News Update

L2D Page (174)

'สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5' เชื่อมบึงกาฬ-บอลิคำไซ ฮับโลจิสติกส์ใหม่

“สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 5” ประตูเศรษฐกิจใหม่อีสาน สู่ฮับโลจิสติกส์อินโดจีน
วันที่ 25 ธันวาคม 2568 ถูกบันทึกไว้เป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย–ลาว เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิด “สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 5” เชื่อมจังหวัดบึงกาฬของไทย กับแขวงบอลิคำไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อย่างเป็นทางการ ร่วมกับ ฯพณฯ นายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศ สปป.ลาว เนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ

การเปิดสะพานแห่งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงพิธีการด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นการประกาศเปิด “จุดผ่านแดนถาวร” ที่มีผลทางกฎหมายเต็มรูปแบบ สะท้อนถึงความพร้อมของทั้งสองประเทศในการยกระดับการค้า การลงทุน และการเดินทางในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงสู่ยุคใหม่

จากสะพานข้ามโขง สู่เส้นเลือดเศรษฐกิจภูมิภาค
สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 5 เชื่อมระหว่างอำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ กับเมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ ข้ามแม่น้ำโขงด้วยระยะทาง 1,350 เมตร เป็นสะพานขนาด 2 ช่องจราจร ที่ถูกออกแบบให้รองรับการขนส่งสินค้าและการเดินทางระยะยาวในระดับภูมิภาค

ความสำคัญของสะพานแห่งนี้อยู่ที่การเติมเต็ม “จิ๊กซอว์เศรษฐกิจ” ของภาคอีสานตอนบน ทำให้เส้นทาง ไทย–ลาว–เวียดนาม เชื่อมต่อกันได้ในระยะที่สั้นและมีประสิทธิภาพที่สุด โดยเฉพาะเส้นทางจากบึงกาฬ ผ่านบอลิคำไซ ไปยังเมืองวินห์ของเวียดนาม ซึ่งถือเป็นประตูสู่เวียดนามตอนกลาง และสามารถขยายต่อไปยังจีนตอนใต้ได้อย่างสะดวก

พลิกบทบาทบึงกาฬ สู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ใหม่
การมีสะพานและจุดผ่านแดนถาวร ทำให้จังหวัดบึงกาฬเปลี่ยนบทบาทจากจังหวัดชายแดนไปสู่ “ศูนย์กลางโลจิสติกส์” แห่งใหม่ของภูมิภาคอินโดจีน การขนส่งสินค้าทางถนนจะรวดเร็วขึ้น ต้นทุนลดลง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินว่า สะพานแห่งนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนไทย–ลาวได้หลายหมื่นล้านบาทต่อปี พร้อมทั้งก่อให้เกิดการลงทุนด้านคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และธุรกิจโลจิสติกส์ต่อเนื่อง รวมถึงการจ้างงานในพื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ

ประตูท่องเที่ยวไร้รอยต่อ ไทย–ลาว–เวียดนาม
นอกจากมิติด้านเศรษฐกิจ สะพานมิตรภาพแห่งที่ 5 ยังเปิดโอกาสใหม่ให้การท่องเที่ยวข้ามแดนเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางจากบึงกาฬเข้าสู่แขวงบอลิคำไซ และต่อไปยังเมืองท่องเที่ยวสำคัญของลาวหรือเวียดนามได้สะดวกยิ่งขึ้น ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ธรรมชาติ และการเดินทางแบบเส้นทางเดียวหลายประเทศ

โครงสร้างและเส้นทางยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค
โครงการสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 5 มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 3,787 ล้านบาท เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาล สปป.ลาว ตัวสะพานเชื่อมต่อกับถนนฝั่งไทยขนาด 4 ช่องจราจร ความยาวรวมกว่า 16 กิโลเมตร เชื่อมกับทางหลวงหมายเลข 222 ซึ่งเป็นเส้นทางหลักระหว่างจังหวัดสกลนครและบึงกาฬ

ในฝั่ง สปป.ลาว เส้นทางเชื่อมต่อถนนหมายเลข 13 และถนนหมายเลข 8 มุ่งหน้าสู่เมืองวินห์และกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ก่อนเชื่อมเข้าสู่ทางหลวงอาเซียนหมายเลข 1 ซึ่งเป็นเส้นทางหลักของภูมิภาค เชื่อมต่อไปยังจีนตอนใต้และท่าเรือน้ำลึกสำคัญของเวียดนาม เช่น วุงอ่าง และดานัง

