นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดการผลิตรถยนต์เดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 110,616 คัน ลดลง 11.39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์นั่งใช้น้ำมันที่หยุดการผลิตบางรุ่นเพื่อเตรียมเปลี่ยนโฉมใหม่ และรถกระบะที่ยังคงมีแนวโน้มผลิตลดลงต่อเนื่อง
การผลิตเพื่อการส่งออกอยู่ที่ 74,100 คัน ลดลง 15.35% สอดคล้องกับยอดส่งออกที่ 72,439 คัน ลดลง 13.27% ปัจจัยสำคัญคือการเลิกผลิตรถยนต์นั่งใช้น้ำมันบางรุ่น และมาตรการด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศคู่ค้าที่เข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้การส่งออกในตลาดเอเชีย ออสเตรเลีย โอเชียเนีย และอเมริกาเหนือชะลอตัว อย่างไรก็ดี การส่งออกเครื่องยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถยนต์ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
สิ่งที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ คือการที่ไทยสามารถส่งออกรถยนต์นั่งและรถกระบะไฟฟ้าครั้งแรกจำนวน 167 คันในเดือนกรกฎาคม นับเป็นก้าวประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังก้าวสู่ฐานการผลิตทั้งรถใช้น้ำมันและรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อตอบโจทย์ประเทศคู่ค้าที่มีนโยบายด้านพลังงานต่างกัน
ด้านการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศมีจำนวน 36,516 คัน ลดลง 2.08% แต่ยอดขายในประเทศกลับอยู่ที่ 49,102 คัน เพิ่มขึ้น 5.84% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 จากแรงหนุนของรถยนต์นั่งและรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาจับต้องได้มากขึ้น ขณะที่รถกระบะยังคงขายลดลงเหลือเพียง 11,022 คัน หดตัวถึง 16.3% และหากเปรียบเทียบกับปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 ยอดขายรถกระบะในประเทศเฉลี่ยต่อเดือนเคยอยู่ที่กว่า 35,000 คัน
แม้ยอดขายรถยนต์ในประเทศจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ภาพรวมยอดขายช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.) อยู่ที่ 351,796 คัน ลดลง 0.74% จากปีก่อน ปัจจัยกดดันมาจากหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ทำให้การอนุมัติสินเชื่อรถกระบะเข้มงวดขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ขยายตัวเพียง 2.8% การลงทุนภาคเอกชนโต 4.1% ภาคอุตสาหกรรมโต 1.7% และภาคท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนลดลงมาก ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องขยายตัวได้เพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท. คาดหวังว่าการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 จะช่วยหนุนเศรษฐกิจในระยะถัดไป ขณะเดียวกันยังต้องขอบคุณคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ช่วยบรรเทาภาระหนี้และเพิ่มความสามารถในการชำระคืนของประชาชน อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่าการที่รัฐบาลไทยสามารถเจรจากับสหรัฐฯ จนได้อัตราภาษีนำเข้า 19% แม้ยังเสียเปรียบเวียดนามซึ่งได้ 20% แต่การอ่อนค่าของเงินด่องกลับเป็นปัจจัยที่อาจสร้างความท้าทาย อย่างไรก็ตาม ดีลภาษีนี้ยังถือเป็นปัจจัยบวกที่สามารถดึงดูดการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ สร้างงานและรายได้ให้กับประเทศไทยในระยะยาว