News Update

L2D Page (98)

รฟท.ลุยล้างหนี้ 2.8 แสนล้าน เดินรถเพิ่มรายได้-งัดที่ดินพัฒนา

รฟท.เร่งทบทวนแผนฟื้นฟูใหม่ แก้หนี้สะสมกว่า 2.8 แสนล้าน มุ่งเพิ่มรายได้–พัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ ดันเป้าขึ้นแท่นผู้นำระบบรางอาเซียนปี 2570
การรถไฟแห่งประเทศไทยเดินหน้าทบทวนแผนฟื้นฟูฉบับใหม่ หลังแบกรับปัญหาหนี้สินสะสมกว่า 2.8 แสนล้านบาท โดยมุ่งยกระดับรายได้ทั้งจากระบบขนส่งและการพัฒนาเชิงพาณิชย์ พร้อมเร่งจัดหาขบวนรถใหม่เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดระบบราง ขณะเดียวกันยังผลักดันให้บริษัทลูกบริหารทรัพย์สินดำเนินงานเชิงรุกเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว แม้ภาวะเศรษฐกิจยังไม่เอื้ออำนวยก็ตาม

รัฐบาลได้เห็นชอบให้รฟท.กู้เงินเพิ่มเติมเพื่อใช้บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 18,000 ล้านบาท เนื่องจากแผนแก้หนี้เดิมยังไม่เพียงพอสำหรับภาระค่าใช้จ่ายประจำปี โดยกระทรวงคมนาคมรายงานว่ารฟท.ขาดทุนต่อเนื่องยาวนาน ส่วนหนึ่งมาจากการต้องนำรายได้ไปชำระดอกเบี้ยและหนี้เงินกู้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่งบที่เหลือถูกใช้ในการซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านราง รวมถึงอาคารสถานที่ รถจักร รถโดยสาร และรถสินค้า ซึ่งมีอายุการใช้งานมายาวนานจนต้องซ่อมบำรุงบ่อยครั้ง ค่าใช้จ่ายด้านการเดินรถ ค่าบริหารจัดการ และค่าใช้จ่ายบำเหน็จบำนาญยังคงสูง ส่งผลให้รายได้ไม่ครอบคลุมต้นทุนการดำเนินงาน

นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยแนวทางแก้ปัญหาหนี้ของรฟท.ว่าแบ่งออกเป็นสองแนวทางสำคัญ แนวทางแรกคือการเพิ่มรายได้จากการเดินรถขนส่งสินค้าและบริการ โดยปัจจุบันรฟท.มีรายได้จากการเดินรถโดยสารเพียงประมาณ 4,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งยังต่ำเมื่อเทียบกับรายจ่ายด้านการซ่อมบำรุงระบบราง ทั้งยังประสบปัญหาในการจัดซื้อรถโดยสารใหม่หลังถูกสั่งให้ทบทวนและเปิดทางให้เอกชนร่วมเดินรถในรูปแบบ PPP ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2569 ทำให้รฟท.ยังไม่สามารถปรับขึ้นราคาค่าโดยสารได้ตามต้นทุนจริงจากค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้น สำหรับรายได้จากการขนส่งสินค้าปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี โดยรฟท.ตั้งเป้าเพิ่มรายได้อีกประมาณ 2,400–2,500 ล้านบาทต่อปี หรือราวร้อยละ 10

นอกจากนั้นรฟทยังเร่งผลักดันรายได้จากการรถไฟท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันมีรายได้เพียง 50 ล้านบาทต่อปี แต่มีศักยภาพเติบโตสูงจากการให้บริการรถไฟท่องเที่ยวพิเศษ เช่น รถไฟญี่ปุ่น KIHA183 รถไฟ Royal Blossom และรถไฟสีน้ำเงินในเส้นทางยอดนิยมช่วงวันหยุด โดยตั้งเป้าผลักดันรายได้จากการท่องเที่ยวให้แตะ 100 ล้านบาทภายในปี 2568 ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องปรับปรุงสภาพขบวนรถและบริการให้มีมาตรฐานมากขึ้น

