพุ่ง แม้เกษตรชะลอ

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกของไทยในเดือนเมษายน 2568 กลับมาฟื้นตัวเล็กน้อยที่ 0.3% โดยมีแรงหนุนสำคัญจากความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้ประกอบการเร่งส่งออกก่อนการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกัน ดัชนีราคานำเข้าลดลง 1% จากราคาเชื้อเพลิงที่ลดลงเป็นหลัก

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ อธิบายว่า ดัชนีราคาส่งออกที่กลับมาฟื้นตัวเป็นผลมาจากการขยายตัวของ หมวดสินค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น 1.6% โดยเฉพาะ ทองคำ ที่ความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้นท่ามกลางความกังวลเศรษฐกิจโลกและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ นอกจากนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ก็เพิ่มขึ้นตามความต้องการรองรับ AI และการเร่งนำเข้าก่อนการประกาศภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ รวมถึง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ที่ความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เช่นเดียวกัน หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรก็เพิ่มขึ้น 1.4% โดยมี อาหารสัตว์เลี้ยง เป็นดาวเด่นจากความนิยมเลี้ยงสัตว์ทั่วโลก และความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง ตามมาด้วย อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องดื่ม และ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ที่ได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มการบริโภคอาหารพร้อมรับประทานที่เพิ่มขึ้น

ในทางกลับกัน หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวลดลง ได้แก่ หมวดแร่และเชื้อเพลิง ลดลง 17.4% โดยเฉพาะ น้ำมันสำเร็จรูป ที่ลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบตลาดโลก และ หมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลง 3.3% ซึ่งได้รับผลกระทบจาก ข้าว เนื่องจากอุปทานโลกยังคงสูงและการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง ขณะที่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ก็ลดลงจากปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น และความต้องการจากตลาดหลักอย่างจีนมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากมันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านมีราคาถูกกว่า

สำหรับ ดัชนีราคานำเข้าที่ลดลง นั้น ส่วนใหญ่มาจาก หมวดสินค้าเชื้อเพลิงที่ลดลง 14.3% โดยเฉพาะ ราคาน้ำมันดิบ ที่เป็นผลจากอุปทานส่วนเกินและความต้องการที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคกลับเพิ่มขึ้น 8.0% สะท้อนถึงความต้องการใช้ภายในประเทศและการขยายตัวของการท่องเที่ยว ขณะที่ หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 4.6% โดยเฉพาะ ทองคำ ที่ราคาสูงขึ้นจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า และ อุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมในประเทศและส่งออก

หมวดสินค้าทุนเพิ่มขึ้น 4.1% แสดงให้เห็นถึงการลงทุนใน เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้า และ เครื่องจักรกล เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่วน หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง ดัชนีราคาไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มสินค้าสำคัญ เช่น ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ที่ความต้องการเพิ่มขึ้นเพื่อการผลิตและประกอบรถยนต์ และ รถยนต์โดยสารและรถบรรทุก ที่ราคาลดลงจากการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นและการแข่งขันจากรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดโลก

นายพูนพงษ์ คาดการณ์ว่า แนวโน้มดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2568 จะขยายตัวชะลอลงอีก เนื่องจากฐานราคาในปี 2567 ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ในระดับต่ำกว่าปีนี้ นอกจากนี้ การเร่งนำเข้าสินค้าไทยจากประเทศคู่ค้าก่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้เต็มรูปแบบจะทำให้มีความต้องการสินค้าในระยะสั้นเพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าเกษตรแปรรูปและสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ ราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่มที่อาจลดลงจากอุปทานส่วนเกิน การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น และความผันผวนของค่าเงินบาท

news-20250530-02

ทองคำดิ่งหนัก! ศาลสหรัฐฯ เบรกภาษีทรัมป์ คลายกังวลสงครามการค้า ดันราคาทองร่วงกว่า 1%

ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงกว่า 1% แตะระดับ 3,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือลดลง 550 บาท ในตลาดในประเทศ โดยสาเหตุหลักมาจากการที่ ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ มีคำสั่งให้ยกเลิกมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์กำหนดไว้ เนื่องจากเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต ซึ่งส่งสัญญาณบวกถึงการผ่อนคลายความตึงเครียดของสงครามการค้า

