News Update

L2D Page (108)

ไทยเร่งดีล FTA 3 ตลาด หวังลดพึ่งส่งออกตลาดสหรัฐ กระจายความเสี่ยง

ไทยเร่งขยายข้อตกลงการค้าเสรี 3 ฉบับใหม่ กระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งตลาดสหรัฐ
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 สหรัฐยังคงเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย โดยมีมูลค่าส่งออกสูงถึง 52,109 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 28.6% จากปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วนกว่า 20.5% ของการส่งออกทั้งหมด ขณะที่จีนเป็นตลาดใหญ่อันดับสอง ส่งออกมูลค่า 30,667 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16.1% หรือคิดเป็น 12.1% ของยอดส่งออกไทย แม้ภาพรวมการส่งออกจะขยายตัว แต่ความเสี่ยงที่ไทยต้องเผชิญเพิ่มสูงขึ้น เมื่อสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยอีก 19% ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งเดินหน้ากลยุทธ์กระจายตลาดอย่างจริงจัง เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐในสัดส่วนที่มากเกินไป

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ย้ำว่ากลยุทธ์ส่งออกของไทยต้องเปลี่ยนผ่านอย่างเด็ดขาดไปสู่แนวคิด “Balance–Inclusive–Diversify” ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาตลาดเดิม การเจาะตลาดใหม่ และการเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานใหม่ของโลก พร้อมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในอาเซียนและเอเชียแปซิฟิก โดยใช้จุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งและโครงสร้างพื้นฐานของไทยอย่างเต็มที่

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า นโยบายขยายตลาดใหม่ถูกจัดเป็นหนึ่งใน “Quick Big Win” ที่กระทรวงพาณิชย์นำเสนอและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีภารกิจสำคัญคือการเร่งผลักดันการเปิดเสรีทางการค้า (FTA) 3 ฉบับให้มีผลในหนึ่งปี เพื่อเพิ่มการค้า มูลค่าการลงทุน และจีดีพีของประเทศในระยะยาว ได้แก่ FTA ไทย–EFTA ที่ตั้งเป้านำเสนอรัฐสภาในเดือนมกราคม 2569 FTA ไทย–สหภาพยุโรป ที่อยู่ระหว่างการปิดประเด็นที่ยังค้างคา และ FTA ไทย–เกาหลีใต้ ที่มีกำหนดสรุปประเด็นสำคัญภายในเดือนธันวาคม 2568 กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า ความสำเร็จของ FTA เหล่านี้จะช่วยสร้างมูลค่าทางการค้าเพิ่ม 8,750 ล้านบาทภายในเวลาเพียง 4 เดือนแรก และมากกว่า 139,000 ล้านบาทภายในหนึ่งปี

ควบคู่กับการเร่งเจรจา FTA กระทรวงพาณิชย์ยังเดินหน้าขยายตลาดใหม่ผ่านโครงการ “Special Task Force: STF” ภายใต้นโยบาย Quick Big Win เพื่อผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดศักยภาพใหม่ ไม่ว่าจะเป็นจีนตะวันตก เช่น เฉิงตู ฉงชิ่ง และสิบสองปันนา สำหรับสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และอาหารสัตว์เลี้ยง ตลาดอาเซียนอย่างเวียดนาม สำหรับสินค้าแม่และเด็ก รวมถึงตลาดอินเดีย โดยเฉพาะเมืองมุมไบ สำหรับสินค้าและบริการด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้คาดว่าจะทำให้ไทยเพิ่มมูลค่าการค้าได้ไม่น้อยกว่า 190 ล้านบาทในระยะแรก และตั้งเป้ายอดการส่งออกไปตลาดใหม่รวมไม่น้อยกว่า 95,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตอย่างน้อย 9% จากปีที่แล้ว

สำหรับปี 2569 รัฐบาลเตรียมบุกตลาดใหม่เพิ่มเติมในยุโรป ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา ไปจนถึงเอเชียใต้และรัสเซีย พร้อมวางแผนส่งออกสินค้าให้เหมาะสมกับลักษณะของแต่ละภูมิภาค เช่น สินค้าอุตสาหกรรมหนักและเครื่องจักรสำหรับตลาดแอฟริกา สินค้าอาหารและแฟชั่นสำหรับตลาดยุโรป โดยจะใช้ประโยชน์จาก FTA ใหม่และเครือข่ายพันธมิตรการค้าอย่างเต็มที่

