News Update

L2D Page (53)

สรท. ปรับเป้าส่งออกปี 68 โต 5–7% รับผลบวกสหรัฐลดภาษีนำเข้าสินค้าไทย พร้อมเสนอรัฐหนุนผู้ประกอบการรับมือการค้าโลกเดือด

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ประกาศปรับเป้าหมายการส่งออกของไทยในปี 2568 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 1–3% เป็น 5–7% หลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยจากเดิม 36% เหลือ 19% ซึ่งถือเป็นระดับที่สอดคล้องกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค

นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธาน สรท. ระบุว่า อัตราภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ถือว่าเป็นผลจากความพยายามในการเจรจาอย่างต่อเนื่อง และสร้างความชัดเจนให้กับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ที่การส่งออกจะมีทิศทางดีขึ้นจากแรงหนุนด้านภาษี อย่างไรก็ตาม แม้อัตราภาษีจะลดลง แต่ผลกระทบทางต้นทุนยังคงอยู่ โดยเฉพาะการเจรจาระหว่างผู้นำเข้าสหรัฐฯ และผู้ส่งออกไทยซึ่งอาจต้องแบ่งภาระภาษีร่วมกัน ทำให้ผู้ส่งออกต้องแบกรับต้นทุนสูงขึ้น และส่งผลให้กำไรลดลง

ผลกระทบยังลามไปถึงผู้ผลิตวัตถุดิบต้นน้ำในประเทศ ที่อาจต้องปรับลดราคาจำหน่ายเพื่อให้สินค้าปลายน้ำสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ซึ่งอาจกระทบต่อรายได้ของผู้ผลิตและเกษตรกรไทยในภาพรวม นอกจากนี้ แม้ผู้บริโภคในสหรัฐจะยอมรับราคาสินค้าที่แพงขึ้นในระดับหนึ่ง แต่การบริโภคสินค้าขั้นสุดท้ายย่อมลดลงในระยะยาว ซึ่งอาจทำให้ปริมาณการนำเข้าสินค้าจากไทยลดลงเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จะเผชิญการแข่งขันจากคู่แข่งที่หันไปเจาะตลาดรองอื่นแทน

จากสถานการณ์ดังกล่าว สรท. จึงเสนอให้ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการเสริมศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในทุกมิติ ทั้งการลดต้นทุนธุรกิจในด้านอัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ยเงินกู้ พลังงาน และแรงงาน รวมถึงเร่งขยายตลาดส่งออกใหม่ผ่านการเจรจา FTA การจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ การนำผู้แทนการค้าไทยไปยังตลาดเป้าหมาย การจับคู่ธุรกิจ และการเพิ่มสภาพคล่องด้วยเงินทุนหมุนเวียน ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มมาตรการควบคุมสินค้านำเข้าให้รัดกุมมากขึ้น เพื่อลดแรงกดดันที่อาจตกอยู่กับผู้ผลิตในประเทศ

ทางด้านนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เห็นว่าแม้อัตราภาษีใหม่นี้ยังเป็นภาระ แต่ก็ถือเป็นพัฒนาการเชิงบวกที่ช่วยให้สินค้าไทยยังแข่งขันได้ในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค เพื่อบรรเทาผลกระทบ กระทรวงพาณิชย์จึงเตรียมจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาแบบ One Stop Service ที่ศูนย์ส่งออกสินค้ารัชดา เพื่อบูรณาการการช่วยเหลือผู้ประกอบการแบบเบ็ดเสร็จ โดยมีหน่วยงานสนับสนุน เช่น ธนาคารและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้คำแนะนำและแนวทางแก้ไขแก่ผู้ประกอบการให้สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ กระทรวงจะประเมินผลกระทบของอัตราภาษี 19% รายกลุ่มสินค้าอย่างละเอียด พร้อมกับเร่งเดินหน้าเปิดตลาดใหม่และเร่งรัดการเจรจา FTA กับประเทศคู่ค้ารายอื่น เพื่อสร้างโอกาสและกระจายความเสี่ยงทางการค้าของไทยในระยะยาว โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์กำหนดเป้าหมายเจรจาและดำเนินการเชิงรุกไว้ล่วงหน้าแล้ว

L2D Page (52)

ซาอุฯ ขยายเวลานำเข้าสัตว์ปีกจากไทยอีก 6 เดือน ก่อนบังคับใช้มาตรฐานใหม่ Saudi GAP มี.ค. 69

ซาอุดีอาระเบียตอบรับคำขอฝ่ายไทย ขยายเวลานำเข้าสินค้าสัตว์ปีกจากโรงงานที่ขึ้นทะเบียนเดิมออกไปอีก 6 เดือน ก่อนจะเริ่มบังคับใช้มาตรฐานใหม่ “Saudi GAP” อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2569 ถือเป็นโอกาสสำคัญให้ภาคธุรกิจสัตว์ปีกไทยปรับตัวเข้าสู่ระบบใหม่โดยไม่สะดุด

นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า มกอช. ได้มอบหมายให้นางสาวรวินันท์ ฉ่ำเฉลิม ผู้อำนวยการกองนโยบายมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร นำคณะเจ้าหน้าที่จาก มกอช. และกรมปศุสัตว์ เข้าหารือแบบทวิภาคีกับกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และเกษตรกรรมของซาอุดีอาระเบีย (MEWA) เพื่อเตรียมความพร้อมของไทยในการปฏิบัติตามมาตรฐาน Saudi GAP

ตามข้อกำหนดของซาอุดีอาระเบีย ฟาร์มสัตว์ปีกที่ต้องการส่งออกไปยังประเทศดังกล่าวจะต้องผ่านการขึ้นทะเบียนและได้รับการรับรองจากหน่วยงาน MEWA ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอให้กรมปศุสัตว์ของไทยเป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจประเมินและรับรองแทน เพื่ออำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน และลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการไทย โดยข้อเสนอนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของทางการซาอุฯ

ขณะเดียวกัน MEWA เตรียมเปิดระบบลงทะเบียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ “Naama” ภายในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อให้ฟาร์มสัตว์ปีกสามารถยื่นขอรับรอง Saudi GAP ได้โดยตรง

นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียยังตอบรับคำขอของฝ่ายไทยในการขยายระยะเวลาการผ่อนผันการใช้มาตรฐาน Saudi GAP สำหรับโรงงาน 11 แห่งที่เคยได้รับการขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยาของซาอุฯ (SFDA) โดยโรงงานเหล่านี้ยังสามารถส่งออกสินค้าจากฟาร์มที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ MEWA ได้ต่อไปจนถึงเดือนมีนาคม 2569 อย่างไรก็ตาม โรงงานทั้ง 11 แห่งต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนฟาร์มต้นทางให้เรียบร้อยก่อนครบกำหนด

นายชัยวัฒน์ระบุว่า การหารือครั้งนี้เป็นความคืบหน้าที่สำคัญในการรักษาตลาดส่งออกสัตว์ปีกของไทยในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยมีเวลาปรับตัวอย่างเหมาะสม ก่อนมาตรฐานใหม่จะมีผลบังคับใช้ โดยหากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับระบบการขึ้นทะเบียนฟาร์มเพิ่มเติม มกอช. จะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการรับทราบอย่างต่อเนื่อง

L2D Page (51)

รฟท.-กทท. จับมือดันระบบราง เป้าหมาย 2 ล้านตู้/ปี ฟื้น ICD ลาดกระบัง เตรียมเสนอ ครม.เปิด PPP ใน 2 สัปดาห์

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถการขนส่งตู้สินค้าทางราง โดยมีนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีลงนาม พร้อมระบุว่า ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้ระบบรางกลายเป็นกลไกหลักของโลจิสติกส์ไทยในอนาคต

นางมนพรกล่าวว่า การขนส่งสินค้าทางรางมีต้นทุนด้านพลังงานต่ำ ปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าระบบขนส่งอื่น ทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมการขนส่งที่ยั่งยืน โดยการร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านอย่างจริงจัง

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. เปิดเผยว่า ปัจจุบันการขนส่งสินค้าทางรางของ กทท. อยู่ที่ราว 500,000 ทีอียูต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป้าหมายภายใน 10 ปีคือการเพิ่มเป็น 2 ล้านทีอียูต่อปี โดย กทท. จะสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การลงทุนกว่า 900 ล้านบาทในโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 สำหรับติดตั้งเครื่องจักรยกขนสินค้า (RMG) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนถ่ายตู้สินค้า

ด้านนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ รฟท. ย้ำว่าความร่วมมือครั้งนี้สอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านรางเพื่อเชื่อมโยงฐานการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร โดย รฟท. มีแผนเพิ่มแคร่รถไฟจาก 32 แคร่เป็น 35 แคร่ คาดว่าจะเพิ่มขีดความสามารถขนส่งได้อีก 50,000-60,000 ทีอียูต่อปี และเพิ่มจำนวนขบวนรถไฟจากปัจจุบัน 24 ขบวน เป็น 26–28–30 ขบวนตามลำดับ พร้อมเดินหน้าโครงการจัดซื้อแคร่ขนส่งสินค้าอีก 946 แคร่ ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบ

ขณะเดียวกัน รฟท. ยังเดินหน้าฟื้นโครงการเปิดให้เอกชนร่วมทุนในสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ลาดกระบัง โดยได้ส่งเรื่องไปยังกระทรวงคมนาคม และคาดว่าจะเสนอสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ภายใน 1–2 สัปดาห์ ก่อนเสนอ ครม. พิจารณา ซึ่งในสัญญาใหม่ รฟท. ได้ปรับเกณฑ์ให้เอกชนต้องดำเนินการขนส่งสินค้าทางรางในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 50% ของปริมาณขนส่งทั้งหมดภายใน 1 ปี เพิ่มขึ้นจากสัญญาเดิมที่กำหนดไว้ที่ 40%

