News Update

news-20250305-03

'มนพร' สนับสนุน 'ท่าเรือระนอง' หลังยอดนำเข้า - ส่งออกทะลุ 200%

“มนพร” สนับสนุนท่าเรือระนอง หลังยอดนำเข้า - ส่งออกทะลุ 200% เพิ่มพื้นที่รับตู้สินค้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ –ผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภคและกระดาษม้วน ขยายตัวเศรษฐกิจไทย - ประเทศเพื่อนบ้าน มั่นใจพร้อมเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลฝั่งอันดามัน เชื่อมโยง SEC

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันท่าเรือระนองมียอดการนำเข้า – ส่งออกสินค้าพุ่งสูงขึ้น 200% เป็นผลมาจากสถานการณ์ความไม่สงบและปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองเมียวดี ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ทำให้การนำเข้า – ส่งออกไปประเทศเมียนมาและสินค้าผ่านแดนที่ปกติต้องผ่านด่านแม่สอด จังหวัดตาก และด่านแม่สาย จังหวัดเชียงราย ย้ายมาใช้บริการผ่านด่านจังหวัดระนองเพิ่มมากขึ้น

นางมนพร กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมได้เห็นถึงโอกาสทางเศรษฐกิจการขนส่งสินค้าทางทะเลฝั่งอันดามัน สอดคล้องกับนโยบาย “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย” ที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและพัฒนาการบริการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล จึงได้กำชับให้ท่าเรือระนอง ภายใต้การกำกับดูแลของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เตรียมความพร้อมท่าเทียบเรือ พื้นที่ลานวางตู้สินค้า รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกในการให้บริการขนส่งสินค้า เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าจากประเทศเมียนมาที่จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจและเสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในระยะยาว พร้อมรองรับการเป็นระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของท่าเรือระนองในการพัฒนาศักยภาพการให้บริการด้านการขนส่งโลจิสติกส์ของภาคใต้ให้มีศักยภาพและเติบโตมากยิ่งขึ้นต่อไป

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 เป็นต้นมา ท่าเรือระนองมีสินค้านำเข้า – ส่งออกเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และการส่งออกผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค และกระดาษม้วน ส่งผลให้การดำเนินงานในปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) มีเรือเทียบท่าทั้งสิ้น 281 เที่ยว เพิ่มขึ้น 69% ตู้สินค้าผ่านท่า 2,796 ตู้ เพิ่มขึ้น 111% สินค้าผ่านท่า 324,933 ตัน เพิ่มขึ้น 251% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม – ธันวาคม 2567) มีเรือเทียบท่า 61 เที่ยว เพิ่มขึ้น 91% ตู้สินค้าผ่านท่า 2,002 ตู้ เพิ่มขึ้น 458% สินค้าผ่านท่า 21,294 ตัน เพิ่มขึ้น 26% 

นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า จากการเติบโตของท่าเรือระนอง สะท้อนถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นตลาดสำคัญสำหรับสินค้าส่งออกของไทย เช่น ผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค และกระดาษม้วน ขณะที่การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สะท้อนถึงความต้องการวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่เติบโตขึ้น นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของปริมาณเรือและตู้สินค้าชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของท่าเรือระนองในการเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลฝั่งอันดามันที่ช่วยสนับสนุนเป้าหมายของ กทท. ในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของระบบโลจิสติกส์ไทยในระดับภูมิภาค

ทั้งนี้ กทท. พร้อมพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในท่าเรือทั้ง 5 แห่ง ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยปัจจุบันท่าเรือระนองมีท่าเทียบเรือทั้งหมด 2 ท่า ได้แก่ ท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ รองรับเรือสินค้าขนาด 500 ตันกรอส และท่าเทียบเรือตู้สินค้า รองรับเรือได้ไม่เกิน 12,000 เดทเวทตัน และมีพื้นที่ฝากเก็บสินค้า ประกอบด้วย โรงพักสินค้าขนาด 1,500 ตารางเมตร ลานวางสินค้าทั่วไปขนาด 7,200 ตารางเมตร ลานวางตู้สินค้าขนาด 11,000 ตารางเมตร สามารถวางตู้สินค้าได้ประมาณ 800 ทีอียู

