News Update

news-20250512-01

มาตรการภาษีสหรัฐ หนุนต่างชาติย้ายฐานผลิตสู่อาเซียน ดันไทยขึ้นแท่นศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาค

สถานการณ์การค้าโลกในปี 2568 แม้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา แต่ในอีกมุมกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้กระแสการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) หลั่งไหลเข้าสู่ไทยและประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีนัยสำคัญ

นายสุเมธ ตันธุวนิตย์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวในเวทีเศรษฐกิจโลกขณะนี้ แม้จะดูเป็นความท้าทาย แต่หากมองในแง่บวก กลับกลายเป็นโอกาสสำคัญของไทยในฐานะหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมต่อระหว่างประเทศ และระบบโลจิสติกส์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้ต่างชาติเริ่มหันมามองไทยเป็น “จุดยุทธศาสตร์ใหม่” สำหรับการลงทุนด้านการผลิตและขนส่งสินค้า

ในยุคที่โลกเดินหน้าเข้าสู่การแข่งขันด้วยเทคโนโลยี ประเทศที่พร้อมด้วย Digital Infrastructure และระบบ Smart Logistics จะได้เปรียบในการดึงดูดนักลงทุน และตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบคลังสินค้าอัจฉริยะ การใช้ AI และหุ่นยนต์ในงานโลจิสติกส์ ไปจนถึงโซลูชัน IoT ที่ช่วยให้การจัดการซัพพลายเชนแม่นยำและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

เพื่อแสดงศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค หอการค้าไทยร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก เตรียมจัดงาน “LogiMAT & LogiFOOD Southeast Asia 2025” ระหว่างวันที่ 15–17 ตุลาคมนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค งานนี้นับเป็นเวทีสำคัญที่ผู้ประกอบการโลจิสติกส์จะได้อัปเดตเทคโนโลยีล่าสุดจากทั่วโลก พบปะพันธมิตรทางธุรกิจ และเปิดโอกาสในการจับคู่เจรจา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทยให้แข่งขันได้ในเวทีระดับสากล

คาดว่างานนี้จะดึงดูดผู้แสดงสินค้าจากเอเชียและยุโรปมากถึง 350 บูธ และมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 7,000 ราย ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่ช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์ของไทยในฐานะ “ฮับโลจิสติกส์แห่งอนาคตของอาเซียน”

สอดคล้องกับรายงานล่าสุดของ Custom Market Insights ซึ่งระบุว่า ในปี 2024 ตลาดโลจิสติกส์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมูลค่ารวมถึง 243.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้แรงส่งจากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาเทคโนโลยีอัจฉริยะอย่าง IoT และ AI อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจากการย้ายฐานการผลิตของธุรกิจต่างชาติ

แนวโน้มในปี 2025 คาดว่ามูลค่าตลาดโลจิสติกส์จะเพิ่มขึ้นเป็น 258.9 พันล้านดอลลาร์ และพุ่งทะลุ 476.6 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2034 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงศักยภาพอันมหาศาลของภูมิภาคนี้ และยืนยันว่าอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับโลกอย่างแท้จริง

ที่มา - mgronline

news-20250507-03

ลุยแปลงโฉม “ท่าเรือคลองเตย” เริ่มพัฒนา 520 ไร่แรก ผุดแทรมเชื่อม MRT-BTS พร้อมเป้าหมายสู่ศูนย์พาณิชย์ใหม่ริมเจ้าพระยา

โครงการยกระดับ “ท่าเรือคลองเตย” กำลังเดินหน้าครั้งใหญ่ โดยกระทรวงคมนาคมเตรียมพลิกโฉมพื้นที่บริเวณหน้าท่ากว่า 520 ไร่ ให้กลายเป็นศูนย์กลางเชิงพาณิชย์รูปแบบใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมเชื่อมโยงระบบขนส่งมวลชนครบวงจรทั้งทางถนน ทางราง และทางน้ำ

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า หลังการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำโดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีมติให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนแผนแม่บทการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ บนพื้นที่รวม 2,353 ไร่ โดยจะเริ่มต้นจากพื้นที่บริเวณหน้าท่า 520 ไร่ ซึ่งเป็นโซนที่ไม่มีพื้นที่อยู่อาศัยและใช้สำหรับขนถ่ายสินค้าเทกองและตู้คอนเทนเนอร์อยู่แล้ว