ทั้งหมดนี้คือการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เปลี่ยนผ่านระบบขนส่งไทยไปสู่ระบบรางที่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศในการยกระดับโครงสร้างโลจิสติกส์ให้แข่งขันได้ในเวทีโลก

L2D Page (50)

สหรัฐฯ เก็บภาษีทองแดง 50% ทรัมป์ลุยปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ กระทบการค้าโลก

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในอัตรา 50% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยคำสั่งดังกล่าวครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ทองแดงกึ่งสำเร็จรูปและสินค้าทองแดงแปรรูปจำนวนมาก เช่น ท่อทองแดง สายไฟ ขั้วต่อ สายเคเบิล แท่งทองแดง และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ทองแดงเป็นส่วนประกอบสำคัญ โดยอ้างเหตุผลด้าน “ความมั่นคงของชาติ” เป็นหลักในการดำเนินมาตรการดังกล่าว

แหล่งข่าวจากทำเนียบขาวเปิดเผยว่า คำสั่งนี้มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศจากการพึ่งพาทองแดงนำเข้าซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2534 สหรัฐฯ มีการนำเข้าทองแดงน้อยมาก แต่ในปี 2567 ตัวเลขการใช้ทองแดงนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็นถึง 45% ของการบริโภคภายในประเทศ สะท้อนถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานโลหะสำคัญที่สหรัฐฯ เคยครอบครองความสามารถในการผลิตอย่างมั่นคง

การใช้ทองแดงภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตามความต้องการในภาคอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยเฉพาะในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ รวมถึงฮาร์ดแวร์ทางทหารขั้นสูง ซึ่งต่างก็ต้องใช้ทองแดงในปริมาณมาก การที่สหรัฐฯ ขาดแคลนกำลังการผลิตและต้องพึ่งพาทองแดงจากต่างประเทศจึงถูกมองว่าเป็นช่องโหว่ที่อาจกระทบต่อศักยภาพของประเทศทั้งในด้านความมั่นคง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถทางเทคโนโลยีในระยะยาว

เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณล่วงหน้าเกี่ยวกับแนวคิดที่จะเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในอัตราสูงถึง 50% แต่ในขณะนั้นยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด จนกระทั่งคำสั่งอย่างเป็นทางการได้รับการลงนามในช่วงปลายเดือน โดยมีพื้นฐานจากผลการสอบสวนและข้อเสนอแนะที่ส่งมาจากกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีโฮเวิร์ด ลุตนิก ซึ่งทรัมป์ได้มอบหมายให้ดำเนินการตรวจสอบความจำเป็นในการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว

ภายใต้คำสั่งใหม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังได้รับอำนาจพิเศษในการกำหนดมาตรการควบคุมเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศ หนึ่งในมาตรการที่ถูกกำหนดไว้คือ การบังคับให้เศษทองแดงคุณภาพสูงที่ผลิตได้ภายในประเทศในสัดส่วนอย่างน้อย 25% ต้องถูกจัดสรรให้ขายภายในประเทศก่อน เพื่อเพิ่มปริมาณวัตถุดิบภายในและลดการพึ่งพานำเข้าจากต่างชาติ

แหล่งข่าวระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐฯ ย้ำว่า มาตรการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องตลาดจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม หากยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตในด้านความมั่นคง เทคโนโลยี และพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่การแย่งชิงทรัพยากรและวัตถุดิบสำคัญทั่วโลกกำลังทวีความรุนแรง

นักวิเคราะห์มองว่าการเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในระดับสูงเช่นนี้จะกระทบต่อประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ ซึ่งมีทั้งประเทศในละตินอเมริกาและเอเชียที่เป็นผู้ส่งออกทองแดงรายใหญ่ ทั้งยังอาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในบางอุตสาหกรรมภายในประเทศระยะสั้น แต่รัฐบาลสหรัฐฯ เชื่อว่า ความได้เปรียบในระยะยาวของการฟื้นฟูฐานการผลิตและห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ จะชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจในเบื้องต้น

มาตรการภาษีล่าสุดของทรัมป์จึงสะท้อนภาพรวมของแนวนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ที่เขาเคยยึดถือมาตั้งแต่การดำรงตำแหน่งในสมัยแรก และยังเป็นสัญญาณว่าหากเขาได้รับเลือกเป็นผู้นำอีกครั้งในปลายปีนี้ แนวทางเศรษฐกิจแบบชาตินิยมและการปกป้องอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศจะถูกผลักดันอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้นในระยะต่อไป

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us