แนวทางที่สองคือการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ของรฟท.กว่า 38,000 ไร่ ซึ่งมีมูลค่าหลายแสนล้านบาท โดยทั้งหมดถูกโอนให้บริษัทลูกคือ บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด หรือ SRTA ตั้งแต่ปี 2565 เพื่อบริหารจัดการเชิงพาณิชย์และเปิดประมูลพัฒนาโครงการต่าง ๆ หนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงคือสถานีกลางบางซื่อ หรือสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางระบบรางที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รฟท.ตั้งเป้าดึงเอกชนร่วมพัฒนาพื้นที่มิกซ์ยูสประเภทต่าง ๆ หลังจากที่การเปิดประมูลรอบก่อนหน้านี้ไม่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้ต้องปรับแผนและมอบให้ SRTA วางแผนพัฒนาใหม่ทั้งหมด โดยทรัพย์สินจะยังเป็นกรรมสิทธิ์ของรฟท. ส่วนบริษัทลูกจะดูแลสัญญาเช่าและเจรจากับเอกชน โดยแบ่งรายได้ให้รฟท.ในอัตราร้อยละ 5 ตามที่กำหนดไว้

อีกด้านหนึ่งคือการต่อสัญญาเช่าที่ดินบริเวณสามเหลี่ยมพหลโยธินให้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ซึ่งสัญญาจะหมดอายุในปี 2571 โดยเอกชนได้เสนอขอต่อสัญญาใหม่อย่างน้อย 20 ปี และรฟท.จะต้องพิจารณาผลตอบแทนให้ไม่ต่ำกว่าสัญญาเดิม SRTA ยังเตรียมนำข้อเสนอขอต่อสัญญาในแปลงอื่นอีกประมาณสิบแปลง เสนอต่อบอร์ดรฟท.ภายในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ เช่น แปลงโครงการถนนพหลโยธินบริเวณ อตก. และแปลงพื้นที่ย่านชุมทางหาดใหญ่

สำหรับพื้นที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ แผนงานถูกแบ่งออกเป็นสองโซน ได้แก่ แปลง E ซึ่งเป็นพื้นที่เกี่ยวข้องกับแผนสัญญาเช่าของกระทรวงคมนาคม และพื้นที่ด้านข้างแปลง E ที่ SRTA ได้รับมอบหมายให้ศึกษาเพิ่มเติม ขณะที่แปลง G ซึ่งใช้ก่อสร้างโครงการบ้านพักคนไทย ยังอยู่ระหว่างจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการออกแบบ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสองเดือน ก่อนประเมินความคุ้มค่าการลงทุน

พื้นที่ศักยภาพอื่นที่สร้างรายได้ให้รฟท. เช่น ที่ดินย่านรัชดา 186 ไร่ ซึ่งมีอาคารสูง โรงแรม และสถานบริการเช่าพื้นที่อยู่หลายแห่ง โดยบางสัญญาใกล้หมดอายุและต้องเจรจาต่อสัญญาใหม่ รวมถึงกรณีที่เอกชนต้องการเปลี่ยนรูปแบบการใช้ประโยชน์ เช่น การดัดแปลงเป็นโรงแรมสามดาว ทำให้ต้องปรับสัญญาให้สอดคล้องกับรูปแบบพัฒนาใหม่ นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาที่ดินบริเวณรองสถานีธนบุรี เนื้อที่รวม 148 ไร่ ซึ่งรฟท.เตรียมพัฒนาเป็นมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ให้เอกชนเช่าระยะยาว 30 ปี โดยอาศัยศักยภาพทำเลใกล้โรงพยาบาลศิริราช แม่น้ำเจ้าพระยา และจุดตัดของรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกกับสายสีแดง รวมถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์อื่นในย่านตลาดน้อยฝั่งธนบุรี

ส่วนกรณีข้อเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดเอกชนเข้ามาประมูลบริหารสินทรัพย์ของรฟท.นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานเพิ่มเติม โดยยังใช้มติ ครม.เดิมที่กำหนดให้บริษัท SRTA เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ระหว่างนี้รฟท.จึงได้มอบหมายให้ SRTA เข้าหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อกำหนดแนวทางบริหารสินทรัพย์ร่วมกัน ซึ่งคาดว่าคณะกรรมการชุดใหม่ของบริษัทลูกจะเริ่มงานภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2568