จากการรายงานของสมาคมค้าทองคำ (Gold Traders Association) ณ เวลา 09.04 น. ทองรูปพรรณขายออกอยู่ที่บาทละ 51,550 บาท ขณะที่ทองคำแท่ง 96.5% รับซื้ออยู่ที่บาทละ 50,650 บาท และขายออก 50,750 บาท ส่วนราคาทองคำโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 3,264.00 เหรียญสหรัฐฯ/ออนซ์

เพจ MTS GOLD ของห้างทองแม่ทองสุก รายงานว่า ราคาทองคำตลาดโลกเช้านี้ปรับตัวลดลงถึง 54.41 เหรียญ หรือ 1.65% มาอยู่ที่ 3,249.81 เหรียญ ด้านสัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 5.50 ดอลลาร์ หรือ 0.17% ปิดที่ 3,294.90 ดอลลาร์/ออนซ์

การปรับตัวลดลงของราคาทองคำในครั้งนี้ถือเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของตลาดที่ลดลงในสินทรัพย์ปลอดภัย เมื่อความเสี่ยงด้านภาษีศุลกากรผ่อนคลายลง แม้ว่าฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ คาดว่าจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาล แต่การตัดสินใจดังกล่าวได้ช่วยลดความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับสงครามการค้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เคยหนุนราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา

news-20250530-01

พลิกโฉมการค้าไทย-จีน! "ท่าเรือชินโจว" ประตูใหม่สู่ตลาดแดนมังกรตะวันตก ดันอาเซียนเชื่อมระเบียงเศรษฐกิจ ILSTC

ท่าเรือชินโจว กำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าแห่งใหม่ที่สำคัญสำหรับประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญของ ระเบียงการค้าระหว่างประเทศเชื่อมทางบกกับทางทะเลสายใหม่ (New International Land-Sea Trade Corridor – ILSTC) ที่จะเปิดประตูสู่ตลาดจีนตะวันตกและจีนกลางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ย้อนกลับไปในอดีต ดร.ซุน ยัตเซ็น เคยเล็งเห็นศักยภาพของพื้นที่ชายฝั่งเมืองซินโจวและใฝ่ฝันที่จะสร้างท่าเรือการค้าขนาดใหญ่ และวันนี้ความฝันนั้นได้กลายเป็นจริงแล้ว ด้วยการพัฒนา "ท่าเรือชินโจว" ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ให้เป็นท่าเรือหลักในอ่าวเป่ยปู้ ซึ่งเป็นอ่าวที่ใกล้กับประเทศไทยมากที่สุด ทำให้เป็นเส้นทางขนส่งทางเรือที่รวดเร็วที่สุดไปยังจีน

นายชินวัฒน์ ตั้งสุทธิจิต กรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิสโมสรมิตรภาพวัฒนธรรมสากล ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของท่าเรือชินโจวว่า เป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจสำหรับภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องการเจาะตลาดในมณฑลทางภาคตะวันตกและภาคกลางของจีน ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน ระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย และนโยบายส่งเสริมการลงทุนพิเศษ ทั้งในเขตทดลองการค้าเสรีจีน (กว่างซี) พื้นที่ย่อยท่าเรือชินโจว และเขตท่าเรือสินค้าทัณฑ์บนชินโจว ทำให้พื้นที่นี้เป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจการผลิตและการแปรรูปสินค้าที่ต้องการเจาะตลาดภายในประเทศจีน หรือส่งออกไปยังประเทศที่สามผ่านเครือข่ายการขนส่งของระเบียงการค้า ILSTC ซึ่งรวมถึงการขนส่งทางเรือและทางรถไฟ (China-Europe Railway Express)

จากอดีตเมืองท่าประมง วันนี้เมืองซินโจวกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด กลายเป็นเป้าหมายที่น่าจับตาของนักลงทุน โดยเฉพาะจากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และยิ่งไปกว่านั้น ตลาดผลไม้ของอาเซียนอย่างทุเรียนก็กำลังได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากท่าเรือแห่งนี้