ด้านสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นพ้องกับรัฐบาลว่า การขยายตลาดใหม่เป็นภารกิจสำคัญของประเทศในปี 2568–2569 เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าที่อาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดจากมาตรการกีดกันทางการค้า สศช. ยังเสนอให้เร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ พร้อมทั้งเตรียมศึกษาตลาดศักยภาพใหม่ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิต การขจัดอุปสรรคด้านกฎระเบียบของประเทศคู่ค้า และการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

แม้ว่าสหรัฐจะยังเป็นตลาดส่งออกสำคัญที่สุดของไทย แต่รัฐบาลยืนยันว่าการเจรจาการค้ากับสหรัฐยังคงต้องเดินหน้าต่อ เพื่อรักษาแรงส่งของการค้าไทย ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสมดุลใหม่ให้ระบบเศรษฐกิจโดยการขยายตลาด กระจายความเสี่ยง และเพิ่มพลังแข่งขันของการส่งออกไทยให้ยั่งยืนในระยะยาว

L2D Page (107)

ยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ Hub สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจในอนาคต

แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก: จุดบรรจบการค้าใหม่ของเอเชีย และโอกาสยุทธศาสตร์ที่ไทยต้องไม่พลาด
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในฐานะประธานสภาธุรกิจไทย–เมียนมา ผมได้เดินทางไปยังกรุงย่างกุ้งเพื่อร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับสมาคมนักธุรกิจไทยในเมียนมา (TBAM) สภาธุรกิจเมียนมา–ไทย ภายใต้การดูแลของ UMFCCI และสมาคมการเดินขนส่งทางเรือเมียนมา (MIFFA) ความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของภาคเอกชนทั้งสองประเทศ เพื่อผลักดันการค้าและการลงทุนให้เดินหน้าอย่างยั่งยืน โดยบรรยากาศการหารือร่วมกันสะท้อนถึงความตั้งใจที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตไปพร้อมกันอย่างแท้จริง

ระหว่างพูดคุย มีสมาชิกท่านหนึ่งหยิบยกแนวคิดการพัฒนาเมืองท่าขี้เหล็ก–อำเภอแม่สาย ให้เป็น “จุดบรรจบ 5 ทิศทาง” และเป็นกุญแจเชื่อมตลาดประชากรหลายร้อยล้านคนในภูมิภาคนี้ แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์เมียนมา ซึ่งต้องการพลิกโฉมพื้นที่ชายแดนให้กลายเป็น “สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจยุคใหม่” หากเกิดขึ้นจริง ผลประโยชน์จะกระจายไปยังทุกประเทศที่เชื่อมโยงอยู่ในเส้นทางนี้อย่างไม่อาจประเมินค่าได้

ด้วยธรรมชาติของโลกยุคโลกาภิวัตน์ พรมแดนไม่ใช่กำแพง แต่คือจุดเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การยกระดับจากการค้าชายแดนแบบดั้งเดิมไปสู่การสร้าง “ศูนย์กลางโลจิสติกส์” หรือ Logistics Hub อย่างเป็นระบบจึงเป็นความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ พื้นที่แม่สาย–ท่าขี้เหล็กคือจุดยุทธศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดในเวลานี้ เพราะสามารถเชื่อมต่อได้ถึง 5 ตลาดใหญ่ ได้แก่ ไทย เมียนมา จีนตอนใต้ อินเดีย (เอเชียใต้) และลาวซึ่งเป็นประตูไปสู่เวียดนาม การลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่นี้จึงไม่ใช่เพียงการอำนวยความสะดวกด้านการค้า แต่คือการเปิดประตูเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค

แรงส่งสำคัญของแนวคิดนี้มาจากโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นโดยรอบ โดยเฉพาะจากฝั่งจีน ผมเพิ่งมีโอกาสเข้าร่วมประชุมที่เมืองยวี่ซี (Yuxi) ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาให้เป็นฐานโลจิสติกส์ตอนใต้ของมณฑลยูนนาน ด้วยเป้าหมายรองรับการค้ากับอาเซียนอย่างจริงจัง การเชื่อมต่อผ่านถนน R3A และ R3B รวมถึงเครือข่ายรถไฟจีน–ลาว จะทำให้เส้นทางนี้กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าระดับภูมิภาค ในขณะเดียวกัน ไทยเองก็กำลังเดินหน้าโครงการรถไฟรางคู่ เด่นชัย–เชียงของ ซึ่งจะเป็นตัวเร่งสำคัญ ทำให้ขนส่งสินค้าปริมาณมากจากชายแดนภาคเหนือเข้าสู่ท่าเรือหลักทางภาคกลางและตะวันออกได้รวดเร็วและประหยัดต้นทุนมากกว่าเดิมหลายเท่า

อีกด้านหนึ่ง เมียนมาก็มีบทบาทสำคัญในการเป็น “จุดตั้งต้น” ของการเชื่อมต่อสู่ตลาดอินเดีย ผ่านโครงการถนนสามฝ่าย (Trilateral Highway) ไทย–เมียนมา–อินเดีย ซึ่งจะเปิดเส้นทางการค้าใหม่จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังเอเชียใต้โดยตรง สร้างโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การค้าระดับภูมิภาค

หากศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่แม่สาย–ท่าขี้เหล็กสามารถเกิดขึ้นได้จริง หน้าที่ของพื้นที่นี้จะเปลี่ยนจาก “จุดผ่านแดน” ไปเป็น “หัวใจของการกระจายสินค้าในภูมิภาค” ทำให้เกิดศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า (Consolidation & Distribution Center) ที่สามารถนำสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยเข้าสู่ตลาดรัฐฉานและตอนบนของเมียนมา พร้อมกันนั้นยังรวบรวมสินค้าเกษตรและสินค้าแปรรูปจากเมียนมาตอนบน เพื่อส่งออกสู่ตลาดจีนด้วยระบบ Cold Chain ที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังมีศักยภาพในการเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งระหว่างถนน–ราง เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและลดต้นทุนในการเชื่อมต่อกับท่าเรือของไทย

อย่างไรก็ตาม การสร้าง Logistics Hub ระดับภูมิภาคจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและความผันผวนในพื้นที่ชายแดนเป็นพิเศษ ตั้งแต่ความเสี่ยงด้านความมั่นคง ไปจนถึงความผันผวนของกฎระเบียบในเมียนมา การบริหารจัดการความเสี่ยงจึงต้องครอบคลุมทั้งด้านความปลอดภัย ความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และการมีพันธมิตรท้องถิ่นที่เชื่อถือได้ การใช้แนวคิด “Dual-Hub Strategy” คือการให้ท่าขี้เหล็กทำหน้าที่เป็น Mini-Hub สำหรับการรวบรวมสินค้าเบื้องต้น ขณะที่แม่สายทำหน้าที่เป็น Major-Hub สำหรับกิจกรรมที่มีมูลค่าสูงและมีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น งานศุลกากรและเอกสาร นับว่าเป็นแนวทางที่เหมาะสมอย่างยิ่งในเชิงปฏิบัติ

นอกจากนี้ การลงทุนควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเน้นสินทรัพย์ที่ยืดหยุ่นและเคลื่อนย้ายได้ง่าย เช่น คลังสินค้าแบบ Modular เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และต้องให้ความสำคัญกับสินค้าในกลุ่มมูลค่าเพิ่ม เช่น ผลิตผลเกษตรที่ต้องการระบบควบคุมอุณหภูมิ ตลอดจนการบูรณาการเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นระบบติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์ ระบบจัดการเส้นทาง หรือระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในสภาวะไม่แน่นอน

สุดท้ายแล้ว การสร้าง Logistics Hub บริเวณแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก ไม่ได้เป็นเพียงการมองหาโอกาสในมิติของการค้าเท่านั้น แต่คือการวางเดิมพันบนอนาคตของ “เศรษฐกิจเอเชีย” ทั้งภูมิภาคนี้กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ หากไทยและเมียนมาสามารถผสานศักยภาพของตนเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของจีนและไทยได้อย่างลงตัว พื้นที่นี้จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่สำคัญในอนาคต

สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือการผลักดันความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถพัฒนาและยกระดับการขนส่งข้ามพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากโลจิสติกส์ฮับแห่งนี้เกิดขึ้นจริง มันจะไม่เพียงช่วยเชื่อมผู้คนหลายร้อยล้านคนในห้าประเทศเท่านั้น แต่ยังจะเปิดช่องทางใหม่ให้สินค้าไทยเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ได้ง่ายขึ้น และทำให้ภูมิภาคนี้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเติบโตเศรษฐกิจที่สำคัญของเอเชียอย่างแท้จริง

L2D Page (106)

‘คมนาคม’ เร่งเครื่อง ‘บัญชีสีเขียว’ สกัดรถควันดำเข้ากรุงเทพฯ แก้ฝุ่น PM 2.5

ด้านนางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญสูงสุดต่อการรับมือและลดปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยได้เร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์สะอาดอย่างจริงจัง ทั้งการผลักดันให้เพิ่มสัดส่วนรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (EV) และรถที่ใช้มาตรฐานเครื่องยนต์ Euro 5 มาแทนที่รถโดยสารรุ่นเก่าที่มีการปล่อยมลพิษสูง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณควันดำและฝุ่น PM 2.5 จากภาคขนส่งได้โดยตรง

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังได้กำชับให้กรมการขนส่งทางบกบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการตรวจวัดควันดำจากรถบรรทุกและรถโดยสารทั่วประเทศ รวมถึงสนับสนุนมาตรการเขตควบคุมการปล่อยมลพิษต่ำ (Low Emission Zone) ของกรุงเทพมหานคร เพื่อจำกัดการเข้าพื้นที่ของรถที่ปล่อยควันดำเกินมาตรฐานในช่วงที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับวิกฤติ พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าร่วม “บัญชีสีเขียว” หรือ Green List เพื่อรับรองว่ารถได้รับการบำรุงรักษาและพร้อมใช้งานโดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษเกินค่ามาตรฐาน

ด้านนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมฯ เดินหน้าสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าผ่านมาตรการด้านภาษี และจัดชุดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจวัดควันดำจากรถบรรทุกและรถโดยสารทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง พร้อมประสานความร่วมมือกับกรุงเทพมหานครในการตรวจสอบสถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางควบคุมมลพิษเป็นไปตามมาตรฐาน

สำหรับมาตรการเขตมลพิษต่ำที่กรุงเทพมหานครเตรียมดำเนินการ จะห้ามรถโดยสารและรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปที่ปล่อยมลพิษสูงไม่ให้เข้าสู่เขตเมืองในช่วงสถานการณ์ PM 2.5 รุนแรง แต่จะยกเว้นให้เฉพาะรถที่ได้รับการบำรุงรักษาตามมาตรฐาน เช่น การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศอย่างถูกต้อง รวมถึงรถประเภท EV, NGV และรถที่ผ่านมาตรฐาน Euro 5–6 ซึ่งได้ลงทะเบียนอยู่ในบัญชีสีเขียวเรียบร้อยแล้ว สามารถเข้าพื้นที่ทั้ง 50 เขตของกรุงเทพมหานครได้ เพื่อให้ระบบขนส่งยังคงเดินต่อได้โดยไม่เพิ่มภาระมลพิษ

กรมการขนส่งทางบกยังเน้นย้ำให้ผู้ประกอบการดูแลรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ทั้งการตรวจเช็กเครื่องยนต์ การทำความสะอาดระบบกรองอากาศ การปรับตั้งหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงดูแลระบบน้ำมันเชื้อเพลิงให้สะอาดเพื่อลดการปล่อยมลพิษจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับรถบรรทุกที่ไม่มีหลังคา โดยต้องมีผ้าใบคลุมสัมภาระหรือสิ่งของที่บรรทุกให้แน่นหนา เพื่อป้องกันเศษวัสดุตกหล่นหรือปลิวกระจายจนกลายเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น PM 2.5

กรมฯ ยังเดินหน้าดำเนินการเชิงรุกในการควบคุมมลพิษ โดยจัดเจ้าหน้าที่ออกตรวจวัดควันดำตามเส้นทางหลักและเส้นทางรองทั่วประเทศตามมาตรฐานกฎหมาย พร้อมประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การแก้ปัญหามลพิษทางอากาศเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในทุกมิติ และนำไปสู่การสร้างคุณภาพชีวิตที่ปลอดภัยและยั่งยืนให้กับประชาชน.

