News Update

L2D Page (19)

ดัชนีราคาส่งออกเดือนสิงหาคมขยายตัว 0.4% สนค.เตือนจับตาความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกและค่าเงินบาทแข็ง

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยดัชนีราคาส่งออกเดือนสิงหาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 111.1 ขยายตัว 0.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ยังสะท้อนถึงความต้องการสินค้าไทยในตลาดโลกที่มีทิศทางเป็นบวก แต่เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวจากหลายปัจจัยกดดัน ทั้งการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายกีดกันทางการค้า รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทที่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย

ดัชนีราคาส่งออกที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคมได้รับแรงหนุนจากหมวดสินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัว 1.6% โดยเฉพาะทองคำที่ได้รับอานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน ทำให้ความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าเทคโนโลยีอย่างคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ได้แรงหนุนจากความต้องการใช้งานด้าน AI และ Big Data รวมถึงเครื่องปรับอากาศที่ความต้องการทั้งในครัวเรือนและเชิงพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน หมวดอุตสาหกรรมการเกษตรก็ขยายตัว 1.1% โดยมีแรงขับเคลื่อนจากอาหารทะเลกระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

ในทางกลับกัน หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับลดลง ได้แก่ หมวดแร่และเชื้อเพลิงที่ลดลงถึง 9.3% โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูปที่ราคาปรับตัวตามทิศทางน้ำมันดิบโลกซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำจากภาวะอุปทานส่วนเกิน รวมทั้งหมวดสินค้าเกษตรที่ลดลง 5.6% จากราคาข้าว ผลไม้สดแช่เย็นและแปรรูป รวมถึงยางพาราที่เผชิญภาวะอุปทานเกินความต้องการ ขณะที่ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังได้รับแรงกดดันจากราคาตลาดโลกที่อ่อนตัวและการแข่งขันด้านราคากับประเทศเพื่อนบ้าน

ด้านดัชนีราคานำเข้าเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 115.8 เพิ่มขึ้น 2.7% ปัจจัยหนุนหลักมาจากหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขยายตัว 7.5% โดยมีการนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม รวมถึงเครื่องประดับอัญมณีเพื่อรองรับการบริโภคและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว นอกจากนี้ หมวดสินค้าทุนขยายตัว 5.2% ตามความต้องการเครื่องจักรและอุปกรณ์ด้านอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับการผลิตและการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัล ส่วนหมวดวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 4.9% โดยเฉพาะทองคำที่ยังคงมีแรงซื้อจากธนาคารกลางหลายประเทศ รวมถึงปุ๋ยและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ความต้องการปรับเพิ่มตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมโลก อย่างไรก็ดี หมวดสินค้าเชื้อเพลิงปรับลดลง 8.9% ตามราคาน้ำมันดิบที่ยังอ่อนตัวจากภาวะอุปทานล้นตลาด

สำหรับแนวโน้มเดือนกันยายน 2568 สนค.ประเมินว่าดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูปที่ยังคงเติบโต รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ศูนย์ข้อมูล และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ยังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก แต่ในขณะเดียวกัน ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ มาตรการด้านการค้าของสหรัฐฯ และประเทศต่าง ๆ ที่หันมาเน้นสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ ตลอดจนมาตรการสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่า ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อภาคการส่งออกไทยในระยะถัดไป

L2D Page (18)

“ธรรมนัส” ประกาศชัด ไม่เห็นด้วยการนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ ที่ใช้สารเร่งเนื้อแดง

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าหมูจากสหรัฐอเมริกาที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง พร้อมยืนยันว่า “ผมสนใจเกษตรกรไทย” ซึ่งถือเป็นคำประกาศที่สร้างความมั่นใจและกำลังใจแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูในประเทศ

ประเทศไทยมีกฎหมายห้ามใช้และห้ามนำเข้าสารเร่งเนื้อแดงมานานกว่า 20 ปี ถือเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่ชัดเจน แต่ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลชุดก่อนมีข้อตกลงกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการนำเข้าหมู โดยแม้จะระบุว่าเป็นเพียงสัดส่วนไม่ถึงร้อยละหนึ่ง แต่ก็กลายเป็นประเด็นที่สังคมและเกษตรกรให้ความกังวลอย่างมาก

ประเด็นนี้จึงนับเป็นบททดสอบสำคัญว่ารัฐบาลภายใต้การนำของร้อยเอก ธรรมนัส จะเจรจากับสหรัฐฯ อย่างไร เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรไทยโดยไม่ให้กระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากการปฏิเสธการนำเข้าอาจทำให้สินค้าเกษตรประเภทอื่นของไทย เช่น ข้าว ผลไม้ และสินค้าประมง เผชิญมาตรการตอบโต้หรือกำแพงภาษีในตลาดโลกได้

อีกประเด็นที่ถูกจับตามองคือปัญหาการลักลอบนำเข้าหมูผิดกฎหมายในประเทศ แม้ที่ผ่านมาจะมีการจับกุมผู้กระทำผิด แต่ส่วนใหญ่เป็นเพียงผู้ค้ารายย่อย ขณะที่ผู้มีอิทธิพลหรือกลุ่มทุนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังยังไม่ถูกดำเนินการอย่างจริงจัง การจัดการปัญหานี้อย่างเด็ดขาดจึงเป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังจากรัฐบาลชุดปัจจุบัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าการประกาศไม่ยอมรับหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงจากต่างประเทศจะไม่กลายเป็นเพียงถ้อยคำทางการเมือง

นอกจากนี้ ภายในกระทรวงเกษตรฯ กำลังมีการจับตาความเคลื่อนไหวเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงหลังการเกษียณ โดยคาดว่าจะมีผู้ใหญ่ในวงการเกษตร 2 ราย กลับมารับตำแหน่งสำคัญอีกครั้ง ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อโครงสร้างการทำงานภายในกระทรวง

การประกาศจุดยืนของร้อยเอก ธรรมนัส ครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการปกป้องผู้เลี้ยงหมูไทยเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงสมดุลที่รัฐบาลต้องรักษาระหว่างการดูแลเกษตรกรภายในประเทศและการเจรจาความสัมพันธ์ทางการค้าบนเวทีระหว่างประเทศด้วย

L2D Page (17)

“ท่าเรือชินโจว กว่างซี: ศูนย์กลางการนำเข้าผลไม้จากอาเซียน สะท้อนกระแสความต้องการทุเรียนไทยในตลาดจีน”

ท่าเรือชินโจว ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทางตอนใต้ของจีน กำลังยกระดับบทบาทเป็นศูนย์กลางการนำเข้าผลไม้จากอาเซียนอย่างชัดเจน โดยในปีนี้มูลค่าการนำเข้าทุเรียนผ่านท่าเรือแห่งนี้พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 50 แสดงให้เห็นถึงความนิยมผลไม้จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เพิ่มสูงขึ้นในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน

หนิง เหยียน ผู้บริหารบริษัทกว่างซี หวงยี่ว์ อินเทอร์เนชั่นแนล ลอจิสติกส์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการนำเข้าผลไม้จากอาเซียน เปิดเผยว่า ความต้องการทุเรียนจากไทยและผู้ผลิตในภูมิภาคอื่น ๆ พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ส่งออกทุเรียนไทยสามารถจัดส่งทุเรียนหมอนทองคุณภาพพรีเมียม มูลค่ากว่า 20 ล้านหยวน หรือราว 90 ล้านบาท ไปยังจีนผ่านท่าเรือชินโจวในปีนี้ โดยทุเรียนส่วนใหญ่ถูกกระจายไปยังภูมิภาคเศรษฐกิจสำคัญอย่างสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีและสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียง

ท่าเรือชินโจวถือเป็นประตูสำคัญในการเชื่อมโยงจีนกับอาเซียน และยังเป็นศูนย์กลางของระเบียงการค้าเชื่อมทางบกและทางทะเลสายใหม่ เดิมเมื่อสิบปีก่อน ท่าเรือแห่งนี้มีปริมาณการขนส่งไม่ถึง 100 ล้านตันต่อปี แต่ด้วยศักยภาพการเติบโตที่สูง ทำให้ในปี 2560 ท่าเรือได้รับการกำหนดให้เป็นจุดนำเข้าผลไม้อย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ตัวเลขการนำเข้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

