News Update

news-20250312-02

'บอร์ดการท่าเรือ' เผยเตรียมรื้อรูปแบบการบริหารจัดการ 'ท่าเรือแหลมฉบัง' หลังดำเนินการมานานกว่า 30 ปี

กรรมการบอร์ดการท่าเรือเผยเตรียมรื้อรูปแบบการบริหารจัดการท่าเรือแหลมฉบัง ทั้งระยะสั้น และระยะยาว หลังดำเนินการมานานกว่า 30 ปี ตั้งเป้ามุ่งสู่การเป็นท่าเรือระดับโลก (World Class Port) ที่มีบริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ศาสตราจารย์ ดร.รุธิร์ พนมยงค์ กรรมการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นประธานการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพิจารณาร่างข้อเสนอเชิงนโยบายร่วมกับ World Bank พร้อมด้วย นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรือโทยุทธนา โมกขาว ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง กรรมการการท่าเรือ ผู้บริหารการท่าเรือ ผู้แทน World Bank ผู้แทนผู้ประกอบการ และพนักงานการท่าเรือ ระหว่างวันที่ 10-11 มี.ค. ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี

ศาสตราจารย์ ดร.รุธิร์ พนมยงค์ กรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพิจารณาร่างข้อเสนอเชิงนโยบายร่วมกับ World Bank ในการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ประเด็นหลักของท่าเรือแหลมฉบัง คือการมุ่งสู่การเป็นท่าเรือระดับโลก (World Class Port) ที่มีบริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน การประชุมครั้งนี้ได้มีการหารือ ออกความคิดเห็นร่วมกันในการจัดสรรพื้นที่ของท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อสนับสนุนการเติบโตและการพัฒนาในอนาคต

รวมทั้งวางกรอบแนวคิดด้านการจัดสรรทรัพยากรที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยเฉพาะเรื่องของพื้นที่ ซึ่งท่าเรือแหลมฉบังไม่สามารถขยายได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งๆ ที่ปริมาณสินค้ามาจากทั่วโลก ที่ประมาณการไว้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่ท้าทายอีกประการ คือพื้นที่เรามีจำกัดแต่จะทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะผลกระทบต่อชุมชนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ต้องควบคลุมให้ได้ ปัญหาผลกระทบต่อชุมชน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ยากต่อการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง

เนื่องจากแผนพัฒนางานดังกล่าวไม่มีการแก้ไขปรับปรุงมานานกว่า 30 ปีแล้ว และในความเป็นจริงควรจะต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อต้องการข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะจากธนาคารโลก มาแนะนำชี้แนวทาง และที่สำคัญท่าเรือแหลมฉบังพร้อมรับเป็นเจ้าของพื้นที่ เพื่อดำเนินการต่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของการเป็นท่าเรือรูปแบบ World Class มาตรฐานโลกในการให้บริการด้านโลจิสติกส์อย่างดีเยี่ยมและเป็นท่าเรือที่ยั่งยืน

ศาสตราจารย์ ดร.รุธิร์ กล่าวต่อไปว่า การสัมมนาครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการสรุปประเด็นปัญหา ซึ่งจะเป็นแนวทางในการเปลี่ยนแนวความคิดในการพัฒนาท่าเรือโดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่ข้างหลังท่า เพราะเป็นจุดที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและผู้ที่อยู่รอบๆท่าเรือมากที่สุด ซึ่งหลังจากนี้คงต้องมาดูหรือวางแผนกันว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรกับชุมชนที่ได้รับผลกระทบต่อไป

สำหรับเรื่องเร่งด่วน คือปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น การร้องเรียนปัญหาความแออัด ที่จะต้องรีบดำเนินการจัดการ และต้องควบคู่การมองปัญหาในระยะยาวที่ต้องการให้ท่าเรือไปในทิศทางไหน และในระยะสั้น ที่ต้องดำเนินการ โดยปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด เช่น กรณีรถติด ซึ่งไม่ใช่ปัญหาแต่เป็นอาการที่เกิดมาจากสาเหตุอะไร โดยจะมาสรุปว่าเกิดจากพื้นที่ในการรองรับมีไม่เพียงพอ ซึ่งอาจไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน แต่อย่างไรก็ตามจะต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการให้แก้ไขปัญหารถติดภายในระยะเวลา 3 เดือน คาดว่าเราจะสามารถดำเนินการได้เสร็จก่อนแน่นอน