ที่ผ่านมา รฟท.ได้มอบหมายให้ SRTA ศึกษาความเหมาะสมในการพัฒนาที่ดินแปลงขนาดใหญ่จำนวน 28 แปลง ซึ่งรวมถึงพื้นที่บางซื่อ–คลองตัน (RCA) และโครงการศิลาอาสน์แปลงย่อย โดยทั้งหมดถูกนำมาพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูรายได้ในระยะยาว เพื่อให้รฟท.สามารถเดินหน้าลดภาระหนี้ และก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้ให้บริการระบบรางที่ดีที่สุดในอาเซียนภายในปี 2570

L2D Page (97)

ไทย ปักหมุดตลาดตะวันออกกลาง นำทัพเอกชนลุยส่งออกมันสำปะหลัง

ไทยรุกเปิดตลาดมันสำปะหลังในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หวังสร้างดีมานด์ล่วงหน้ารับผลผลิตปี 2568/69
กรมการค้าต่างประเทศร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนและนักวิชาการรวมกว่า 22 ราย เดินทางเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อขยายตลาดส่งออกสินค้ามันสำปะหลังไทยสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าสร้างความต้องการล่วงหน้าก่อนผลผลิตฤดูกาลใหม่ปี 2568/69 ออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนธันวาคม 2568 ถึงมีนาคม 2569

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันตามนโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกเพื่อเปิดตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และเพิ่มมูลค่าการค้าสินค้ามันสำปะหลังของไทยให้รองรับปริมาณผลผลิตที่จะออกมากในฤดูกาลนี้ ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพราคาให้เกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคณะเดินทางประกอบด้วยผู้ส่งออกมันสำปะหลังรายสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีด้านการแปรรูปมันสำปะหลังเป็นอาหารสัตว์ รวมถึงสื่อมวลชนที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ เพื่อร่วมเจรจาขยายตลาดในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมอาหาร กระดาษ และกาว

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ถือเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากมีอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีกำลังซื้อสูง และเปิดกว้างต่อการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบคุณภาพดี อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในตะวันออกกลาง ซึ่งจะเอื้อต่อการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้ามันสำปะหลังไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมปลายน้ำที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น นับเป็นการต่อยอดจากภารกิจบุกตลาดซาอุดีอาระเบียเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อขยายฐานการส่งออกสู่ภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับภารกิจระหว่างวันที่ 18–22 พฤศจิกายน 2568 คณะเดินทางมีกำหนดหารือกับผู้นำเข้ารายใหญ่ในกรุงอาบูดาบีและนครดูไบ ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมที่ใช้แป้งเป็นวัตถุดิบ โดยจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการตลาด มุมมองธุรกิจ และแนวทางสร้างความร่วมมือทางการค้า เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเพิ่มการส่งออกสู่ตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มากขึ้น การดำเนินงานดังกล่าวคาดว่าจะช่วยกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงไม่กี่ประเทศ พร้อมเสริมความสามารถในการแข่งขันของสินค้ามันสำปะหลังไทยในเวทีการค้าโลกอย่างยั่งยืน

L2D Page (96)

เอกชนชงขนส่งทางเรือหนุนการค้า -ดิจิทัลช่วย

รายงานจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ภาพรวมธุรกิจโลจิสติกส์ในเดือนกันยายน 2568 มีจำนวนธุรกิจสะสมทั้งประเทศ 47,075 ราย โดยเดือนดังกล่าวมีธุรกิจเปิดใหม่ 338 ราย และมีธุรกิจปิดกิจการ 79 ราย สาเหตุสำคัญของการปิดกิจการส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านโลจิสติกส์ในพื้นที่

ในด้านโครงสร้างการขนส่ง การขนส่งทางเรือยังคงครองบทบาทสูงสุดคิดเป็นสัดส่วน 56.8% ของมูลค่าการค้าทั้งหมด หรือประมาณ 1,120,692.18 ล้านบาท และยังมีอัตราการเติบโต 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน แนวโน้มดังกล่าวมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากสินค้าคงคลังของผู้นำเข้าสำคัญอย่างสหรัฐเริ่มลดลง หลังมีการเร่งนำเข้าสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีตอบโต้ก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกัน ช่วงปลายปียังเป็นฤดูกาลจับจ่าย ส่งผลให้ความต้องการสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น และทำให้การขนส่งทางเรือคาดว่าจะยังคงคึกคัก นอกจากนี้ ค่าระวางเรือเส้นทางสู่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐปรับตัวลดลงต่อเนื่องจนแตะระดับลดลงราว 30% ในเดือนกันยายน ซึ่งถือเป็นปัจจัยช่วยลดต้นทุนและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขยายการขนส่งได้มากขึ้น

ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) พร้อมคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ ได้เข้าพบนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและยกระดับระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคส่งออกไทย

การหารือมุ่งเน้นไปที่การเสริมความสามารถในการแข่งขันสามประเด็นสำคัญ โดยประเด็นแรกคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความแออัดของท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญด้านการส่งออกของไทย รวมถึงการเร่งรัดความคืบหน้าของสัญญาสัมปทานไอซีดีลาดกระบัง และเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางรางภายใต้โครงการ Single Rail Transport Operator (SRTO) เพื่อช่วยลดปัญหาจราจรภายในพื้นที่ท่าเรือ

ด้านกฎหมายและกฎระเบียบ สรท. เห็นพ้องให้ผลักดันการปลดล็อกเรื่องการถ่ายลำตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนส่งออกได้ประมาณปีละ 1,000 ล้านบาท จากเดิมที่ผู้ประกอบการไทยต้องเสียเปรียบด้านต้นทุนค่าระวางตู้ เนื่องจากต้องใช้บริการเรือ Feeder สู่ท่าเรือในต่างประเทศ การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 6 ฉบับแรกจากทั้งหมด 17 ฉบับจึงถูกเร่งผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

สำหรับด้านการพัฒนาดิจิทัล กระทรวงคมนาคมกำลังเดินหน้าพัฒนาระบบ Port Community System (PCS) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเตรียมเชื่อมต่อกับระบบจัดการคิวรถบรรทุก (Truck Queue) เพื่อแก้ปัญหาความแออัดภายในท่าเรือแหลมฉบัง การดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายในการยกระดับประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางเรือของไทย ซึ่งถือเป็นประตูการค้าสำคัญสู่ตลาดโลก

L2D Page (95)

เปิดสถิตินำเข้า-ส่งออกสินค้าไทย กับสหรัฐฯ - จีน 2568 (ม.ค. - ก.ย.)

สถิติการค้าไทย–สหรัฐฯ และไทย–จีน ปี 2568 (มกราคม–กันยายน)
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เผยข้อมูลล่าสุดระบุว่า สหรัฐอเมริกาและจีนยังคงเป็นประเทศคู่ค้าหลักอันดับที่ 1 และ 2 ของไทย โดยมีรายละเอียดการค้าระหว่างเดือนมกราคมถึงกันยายน ปี 2568 ดังนี้

ในส่วนของสหรัฐอเมริกา มูลค่าการค้าในปี 2567 อยู่ที่ 2,616,078 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออก 1,928,024 ล้านบาท และการนำเข้า 688,054 ล้านบาท ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ 1,239,969 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2568 ช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ 2,248,852 ล้านบาท การส่งออกอยู่ที่ 1,722,234 ล้านบาท และการนำเข้า 526,618 ล้านบาท ไทยเกินดุลการค้า 1,195,615 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้าขยายตัวเพิ่มขึ้น 13.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และการส่งออกเติบโต 19.03%

สำหรับประเทศจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย มูลค่าการค้าในปี 2567 อยู่ที่ 4,100,366 ล้านบาท การส่งออกมีมูลค่า 1,240,593 ล้านบาท และการนำเข้า 2,859,773 ล้านบาท ทำให้ไทยขาดดุลการค้า 1,619,180 ล้านบาท ส่วนในปี 2568 ช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ 3,618,784 ล้านบาท การส่งออกคิดเป็น 1,013,081 ล้านบาท ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 2,605,702 ล้านบาท ไทยขาดดุลการค้า 1,592,621 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้ากับจีนเพิ่มขึ้น 18.66% จากปีก่อน และการส่งออกขยายตัว 7.41%

นอกจากนี้ ประเทศคู่ค้าสำคัญอื่นของไทยในปี 2568 ได้แก่ ญี่ปุ่นซึ่งมีมูลค่าการค้ารวม 584,790 ล้านบาท ตามด้วยอินเดียที่ 395,038 ล้านบาท และมาเลเซียที่ 329,782 ล้านบาท ซึ่งยังคงมีบทบาทสำคัญต่อภาพรวมการค้าไทยในภูมิภาคและระดับโลกอย่างต่อเนื่อง

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us