L2D Page (105)

ครม. ญี่ปุ่น อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 4.4 ล้านล้าน หวังบรรเทาพิษเงินเฟ้อ

ญี่ปุ่นทุ่มงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 21.3 ล้านล้านเยน สู้เงินเฟ้อ–พยุงค่าเงินท่ามกลางแรงกดดันการเมืองและความตึงเครียดทางการทูต
คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ ได้อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 21.3 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทั้งเงินอุดหนุนด้านพลังงานและการลดหย่อนภาษี เพื่อบรรเทาผลกระทบของเงินเฟ้อต่อครัวเรือนและภาคธุรกิจ มาตรการดังกล่าวนับเป็นชุดกระตุ้นเศรษฐกิจของผู้นำญี่ปุ่นคนที่ห้าภายในรอบห้าปี สะท้อนแรงกดดันของรัฐบาลในการแก้ไขภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรีทาคาอิจิเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยให้คำมั่นว่าจะจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อที่สร้างความไม่พอใจให้ประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้นายชิเงรุ อิชิบะ ต้องพ้นจากตำแหน่งหลังดำรงตำแหน่งเพียงหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม แพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ครั้งนี้ได้สร้างความกังวลว่าหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นซึ่งอยู่ในระดับสูงอยู่แล้วอาจเพิ่มขึ้นจนกระทบเสถียรภาพทางการเงิน ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และกดดันให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์

การอ่อนค่าของเงินเยนยังทำให้ต้นทุนการนำเข้าพุ่งสูง เนื่องจากญี่ปุ่นพึ่งพาอาหาร พลังงาน และวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลเริ่มส่งสัญญาณการแทรกแซงในตลาดเงิน โดยนายซัตสึกิ คาตายามะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่าจะดำเนินการอย่างเหมาะสมหากพบความผันผวนที่ไม่มีระเบียบในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน

นักวิเคราะห์หลายฝ่ายสะท้อนความกังวลเช่นเดียวกัน มาร์การิตา เอสเตเวซ-อาเบ จากมหาวิทยาลัย Syracuse ระบุว่า ญี่ปุ่นใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวมานานเกินไปโดยไม่ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ขณะที่หนี้สาธารณะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เธอชี้ว่าการอ่อนค่าของเงินเยนจะยิ่งเพิ่มภาระค่าครองชีพของประชาชนด้วยราคาสินค้าที่สูงขึ้น

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ นายกรัฐมนตรีทาคาอิจิยังย้ำถึงเป้าหมายในการใช้นโยบายการคลังอย่างรับผิดชอบควบคู่ไปกับความเชิงรุก โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการควบคุมราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลทางการล่าสุด อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนตุลาคมปรับเพิ่มขึ้น 3.0% จากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะราคา “ข้าว” ซึ่งสูงขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

นอกจากความท้าทายด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ ญี่ปุ่นยังเผชิญแรงกดดันด้านการทูตจากจีน หลังนายกรัฐมนตรีทาคาอิจิแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับไต้หวัน ทำให้จีนเรียกเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นเข้าพบ และแนะนำให้ชาวจีนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่น ซึ่งกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันยังมีรายงานว่าปักกิ่งอาจระงับการนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่น แม้ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ

ความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นหลังทาคาอิจิระบุว่า ญี่ปุ่นอาจจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงทางทหารหากเกิดการโจมตีไต้หวัน สหรัฐอเมริกาจึงออกแถลงการณ์ย้ำความมั่นคงของพันธมิตรสหรัฐ–ญี่ปุ่น รวมถึงการปกป้องหมู่เกาะเซนกากุ พร้อมคัดค้านการเปลี่ยนแปลงสถานะปัจจุบันในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us