News Update

news-20250529-02

“คมนาคม” ดันแอปฯ “SAWASEEE by AOT” สู้ศึกแพลตฟอร์มเอกชน เตรียมเปิดใช้ในสนามบิน หลังโชเฟอร์แท็กซี่โอดโดนแย่งลูกค้

กระทรวงคมนาคม กำลังเร่งผลักดันแอปพลิเคชันเรียกแท็กซี่ของภาครัฐอย่าง "SAWASEEE by AOT" เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้โดยสารในสนามบิน และหวังแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ผู้ขับขี่แท็กซี่มิเตอร์ต้องเผชิญจากการแข่งขันกับแพลตฟอร์มเอกชน โดยคาดว่าจะเปิดใช้งานจริงในเร็ว ๆ นี้

นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้หารือร่วมกับสมาคมผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะแท็กซี่ เพื่อหาแนวทางสร้างความเป็นธรรม โดยมีประเด็นหลักที่ถูกยกขึ้นมาพิจารณาคือ การตั้งจุดให้บริการในสนามบิน ซึ่ง กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ได้ชี้แจงว่าจะมีการจัดสรรพื้นที่ภายในอาคารผู้โดยสารชั้น 1 ของสนามบินสุวรรณภูมิ ให้ชัดเจนเพื่อแบ่งโซนสำหรับแท็กซี่สาธารณะและรถแอปพลิเคชัน เพื่อป้องกันปัญหาการทับซ้อนและสร้างความเท่าเทียมในการให้บริการ

นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้ ทอท. เพิ่มเจ้าหน้าที่ดูแลจุดพักรถแท็กซี่และปรับปรุงป้ายประชาสัมพันธ์ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และจะประสานสายการบินให้ช่วยประชาสัมพันธ์บริการแท็กซี่สาธารณะให้ชัดเจน เพื่อเพิ่มโอกาสให้แท็กซี่มิเตอร์ได้รับงานอย่างเท่าเทียม

หัวใจสำคัญของการแก้ปัญหานี้คือการเปิดตัวแอปพลิเคชัน "SAWASEEE by AOT" ซึ่งเป็นระบบกลางที่ช่วยให้แท็กซี่มิเตอร์สามารถรับงานได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม มีระบบจองคิวและจุดจอดเฉพาะ นับเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจสำหรับผู้ขับขี่แท็กซี่ที่ต้องการเข้าถึงผู้โดยสารโดยตรง ไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มของเอกชน โดยขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงทดลองใช้งานที่สนามบิน ก่อนจะเปิดให้บริการจริงในไม่ช้า

นายสุรพงษ์ ย้ำว่า กระทรวงคมนาคมยึดหลักความเป็นธรรมและกฎหมาย เพื่อให้ทุกฝ่ายมีสิทธิเข้าถึงโอกาสอย่างเสมอภาค โดยได้มอบหมายให้ ขบ. และ ทอท. ร่วมกันทบทวนกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อสร้างระบบบริการขนส่งที่เป็นธรรมในระยะยาว

ด้าน น.ส.ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. เผยว่า ปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิมีแท็กซี่มิเตอร์ให้บริการเฉลี่ยวันละ 6,000 เที่ยว ขณะที่แท็กซี่จากแอปพลิเคชันมีประมาณ 5,000 เที่ยว และรถส่วนบุคคลในระบบแอปพลิเคชันอีกราว 4,000 เที่ยวต่อวัน ทั้งนี้ ทอท. พร้อมปรับปรุงพื้นที่จอดแท็กซี่ให้ทันสมัย มีป้ายไฟชัดเจน รวมถึงจัดสร้างห้องน้ำสำหรับผู้ขับขี่ เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของบริการแท็กซี่มิเตอร์ในสนามบินให้เป็นระบบยิ่งขึ้น

news-20250529-01

"คมนาคม" จัดหนัก! ลดค่าบริการสนามบิน 50% ดึง "ไทยไลอ้อนแอร์" เปิดบิน "อู่ตะเภา-อุดรฯ" 11 มิ.ย.นี้

กระทรวงคมนาคมเตรียมกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรองครั้งใหญ่ ด้วยมาตรการ "New Route - New Airline" ที่จะช่วยลดค่าบริการสนามบินลงถึง 50% เพื่อจูงใจให้สายการบินเปิดเส้นทางบินใหม่ โดยสายการบินไทยไลอ้อนแอร์จะเป็นรายแรกที่ตอบรับมาตรการนี้ เตรียมเปิดเส้นทางบินตรง อู่ตะเภา – อุดรธานี ในวันที่ 11 มิถุนายน 2568 นี้

มาตรการส่งเสริมนี้ริเริ่มโดย นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับเมืองน่าเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล และสอดคล้องกับนโยบาย "คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย" ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ได้ออกมาตรการดังกล่าวเพื่อสร้างแรงจูงใจให้สายการบินเปิดเส้นทางบินสู่ท่าอากาศยานภูมิภาคในสังกัด ทย. ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทาง ส่งเสริมการแข่งขันด้านราคาและคุณภาพบริการ และลดการผูกขาดในเส้นทางที่มีผู้ให้บริการเพียงรายเดียว นอกจากนี้ การมีสายการบินใหม่เข้ามาให้บริการยังเป็นการส่งสัญญาณว่าจังหวัดนั้นมีความพร้อมที่จะรองรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนด้านการท่องเที่ยวมากขึ้น

ด้าน นายดนัย เรืองสอน อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า มาตรการนี้จะลดค่าบริการขึ้น-ลงของอากาศยานและค่าบริการที่เก็บอากาศยานลง 50% เป็นเวลา 1 ปี สำหรับ เส้นทางบินใหม่ (New Route) ที่ไม่เคยทำการบินมาก่อน หรือหยุดบินไปนานกว่า 1 ปี และลดค่าบริการ 50% เป็นเวลา 3 เดือน สำหรับ สายการบินใหม่ (New Airline) ที่ไม่เคยให้บริการมายังท่าอากาศยานนั้น หรือหยุดให้บริการไปนานกว่า 1 ปี

สำหรับ ไทยไลอ้อนแอร์ ที่จะเปิดเส้นทางบินไป-กลับ อู่ตะเภา - อุดรธานี สัปดาห์ละ 4 เที่ยวบิน จะได้รับส่วนลดค่าบริการ 50% เป็นระยะเวลา 1 ปี เนื่องจากเป็นเส้นทางบินใหม่ ส่วนเส้นทาง ดอนเมือง - นครพนม ที่จะเริ่มให้บริการในวันที่ 19 มิถุนายน 2568 สัปดาห์ละ 7 เที่ยวบิน จะได้รับส่วนลด 50% เป็นเวลา 3 เดือน เนื่องจากเข้าข่ายเป็นสายการบินใหม่ที่ให้บริการในเส้นทางนี้

สายการบินที่สนใจรับสิทธิ์ตามมาตรการนี้สามารถแจ้งความจำนงเป็นหนังสือมายังกรมท่าอากาศยานเพื่อพิจารณาอนุมัติได้ต่อไป

news-20250527-03

ข้าวล้นโลก! ผลผลิตแตะระดับสูงสุดในประวัติการณ์ กดดันไทยเสี่ยงส่งออกลด 29%

ปี 2568 กำลังเป็นปีที่ท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมข้าวไทย เมื่อรายงานล่าสุดจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (USDA) เผยว่า ผลผลิตข้าวโลกปีนี้กำลังพุ่งสู่จุดสูงสุดใหม่ที่ 535.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเกือบ 3% จากปีก่อน และเป็นปีที่ 9 ติดต่อกันที่ตัวเลขการผลิตทำลายสถิติเดิม

แรงขับหลักมาจากประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย กัมพูชา บราซิล และเวเนซุเอลา โดยเฉพาะอินเดียที่มีการเพิ่มสต๊อกสูงสุดถึง 1.5 ล้านตัน ขณะที่จีนยังคงครองแชมป์ประเทศที่มีปริมาณข้าวสำรองสูงสุดในโลกถึง 103.5 ล้านตัน หรือคิดเป็นกว่า 56% ของสต๊อกโลก

