News Update

L2D Page (12)

รฟม. จับมือมหาวิทยาลัยมหิดล จัดสัมมนาวิชาการระบบราง การขนส่ง และโลจิสติกส์ ประจำปี 2568

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงานสัมมนาวิชาการและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านระบบราง การขนส่ง และโลจิสติกส์ ประจำปี 2568 หรือ Knowledge Transfer Seminar on Rail Systems, Transportation, and Logistics 2025 โดยมีนายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการ รฟม. และรองศาสตราจารย์ ดร.ธนภัทร วานิชานนท์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิด ณ ศูนย์การเรียนรู้ด้านรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ถนนพระราม 9

การจัดสัมมนาครั้งนี้นับเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิดหลัก “เชื่อมต่อการเดินทางด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลในระบบราง (Connecting Journeys through Innovation and Digital Technologies in Rail Systems)” โดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการขนส่งทางราง แลกเปลี่ยนมุมมองทางวิชาการ และสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ

กิจกรรมภายในงานประกอบด้วยนิทรรศการผลงานวิจัยและนวัตกรรมจากสถาบันพันธมิตรทางวิชาการที่มุ่งสร้างแรงบันดาลใจด้านการวิจัยระบบราง การบรรยายและเวทีเสวนาทางวิชาการรวม 8 หัวข้อ ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาระบบตรวจจับและป้องกันการบุกรุกในพื้นที่โครงข่ายรถไฟฟ้าด้วยปัญญาประดิษฐ์ ไปจนถึงการยกระดับคุณภาพการให้บริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ไฮไลต์ของงานอยู่ที่การเสวนาในหัวข้อ “ก้าวใหม่ของระบบรางไทย: เชื่อมเมือง เชื่อมอนาคต” ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อสร้างระบบรางที่ทันสมัยและยั่งยืน

นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สร้างเครือข่ายทางวิชาการที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้พบปะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และต่อยอดความร่วมมือในระดับสถาบันและองค์กร การจัดสัมมนาครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นเวทีเผยแพร่ความรู้เชิงวิชาการเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรด้านระบบราง การขนส่ง และโลจิสติกส์ เพื่อผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมระบบรางไทยในอนาคต

L2D Page - 2025-09-26T093909.628

รีไซเคิลคืนขวด PET ต้นแบบโลจิสติกส์ย้อนกลับระดับโลก

ท่ามกลางความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและขยะพลาสติก บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มในเครือโคคา-โคล่าใน 14 จังหวัดภาคใต้ ได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับบริษัท อ๊อกซิเทค จำกัด และบริษัท รอยซ์ ยูนิเวอร์แซล จำกัด จัดตั้ง “พันธมิตรเพื่อการรีไซเคิลในภาคใต้” หรือ Southern Recycling Alliance ถือเป็นโครงการแรกของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในประเทศไทยที่นำระบบโลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics) มาใช้เก็บรวบรวมขวดพลาสติก PET ใช้แล้ว เพื่อนำกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตบรรจุภัณฑ์ใหม่แบบครบวงจร หรือที่เรียกว่า Bottle-to-Bottle Recycling

รูปแบบการทำงานเริ่มจากอ๊อกซิเทครับซื้อขวด PET จากผู้เก็บและร้านรับซื้อท้องถิ่นในภาคใต้ ก่อนนำไปคัดแยกและแปรรูปเป็นเกล็ดพลาสติก PET ตามมาตรฐาน อย. และข้อกำหนดจากหาดทิพย์ จากนั้นหาดทิพย์จะขนส่งไปยังโรงงานรอยซ์ ยูนิเวอร์แซล จังหวัดนครปฐม เพื่อผลิตเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (rPET) ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ก่อนนำกลับมาใช้ที่โรงงานพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในการผลิตบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มชุดใหม่ กระบวนการทั้งหมดจึงปิดวงจรการรีไซเคิลขวด PET ได้อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นต้นแบบสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนของโคคา-โคล่าในระดับโลก

พลตรีพัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หาดทิพย์ เปิดเผยว่า บริษัทตระหนักดีว่าบรรจุภัณฑ์แม้จำเป็นต่อความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้า แต่หากขาดการจัดการที่ดี ก็อาจสร้างปัญหาตกค้างต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ที่อุดมด้วยทะเลและเกาะแก่ง หาดทิพย์จึงลงทุนกว่า 800 ล้านบาทในการฟื้นฟูระบบขวดแก้ว ลดการใช้วัสดุสิ้นเปลือง และพัฒนาระบบจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นอีกก้าวที่ช่วยสร้างโครงสร้างพื้นฐานการรีไซเคิลที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น

