News Update

L2D Page (162)

ปี'69 คาดจีดีพีเกษตร 7.3 แสนล้าน สศก.แนะใช้ 'โดรน-AI' ช่วยเพิ่ม ผลผลิต

สศก.คาดจีดีพีเกษตรปี 2569 แตะ 7.3 แสนล้านบาท แนะเร่งใช้โดรน–AI พลิกเกมเกษตรไทยสู้ความเสี่ยงรอบด้าน

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรไทยในปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 2.0-3.0% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 730,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ที่จีดีพีเกษตรอยู่ที่ราว 700,000 ล้านบาท สะท้อนทิศทางการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศที่ยังคงกดดันภาคเกษตรไทยอย่างต่อเนื่อง

นายพีรพันธ์ คอทอง รักษาราชการแทนเลขาธิการ สศก. เปิดเผยระหว่างการสัมมนาภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2568 และแนวโน้มปี 2569 ภายใต้หัวข้อ “Agrivolution : พลิกเกมเกษตรทันอนาคต” ว่า การขยายตัวของจีดีพีเกษตรในปีหน้า คาดว่าภาคพืชจะเติบโตในกรอบ 2.5-3.5% ภาคปศุสัตว์ขยายตัว 1.0-2.0% ภาคประมงขยายตัว 0.3-1.3% ภาคบริการทางการเกษตรขยายตัว 0.7-1.7% และภาคป่าไม้ขยายตัว 0.2-1.2%

ทั้งนี้ การเติบโตของภาคเกษตรยังต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ำต้นทุนที่เพิ่มขึ้น นโยบายภาครัฐที่มีความต่อเนื่อง การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย รวมถึงความต้องการสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจากประเด็นความมั่นคงทางอาหาร อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ทั้งภัยแล้ง อุทกภัย และวาตภัย ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

นายพีรพันธ์ ระบุว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้า จะขยายตัวราว 3.1% ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่เติบโตเฉลี่ย 3.5% เนื่องจากหลายประเทศต้องใช้งบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาผลกระทบที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เช่น มาตรฐานด้านสุขอนามัยพืชและสัตว์ แรงงาน การลดการปล่อยคาร์บอน มีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทยโดยตรง

ในส่วนของมาตรการภาษีของสหรัฐ แม้ไทยจะถูกจัดเก็บในอัตรา 19% แต่ยังต้องมีการเจรจาเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งอาจส่งผลต่ออัตราภาษีและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย นอกจากนี้ ยังต้องเตรียมรับมือกับมาตรการ EUDR ของสหภาพยุโรป ที่ห้ามนำเข้าและจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า ครอบคลุมสินค้าเกษตรหลักหลายประเภท เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน โกโก้ กาแฟ ถั่วเหลือง ปศุสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากไม้ หากไทยไม่สามารถปรับตัวได้ สินค้าเกษตรอาจเผชิญอุปสรรคทางการค้ามากขึ้น

ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ยังส่งผลต่อต้นทุนการผลิตภาคเกษตรไทย ทั้งราคาปุ๋ย พลังงาน เมล็ดพันธุ์ และค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น กดดันต้นทุนสินค้าเกษตรและความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะเมื่อประเทศคู่แข่งมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า

นายพีรพันธ์ กล่าวย้ำว่า สินค้าเกษตรที่มีต้นทุนสูงขึ้น ย่อมส่งผลต่อการแข่งขันในตลาด ขณะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวยังจำกัดกำลังซื้อ แม้สินค้าอาหารจะเป็นสินค้าจำเป็น แต่การเติบโตของภาคเกษตรในปีหน้าอาจไม่ขยายตัวในระดับสูงมากนัก

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2569 สศก. ประเมินว่าจะขยายตัวในกรอบ 1.2-2.2% โดยมีแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศ เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการส่งเสริมการลงทุน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงจากมาตรการภาษีของสหรัฐ หนี้ครัวเรือน เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว สถานการณ์การเมือง และความผันผวนทางการเงิน ล้วนส่งผลต่อรายได้และภาระหนี้ของเกษตรกรไทย

ในระยะต่อไป ภาคเกษตรไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัว โดยมองหาโอกาสใหม่ เช่น การขยายตลาดไปยังตะวันออกกลาง ควบคู่กับการลงทุนด้านเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นโดรนการเกษตร รถเก็บเกี่ยวอัจฉริยะ ระบบหว่านอัตโนมัติ และเทคโนโลยี AI แม้จะเป็นการลงทุนที่ใช้เงินสูงในระยะแรก แต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเสริมศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว

ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดทิศทางการพัฒนาภาคเกษตร โดยยึดหลัก “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร ผ่านการบริหารจัดการผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการตลาด การส่งเสริมพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง และการขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ภาคเกษตรไทยสามารถรับมือกับความท้าทายและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

L2D Page (160)

ราคาบ้านสูงลิ่วดันคนเช่ามากกว่าซื้อ เศรษฐกิจผันผวนทำคนพับแผนซื้อบ้านขอเก็บเงินตั้งหลักก่อน

เศรษฐกิจผันผวน-บ้านแพง ดันคนไทยชะลอซื้อ หันเช่ารอความพร้อมทางการเงิน

กำลังซื้อผู้บริโภคไทยในปี 2568 ยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ส่งผลให้หลายครัวเรือนต้องระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นภาระทางการเงินระยะยาว สะท้อนผ่านข้อมูลจาก “ดีดีพร็อพเพอร์ตี้” (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ที่ระบุว่าผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยเลือกชะลอแผนซื้อบ้านออกไปก่อน เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสมและสร้างความมั่นคงทางการเงินให้มากขึ้น

สอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่พบว่าอุปสงค์สะสมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 หดตัวลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภทมีจำนวน 227,106 หน่วย ลดลง 9.3% และมีมูลค่า 617,768 ล้านบาท ลดลง 12.4% สะท้อนว่ากำลังซื้อในตลาดอสังหาฯ ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้ความต้องการมีที่อยู่อาศัยยังคงอยู่ แต่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้เข้ามากระทบแผนการเงินของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยยังไม่ได้หายไปทั้งหมด โดยข้อมูลจากผู้เข้าชมเว็บไซต์ DDproperty พบว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี ความต้องการซื้อในหลายพื้นที่ยังเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยกรุงเทพฯ มีอัตราการค้นหาซื้อเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 26% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงจับตาตลาดและรอช่วงเวลาที่เหมาะสม ทั้งในด้านความพร้อมทางการเงินและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ

ขณะเดียวกัน แบบสำรวจล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ระบุว่า ผู้ที่สนใจซื้อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่กว่า 82% มองหาที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับโครงการที่มีราคาจับต้องได้ สอดคล้องกับกำลังซื้อที่แท้จริงภายใต้ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

แม้จะมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐ แต่ความผันผวนทางเศรษฐกิจยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคต้องทบทวนแผนการซื้อ โดยกว่า 28% ของผู้ตอบแบบสำรวจตัดสินใจเลื่อนการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อน เนื่องจากเงินออมได้รับผลกระทบและไม่ต้องการแบกรับภาระหนี้ก้อนใหญ่ในระยะยาว

ผลจากการชะลอการซื้อ ส่งให้เทรนด์ “Generation Rent” เติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดอสังหาฯ ผู้บริโภคกลุ่มผู้เช่ากว่า 23% ระบุว่าราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับสูงขึ้นเกินเอื้อมเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เลือกเช่าแทนการซื้อ ขณะที่อีก 20% มองว่ายังไม่มีเงินเก็บเพียงพอ และบางส่วนเห็นว่ายังไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในช่วงเวลานี้

สำหรับแผนการอยู่อาศัย ผู้เช่าส่วนใหญ่กว่า 57% ตั้งใจเช่าไม่เกิน 2 ปีก่อนจะกลับมาพิจารณาซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในอนาคต โดยต้องการใช้เวลาสร้างความพร้อมทางการเงินและประเมินทิศทางเศรษฐกิจ ขณะที่บางส่วนวางแผนเช่าในระยะ 2-5 ปี และมีเพียงส่วนน้อยที่ยังไม่แน่ใจกรอบเวลาในการตัดสินใจ

ด้านอัตราค่าเช่าที่ได้รับความนิยมสูงสุดอยู่ในช่วง 5,001-10,000 บาทต่อเดือน สะท้อนพฤติกรรมผู้เช่าที่ยินดีจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อแลกกับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทำเลใกล้ที่ทำงาน การเดินทางที่สะดวก หรือสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

L2D Page (161)