การเปิดใช้งานและการให้บริการ
กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศเปิดจุดผ่านแดนถาวรฝั่งไทย ณ บ้านดอนยม ตำบลไคสี อำเภอเมืองบึงกาฬ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2568 เปิดทำการตั้งแต่เวลา 06.00–22.00 น. ขณะที่ประชาชนและยานพาหนะทั่วไปจะเริ่มใช้สัญจรจริงตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

ในระยะเริ่มต้น ยังไม่มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านสะพาน เนื่องจากอยู่ระหว่างขั้นตอนทางกฎหมาย หากมีการจัดเก็บในอนาคต กรมทางหลวงจะประกาศให้ประชาชนทราบล่วงหน้า

สะพานที่มากกว่าการเชื่อมสองฝั่งโขง
สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 5 ไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างคอนกรีตข้ามแม่น้ำโขง แต่คือสัญลักษณ์ของความร่วมมือ ความเชื่อมโยง และอนาคตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค สะพานแห่งนี้กำลังจะกลายเป็นเส้นเลือดหลักที่หล่อเลี้ยงการค้า การลงทุน และการเดินทางของไทย ลาว เวียดนาม และอินโดจีนในระยะยาวอย่างแท้จริง

L2D Page (173)

“คมนาคม”คุยนักลงทุนจีน สนร่วมลงทุน”ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ”หนุนเชื่อมสปป.ลาว–จีน ผ่านบ่อเต็น–ห้วยทราย

คมนาคมเปิดเจรจานักลงทุนยูนนาน หนุนศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ เชื่อมไทย–ลาว–จีน แก้คอขวด R3A รองรับโลจิสติกส์อนุภูมิภาค

กระทรวงคมนาคมเดินหน้าเปิดการเจรจากับนักลงทุนจากมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและโลจิสติกส์ โดยเฉพาะโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ ซึ่งมีเป้าหมายยกระดับการเชื่อมโยงการค้าระหว่างไทย สปป.ลาว และจีน ผ่านเส้นทางบ่อเต็น–ห้วยทราย–เชียงของ ระยะทางประมาณ 180 กิโลเมตร เพื่อรองรับการขยายตัวของการค้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2568 นายรัชพงศ์ ชูแก้ว เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมร่วมกับคณะผู้แทนจากรัฐวิสาหกิจมณฑลยูนนาน นำโดยนายหลี่ เอ๋อร์ ท่านทั่ว ประธานฝ่ายการลงทุน พร้อมด้วยผู้แทนจาก Yunnan Communications Investment & Construction Group Co., Ltd. และหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและรับฟังข้อเสนอความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุน และระบบโลจิสติกส์ระหว่างไทยและจีน โดยมีหน่วยงานด้านนโยบายและแผนของกระทรวงคมนาคมเข้าร่วม

นายรัชพงศ์เปิดเผยว่า การประชุมดังกล่าวเป็นไปตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชนและนักลงทุนต่างประเทศเข้ามานำเสนอแนวคิดและศักยภาพในการร่วมพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งระบบราง ถนน สะพาน อุโมงค์ ระบบโลจิสติกส์ และเทคโนโลยีคมนาคมสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมของประเทศ

กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญกับความร่วมมือระหว่างไทยและจีนมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ขณะที่มณฑลยูนนานถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมโยงจีนตอนใต้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีบทบาทสำคัญในกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ฝ่ายจีนได้แสดงความสนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย โดยเห็นถึงศักยภาพของระบบคมนาคมไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับทำเลที่ตั้งซึ่งเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อของภูมิภาค และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเพื่อรองรับการค้า การลงทุน และโลจิสติกส์ระหว่างประเทศในระยะยาว

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือแนวคิดการพัฒนาเส้นทางเศรษฐกิจเชื่อมโยงไทย สปป.ลาว และจีน ผ่านบ่อเต็น–ห้วยทราย–เชียงของ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการเชื่อมต่อของโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่ โดยประเมินว่าเส้นทาง R3A ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันมีข้อจำกัดด้านสภาพถนนและจำนวนช่องจราจร ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้นในอนาคต จึงมีข้อเสนอให้พัฒนาโครงข่ายเสริมควบคู่กับการร่วมลงทุนในโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของในรูปแบบเอกชนร่วมลงทุน (PPP) ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

L2D Page (172)