พื้นที่นี้จะถูกพัฒนาให้เป็นโซนพาณิชย์สมาร์ท (Smart Commercial) ในรูปแบบมิกซ์ยูส ประกอบด้วยท่าเทียบเรือสำราญ โรงแรม ศูนย์การค้า และอาคารจัดเก็บสินค้ารูปแบบแนวดิ่ง เพื่อลดการใช้พื้นที่แนวราบเดิม และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ โดยคาดว่าจะออกแบบแผนผังพื้นที่และรูปแบบการลงทุนแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2569

ไม่เพียงเท่านั้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องยังเร่งเดินหน้าไปพร้อมกัน โดยเฉพาะการเชื่อมต่อระบบขนส่ง ซึ่ง กทท. และการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะเดินหน้าทางเชื่อมระหว่างท่าเรือคลองเตยกับทางด่วนบางนา-อาจณรงค์ (S1) ซึ่งจะช่วยลดความแออัดของจราจรบริเวณท่าเรือได้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่กรมการขนส่งทางราง การรถไฟแห่งประเทศไทย และการท่าเรือฯ เอง ก็กำลังร่วมกันศึกษาแนวทางเชื่อมโยงระบบรางเพื่อรองรับการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์เข้าสู่ท่าเรือโดยตรง

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่น่าจับตาคือการศึกษาแนวเส้นทาง “แทรม” หรือรถไฟฟ้ารางเบา ที่จะวิ่งเชื่อมสถานี MRT ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผ่านพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพ ไปยังสถานี BTS พระโขนง แนวคิดนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการเดินทางสาธารณะในพื้นที่ ยกระดับคุณภาพชีวิต และลดภาระจราจรในบริเวณโดยรอบ

สำหรับพื้นที่ที่เหลืออีก 1,833 ไร่ จะมีการพัฒนาในระยะถัดไป โดยจะเน้นการทำความเข้าใจกับชุมชนในพื้นที่ และบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

การแปลงโฉมท่าเรือคลองเตยครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการสร้างเมืองใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่พร้อมเชื่อมโยงกรุงเทพฯ เข้ากับเครือข่ายโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค

ที่มา - dailynews

news-20250507-02

เปิดแล้ว! ถนนพระราม 1 เพิ่ม 2 เลนแก้รถติดช่วงสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม

เริ่มคลี่คลายแล้วสำหรับปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณใจกลางกรุงเทพฯ หลัง สน.ปทุมวัน ประกาศเปิดใช้ถนนพระราม 1 เพิ่มอีก 2 ช่องทางจราจรในฝั่งขาออก โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนที่ต้องสัญจรผ่านบริเวณแยกกษัตริย์ศึกไปยังแยกเฉลิมเผ่า

มาตรการนี้เป็นการตอบสนองต่อปัญหาการจราจรที่สะสมมายาวนาน อันเนื่องมาจากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – ตลิ่งชัน ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ และกินพื้นที่ผิวถนนในหลายจุด

การเปิดช่องทางใหม่บนถนนพระราม 1 ครั้งนี้ ไม่เพียงช่วยระบายรถที่ติดสะสมในช่วงเร่งด่วนเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณบวกว่าการบริหารจัดการจราจรในพื้นที่ก่อสร้างเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น

คนกรุงเทพฯ ที่ใช้เส้นทางนี้เป็นประจำ เตรียมวางแผนการเดินทางให้ดี เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจช่วยประหยัดเวลาเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วนได้ไม่น้อย

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250507-01

'ไปรษณีย์ไทย' โชว์กำไรโต 227% รับอีคอมเมิร์ซพุ่ง ลุยต่อยอดบริการครบวงจร พร้อมจับตาภาษีนำเข้ากระทบ SME

ปี 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของไปรษณีย์ไทยสู่การเป็น “Tech Post” อย่างเต็มตัว โดยเฉพาะในไตรมาสแรกที่ผลประกอบการเติบโตโดดเด่น รายได้รวมพุ่งแตะ 5,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิกระโดดขึ้นถึง 227% แตะระดับ 534 ล้านบาท สะท้อนถึงทิศทางใหม่ที่บริษัทวางไว้ในการขยายบริการให้ครอบคลุมมากขึ้น และตอบรับกระแสดิจิทัลอีคอมเมิร์ซที่ยังคงเติบโตไม่หยุด

