สศก.คาดจีดีพีเกษตรปี 2569 แตะ 7.3 แสนล้านบาท แนะเร่งใช้โดรน–AI พลิกเกมเกษตรไทยสู้ความเสี่ยงรอบด้าน
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรไทยในปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 2.0-3.0% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 730,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ที่จีดีพีเกษตรอยู่ที่ราว 700,000 ล้านบาท สะท้อนทิศทางการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศที่ยังคงกดดันภาคเกษตรไทยอย่างต่อเนื่อง
นายพีรพันธ์ คอทอง รักษาราชการแทนเลขาธิการ สศก. เปิดเผยระหว่างการสัมมนาภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2568 และแนวโน้มปี 2569 ภายใต้หัวข้อ “Agrivolution : พลิกเกมเกษตรทันอนาคต” ว่า การขยายตัวของจีดีพีเกษตรในปีหน้า คาดว่าภาคพืชจะเติบโตในกรอบ 2.5-3.5% ภาคปศุสัตว์ขยายตัว 1.0-2.0% ภาคประมงขยายตัว 0.3-1.3% ภาคบริการทางการเกษตรขยายตัว 0.7-1.7% และภาคป่าไม้ขยายตัว 0.2-1.2%
ทั้งนี้ การเติบโตของภาคเกษตรยังต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ำต้นทุนที่เพิ่มขึ้น นโยบายภาครัฐที่มีความต่อเนื่อง การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย รวมถึงความต้องการสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจากประเด็นความมั่นคงทางอาหาร อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ทั้งภัยแล้ง อุทกภัย และวาตภัย ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
นายพีรพันธ์ ระบุว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้า จะขยายตัวราว 3.1% ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่เติบโตเฉลี่ย 3.5% เนื่องจากหลายประเทศต้องใช้งบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาผลกระทบที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เช่น มาตรฐานด้านสุขอนามัยพืชและสัตว์ แรงงาน การลดการปล่อยคาร์บอน มีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทยโดยตรง
ในส่วนของมาตรการภาษีของสหรัฐ แม้ไทยจะถูกจัดเก็บในอัตรา 19% แต่ยังต้องมีการเจรจาเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งอาจส่งผลต่ออัตราภาษีและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย นอกจากนี้ ยังต้องเตรียมรับมือกับมาตรการ EUDR ของสหภาพยุโรป ที่ห้ามนำเข้าและจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า ครอบคลุมสินค้าเกษตรหลักหลายประเภท เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน โกโก้ กาแฟ ถั่วเหลือง ปศุสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากไม้ หากไทยไม่สามารถปรับตัวได้ สินค้าเกษตรอาจเผชิญอุปสรรคทางการค้ามากขึ้น
ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ยังส่งผลต่อต้นทุนการผลิตภาคเกษตรไทย ทั้งราคาปุ๋ย พลังงาน เมล็ดพันธุ์ และค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น กดดันต้นทุนสินค้าเกษตรและความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะเมื่อประเทศคู่แข่งมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า
นายพีรพันธ์ กล่าวย้ำว่า สินค้าเกษตรที่มีต้นทุนสูงขึ้น ย่อมส่งผลต่อการแข่งขันในตลาด ขณะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวยังจำกัดกำลังซื้อ แม้สินค้าอาหารจะเป็นสินค้าจำเป็น แต่การเติบโตของภาคเกษตรในปีหน้าอาจไม่ขยายตัวในระดับสูงมากนัก
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2569 สศก. ประเมินว่าจะขยายตัวในกรอบ 1.2-2.2% โดยมีแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศ เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการส่งเสริมการลงทุน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงจากมาตรการภาษีของสหรัฐ หนี้ครัวเรือน เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว สถานการณ์การเมือง และความผันผวนทางการเงิน ล้วนส่งผลต่อรายได้และภาระหนี้ของเกษตรกรไทย
ในระยะต่อไป ภาคเกษตรไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัว โดยมองหาโอกาสใหม่ เช่น การขยายตลาดไปยังตะวันออกกลาง ควบคู่กับการลงทุนด้านเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นโดรนการเกษตร รถเก็บเกี่ยวอัจฉริยะ ระบบหว่านอัตโนมัติ และเทคโนโลยี AI แม้จะเป็นการลงทุนที่ใช้เงินสูงในระยะแรก แต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเสริมศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดทิศทางการพัฒนาภาคเกษตร โดยยึดหลัก “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร ผ่านการบริหารจัดการผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการตลาด การส่งเสริมพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง และการขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ภาคเกษตรไทยสามารถรับมือกับความท้าทายและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต