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนภาพชัดว่า ตลาดข้าวโลกกำลังเข้าสู่ภาวะ “ล้นโกดัง” อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งผลต่อปริมาณการค้าโลกที่คาดว่าจะลดลงเหลือ 59.7 ล้านตันในปี 2025 จาก 59.9 ล้านตันในปีก่อนหน้า ทั้งยังส่งผลให้ไทย ซึ่งเคยเป็นผู้ส่งออกรายสำคัญ อาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการแข่งขันมากขึ้น

หนึ่งในตลาดที่เคยเป็นความหวังอย่างอินโดนีเซีย ซึ่งเคยนำเข้าข้าวจากไทยมากถึง 3 ล้านตันต่อปี ขณะนี้เริ่มชะลอการนำเข้าอย่างมีนัยสำคัญ เหลือเพียง 800,000 ตัน เนื่องจากปริมาณสต๊อกภายในประเทศที่พุ่งสูง บวกกับราคาข้าวไทยที่สูงกว่าคู่แข่งในอาเซียน เช่น เวียดนามและกัมพูชา ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ไม่เพียงแต่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามเองก็เริ่มขยับบทบาทในตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะเวียดนามที่นำเข้าข้าวจากกัมพูชาเพื่อนำไปแปรรูปและส่งออกต่ออีกทอดหนึ่ง ทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นสมรภูมิที่การแข่งขันเข้มข้นกว่าที่เคย

สำหรับไทย รายงานคาดการณ์ว่าการส่งออกข้าวในปี 2025 จะลดลงมาอยู่ที่ 7 ล้านตัน ลดลงประมาณ 5 แสนตัน หรือราว 29.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่อินเดียคาดว่าจะส่งออกเพิ่มเป็น 24 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 33.9% ด้านปากีสถานและกัมพูชา แม้จะมีการชะลอตัวเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถรักษาระดับการส่งออกไว้ได้ในระดับสูง

ปัญหาที่ซ้อนอยู่ไม่ใช่แค่เรื่องของผลผลิตหรือราคาที่แข่งขันลำบากเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความสามารถในการปรับตัวของระบบเกษตรกรรมไทย โดยเฉพาะเมื่อชาวนาไทยกว่า 18 ล้านคน หรือคิดเป็นราว 25% ของประชากรประเทศ ยังคงต้องพึ่งพาข้าวเป็นรายได้หลัก

ในแง่ของนโยบาย รัฐบาลไทยเริ่มมองเห็นแนวทางใหม่ เช่น การส่งเสริม “ศูนย์ข้าวชุมชน” เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพราคาภายใน และกระจายอำนาจการจัดการสต๊อกให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับกลยุทธ์รับมือกับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “ข้าวไทยจะแพงเกินไปหรือไม่?” แต่คือ “ไทยจะอยู่ตรงไหนในตลาดโลกที่ข้าวกลายเป็นสินค้าล้นตลาด?” และภาครัฐจะวางหมากอย่างไร เพื่อให้ชาวนากลับมาเป็นผู้เล่นที่ได้เปรียบในเกมที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

news-20250527-02

'ทุเรียนไทย' เสี่ยงเสียแชมป์! เวียดนามแอบสวมสิทธิ์ตีตลาดจีน ราคาทรุด คนในวงการสะกิดรัฐต้องเร่งจัดการ

แม้ทุเรียนไทยจะขึ้นชื่อว่าเป็น “ราชาแห่งผลไม้” และเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ แต่วิกฤตครั้งใหม่กำลังก่อตัวแบบเงียบๆ เมื่อผู้ส่งออกเริ่มเผชิญแรงกดดันจากคู่แข่งในภูมิภาค ทั้งเวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ที่เริ่มตีตลาดจีนได้มากขึ้น โดยเฉพาะเวียดนามที่ถูกจับตาว่ามีการสวมสิทธิ์ส่งออกทุเรียนเข้าจีนภายใต้โควต้าของไทย ทำให้ราคาตลาดรวมร่วงหนัก