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ระบุว่า การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาใช้บริการออนไลน์มากขึ้น เป็นปัจจัยหนุนหลักของรายได้ในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะบริการไปรษณีย์ในประเทศที่มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 20% และบริการขนส่ง-โลจิสติกส์ที่ขยายตัวอีกกว่า 13% ปริมาณชิ้นงานโดยรวมในไตรมาสแรกก็ขยายตัวถึง 7.5% ขณะที่ EMS ยังเป็นหัวใจหลักที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มจะสดใส แต่ไปรษณีย์ไทยก็ยังจับตาความเสี่ยงจากนโยบายการค้าโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการที่สหรัฐฯ อาจยกเลิกสิทธิยกเว้นภาษีนำเข้า (De Minimis Exemption) สำหรับสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ ซึ่งอาจกระทบต่อธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศ รวมถึงลูกค้า SME ไทยที่ใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในการค้าขายข้ามแดน ไปรษณีย์ไทยจึงเร่งเจรจาและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ USPS อย่างต่อเนื่องเพื่อประเมินผลกระทบและเตรียมรับมือ

ในไตรมาส 2-4 ที่จะถึงนี้ บริษัทวางกลยุทธ์ชัดเจน โดยเดินหน้าขยายบริการแบบครบวงจรจากจุดแข็งที่มีอยู่ ตั้งแต่การส่งด่วน EMS สำหรับตลาด B2C และ C2C รวมถึงบริการขนส่งที่หลากหลาย ทั้งสินค้าเกษตร ยา อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ ไปจนถึงชิ้นงานขนาดใหญ่ที่รองรับรูปแบบ B2B ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ

ด้านบริการทางการเงิน ไปรษณีย์ไทยเร่งเดินหน้าบทบาท “Banking Agent” ใช้เครือข่ายสาขาทั่วประเทศเป็นช่องทางให้บริการทางการเงินครบวงจร เช่น ฝาก-ถอนเงิน รับชำระค่าสาธารณูปโภค ฯลฯ ขณะที่บริการค้าปลีกจะเน้นรูปแบบ Omni-Channel เพื่อมอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อให้กับลูกค้า ผ่านสินค้าไปรษณีย์ สินค้า House Brand และแพลตฟอร์ม ThailandPostMart ที่รวบรวมสินค้าทั่วไทยกว่า 20,000 รายการไว้ในที่เดียว

สำหรับการขยายบริการข้ามพรมแดน ไปรษณีย์ไทยได้จับมือกับ eBay และ Amazon FBA ในการให้บริการคลังสินค้า พร้อมจัดตั้งเครือข่าย “Regional ASEAN Post Alliance” (RAPA) ร่วมกับไปรษณีย์เวียดนาม อินโดนีเซีย และพันธมิตรในภูมิภาค เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการขนส่งระหว่างประเทศในอาเซียน

กลุ่มธุรกิจ Post Next ก็เตรียมอัปเกรดแพลตฟอร์ม “Prompt Post” ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ โดยจะมีบริการใหม่ๆ เช่น Digital Postbox, ระบบติดตามพาสปอร์ต, Prompt Pass สำหรับเชื่อมโยงข้อมูลกับภาครัฐ และ Prompt Vote ที่รองรับการลงคะแนนเสียงออนไลน์

อีกหนึ่งบทบาทสำคัญคือการใช้ศักยภาพของเครือข่ายบุรุษไปรษณีย์ ภายใต้บริการ “Postman Cloud” ซึ่งได้เริ่มร่วมมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติในการลงพื้นที่เก็บข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะ ปี 2568 ครอบคลุม 11 จังหวัด และกว่า 4.17 ล้านครัวเรือน

ทั้งหมดนี้คือทิศทางใหม่ของไปรษณีย์ไทยในปีแห่งการเปลี่ยนผ่าน ที่ไม่เพียงแต่ปรับตัวตามยุคดิจิทัล แต่ยังพยายามรักษาบทบาทความมั่นคงของระบบไปรษณีย์แห่งชาติ ขณะเดียวกันก็พร้อมรับมือกับความท้าทายจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการค้าข้ามแดนในอนาคตอันใกล้

ที่มา - techsauce

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us