ด้านนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กล่าวถึงวิสัยทัศน์และมาสเตอร์แปลนท่าเรือแหลมฉบัง เป็นนโยบายของคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะศาสตราจารย์ ดร.รุธิร์ เป็นผู้ริเริ่มเชิญชวนธนาคารโลก (World Bank) มาจัดทำแผนแม่บทท่าเรือแหลมฉบัง เนื่องจากท่าเรือแหลมฉบัง มีการวางแผนงานและกรอบ จนสร้างความเจริญเติบโตในพื้นที่ ตั้งแต่เฟส 1 เฟส 2 และล่าสุดกำลังมีเฟส 3 ขึ้นมา ดังนั้นการบูรณาการจัดทำแผนแม่บท จากสิ่งที่ท่าเรือแหลมฉบังมีในปัจจุบันและท่าเรือที่จะมีในอนาคต หลังจากที่ธนาคารโลกมีการศึกษาข้อมูล ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่จะเป็นประโยชน์ในการจัดทำแผนแม่บท เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

ที่มา - mgronline

news-20250305-03

'มนพร' สนับสนุน 'ท่าเรือระนอง' หลังยอดนำเข้า - ส่งออกทะลุ 200%

“มนพร” สนับสนุนท่าเรือระนอง หลังยอดนำเข้า - ส่งออกทะลุ 200% เพิ่มพื้นที่รับตู้สินค้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ –ผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภคและกระดาษม้วน ขยายตัวเศรษฐกิจไทย - ประเทศเพื่อนบ้าน มั่นใจพร้อมเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลฝั่งอันดามัน เชื่อมโยง SEC

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันท่าเรือระนองมียอดการนำเข้า – ส่งออกสินค้าพุ่งสูงขึ้น 200% เป็นผลมาจากสถานการณ์ความไม่สงบและปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองเมียวดี ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ทำให้การนำเข้า – ส่งออกไปประเทศเมียนมาและสินค้าผ่านแดนที่ปกติต้องผ่านด่านแม่สอด จังหวัดตาก และด่านแม่สาย จังหวัดเชียงราย ย้ายมาใช้บริการผ่านด่านจังหวัดระนองเพิ่มมากขึ้น

นางมนพร กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมได้เห็นถึงโอกาสทางเศรษฐกิจการขนส่งสินค้าทางทะเลฝั่งอันดามัน สอดคล้องกับนโยบาย “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย” ที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและพัฒนาการบริการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล จึงได้กำชับให้ท่าเรือระนอง ภายใต้การกำกับดูแลของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เตรียมความพร้อมท่าเทียบเรือ พื้นที่ลานวางตู้สินค้า รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกในการให้บริการขนส่งสินค้า เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าจากประเทศเมียนมาที่จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจและเสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในระยะยาว พร้อมรองรับการเป็นระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของท่าเรือระนองในการพัฒนาศักยภาพการให้บริการด้านการขนส่งโลจิสติกส์ของภาคใต้ให้มีศักยภาพและเติบโตมากยิ่งขึ้นต่อไป

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 เป็นต้นมา ท่าเรือระนองมีสินค้านำเข้า – ส่งออกเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และการส่งออกผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค และกระดาษม้วน ส่งผลให้การดำเนินงานในปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) มีเรือเทียบท่าทั้งสิ้น 281 เที่ยว เพิ่มขึ้น 69% ตู้สินค้าผ่านท่า 2,796 ตู้ เพิ่มขึ้น 111% สินค้าผ่านท่า 324,933 ตัน เพิ่มขึ้น 251% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม – ธันวาคม 2567) มีเรือเทียบท่า 61 เที่ยว เพิ่มขึ้น 91% ตู้สินค้าผ่านท่า 2,002 ตู้ เพิ่มขึ้น 458% สินค้าผ่านท่า 21,294 ตัน เพิ่มขึ้น 26% 

นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า จากการเติบโตของท่าเรือระนอง สะท้อนถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นตลาดสำคัญสำหรับสินค้าส่งออกของไทย เช่น ผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค และกระดาษม้วน ขณะที่การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สะท้อนถึงความต้องการวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่เติบโตขึ้น นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของปริมาณเรือและตู้สินค้าชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของท่าเรือระนองในการเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลฝั่งอันดามันที่ช่วยสนับสนุนเป้าหมายของ กทท. ในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของระบบโลจิสติกส์ไทยในระดับภูมิภาค

