News Update

L2D Page (15)

ทรัมป์กดดันนำเข้า ขึ้นภาษีไม้ 10%–เฟอร์นิเจอร์ 25% หนุนการผลิตในประเทศ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าใหม่ โดยกำหนดอัตรา 10% สำหรับไม้ซุงเนื้ออ่อนและไม้แปรรูป และ 25% สำหรับตู้ครัว เคาน์เตอร์ห้องน้ำ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ไม้บุผ้า การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นมาตรการล่าสุดของทำเนียบขาวในการใช้ภาษีนำเข้าเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศสหรัฐอเมริกา

ภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคมเป็นต้นไป และมีแผนที่จะปรับเพิ่มภาษีบางส่วนเพิ่มเติมในวันที่ 1 มกราคมปีหน้า การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้เปิดการสอบสวนนำเข้าไม้และผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยอ้างอิงอำนาจตามมาตรา 232 ของพระราชบัญญัติการขยายการค้า ซึ่งเปิดทางให้ประธานาธิบดีสามารถกำหนดภาษีนำเข้าเพื่อปกป้องความมั่นคงแห่งชาติได้

มาตรการภาษีนำเข้าล่าสุดแตกต่างจากภาษีศุลกากรแบบตอบโต้หรือภาษีเฉพาะประเทศที่ทรัมป์เคยใช้ในอดีต เพราะครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางกฎหมายมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ศาลฎีกากำลังพิจารณาคดีซึ่งอาจนำไปสู่การเพิกถอนภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ของรัฐบาลก่อนหน้า เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารจึงกำลังเตรียมระบบทางเลือกเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว

การประกาศขึ้นภาษีครั้งนี้นับเป็นอีกแรงกดดันต่อผู้ส่งออกไม้และเฟอร์นิเจอร์ทั่วโลก และมีแนวโน้มจะสร้างแรงกระเพื่อมต่ออุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างและการตกแต่งภายในสหรัฐฯ ในขณะที่รัฐบาลทรัมป์ย้ำว่ามาตรการนี้เป็นก้าวสำคัญในการลดการพึ่งพาการนำเข้าและกระตุ้นการจ้างงานในประเทศ

L2D Page (14)

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เดินหน้าหนุนผู้ประกอบการโลจิสติกส์ รับมือเศรษฐกิจผันผวน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลอดเดือนกันยายน 2568 กรมฯ ได้จัดกิจกรรมลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการ 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ โลจิสติกส์ ค้าส่งค้าปลีก และแฟรนไชส์ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รับฟังข้อเสนอแนะ และนำไปปรับใช้ในการสนับสนุนอย่างตรงจุด ตามนโยบาย “พาณิชย์พึ่งได้” ของกระทรวงพาณิชย์

ล่าสุด คณะของกรมฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบริษัท ดับบลิวซี.ภาคิน จำกัด ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยได้หารือกับผู้บริหารเกี่ยวกับปัญหาและความท้าทายที่ธุรกิจโลจิสติกส์กำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการขาดบุคลากรที่มีความรู้ด้านโลจิสติกส์เฉพาะทาง การขาดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ตลอดจนความจำเป็นในการพัฒนาคนและสร้างระบบงานมาตรฐานเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการข้อมูล เนื่องจากหลายบริษัทในภาคธุรกิจยังคงพึ่งพาการทำงานแบบแมนนวล ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงด้านความถูกต้องและความล่าช้า ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ผู้ประกอบการจึงให้ความสนใจต่อการนำระบบ Transportation Management System (TMS) มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการวางแผนเส้นทาง การติดตามสถานะการจัดส่งแบบเรียลไทม์ ตลอดจนการคำนวณต้นทุนและการชำระเงินที่มีความแม่นยำมากขึ้น

ในด้านต้นทุนการขนส่ง ผู้ประกอบการยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ต้องเร่งปรับกลยุทธ์และสร้างมาตรฐานการทำงานที่ช่วยลดต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเส้นทางที่คุ้มค่า การปรับปรุงกระบวนการขนส่ง หรือการติดตามผลการดำเนินงานผ่านตัวชี้วัด (KPI) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการลงทุน

นางอรมนกล่าวเพิ่มเติมว่า ความท้าทายทั้งสามด้านนี้ทำให้ผู้ประกอบการต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหลักสูตรอบรมเพื่อพัฒนาทักษะบุคลากรด้านโลจิสติกส์ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง การสร้างระบบการจัดการที่เทียบเท่าสากล รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจโดยไม่สร้างภาระค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ยังมีความต้องการเงินทุนเพื่อปรับปรุงระบบงาน การลงทุนในเทคโนโลยี และเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคง

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพร้อมนำข้อเสนอแนะเหล่านี้ไปสู่การปฏิบัติ โดยเตรียมประสานกับสถาบันการเงินเพื่อพิจารณาสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษแก่สถานประกอบการ และจับมือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานพันธมิตรในการพัฒนาหลักสูตรอบรมที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการในยุคใหม่ โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีและ AI มาใช้เสริมประสิทธิภาพการบริหารจัดการธุรกิจโลจิสติกส์ของไทย

สำหรับบริษัท ดับบลิวซี.ภาคิน จำกัด ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2562 ให้บริการขนส่งและกระจายสินค้าด้วยรถขนส่งตู้เย็นและตู้ทึบหลายประเภท ตั้งแต่รถ 4 ล้อ 6 ล้อ ไปจนถึง 10 ล้อ ครอบคลุมทั้งการจัดส่งรายบ้านในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงการรับงานแบบเหมารายวัน เหมาเที่ยว เหมารายเดือน และงานโครงการ ปัจจุบันบริษัทมีกำลังขนส่งมากกว่า 230 คัน พร้อมระบบติดตามการเดินรถแบบเรียลไทม์ และการควบคุมอุณหภูมิผ่าน GPS โดยเคยเข้าร่วมหลักสูตรพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ของกรมฯ มาแล้วหลายครั้ง ทั้งด้านมาตรฐานสากลและการใช้ Data Analytics เพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขัน

L2D Page (13)

“ศุภจี” ปาฐกถาครั้งแรกในตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ ผลักดันส่งออกข้าวจีทูจีตลาดจีน 2.8 แสนตัน

เมื่อค่ำวันที่ 27 กันยายน 2568 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง ในงาน Thailand – China Cooperation Expo 2025 ณ ห้องรอยัล จูบิลี อิมแพ็ค เมืองทองธานี งานนี้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ภายใต้ธีม “50 ปี ความสัมพันธ์ไทย–จีน : ก้าวสู่ความรุ่งเรืองร่วมกัน”

พิธีเปิดมีบุคคลสำคัญทั้งฝ่ายไทยและจีนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง อาทิ ฯพณฯ องคมนตรี พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา นายจาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานหอการค้าไทย–จีน และนายหลิว ฉวนเหลย นายกสมาคมการค้าวิสาหกิจจีนในไทย ซึ่งสะท้อนถึงมิตรภาพที่ยืนยาวและแน่นแฟ้นของสองประเทศ

นางศุภจีเน้นย้ำว่า จีนยังคงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 12 โดยมูลค่าการค้ารวมในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่กว่า 96,254 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3.2 ล้านล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 28.1% ถือเป็นหลักฐานชัดเจนของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แนบแน่นระหว่างสองประเทศ เธอกล่าวขอบคุณรัฐบาลจีนที่ให้การสนับสนุนสินค้าเกษตรไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งทุเรียน มังคุด ลำไย มันสำปะหลัง และยางพารา โดยเฉพาะการนำเข้าข้าวที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในปีนี้

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของไทยในปีแห่งการเฉลิมฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ไทย–จีน คือการผลักดันให้เกิดการส่งออกข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ G to G จำนวน 280,000 ตันที่ยังค้างส่งมอบให้สำเร็จ เพราะนี่ไม่เพียงเป็นอีกก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นของสองประเทศ

ในด้านการลงทุน จีนยังครองตำแหน่งนักลงทุนโดยตรงอันดับหนึ่งในไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น พลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง และเทคโนโลยีชีวภาพ ส่วนภาคการท่องเที่ยว จีนยังเป็นตลาดหลักที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงวันหยุดยาว Golden Week ของจีน รัฐบาลไทยยืนยันความพร้อมในการดูแลและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างเต็มที่

นางศุภจี ยังได้กล่าวถึงนโยบายความร่วมมือระหว่างไทย–จีนที่ครอบคลุม 5 มิติหลัก ได้แก่ การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ การพัฒนาพลังงานสะอาดและเศรษฐกิจสีเขียว ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ความมั่นคงด้านเกษตรและอาหาร และการเชื่อมโยงระหว่างประชาชนในด้านการศึกษา วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว

ในด้านการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ยังคงผลักดันความร่วมมือกับจีนในทุกระดับ ผ่านความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–จีน (ACFTA) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) การทำบันทึกความร่วมมือกับมณฑลต่าง ๆ ของจีน ตลอดจนการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าสำคัญในจีน เช่น China International Import Expo (CIIE) 2025 ที่นครเซี่ยงไฮ้ ขณะเดียวกันก็เชิญชวนผู้ประกอบการจีนเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในไทย เช่น Bangkok Gems & Jewelry Fair และ THAIFEX – ANUGA ASIA

ปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์มีสำนักงานส่งเสริมการค้าในจีนถึง 8 แห่ง ได้แก่ เฉิงตู คุนหมิง หนานหนิง กวางโจว เซี่ยเหมิน เซี่ยงไฮ้ ชิงต่าว และฮ่องกง รวมถึงสำนักงานพาณิชย์ ณ กรุงปักกิ่ง ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าไทย–จีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

“รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ พร้อมจะเป็นสะพานเชื่อมเพื่อเปิดประตูสู่การค้าการลงทุนระหว่างผู้ประกอบการและนักธุรกิจไทย–จีน โดยจะช่วยผู้ประกอบการไทยให้เข้าถึงตลาดจีนได้สะดวกมากขึ้น และสนับสนุนนักลงทุนจีนที่เข้ามาลงทุนและทำธุรกิจในไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของทั้งสองประเทศให้เติบโตก้าวหน้าไปด้วยกัน” นางศุภจี กล่าวสรุป

L2D Page (11)

ญี่ปุ่นและอียูรอดพ้นภาษีนำเข้ายาสูงสุด 100% ของสหรัฐฯ หลังอ้างอิงข้อตกลงการค้าเดิม

ทำเนียบขาวยืนยันเมื่อวันที่ 26 กันยายนว่า มาตรการขึ้นภาษีนำเข้ายาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะกำหนดอัตราภาษีสูงสุดถึง 100% จะไม่ครอบคลุมประเทศที่มีข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ อยู่แล้ว โดยเฉพาะสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น เนื่องจากทั้งสองฝ่ายได้กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการค้าผลิตภัณฑ์ยาไว้ในสนธิสัญญาก่อนหน้านี้

เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวอธิบายว่า ยาจากสหภาพยุโรปจะเสียภาษีนำเข้าไม่เกิน 15% ตามกรอบความตกลงการค้าเสรีระหว่างสองฝ่าย ขณะที่ญี่ปุ่นจะยังคงเสียภาษีในอัตราที่กำหนดไว้ตามสนธิสัญญาทวิภาคีที่มีผลบังคับใช้อยู่แล้ว ซึ่งในแถลงการณ์ร่วมระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ยังได้ยืนยันว่า รัฐบาลวอชิงตันจะไม่เรียกเก็บภาษีจากยาและเซมิคอนดักเตอร์ที่นำเข้าจากญี่ปุ่นเกินกว่าที่กำหนดไว้กับสหภาพยุโรป

ต่างจากสหราชอาณาจักรที่แม้จะเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกยารายใหญ่ไปยังสหรัฐฯ แต่กลับต้องเผชิญอัตราภาษีนำเข้าเต็ม 100% เนื่องจากการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างลอนดอนและวอชิงตัน แม้จะมีเงื่อนไขคล้ายกับที่ญี่ปุ่นและอียูได้รับ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถหาข้อสรุปในเรื่องการยกเว้นภาษียาได้ ส่งผลให้ผู้ผลิตยาของอังกฤษอยู่ในสถานะเสียเปรียบโดยตรง

ด้านประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศผ่านโซเชียลมีเดียว่า “สหรัฐฯ จะเก็บภาษี 100% สำหรับยาที่มีตราสินค้าหรือสิทธิบัตร เว้นแต่บริษัทผู้ผลิตจะลงทุนสร้างโรงงานผลิตในอเมริกา” ทั้งนี้ หากบริษัทต่างชาติเริ่มก่อสร้างโรงงานจริง ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะเข้ามาตรวจสอบรายละเอียดในขั้นตอนอนุมัติอีกครั้ง

การออกมาตรการภาษีครั้งนี้ถือว่ามีลักษณะฉับพลัน ทำให้หลายประเทศที่มีการทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ อยู่แล้วเกิดความไม่แน่ใจว่า ข้อตกลงเก่าจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปหรือไม่ อย่างไรก็ตาม กรณีของญี่ปุ่นและอียูได้สะท้อนชัดเจนว่าการมีสนธิสัญญาที่ผูกพันทางกฎหมายสามารถคุ้มครองภาคอุตสาหกรรมยาจากการถูกเรียกเก็บภาษีในระดับรุนแรงได้

ข้อมูลจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่นเผยว่า ในปี 2024 ญี่ปุ่นส่งออกยามายังสหรัฐฯ มูลค่า 4.11 แสนล้านเยน หรือประมาณ 8.8 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 1.9% ของการส่งออกทั้งหมดไปยังสหรัฐฯ ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะสร้างแรงกดดันอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมยาของญี่ปุ่น หากไม่ได้รับการยกเว้นตามข้อตกลงที่มีอยู่

การประกาศของทรัมป์ครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความกังวลต่อประเทศคู่ค้าเท่านั้น แต่ยังทำให้บริษัทผู้ผลิตยาระดับโลกต้องเร่งประเมินกลยุทธ์การลงทุนใหม่ ว่าจะย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี หรือจะผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภค ซึ่งอาจทำให้ราคายาในตลาดโลกขยับสูงขึ้นในระยะถัดไป

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us