คมนาคม เข้ม ‘FIT TO DRIVE’ รับปีใหม่ 69 ตั้งเป้าลดอุบัติเหตุ 5% ตรวจรถ–คนขับทั่วประเทศ

คมนาคมยกระดับ “FIT TO DRIVE” รับปีใหม่ 2569 คุมเข้มรถ–คนขับทั่วประเทศ ตั้งเป้าลดอุบัติเหตุไม่ต่ำกว่า 5%

กระทรวงคมนาคมเดินหน้ายกระดับมาตรการความปลอดภัยรับเทศกาลปีใหม่ 2569 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเดินทางหนาแน่นที่สุดของปี ภายใต้แคมเปญ “FIT TO DRIVE ร่วมสร้างสุขทั่วไทย ปลอดภัยทุกเส้นทาง” เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนตลอดการเดินทาง โดยตั้งเป้าลดอุบัติเหตุทางถนนลงอย่างน้อย 5% และลดจำนวนผู้เสียชีวิตให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดเตรียมความพร้อมด้านระบบขนส่งอย่างรอบด้าน ทั้งการจัดรถเสริม การบริหารจัดการปริมาณผู้โดยสาร และการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ เพื่อดูแลประชาชนตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง โดยกรมการขนส่งทางบกจะดำเนินการตรวจสอบความพร้อมของรถโดยสารและพนักงานขับรถผ่านจุดอำนวยความสะดวกและจุดตรวจความปลอดภัยกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งช่วงขาไปและขากลับ

นายพิพัฒน์ ระบุว่า เทศกาลปีใหม่ยังคงเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุสูง จึงขอความร่วมมือประชาชน โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ให้สวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง งดขับขี่ขณะมึนเมา และช่วยกันดูแลเตือนกันในสังคม เพื่อลดความสูญเสีย โดยกระทรวงคมนาคมตั้งเป้าให้การขนส่งสาธารณะทุกประเภทมีอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตเป็นศูนย์ เพื่อให้การเดินทางในช่วงปีใหม่เป็นไปอย่างปลอดภัยและอุ่นใจ

ด้านนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมฯ ได้ดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องและเข้มงวด ทั้งการตรวจความพร้อมรถโดยสาร ณ สถานประกอบการ การซักซ้อมการปฏิบัติงานของผู้จัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง หรือ TSM รวมถึงการใช้ระบบรายงานตรวจสอบความพร้อมรถและพนักงานขับรถออนไลน์ “เช็กชัวร์ Ready to go” เพื่อยกระดับการตรวจความพร้อมก่อนปล่อยรถออกให้บริการทุกวัน

สำหรับช่วงเทศกาลปีใหม่ กรมการขนส่งทางบกจะเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบและกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัย ณ สถานีขนส่งผู้โดยสาร จุดจอดรถ จุดตรวจ และจุดพักรถ รวมทั้งสิ้น 219 แห่งทั่วประเทศ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากความประมาทและความไม่พร้อมของรถหรือผู้ขับขี่

นอกจากนี้ ยังมีการใช้ระบบ GPS ตรวจสอบพฤติกรรมการขับรถของพนักงานขับรถตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติผ่านแอปพลิเคชัน DLT GPS Notice เพื่อควบคุมความเร็วและลดพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ขณะเดียวกันได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าให้หลีกเลี่ยงการขนส่งในช่วงเทศกาล และงดใช้รถเปล่า เพื่อลดปัญหาการจราจรหนาแน่นบนถนนสายหลัก

ในส่วนของรถโดยสารสองชั้น กรมการขนส่งทางบกได้กำหนดข้อจำกัดด้านความปลอดภัยอย่างชัดเจน โดยไม่อนุญาตให้วิ่งผ่านเส้นทางที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เส้นทางภูเขาและทางลาดชัน พร้อมกำหนดความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และติดตามการเดินรถผ่านระบบ GPS ทุกคันอย่างใกล้ชิด

นายสรพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กรมการขนส่งทางบกอยู่ระหว่างเร่งออกมาตรการบังคับติดตั้งอุปกรณ์แจ้งเตือนด้านความปลอดภัย เพื่อยกระดับการป้องกันอุบัติเหตุและคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้กับรถใหม่ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2569 ส่วนรถที่จดทะเบียนก่อนหน้านี้จะให้มีผลบังคับใช้ภายในรอบการต่ออายุภาษีรถ

L2D Page (159)

