News Update

L2D-Page-75

อนาคตเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ผ่าน 3 ซีอีโออุตสาหกรรมและการเงิน จากฐานการผลิตสู่นวัตกรรมขับเคลื่อนอาเซียน ท่ามกลางสมรภูมิ FDI โลกเดือด

ไทย-ญี่ปุ่นร่วมสร้างอนาคตเศรษฐกิจอาเซียน จากฐานการผลิตสู่นวัตกรรมโลกท่ามกลางสมรภูมิ FDI เดือด

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งจากการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ การเร่งเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัล และแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอันยาวนานระหว่างไทยและญี่ปุ่นได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง เวทีเสวนา “Thailand: Shaping ASEAN’s Next Frontier” ซึ่งจัดโดยความร่วมมือระหว่าง Nikkei Asia และ The Standard ภายในงาน The Standard Economic Forum 2025 ได้กลายเป็นพื้นที่สำคัญที่สะท้อนมุมมองจากผู้นำอุตสาหกรรมและการเงินของทั้งสองประเทศ เพื่อร่วมกันวางเส้นทางใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาเซียนให้ก้าวสู่อนาคต

การเสวนานี้นำโดยสามผู้นำทางธุรกิจ ได้แก่ วิกรม กรมดิษฐ์ แห่งอมตะ คอร์ปอเรชัน, โคจิ อิวานามิ ซีอีโอฮอนด้า ประเทศไทย และ บุนเซอิ โอคุโบะ จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา (ในเครือ MUFG) โดยมี โทโยอากิ ฟูจิวาระ จาก Nikkei ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ

วิกรม กรมดิษฐ์ เปิดประเด็นด้วยมุมมองที่ชัดเจนว่า “ผู้นำรัฐบาล” คือปัจจัยชี้ชะตาเศรษฐกิจไทย โดยระบุว่าหากประเทศไทยมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ จีดีพีของประเทศอาจเติบโตได้ถึง 5-6% ต่อปี พร้อมยกตัวอย่างความสำเร็จของอินโดนีเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจและลดคอร์รัปชันได้อย่างจริงจัง เขามองว่าไทยมีจุดแข็งมากมาย ทั้งทำเลทางภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มั่นคง โดยเฉพาะกับญี่ปุ่นและสหรัฐฯ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม แต่ยังขาดนโยบายที่ชัดเจนและการบริหารที่เปิดกว้างเพียงพอ วิกรมเสนอว่า ไทยควรปรับแนวทางการบริหารประเทศให้มีความยืดหยุ่นเหมือนดูไบหรือสิงคโปร์ เปิดรับผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ให้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจ พร้อมสร้างระบบจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างสมดุลระหว่างรัฐและเอกชน

ด้านภาคการเงิน บุนเซอิ โอคุโบะ จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่าเศรษฐกิจไทยในอนาคตจำเป็นต้องเดินหน้าด้วย “ยุทธศาสตร์สองขา” ทั้งการเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ควบคู่ไปกับการผลักดันอุตสาหกรรมแห่งอนาคตอย่างศูนย์ข้อมูล (Data Center), เซมิคอนดักเตอร์ และพลังงานสะอาด เพื่อสร้างความหลากหลายและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ เขาย้ำว่า การลงทุนยุคใหม่ไม่ได้มุ่งเพียงขนาดของโรงงาน แต่ต้องสร้าง “ระบบนิเวศทางธุรกิจ” ที่เชื่อมโยงผู้ประกอบการทุกระดับ ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและความร่วมมือข้ามพรมแดน ทั้งนี้ เขาชี้ว่าไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนา 3 ด้านหลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่มีเสถียรภาพ การพัฒนาทักษะบุคลากรด้านเทคโนโลยีขั้นสูง และความชัดเจนของกฎระเบียบการลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคเอกชนและนักลงทุนต่างชาติ

ในอีกมุมหนึ่ง โคจิ อิวานามิ ซีอีโอของฮอนด้า ประเทศไทย แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ โดยกล่าวว่า “ประเทศไทยยังคงเป็นพันธมิตรที่ฮอนด้าไว้วางใจมากที่สุดในอาเซียน” พร้อมยกย่องแรงงานไทยว่าเปี่ยมด้วยความสามารถและจิตวิญญาณแห่งการพัฒนา เขาเปิดเผยว่า ฮอนด้าจะเดินหน้ากลยุทธ์สองแนวทาง คือการพัฒนารถยนต์ไฮบริดควบคู่ไปกับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในทุกระดับ โดยให้ความสำคัญกับต้นทุนการใช้งาน ความทนทาน และมูลค่าขายต่อในระยะยาว นอกจากนี้ ฮอนด้ายังมุ่งลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ผ่านความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและซัพพลายเออร์ เพื่อยกระดับทักษะแรงงานไทยให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุคซอฟต์แวร์และข้อมูล