ทั้งนี้ กทท. พร้อมพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในท่าเรือทั้ง 5 แห่ง ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยปัจจุบันท่าเรือระนองมีท่าเทียบเรือทั้งหมด 2 ท่า ได้แก่ ท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ รองรับเรือสินค้าขนาด 500 ตันกรอส และท่าเทียบเรือตู้สินค้า รองรับเรือได้ไม่เกิน 12,000 เดทเวทตัน และมีพื้นที่ฝากเก็บสินค้า ประกอบด้วย โรงพักสินค้าขนาด 1,500 ตารางเมตร ลานวางสินค้าทั่วไปขนาด 7,200 ตารางเมตร ลานวางตู้สินค้าขนาด 11,000 ตารางเมตร สามารถวางตู้สินค้าได้ประมาณ 800 ทีอียู

ที่มา - siamturakij

news-20250312-01

'กรมทางหลวง' ใช้งบ 899 ล้าน ขยาย 4 ช่องจราจร เชื่อมถนนมิตรภาพ ทล. 202 เพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์สู่แดนอีสาน

กรมทางหลวงก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 สาย อ.แก้งสนามนาง - อ.บัวใหญ่ แล้วเสร็จ พร้อมส่งเสริมเส้นทางเพื่อการพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม และเกษตรกรรม รองรับการขยายตัวด้านเศรษฐกิจสู่ชุมชน

กรมทางหลวง โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 2 ดำเนินการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 สาย อ.แก้งสนามนาง - อ. บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ระหว่าง กม.25+660 - กม.26+063, กม.26+900 - กม.27+660 และ กม.28+245 - กม.48+000 ระยะทางยาวกว่า 21 กิโลเมตร เป็นทางหลวงสายสำคัญเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดชัยภูมิ และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 หรือถนนมิตรภาพ มุ่งหน้าเข้าสู่ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเป็นสายทางที่เชื่อมต่อแหล่งชุมชน ซึ่งปัจจุบันมีการเติบโตด้านเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วส่งผลให้มีปัญหาการจราจรที่แออัด

ดังนั้นกรมทางหลวงจึงได้ทำการก่อสร้างขยายทางหลวง จากเดิมขนาด 2 ช่องจราจร เป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษขนาด 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ ข้างละ 2 ช่องจราจร) ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ผิวทางคอนกรีต ไหล่ทางกว้าง ด้านละ 2.50 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยเกาะกลางแบบยก และแบบกำแพงกั้น รวมงานก่อสร้างขยายสะพาน งานติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างและอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยบนทางหลวง วงเงินงบประมาณ 899,300,000 บาท

ปัจจุบันโครงการฯ ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณการจราจร และการขนส่งที่มากขึ้น ส่งผลให้เกิดการคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ให้เกิดความสะดวก ปลอดภัย และมีความรวดเร็วในการเดินทางมากยิ่งขึ้น รองรับโครงการเส้นทางแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก (East - West Economic Corridor ; EWEC) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กระตุ้นระบบเศรษฐกิจสู่ ชุมชนเมืองอย่างยั่งยืน

ที่มา - siamturakij

news-20250310-03

“กรมราง” ปลุก 3 รถไฟฟ้าสายใหม่ รับมติ คจร. รุกแผน M-MAP 2

นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยว่า สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบขนส่งทางรางปี 2568 ปัจจุบันกรมฯ ได้วางแนวทางการดำเนินการพัฒนาการขนส่งทางราง ตามนโยบายของรัฐบาล 

ทั้งนี้จากมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) เมื่อวันที่ 16  ธันวาคม 2567 ที่มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน ที่ผ่านมา ให้โอนภารกิจการดำเนินการในการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สายทาง ประกอบด้วย