"ยอดจดทะเบียนธุรกิจใหม่" เดือน พ.ย.ลดลง 11% แรงกดดันเศรษฐกิจ ชะลอตัว

ธุรกิจใหม่ชะลอแรง พ.ย.68 ลดลง 11% สะท้อนเศรษฐกิจซบ แต่ต่างชาติยังมั่นใจลงทุนไทยกว่า 3.1 แสนล้าน

ยอดจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ของไทยในเดือนพฤศจิกายน 2568 ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเปิดเผยว่า เดือนดังกล่าวมีการจดทะเบียนธุรกิจใหม่จำนวน 5,554 ราย ลดลงจากเดือนตุลาคมถึง 22% และลดลง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ทุนจดทะเบียนรวมอยู่ที่ 14,860 ล้านบาท ส่งสัญญาณว่าผู้ประกอบการยังระมัดระวังการเริ่มต้นธุรกิจใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาโครงสร้างของธุรกิจที่จัดตั้งใหม่ พบว่าบางกลุ่มยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และห้องชุด ซึ่งเติบโตสูงสุดจากแรงหนุนของภาคท่องเที่ยว รองลงมาคือธุรกิจค้าส่งทั่วไปและธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้า สะท้อนความต้องการด้านโลจิสติกส์และการกระจายสินค้าที่เพิ่มขึ้น แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–พฤศจิกายน) การจัดตั้งธุรกิจใหม่มีจำนวนสะสม 80,064 ราย ลดลงราว 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ทุนจดทะเบียนสะสมอยู่ที่ 250,852 ล้านบาท ลดลง 5% ส่วนการเลิกประกอบกิจการในเดือนพฤศจิกายนมีจำนวน 2,494 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า แต่ยังลดลงเมื่อเทียบรายปี ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน ประเทศไทยมีนิติบุคคลจดทะเบียนรวมกว่า 2.04 ล้านราย โดยมีธุรกิจที่ยังดำเนินกิจการอยู่ประมาณ 970,000 ราย

แม้การจัดตั้งธุรกิจใหม่ของผู้ประกอบการไทยจะชะลอลง แต่การลงทุนจากต่างชาติยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤศจิกายน 2568 มีการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยจำนวน 104 ราย เงินลงทุนรวมกว่า 34,000 ล้านบาท และเมื่อรวม 11 เดือนแรกของปี พบว่าต่างชาติเข้ามาลงทุนแล้ว 973 ราย มูลค่ารวมกว่า 311,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าการลงทุนเมื่อเทียบกับปีก่อนอย่างชัดเจน

ประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุดยังคงเป็นญี่ปุ่น สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา จีน และฮ่องกง โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมด สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศต่อศักยภาพระยะยาวของเศรษฐกิจไทย แม้ภาคธุรกิจภายในประเทศจะยังเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวก็ตาม

L2D Page (171)

เศรษฐกิจไม่ดี/บริษัทไทยลดการจ้าง? เมื่อคนอายุ 30, 40 ปีขึ้นไปอาจหางานยากขึ้น วางแผนเรื่องเงินยังไง

เศรษฐกิจชะลอ–บริษัทไทยลดจ้าง เมื่อวัยทำงาน 30–40+ เริ่มไม่มั่นคง ต้องวางแผนเงินอย่างไรให้รอด

“รับสมัครงาน อายุไม่เกิน 35 ปี” คือข้อความที่ยังพบเห็นได้ทั่วไปในตลาดแรงงานไทย และกลายเป็นแรงกดดันเงียบๆ สำหรับคนทำงานจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่กำลังคิดจะเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนสายอาชีพ หลายคนเลือกจะอยู่ที่เดิมต่อ แม้ไม่พอใจงาน เพราะกลัวว่าหากออกไปแล้วจะกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ยากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น

ในอีกด้านหนึ่ง วัย 30 ไปจนถึง 40 ปีขึ้นไป คือกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ และเข้าใจระบบการทำงาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่องค์กรจำนวนไม่น้อยต้องการ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “อายุสำคัญไหม” แต่คืออายุที่มากขึ้นกำลังกลายเป็นความเสี่ยงในยุคเศรษฐกิจผันผวนหรือไม่ และเราควรเตรียมชีวิตอย่างไรเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนนี้

หากพิจารณาจากประกาศรับสมัครงานจำนวนมาก จะพบว่าการจำกัดอายุยังพบได้บ่อย โดยเฉพาะในตำแหน่งระดับปฏิบัติการหรือพนักงานทั่วไป อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่าอายุอาจไม่ใช่ปัจจัยหลัก หากแต่เป็นเรื่องของทักษะ ความเชี่ยวชาญ และความต้องการของตลาดแรงงานในช่วงเวลานั้นมากกว่า