การเสวนาปิดท้ายด้วยข้อเสนอร่วมจากทั้งสามฝ่ายว่า การสร้างอนาคตเศรษฐกิจไทยให้มั่นคงและยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยนโยบายภาครัฐที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นมากขึ้น วิกรมเสนอแนวคิด “ความร่วมมือไตรภาคี ไทย-ญี่ปุ่น-จีน” โดยใช้เทคโนโลยีและความน่าเชื่อถือของญี่ปุ่น ผสานกับความรวดเร็วและขนาดตลาดของจีน ขณะเดียวกันใช้ประเทศไทยเป็นฐานกลางในการผลิตและพัฒนานวัตกรรมเพื่อส่งออกไปทั่วโลก ทั้งสามผู้นำเห็นพ้องกันว่า หากประเทศไทยสามารถสร้างระบบเศรษฐกิจที่เปิดรับนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก พร้อมรักษาความต่อเนื่องของนโยบาย ก็จะสามารถก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมใหม่แห่งอาเซียนได้ในอนาคตอันใกล้

เวทีเสวนานี้จึงไม่เพียงสะท้อนมุมมองของผู้นำธุรกิจ แต่ยังเป็นการวางหมุดหมายสำคัญของความร่วมมือไทย–ญี่ปุ่น เพื่อผลักดันภูมิภาคอาเซียนให้ก้าวข้ามจาก “ฐานการผลิต” สู่ “ฐานนวัตกรรม” อย่างแท้จริง ท่ามกลางการแข่งขันด้านการลงทุนที่ร้อนแรงบนเวทีเศรษฐกิจโลก.

L2D-Page-74

พาณิชย์จีนจ่อปรับ "มาตรการคุมส่งออก" สำหรับบ.สหรัฐฯ บางแห่ง

จีนประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมการส่งออกต่อบริษัทสหรัฐฯ หลังเจรจาการค้าคืบหน้า

ปักกิ่ง, 6 พ.ย. (ซินหัว) — กระทรวงพาณิชย์ของจีนเปิดเผยเมื่อวันพุธ (5 พ.ย.) ว่าจะมีการปรับมาตรการควบคุมการส่งออกบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทของสหรัฐฯ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งเป็นไปตามฉันทามติที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุร่วมกันในการเจรจาด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่จัดขึ้น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

ตามประกาศหมายเลข 13 ประจำปี 2025 ที่ออกเมื่อวันที่ 4 มีนาคม และประกาศหมายเลข 21 ประจำปี 2025 ที่ออกเมื่อวันที่ 4 เมษายน จีนได้เพิ่มรายชื่อบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ รวม 31 แห่งไว้ในบัญชีควบคุมการส่งออก โดยห้ามการส่งออกสินค้าประเภทใช้ได้สองทาง (dual-use goods) ไปยังบริษัทเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม จีนได้ตัดสินใจยกเลิกมาตรการควบคุมที่เกี่ยวข้องกับบริษัทของสหรัฐฯ จำนวน 15 แห่ง ซึ่งอยู่ในประกาศหมายเลข 13 ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป ส่วนอีก 16 แห่งที่อยู่ในประกาศหมายเลข 21 จะยังคงระงับการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวไว้ชั่วคราวเป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับข้อตกลงที่ได้จากการเจรจาระดับทวิภาคีระหว่างสองประเทศ

กระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุเพิ่มเติมว่า ผู้ส่งออกที่ต้องการจำหน่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทางให้กับบริษัทที่อยู่ในรายชื่อดังกล่าว จำเป็นต้องยื่นคำขออนุญาตต่อกระทรวงฯ ตามระเบียบว่าด้วยการควบคุมการส่งออก โดยหน่วยงานจะพิจารณาคำขอตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง และออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดอย่างเป็นทางการ