ส่องเส้นทางการค้าใหม่ ไทย-บังกลาเทศ-อินเดีย-ภูฏาน

เปิดระเบียงการค้าใหม่ ไทย–บังกลาเทศ–อินเดีย–ภูฏาน จุดเปลี่ยนโลจิสติกส์เอเชียใต้
การลงนามข้อตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าผ่านแดนระหว่างภูฏานและบังกลาเทศในปี 2566 นับเป็นจุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียใต้ โดยเฉพาะต่อประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลอย่างภูฏาน ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวได้เปิดประตูสู่ทางเลือกใหม่ในการเชื่อมต่อกับตลาดโลก ลดการพึ่งพาเส้นทางดั้งเดิมผ่านอินเดีย และช่วยกระจายความเสี่ยงด้านโลจิสติกส์ในระยะยาว

ในขณะเดียวกัน บังกลาเทศได้ยกระดับบทบาทของตนเองขึ้นเป็นศูนย์กลางการขนส่งผ่านแดนที่มีศักยภาพของภูมิภาค โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มประเทศในเทือกเขาหิมาลัยตะวันออก ความร่วมมือครั้งนี้ตั้งอยู่บนรากฐานความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ที่แน่นแฟ้น ภูฏานเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่รับรองเอกราชของบังกลาเทศเมื่อปี 2514 และในปัจจุบัน บังกลาเทศถือเป็นคู่ค้าอันดับสองของภูฏานรองจากอินเดีย

การยกระดับความสัมพันธ์จากการพึ่งพาโครงสร้างโลจิสติกส์ของอินเดียเพียงฝ่ายเดียว ไปสู่การสร้างระเบียงเศรษฐกิจที่มีกรอบกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน จึงถือเป็นก้าวสำคัญของภูมิภาคนี้

กรอบกฎหมายที่ปูทางสู่เส้นทางการค้าใหม่
การเปิดเส้นทางการค้าใหม่นี้ตั้งอยู่บนรากฐานของข้อตกลงทางกฎหมายหลายฉบับที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ โดยข้อตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าผ่านแดนที่ลงนามในปี 2566 ถือเป็นแกนหลักของความร่วมมือ เปิดให้มีการขนส่งหลายรูปแบบ ทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ พร้อมกำหนดจุดผ่านแดนเข้า–ออกที่ชัดเจน และมีอายุข้อตกลง 10 ปี พร้อมกลไกคณะกรรมการเทคนิคร่วมทำหน้าที่กำกับดูแล

ขณะเดียวกัน ข้อตกลงการค้าพิเศษระหว่างบังกลาเทศและภูฏาน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2565 ได้สร้างแรงจูงใจด้านภาษี โดยให้สิทธิยกเว้นอากรแก่สินค้าทั้งสองฝ่าย ส่งผลให้เกิดความหลากหลายของสินค้าและปริมาณการค้าซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากเส้นทางใหม่นี้ได้โดยตรง

นอกจากนี้ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการใช้เส้นทางน้ำภายในประเทศ ซึ่งอนุญาตให้ภูฏานใช้ท่าเรือจิตตะกองและมองลาของบังกลาเทศ ยังเปิดโอกาสให้เกิดการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ซึ่งมีศักยภาพในการลดต้นทุนรวมเมื่อเทียบกับการใช้รถบรรทุกเพียงอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม กรอบนโยบายที่ชัดเจนในเชิงเอกสารยังต้องผ่านบททดสอบจากการปฏิบัติจริง ซึ่งนำไปสู่การทดลองขนส่งสินค้าผ่านแดนครั้งแรก

บทเรียนจากการทดลองขนส่งสินค้าผ่านแดน
การทดลองขนส่งครั้งแรกซึ่งดำเนินการโดยบริษัท Abit Trading ของภูฏาน เป็นการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากประเทศไทย ผ่านท่าเรือแหลมฉบังไปยังท่าเรือจิตตะกอง ก่อนลำเลียงต่อทางบกผ่านบังกลาเทศ อินเดีย และเข้าสู่เมืองโพนโชลิงของภูฏาน เส้นทางดังกล่าวครอบคลุมการขนส่งทั้งทางทะเลและทางบกหลายช่วง

ผลลัพธ์ในเชิงศักยภาพสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หากกระบวนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างราบรื่น ระยะเวลาการขนส่งสามารถลดลงจากประมาณ 40 วัน เหลือเพียงราว 15 วัน เมื่อเทียบกับเส้นทางดั้งเดิมผ่านท่าเรือโกลกาตาของอินเดีย ถือเป็นจุดขายสำคัญในเชิงโลจิสติกส์

อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติจริงได้เผยให้เห็น “จุดติดขัด” ที่สำคัญหลายประการ ตั้งแต่ความล่าช้าที่ท่าเรือจิตตะกองซึ่งกินเวลานานเกือบสองเดือน อันเกิดจากการขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานและข้อกำหนดเรื่องค่าธรรมเนียมที่ไม่ชัดเจน ปัญหาการประสานงานไตรภาคีที่ชายแดนบังกลาเทศ–อินเดีย ตลอดจนต้นทุนแฝงจากการคุ้มกันสินค้าตลอดเส้นทาง และข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานของด่านชายแดน

การทดลองครั้งนี้จึงถือเป็นการพิสูจน์แนวคิดในเชิงกายภาพ ขณะเดียวกันก็สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงกระบวนการและกฎระเบียบข้ามพรมแดน

สมการการค้าใหม่ของเอเชียใต้
ผลกระทบของข้อตกลงนี้ขยายวงกว้างเกินกว่าการค้าระหว่างภูฏานและบังกลาเทศ โดยกำลังปรับเปลี่ยนพลวัตด้านโลจิสติกส์และภูมิรัฐศาสตร์ของทั้งภูมิภาค สำหรับภูฏาน เส้นทางใหม่นี้คือเครื่องมือสำคัญในการลดการพึ่งพาอินเดีย และเพิ่มอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจในระยะยาว

สำหรับบังกลาเทศ เส้นทางการขนส่งผ่านแดนเปิดโอกาสให้เกิดรายได้ใหม่จากค่าธรรมเนียมและบริการโลจิสติกส์ โดยมีการประเมินว่าหากเพียงส่วนหนึ่งของการขนส่งไปภูฏานหันมาใช้เส้นทางนี้ ก็อาจสร้างรายได้ระดับพันล้านตากาต่อปี พร้อมทั้งวางตำแหน่งประเทศเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค โดยมีเนปาลเป็นเป้าหมายถัดไป

ขณะที่อินเดียยังคงเป็นปัจจัยชี้ขาดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ บทบาทในฐานะประเทศทางผ่านทำให้ความร่วมมือของหน่วยงานอินเดียเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จของระเบียงเศรษฐกิจนี้ และเป็นบททดสอบเชิงปฏิบัติของกรอบความร่วมมือ BBIN อย่างแท้จริง

โอกาสและความเสี่ยงสำหรับภาคธุรกิจโลจิสติกส์
การเปิดเส้นทางการค้าใหม่นี้สร้างโอกาสให้กับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ตัวแทนออกของ และผู้ประกอบการขนส่ง ในการพัฒนาบริการเฉพาะทาง ลดระยะเวลาการขนส่ง และเข้าถึงตลาดประเทศที่สามได้สะดวกขึ้น อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ในรูปของความไม่แน่นอนด้านกระบวนการ โครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่สอดคล้องกัน ต้นทุนแฝง และข้อจำกัดด้านนโยบายสิ่งแวดล้อมของภูฏาน

การตัดสินใจใช้เส้นทางนี้จึงต้องอาศัยการประเมินต้นทุน ความเสี่ยง และความพร้อมของเครือข่ายพันธมิตรในทั้งสามประเทศอย่างรอบด้าน

แนวโน้มในอนาคตและบทสรุป
การที่ Abit Trading ขออนุมัติทดลองขนส่งเพิ่มเติมสะท้อนว่า ภาคเอกชนมองเห็นศักยภาพของเส้นทางนี้ แต่ยังต้องการความชัดเจนในการปฏิบัติจริง ระเบียงเศรษฐกิจนี้จึงไม่ใช่เพียงการทดสอบระบบโลจิสติกส์ หากแต่เป็นบททดสอบความร่วมมือทางภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียใต้

หากสามารถแก้ไขจุดติดขัดเชิงโครงสร้างและกฎระเบียบได้สำเร็จ เส้นทางการค้าใหม่นี้จะกลายเป็นกลไกสำคัญในการบูรณาการเศรษฐกิจของภูมิภาค และตอกย้ำบทบาทของบังกลาเทศในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสใหม่ให้ประเทศอย่างไทยสามารถเชื่อมโยงการค้าไปสู่ตลาดภูมิภาคหิมาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us