ข้อมูลจากรายงาน The Midcareer Opportunity ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD สะท้อนภาพที่น่าสนใจว่า เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โอกาสได้รับการจ้างงานมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะผู้สมัครตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป กลุ่มอายุที่นายจ้างมีแนวโน้มรับเข้าทำงานน้อยที่สุดคือช่วงอายุ 55–65 ปี ขณะที่วัย 45–54 ปี ก็เริ่มเผชิญข้อจำกัดมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม กลุ่มอายุ 30–44 ปี กลับเป็นช่วงวัยที่นายจ้างต้องการมากที่สุด เนื่องจากถูกมองว่าสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ และนำประสบการณ์มาสร้างคุณค่าให้กับองค์กรได้ดีกว่าแรงงานที่อายุมากกว่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทย ภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทำให้รูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หลายบริษัทเริ่มลดการจ้างพนักงานประจำ หันไปใช้แรงงานสัญญาจ้าง พนักงานชั่วคราว หรือการจ้างงานแบบไม่เต็มเวลามากขึ้น ข้อมูลจากการสำรวจของ Jobsdb สะท้อนว่า สัดส่วนแรงงานรูปแบบดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่ตำแหน่งพนักงานประจำแบบดั้งเดิมลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ในช่วงเวลาเดียวกัน ยังมีข่าวการเปิดโครงการเกษียณก่อนกำหนดหรือ Early Retire จากองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่ง ซึ่งบางโครงการเปิดรับตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกไม่มั่นคงของแรงงานวัยกลางคน และทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรไทยกำลังมองวัยทำงานกลุ่มนี้อย่างไร

เหตุผลที่ทำให้แรงงานวัย 40 ปีขึ้นไปอาจหางานใหม่ได้ยากขึ้น มักเกี่ยวข้องกับทัศนคติของนายจ้างต่อการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ต้นทุนค่าจ้างที่สูงขึ้นตามอายุงาน ความท้าทายด้านโครงสร้างองค์กรที่หัวหน้ามักอายุน้อยกว่า และการที่แรงงานจำนวนมากยังอยู่ในงานลักษณะเดิมซ้ำๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เทคโนโลยีและ AI สามารถเข้ามาทดแทนได้ง่าย

แม้ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่แรงงานไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ควบคุมได้คือการเตรียมความพร้อมของตัวเอง โดยเฉพาะด้านการเงิน เมื่อความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติ การวางแผนการเงินตั้งแต่วันที่ยังมีรายได้ประจำจึงเป็นสิ่งจำเป็น

การมีเงินสำรองฉุกเฉินเป็นพื้นฐานสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับวัย 40 ปีขึ้นไปที่อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะได้งานใหม่ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวมากกว่าเดิม เงินสำรองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอย่างน้อยหนึ่งถึงสองปี จะช่วยลดแรงกดดันและเปิดโอกาสให้ตัดสินใจเรื่องงานได้ดีขึ้น

ขณะเดียวกัน การทบทวนแผนเกษียณก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินลงทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ จำเป็นต้องประเมินว่าเพียงพอกับเป้าหมายชีวิตหรือไม่ โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มคิดถึงการเกษียณเร็ว การคำนวณค่าใช้จ่ายระยะยาวและผลกระทบจากเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

การลดภาระหนี้ให้น้อยที่สุดก่อนเข้าสู่วัยเกษียณก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน หนี้บ้าน หนี้รถ หรือหนี้บริโภค หากสามารถจัดการให้หมดเร็วขึ้น จะช่วยให้มีสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นในวันที่รายได้ไม่แน่นอน

นอกจากการเงินแล้ว การลงทุนกับตัวเองผ่านการพัฒนาทักษะใหม่ยังเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เทคโนโลยี การเพิ่มทักษะที่ตลาดต้องการ หรือการสร้างรายได้ทางเลือก การเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ย่อมดีกว่ารอให้ถูกบีบให้เปลี่ยนแปลงในวันที่ไม่มีทางเลือก

สุดท้าย แม้งานจะเป็นส่วนสำคัญของชีวิต แต่ “เงิน” คือเครื่องมือที่จะช่วยให้เรารับมือกับความไม่แน่นอนได้ดีขึ้น ต่อให้งานไม่เลือกเรา หากเราวางแผนการเงินไว้ดีพอ ชีวิตก็ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีและทางเลือก

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us