L2D-Page-73

อบจ.กาญจนบุรีเดินหน้า เมืองต้นแบบขนส่งสาธารณะ คาด EV Bus เริ่มบริการปีใหม่นี้

อบจ.กาญจนบุรีเดินหน้าเมืองต้นแบบขนส่งสาธารณะ คาด EV Bus ให้บริการปีใหม่นี้

กาญจนบุรีเดินหน้าปฏิรูปการเดินทางของประชาชน ตั้งเป้าเป็น “เมืองต้นแบบขนส่งสาธารณะ” ด้วยระบบรถโดยสารไฟฟ้า (EV Bus) ที่มีค่าโดยสารเข้าถึงได้และเชื่อมต่อพื้นที่สำคัญทั่วเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมวางแผนพัฒนา “Smart Bus” และขยายเส้นทางในอนาคต เพื่อเป็นโมเดลต้นแบบสำหรับจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดกาญจนบุรีจัดเวทีเปิดตัว “โครงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัย เป็นธรรม โดยการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคจังหวัดกาญจนบุรี” ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี โดยมีนายแพทย์ประวัติ กิจธรรมกูลนิจ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธาน พร้อมด้วยตัวแทนเครือข่ายผู้บริโภคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

นายแพทย์ประวัติเปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวเป็นนโยบายสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้เข้าถึงระบบขนส่งที่ได้มาตรฐาน สะดวก ปลอดภัย และมีค่าใช้จ่ายเหมาะสม โดย อบจ.กาญจนบุรีได้ร่วมมือกับหลายหน่วยงานในการขับเคลื่อนโครงการ EV Bus เส้นทางลาดหญ้า–ท่าม่วง ระยะทาง 30 กิโลเมตร ในรูปแบบซิตี้บัส ครอบคลุมพื้นที่สำคัญ เช่น โรงเรียน หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล และแหล่งธุรกิจ มีจุดจอดประมาณ 80 จุด ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้าง คาดว่าจะสามารถเริ่มให้บริการได้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้

สำหรับค่าโดยสารกำหนดไว้ที่ 20 บาทต่อเที่ยว ใช้งบดำเนินการราว 20 ล้านบาทต่อปี คาดว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ใกล้เคียงกับค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังเตรียมพัฒนาระบบ “Smart Bus” ด้วยแอปพลิเคชันติดตามรถแบบเรียลไทม์ และระบบชำระเงินแบบดิจิทัล (Cashless) เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ผู้โดยสารในระยะต่อไป อีกทั้งยังมีแผนขยายเส้นทางที่สองและสาม ครอบคลุมอำเภอด่านมะขามเตี้ย เมืองกาญจนบุรี และเลาขวัญ เพื่อเชื่อมต่อเส้นทางหลัก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือน ลดจำนวนรถบนถนน และเชื่อมโยงกับระบบรางและแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่

นายแพทย์ประวัติย้ำว่า อบจ.สามารถยอมขาดทุนได้เพื่อสร้างระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ เพราะการปรับบทบาทจากผู้ก่อสร้างสาธารณูปโภคมาเป็นผู้ให้บริการสาธารณะ จะส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง หากโครงการในกาญจนบุรีประสบความสำเร็จ จะกลายเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ พัฒนาในแนวทางเดียวกัน และเกิดผลเชิงโดมิโน่ต่อระบบขนส่งสาธารณะทั่วประเทศ

ด้านนางอมาวลี หนองพรหมมา ผู้รับผิดชอบโครงการฯ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันประชาชนและนักเรียนในกาญจนบุรีประสบปัญหาการเดินทาง หลังจากรถโดยสารสายกรุงเทพฯ–กาญจนบุรีหยุดให้บริการ ทำให้ต้องพึ่งพารถจากจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสะดวกและความปลอดภัยของผู้โดยสาร โดยเฉพาะนักเรียนที่ต้องเดินทางด้วยรถที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น รถกระบะดัดแปลง หรือใช้รถจักรยานยนต์โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ โครงการนี้จึงมุ่งสร้างระบบขนส่งที่ปลอดภัย เท่าเทียม และตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนทุกกลุ่ม

ขณะเดียวกัน นายคงศักดิ์ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยว่า โครงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะใน 12 จังหวัดทั่วประเทศกำลังดำเนินการ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการเดินทางที่ปลอดภัยและทั่วถึง โดยแนวคิดหลักคือการยกระดับขนส่งสาธารณะให้เป็นบริการขั้นพื้นฐานของท้องถิ่น สนับสนุนให้ประชาชนเดินทางได้ทุกวันอย่างปลอดภัย และสอดคล้องกับแนวทาง “3 ลด” ได้แก่ ลดอุบัติเหตุ ลดการใช้รถส่วนบุคคล และลดมลพิษในเมือง