ท่าเรือชินโจวไม่เพียงแต่เป็นเส้นทางขนส่งใหม่ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวระหว่างจีนกับประเทศสมาชิกอาเซียน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันมหาศาลในการขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนในภูมิภาคนี้

news-20250529-03

'จีน-เวียดนาม' เปิดมิติใหม่ขนส่งทางถนน สินค้าวิ่งตรงถึงฮานอย ลดเวลา-ลดทุน ดันค้าขายข้ามพรมแดนสุดคึกคัก

จีนและเวียดนาม ได้ฤกษ์เปิดศักราชใหม่แห่งการขนส่งสินค้าทางถนนข้ามพรมแดนอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ด้วยการเปิดเส้นทางขนส่งจากเมืองหนานหนิง มณฑลกว่างซีจ้วง และนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน มุ่งตรงสู่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม นับเป็นครั้งแรกที่รถบรรทุกสินค้าของจีนสามารถเข้าสู่ใจกลางเวียดนามได้โดยตรงภายใต้กรอบความตกลง CBTA (ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดนสำหรับสินค้าและบุคคลในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง) ซึ่งจะช่วยยกระดับความสะดวกและประสิทธิภาพของการขนส่งระหว่างสองประเทศอย่างเห็นได้ชัด

ขบวนรถขนส่งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผักสด และสินค้าทั่วไป ที่ออกเดินทางพร้อมกันจากสองเมืองใหญ่ของจีน แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของเส้นทางขนส่งสองสายที่เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ เส้นทางแรกจาก หนานหนิง ผ่านด่านโหย่วอี้กวน เข้าสู่เวียดนามที่ด่านหูหงิ มุ่งหน้าสู่ฮานอยในระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร สามารถถึงที่หมายได้ภายในวันเดียว ส่วนเส้นทางที่สองจาก คุนหมิง ผ่านด่านเหอโข่ว เข้าสู่เวียดนามที่ด่านลาวไก สู่ฮานอยในระยะทางประมาณ 700 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 วัน

ความพิเศษของการขนส่งในครั้งนี้คือการใช้โมเดล “ตู้เดียวกันตลอดทาง” และ “รถคันเดียวกันตลอดทาง” ซึ่งช่วยให้การขนส่งเป็นแบบ “ประตูถึงประตู” และ “จุดถึงจุด” ลดความยุ่งยากในการเปลี่ยนตู้คอนเทนเนอร์ เปลี่ยนรถ หรือเปลี่ยนภาชนะขนส่งที่ด่านศุลกากรแบบเดิมๆ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ลดเวลาการขนส่งลงประมาณ 1 วัน และ ประหยัดต้นทุนเฉลี่ย 800-1,000 หยวนต่อคัน ทำให้สามารถขนส่งสินค้าแบบ “ออกวันนี้ ถึงวันรุ่งขึ้น” ได้จริง

ตลอดเส้นทาง ผู้แทนจากหน่วยงานขนส่ง ศุลกากร และตรวจคนเข้าเมืองของทั้งสองประเทศได้ร่วมเดินทางเพื่อตรวจสอบสภาพถนน โครงสร้างพื้นฐาน และแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าการเปิดเส้นทางครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย

บริษัท Sinotrans ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดหาสินค้าและผู้ให้บริการขนส่งเต็มรูปแบบ ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานของเวียดนามและกรมขนส่งกว่างซี เพื่อให้มั่นใจว่าการขนส่งเป็นไปตามมาตรฐานการขนส่ง GMS และเอกสาร CBTA พร้อมทั้งมีการวางแผนเส้นทางข้ามประเทศล่วงหน้า จัดเตรียมรถและสินค้า และใช้ระบบควบคุมอัจฉริยะ รวมถึงระบบระบุตำแหน่งดาวเทียม Beidou เพื่อติดตามการขนส่งแบบเรียลไทม์

ความสำเร็จของโครงการนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความสะดวก ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการผ่านด่าน แต่ยังเป็นการสร้างเส้นทางโลจิสติกส์ระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งเชื่อมโยงจีนกับอาเซียน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us