กระทรวงคมนาคมเตรียมนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ เพื่อขอความเห็นชอบในหลักการ “การซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า” ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสู่การปฏิรูประบบรางในกรุงเทพฯ ให้เป็นเอกภาพ โดยตั้งเป้าผลักดันให้การบริหารจัดการรถไฟฟ้าอยู่ภายใต้รูปแบบ Single Ownership นำโดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อให้สามารถเดินหน้าระบบตั๋วร่วมได้อย่างเต็มรูปแบบในอนาคต
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับกรมการขนส่งทางราง รฟม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาแนวทางและแหล่งเงินสำหรับการซื้อคืนสัมปทาน โดยต้องไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ แม้กระบวนการจะยังต้องใช้เวลาและคาดว่าจะไม่สามารถสรุปได้ทันรัฐบาลชุดปัจจุบัน แต่ต้องเร่งให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการไว้ก่อน เพื่อเป็นสารตั้งต้นให้รัฐบาลชุดถัดไปเดินหน้าต่ออย่างต่อเนื่อง
ในด้านการดำเนินงาน รฟม. ได้รับไฟเขียวจากคณะกรรมการจัดการจราจรทางบก (คจร.) ให้เป็นผู้บริหารระบบรถไฟฟ้าทั้งหมดเมื่อการซื้อคืนสำเร็จ ซึ่งจะนำไปสู่การรวมศูนย์การบริหาร ทำให้สามารถออกแบบโครงสร้างค่าโดยสารและระบบตั๋วร่วมได้อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียว นายพิพัฒน์ระบุว่า ได้หารือเบื้องต้นกับผู้ให้บริการรถไฟฟ้าทุกราย ทั้ง BEM และ BTSC รวมถึงผู้รับสัมปทานสายสีชมพูและสีเหลือง ทุกฝ่ายเปิดกว้างต่อแนวทางซื้อคืน แต่ต้องเจรจาให้ได้ราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งรัฐและเอกชน ขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานครก็เห็นด้วยกับแนวทางนี้ แต่ต้องการความชัดเจนในรายละเอียดด้านราคาสัมปทานเช่นกัน
ความท้าทายสำคัญของโครงการคือการหาแหล่งเงินโดยไม่กระทบต่อหนี้สาธารณะ โดยกำลังพิจารณาอยู่ 2 แนวทาง ได้แก่ การระดมทุนผ่านตราสารหนี้ลักษณะคล้ายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น TFFIF) และการให้สัมปทานใหม่ระยะยาว 30 ปี แก่เอกชนเพื่อนำไปเป็นหลักประกันในการกู้เงินจากสถาบันการเงิน แนวทางเหล่านี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของภาคเอกชนร่วมด้วย
ขณะเดียวกัน กระทรวงคมนาคมได้เริ่มวางรากฐานระบบตั๋วร่วมผ่านมาตรการ “40 บาทตลอดวัน” ซึ่งถือเป็นต้นแบบของค่าโดยสารแบบบูรณาการ ผู้โดยสารที่ใช้บัตร EMV เช่น บัตรเดบิตหรือเครดิต Visa และ Mastercard จะถูกคิดค่าโดยสาร 42 บาทต่อวัน แต่ระบบจะคืนเงิน 2 บาทภายในสามวันทำการ ทำให้จ่ายจริงเพียง 40 บาท หากไม่มีบัตร EMV ผู้โดยสารสามารถซื้อบัตรแบบใช้ครั้งเดียวจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ทำงานในลักษณะเดียวกัน
นโยบายนี้ออกแบบมาเพื่อลดภาระของผู้เดินทางเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางมากกว่า 2 เที่ยวต่อวัน เช่น ผู้ปกครองที่ต้องเดินทางหลายรอบเพื่อรับ–ส่งบุตรหลาน จากเดิมที่เสียค่าเดินทางเฉลี่ย 80 บาทต่อวัน จะลดเหลือเพียง 40 บาท หรือเที่ยวละประมาณ 10 บาท ช่วยลดค่าครองชีพได้ทันที นายพิพัฒน์ย้ำว่า มาตรการนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการวางระบบค่าโดยสารร่วมทั้งเครือข่าย เพื่อให้รถไฟฟ้าทุกเส้นทางสามารถใช้บัตรใบเดียวและจ่ายราคาแบบเดียวกันได้ในอนาคต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพมหานคร.