ด้าน นันทิวัต ธรรมหทัย รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของหาดทิพย์ กล่าวเสริมว่า แม้บรรจุภัณฑ์แก้วยังคงมีบทบาท แต่พลาสติก PET ก็ยังจำเป็นต่อพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวก การผลักดันระบบ Reverse Logistics จึงเป็นทางออกในการเก็บรวบรวมและหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ โดยโครงการนี้ตั้งเป้าผลิตเม็ดพลาสติก rPET อย่างน้อย 100 ตันภายในเดือนมิถุนายน 2569 และจะนำไปใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์ของหาดทิพย์ทั้งหมด แม้ต้นทุนการใช้ rPET ยังสูงกว่าพลาสติกใหม่ราว 40% แต่ถือเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

โครงการดังกล่าวยังเป็นการปรับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของโคคา-โคล่าในระดับโลก จากเดิมที่ตั้งเป้าเก็บบรรจุภัณฑ์คืน 100% ภายในปี 2030 มาเป็น 70–75% ภายในปี 2035 ขณะที่หาดทิพย์ยังคงตั้งเป้าเดิมคือเก็บคืน 100% และใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลให้ได้ 50% ภายในปี 2030

ดร.เศกสันต์ อุดมศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อ๊อกซิเทค ระบุว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะยกระดับการจัดเก็บและแปรรูปวัสดุใช้แล้วเข้าสู่มาตรฐาน Food-Grade Recycling ควบคู่กับการใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่สามารถระบุแหล่งที่มาของพลาสติกแต่ละล็อตได้อย่างโปร่งใส ส่วนธัชวัช เตชะมงคลจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รอยซ์ ยูนิเวอร์แซล ย้ำว่าการได้เป็นพันธมิตรในโครงการนี้สะท้อนคุณภาพการผลิตเม็ด rPET ที่เป็นไปตามมาตรฐานโคคา-โคล่า และยังเปิดโอกาสใหม่ในการรีไซเคิลขยะจากทะเลภาคใต้

การริเริ่ม “Southern Recycling Alliance” จึงไม่เพียงสร้างต้นแบบระบบโลจิสติกส์ย้อนกลับระดับโลก แต่ยังช่วยขับเคลื่อนทั้งธุรกิจ ชุมชน และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน

L2D Page - 2025-09-26T093326.362

สานต่อรถไฟฟ้า 20 บาท “พิพัฒน์” เริ่มภารกิจที่กระทรวงคมนาคม

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ เดินทางเข้ากระทรวงคมนาคมวันแรกตามฤกษ์เวลา 08.19 น. โดยได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงฯ ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ซึ่งต่างมอบช่อดอกไม้แสดงความยินดี

นายพิพัฒน์กล่าวว่า ภารกิจหลักคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพการให้บริการ รวมถึงการเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การเดินทางที่สะดวก รวดเร็ว และเท่าเทียม โดยย้ำว่าพร้อมทำงานร่วมกับรัฐมนตรีช่วย ผู้บริหาร และรัฐวิสาหกิจในสังกัด เพื่อผลักดันนโยบายของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม แม้จะมีเวลาเพียง 4 เดือนก่อนการยุบสภา

ประเด็นที่สังคมจับตาคือโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งมาตรการเดิมสิ้นสุดเดือนกันยายน 2569 แต่เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล จำเป็นต้องพิจารณาใหม่ว่าควรเดินหน้าต่อหรือไม่ เนื่องจากโครงการดังกล่าวใช้งบชดเชยจากรัฐเกือบ 20,000 ล้านบาทต่อปี นายพิพัฒน์ย้ำว่าต้องทำความเข้าใจอย่างรอบคอบ และจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 1–2 สัปดาห์หลังจากนายกรัฐมนตรีแถลงนโยบาย และยืนยันว่าตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ ค่าโดยสารจะกลับไปใช้ราคาเดิมก่อน

นอกจากรถไฟฟ้าแล้ว นายพิพัฒน์ยังกล่าวถึงกรณีพิพาทพื้นที่เขากระโดง โดยยืนยันว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยจะดำเนินการฟ้องร้องครอบครองที่ดิน 995 แปลงตามขั้นตอนกฎหมาย ไม่มีการเอื้อประโยชน์ทางการเมือง พร้อมระบุว่านโยบายอื่นๆ เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ รถไฟทางคู่ และโครงการบ้านเพื่อคนไทย จะมีการแถลงอย่างเป็นทางการหลังนายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายในสภา

ด้านนางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า รู้สึกเป็นเกียรติและดีใจที่ได้ร่วมทำงาน พร้อมเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น