สถิติในปี 2567 ระบุว่า กว่างซีนำเข้าผลไม้จากอาเซียนกว่า 2.488 ล้านตัน มูลค่ากว่า 34,890 ล้านหยวน หรือประมาณ 157,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสามของการนำเข้าผลไม้ทั้งหมดจากภูมิภาคนี้ของจีน ปัจจุบันท่าเรือชินโจวได้กลายเป็นท่าเรือหลักสำหรับผลไม้อาเซียน โดยเพิ่มหมวดหมู่สินค้านำเข้าและส่งออกใหม่มากถึง 239 รายการ ปริมาณการขนส่งผ่านท่าเรือทะลุ 200 ล้านตัน ขณะที่การเชื่อมต่อระบบรถไฟและทางทะเลในรูปแบบ intermodal ขยายตัวมากกว่า 10,000 เที่ยว ครอบคลุมพื้นที่ทางการค้าใหม่อย่างกว้างขวาง มูลค่าการนำเข้าและส่งออกของเมืองและมณฑลตามแนวระเบียงการค้าผ่านท่าเรือแห่งนี้ยังเติบโตสูงถึงร้อยละ 31.3 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

จากพัฒนาการดังกล่าว ท่าเรือชินโจวจึงไม่เพียงเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งที่สำคัญของกว่างซี หากยังกลายเป็น “ศูนย์กลางผลไม้อาเซียน” ที่สะท้อนถึงโอกาสทางการค้าอันมหาศาล โดยเฉพาะทุเรียนไทยที่ยังคงครองความนิยมสูงสุดในตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง

L2D Page (16)

ส่งออกข้าว–มันสำปะหลังดิ่ง มูลค่าติดลบหนัก เหตุผลผลิตล้น-ราคาตลาดโลกกดดัน

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยสถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–สิงหาคม) ว่า การส่งออกข้าวยังคงเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก โดยมีปริมาณส่งออกเพียง 5.04 ล้านตัน ลดลงถึง 23.98% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีมูลค่า 2,987 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 99,061 ล้านบาท หดตัว 30.58% สาเหตุหลักมาจากหลายประเทศผู้ส่งออกและผู้นำเข้ามีผลผลิตเพิ่มขึ้นจนทำให้ปริมาณข้าวในตลาดโลกล้น ขณะที่ความต้องการซื้อกลับลดลง โดยเฉพาะผู้นำเข้าหลักอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่ชะลอการนำเข้า อีกทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าก็ยิ่งซ้ำเติมความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย

กรมการค้าต่างประเทศยังคงเร่งผลักดันการส่งออกข้าวเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด โดยเดินหน้าการเจรจากับคู่ค้าสำคัญอย่างญี่ปุ่นและจีน รวมทั้งการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐกับคอฟโกของจีนที่ยังคงเหลือสัญญาส่งออกอีก 280,000 ตัน นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการหารือกับผู้นำเข้าข้าวในฮ่องกง เพื่อขยายตลาดข้าวขาวและข้าวนึ่งไปยังอิรักและซาอุดีอาระเบีย โดยตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวทั้งปีที่ 7.5 ล้านตัน

สำหรับสินค้ามันสำปะหลัง ช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้มีปริมาณการส่งออก 6.37 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 36.70% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ส่งออกเพียง 4.66 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกกลับลดลง เนื่องจากราคามันสำปะหลังในตลาดโลกลดลงตามแรงกดดันจากราคาข้าวโพดเลี้ยง โดยปีนี้มีมูลค่าส่งออกเพียง 69,888.12 ล้านบาท ลดลง 12.93% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีมูลค่า 80,266.47 ล้านบาท

กรมฯ ยืนยันว่าจะยังคงเดินหน้าแผนส่งเสริมการตลาดตลอดทั้งปี 2568 โดยมุ่งเน้นการเปิดตลาดใหม่ที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมต่อเนื่องหลายด้าน อาทิ อาหารสัตว์ อาหารคน เคมีภัณฑ์ กาว และกระดาษ โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะจัดคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนเดินทางไปเจรจาเชิงพาณิชย์ในญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน รวมถึงทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป เพื่อผลักดันการส่งออกมันสำปะหลังให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ที่ 7.5 ล้านตันในปีนี้

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us