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาเมืองที่ดีไม่จำเป็นต้องทำให้คนซื้อรถยนต์มากขึ้น แต่ต้องสร้างระบบขนส่งที่ดีพอให้ทุกคนอยากใช้บริการ เหมือนแนวคิดของผู้นำท้องถิ่นประเทศโคลัมเบียที่กล่าวว่า “เมืองที่พัฒนาแล้ว ไม่ใช่เมืองที่คนต้องซื้อรถยนต์ส่วนตัว แต่คือเมืองที่ทุกคนเลือกใช้ขนส่งสาธารณะ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าระบบขนส่งสาธารณะคือรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยสภาองค์กรของผู้บริโภคยืนยันพร้อมสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการลักษณะนี้ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ

L2D-Page-72

สร้างแน่ คมนาคม เดินหน้าทางด่วนภูเก็ตตามเดิม คาดเปิดประมูล-สร้างปี 69 เร่งคุยกทพ.เว้นค่าผ่านอุโมงค์

พิพัฒน์ ยืนยัน “อุโมงค์ภูเก็ต” เดินหน้าตามแผน ไม่ชะลอ–ไม่ยกเลิก คาดเปิดประมูลปี 69 เริ่มก่อสร้างภายในปีเดียวกัน

วันนี้ (6 พฤศจิกายน 2568) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยันอย่างชัดเจนว่า โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ตยังคงเดินหน้าตามแผนเดิม ไม่มีการชะลอหรือยกเลิกอย่างแน่นอน หลังจากได้มีการทบทวนและหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเตรียมจัดซื้อจัดจ้าง คาดว่าจะสามารถเปิดขายและเปิดซองประมูลได้ภายในปี 2569 และเริ่มต้นการก่อสร้างได้ในปีเดียวกัน

นายพิพัฒน์กล่าวว่า “อยากให้พี่น้องชาวภูเก็ตสบายใจ โครงการนี้ไม่ชะลอ ไม่หยุดแน่นอน เราจะพยายามให้การผ่านอุโมงค์ไม่ต้องเสียเงิน เพื่อให้ประชาชนเดินทางได้สะดวก ปลอดภัย และประหยัดมากที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้กำชับกระทรวงคมนาคมไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องทำให้ประชาชนเดินทางได้สะดวกและลดปัญหารถติดให้ได้มากที่สุด”

สำหรับโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ช่วยยกระดับระบบคมนาคมของจังหวัดให้เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการ โดยแบ่งโครงการออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้–ป่าตอง ระยะทางประมาณ 3.98 กิโลเมตร และระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่–เกาะแก้ว–กะทู้ ซึ่งเป็นทางยกระดับต่อเนื่อง ระยะทางประมาณ 30.6 กิโลเมตร

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวผ่านการศึกษาความเป็นไปได้และรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้วตั้งแต่ปี 2565 ในสมัยที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดและลดอุบัติเหตุบนเส้นทางหลักเชื่อมสนามบินภูเก็ตกับป่าตอง ซึ่งเป็นพื้นที่คับขันของเมืองท่องเที่ยว

นายพิพัฒน์กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการหารือกับ กทพ. ถึงแนวทางยกเว้นค่าผ่านทางในช่วงอุโมงค์ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่าจะไม่เก็บค่าผ่านทาง ส่วนทางยกระดับในระยะที่ 2 จะยังคงมีการจัดเก็บตามปกติ เนื่องจากผู้ใช้ถนนสามารถเลือกใช้เส้นทางได้ว่าจะขึ้นทางยกระดับหรือใช้ถนนสายหลัก

หากสามารถคงรูปแบบโครงการเดิมไว้โดยไม่ต้องจัดทำ EIA ใหม่ จะช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ กระทรวงคมนาคมยืนยันว่าจะเดินหน้าอย่างเต็มที่ เพื่อให้ภูเก็ตยังคงเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่มีระบบคมนาคมทันสมัย ปลอดภัย และรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า อุโมงค์ภูเก็ตจะสร้างแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่กำลังพิจารณารายละเอียดเรื่องการเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งแนวโน้มคือไม่เก็บ เพื่อช่วยลดภาระและถือเป็นการเพิ่มรายได้ทางอ้อมให้กับพี่น้องชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยว” นายพิพัฒน์กล่าวย้ำในตอนท้าย

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us