L2D Page - 2025-09-26T092609.922

ค่าเงินบาทแข็งกดดันการส่งออก ข้าวไทยเผชิญแรงกดราคาตลาดโลก

สถานการณ์ตลาดข้าวโลกปีนี้เต็มไปด้วยแรงกดดันทั้งจากภาวะผลผลิตที่ล้นตลาดและค่าเงินบาทที่แข็งค่า โดยรายงาน Rice Outlook เดือนกันยายน 2568 ของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าผลผลิตข้าวโลกในปี 2568/69 จะสูงถึง 541.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนและถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าผลผลิตในบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย รัสเซีย และเวียดนาม จะลดลง แต่ก็ถูกชดเชยด้วยผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในคาซัคสถานและสหรัฐฯ รวมถึงประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ อาทิ บังกลาเทศ จีน และอินเดีย ซึ่งมีสัดส่วนผลผลิตมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก

ในขณะที่อุปทานข้าวโลกถูกคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 729.5 ล้านตัน ซึ่งนับเป็นสถิติสูงสุดติดต่อกันเป็นปีที่สาม ส่วนการบริโภคข้าวทั่วโลกยังคงขยายตัวในหลายประเทศ อาทิ บังกลาเทศ อินเดีย ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม อย่างไรก็ดี ปริมาณข้าวคงเหลือสิ้นปี 2568/69 ถูกประเมินว่าจะอยู่ที่ 187.3 ล้านตัน แม้เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ก่อนหน้าเล็กน้อย แต่ยังต่ำกว่าปีก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในจีนและอินเดีย

สำหรับการค้าข้าวโลกในปี 2569 มีแนวโน้มจะขยายตัวทำสถิติใหม่ที่ 62.1 ล้านตัน เนื่องจากการส่งออกข้าวของพม่าที่พุ่งขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะการส่งออกข้าวหักราคาถูกไปยังจีน ทำให้ประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่อื่น ๆ อย่างปากีสถานและสหรัฐฯ ต้องปรับลดประมาณการส่งออกลง

ราคาข้าวในตลาดโลกยังคงอ่อนตัว ข้าวเปลือกอินเดียและเวียดนามปรับตัวลดลงตามความต้องการที่ซบเซา ขณะที่ราคาข้าวพม่าต่ำที่สุดในเอเชียอยู่ที่ 330 ดอลลาร์ต่อตัน ในทางกลับกัน ราคาข้าวขาวเกรด B 100% ของไทยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 372 ดอลลาร์ต่อตัน แต่ราคาข้าวที่เกษตรกรไทยขายได้กลับลดลงต่อเนื่อง โดยข้าวหอมมะลิปรับลดลงเหลือเฉลี่ยตันละ 14,817 บาท และข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% เฉลี่ยตันละ 6,591 บาท

ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศระบุว่า การส่งออกข้าวไทยในช่วง 8 เดือนแรกปี 2568 อยู่ที่ 5.24 ล้านตัน ลดลง 20% จากปีก่อน มูลค่าการส่งออก 3,061 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวเกือบ 30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หากคิดเป็นเงินบาท มูลค่าการส่งออกข้าวไทยลดลงกว่า 51,000 ล้านบาท หรือราว 33% ซึ่งปัจจัยหลักมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นถึง 7.68% จากค่าเฉลี่ย 36.02 บาทต่อเหรียญฯ ในปีก่อน เหลือเพียง 33.26 บาทต่อเหรียญฯ ในปีนี้

ท่ามกลางแรงกดดันจากค่าเงิน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ตั้งทีมตรวจสอบและติดตามการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ เพื่อลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาท โดยมีหลายหน่วยงานเข้าร่วม เช่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงาน ปปง.

ด้านกรมการค้าต่างประเทศยังคงเดินหน้าขยายตลาดส่งออก โดยล่าสุดได้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มในออสเตรเลีย เพื่อนำเสนอข้าวหอมมะลิไทยและข้าวชนิดอื่น ๆ ต่อผู้ประกอบการทั่วโลก สร้างการรับรู้ถึงคุณภาพ มาตรฐาน และเอกลักษณ์เฉพาะตัวของข้าวไทย

พร้อมกันนี้ กรมการข้าวยังเปิดตัวพันธุ์ข้าวใหม่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ กขจ3 กข113 กข117 และ กข119 ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นเรื่องความนุ่ม คุณภาพการหุงต้ม และความต้านทานต่อสภาพแวดล้อม เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม

แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าและการแข่งขันในตลาดโลก แต่ไทยยังคงมุ่งหวังพัฒนาและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ผ่านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวและการทำตลาดเชิงรุก เพื่อรักษาฐานการส่งออกข้าวในฐานะหนึ่งในผู้เล่นสำคัญของตลาดโลกต่อไป

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us