แหล่งข่าวในแวดวงอุตสาหกรรมทุเรียนไทยระบุว่า เวลานี้เริ่มมีทุเรียนเวียดนามเล็ดลอดเข้ามาสวมสิทธิ์ส่งออกผ่านระบบของไทยมากขึ้น แม้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่สัญญาณความผิดปกติในราคาตลาดและพฤติกรรมของล้งส่งออกก็ทำให้คนในวงการเริ่มกังวล ว่าหากปล่อยไว้โดยไม่มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด ไทยอาจเสี่ยงเสียตำแหน่งผู้นำตลาดทุเรียนในจีนในไม่ช้า

ธวัชชัย จุงสุพงษ์ เจ้าของ Toby’s Farm สวนทุเรียนพรีเมียมจากจันทบุรี สะท้อนภาพรวมปีนี้ว่า ตลาดทุเรียนไทยเจอกับความท้าทายหนักขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเรื่องสภาพอากาศที่แปรปรวน ผลผลิตออกช้า ราคาปรับขึ้นเฉียด 200 บาทต่อกิโลกรัม และต้องเผชิญกับมาตรการคุมเข้มจากฝั่งจีนหลังมีข่าวเรื่องล้งบางแห่งใช้สารเคลือบสีผลไม้ในปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน เวียดนามยังได้เปรียบในด้านต้นทุนและโครงสร้างพื้นฐาน เพราะต้นทุนการผลิตทุเรียนของเวียดนามเฉลี่ยแค่ 19 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ของไทยอยู่ที่ราว 40 บาท แถมยังมีรถไฟความเร็วสูงที่สามารถขนส่งทุเรียนไปถึงจีนภายใน 3 ชั่วโมง จึงไม่แปลกที่ราคาทุเรียนเวียดนามจะต่ำกว่ามาก อยู่ที่เพียง 110-120 บาทต่อกิโลกรัม เทียบกับของไทยที่ขายส่งออกในราคา 240-250 บาท

ปัจจัยนี้เองทำให้มีผู้ประกอบการบางกลุ่มหันไปหาทางลัด โดยนำทุเรียนเวียดนามมาสวมสิทธิ์ส่งออกในนามของทุเรียนไทยเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีและดันราคาลง ซึ่งในระยะยาวจะทำให้ภาพลักษณ์ทุเรียนไทยเสียหาย และผู้ประกอบการรายเล็กสูญเสียโอกาสในตลาดโลก

อย่างไรก็ตาม วิชัย ศิระมานะกุล ซีอีโอของ NTFG ซึ่งเป็นบริษัทส่งออกผลไม้พรีเมียมรายใหญ่ ยังเชื่อมั่นในศักยภาพของทุเรียนไทย โดยเฉพาะด้านรสชาติที่โดดเด่น ภูมิประเทศที่เหมาะสมกับการปลูก และความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนที่ลึกซึ้งกว่าเวียดนาม ที่ยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร

แม้จะเจอคู่แข่งรุมเร้า แต่ทุเรียนไทยยังมีโอกาสเติบโต หากสามารถรักษาคุณภาพได้ต่อเนื่อง และเร่งปรับตัวเรื่องต้นทุนให้แข่งขันได้ การขยายตลาดไปยังชุมชนชาวจีนในต่างประเทศก็ยังเป็นช่องทางที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่ออุปสงค์ยังมีอยู่มหาศาลในหลายประเทศ

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ภาครัฐต้องไม่อยู่เฉยกับปัญหาสวมสิทธิ์ที่กำลังกัดกร่อนความเชื่อมั่นของตลาด หากไม่เร่งแก้เกม ไทยอาจต้องเผชิญกับการเสียตำแหน่งแชมป์ตลาดทุเรียนในจีนให้เพื่อนบ้านเร็วกว่าที่คิด

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us