รถไฟฟ้าสายสีเงิน ,รถไฟฟ้าสายสีเทา และรถไฟฟ้าสายสีฟ้า จากกรุงเทพมหานคร(กทม.) มายังกระทรวงคมนาคม เป็นผู้ดำเนินการเพื่อให้การพัฒนาโครงข่ายระบบรางมีความสอดคล้องและเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ขณะเดียวกันขั้นตอนการโอนนั้น เบื้องต้นการถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) อยู่ระหว่างหารือกับสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.)  ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับของ กรุงเทพมหานคร(กทม.) เพื่อรวบรวมข้อมูลรายละเอียดของแต่ละโครงการ ว่ามีการดำเนินการถึงไหนอย่างไรเพื่อมาดำเนินการต่อ อย่างไรก็ดีเมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว ทาง รฟม.จะดำเนินการในรายละเอียดรวมถึงดูการเชื่อมต่อกับระบบรถไฟฟ้าสายเดิมที่มีอยู่ และร่างข้อกำหนดและเงื่อนไขของงาน (TOR) ต่อไป

“มองว่าเห็นด้วยกับแนวคิด ที่ภาครัฐเป็นผู้ลงทุนเองทั้ง 3 สายทาง และจ้างเอกชนเข้ามาเป็นผู้เดินรถ  เพื่อให้สามารถสอดคล้องกับการกำหนดนโยบายด้านราคาของภาครัฐ ได้ในช่วงที่รถไฟฟ้า 3 เส้นนี้เปิดให้บริการ  ส่วนการจ้างเอกชนมาเดินรถนั้นก็เชื่อว่าจะทำให้ประชาชนได้รับบริการที่ดี” นายพิเชฐ กล่าว

สำหรับรถไฟฟ้าทั้ง 3 สายทาง ถือเป็น 1ในแผนพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่ 2 หรือ M-MAP 2 ซึ่งคอนเซ็ปต์จะเป็นเหมือนเส้นทางใยแมงมุมที่เข้ามาเสริมเส้นทางหลักที่มีอยู่แล้ว

ด้านความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเงิน ช่วงบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะทาง 19.7 กิโลเมตร วงเงินลงทุนประมาณ 89,948.27 ล้านบาท ปัจจุบันได้มีการศึกษารูปแบบการใช้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) แล้ว ซึ่งตามแผนรถไฟฟ้าสายสีเงินดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2572

ส่วนการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเงิน เป็นรถไฟฟ้าขนาดเบา (Light Rail Transit) จากแนวถนนบางนา-ตราดทางหลวงหมายเลข 34 ฝั่งขาออกจนถึง แยกตัดทางหลวงหมายเลข 370 ซึ่งเป็นถนนเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทางทิศใต้ มีระยะทางรวม 19.7 กิโลเมตร มีจำนวนสถานีทั้งสิ้น 14 สถานี แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระยะทาง 14.6 กิโลเมตร มีจำนวน 12 สถานีและระยะที่ 2 ระยะทาง 5.1 กิโลเมตร มีจำนวน 2 สถานี

อย่างไรก็ตามรถไฟฟ้าสายสีเงินสามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าจำนวน 2 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเขียวที่สถานีบางนา และรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่สถานีศรีเอี่ยม ซึ่งจะเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างสนามบินสุวรรณภูมิและพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานครให้กับประชาชน รวมถึงเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนบางนา-ตราดประมาณการปริมาณผู้ใช้บริการหลังเปิดบริการในอนาคต คาดว่าจะมีจำนวนผู้ใช้บริการของรถไฟฟ้าสายสีเงินประมาณ 165,390 คน-เที่ยว/วัน ส่วนความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทา ระยะที่ 1 ช่วงวัชรพล-ทองหล่อ ระยะทาง 16.3 กิโลเมตร วงเงินลงทุนประมาณ 29,130 ล้านบาท

ขณะนี้ได้มีการศึกษารูปแบบการใช้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) แล้ว มี 15 สถานี เป็นรถไฟฟ้าขนาดเบา (Light Rail Transit) โดยเริ่มจากบริเวณแยกต่างระดับรามอินทรา ถนนประดิษฐ์มนูธรรม (ฝั่งขาเข้า) ข้ามทางพิเศษฉลองรัชมุ่งหน้าตาม ถนนประดิษฐ์มนูธรรม ถนนพระราม 9 ตัดสู่แยกเอกมัย ถนนเพชรบุรี ถนนทองหล่อ และสิ้นสุดที่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 55 (ทองหล่อ)

ที่มา - thansettakij

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us