ที่มา - siamturakij

news-20250312-01

'กรมทางหลวง' ใช้งบ 899 ล้าน ขยาย 4 ช่องจราจร เชื่อมถนนมิตรภาพ ทล. 202 เพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์สู่แดนอีสาน

กรมทางหลวงก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 สาย อ.แก้งสนามนาง - อ.บัวใหญ่ แล้วเสร็จ พร้อมส่งเสริมเส้นทางเพื่อการพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม และเกษตรกรรม รองรับการขยายตัวด้านเศรษฐกิจสู่ชุมชน

กรมทางหลวง โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 2 ดำเนินการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 สาย อ.แก้งสนามนาง - อ. บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ระหว่าง กม.25+660 - กม.26+063, กม.26+900 - กม.27+660 และ กม.28+245 - กม.48+000 ระยะทางยาวกว่า 21 กิโลเมตร เป็นทางหลวงสายสำคัญเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดชัยภูมิ และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 หรือถนนมิตรภาพ มุ่งหน้าเข้าสู่ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเป็นสายทางที่เชื่อมต่อแหล่งชุมชน ซึ่งปัจจุบันมีการเติบโตด้านเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วส่งผลให้มีปัญหาการจราจรที่แออัด

ดังนั้นกรมทางหลวงจึงได้ทำการก่อสร้างขยายทางหลวง จากเดิมขนาด 2 ช่องจราจร เป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษขนาด 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ ข้างละ 2 ช่องจราจร) ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ผิวทางคอนกรีต ไหล่ทางกว้าง ด้านละ 2.50 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยเกาะกลางแบบยก และแบบกำแพงกั้น รวมงานก่อสร้างขยายสะพาน งานติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างและอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยบนทางหลวง วงเงินงบประมาณ 899,300,000 บาท

ปัจจุบันโครงการฯ ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณการจราจร และการขนส่งที่มากขึ้น ส่งผลให้เกิดการคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ให้เกิดความสะดวก ปลอดภัย และมีความรวดเร็วในการเดินทางมากยิ่งขึ้น รองรับโครงการเส้นทางแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก (East - West Economic Corridor ; EWEC) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กระตุ้นระบบเศรษฐกิจสู่ ชุมชนเมืองอย่างยั่งยืน

ที่มา - siamturakij

news-20250310-03

“กรมราง” ปลุก 3 รถไฟฟ้าสายใหม่ รับมติ คจร. รุกแผน M-MAP 2

นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยว่า สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบขนส่งทางรางปี 2568 ปัจจุบันกรมฯ ได้วางแนวทางการดำเนินการพัฒนาการขนส่งทางราง ตามนโยบายของรัฐบาล 

ทั้งนี้จากมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) เมื่อวันที่ 16  ธันวาคม 2567 ที่มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน ที่ผ่านมา ให้โอนภารกิจการดำเนินการในการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สายทาง ประกอบด้วย

รถไฟฟ้าสายสีเงิน ,รถไฟฟ้าสายสีเทา และรถไฟฟ้าสายสีฟ้า จากกรุงเทพมหานคร(กทม.) มายังกระทรวงคมนาคม เป็นผู้ดำเนินการเพื่อให้การพัฒนาโครงข่ายระบบรางมีความสอดคล้องและเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ขณะเดียวกันขั้นตอนการโอนนั้น เบื้องต้นการถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) อยู่ระหว่างหารือกับสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.)  ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับของ กรุงเทพมหานคร(กทม.) เพื่อรวบรวมข้อมูลรายละเอียดของแต่ละโครงการ ว่ามีการดำเนินการถึงไหนอย่างไรเพื่อมาดำเนินการต่อ อย่างไรก็ดีเมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว ทาง รฟม.จะดำเนินการในรายละเอียดรวมถึงดูการเชื่อมต่อกับระบบรถไฟฟ้าสายเดิมที่มีอยู่ และร่างข้อกำหนดและเงื่อนไขของงาน (TOR) ต่อไป

“มองว่าเห็นด้วยกับแนวคิด ที่ภาครัฐเป็นผู้ลงทุนเองทั้ง 3 สายทาง และจ้างเอกชนเข้ามาเป็นผู้เดินรถ  เพื่อให้สามารถสอดคล้องกับการกำหนดนโยบายด้านราคาของภาครัฐ ได้ในช่วงที่รถไฟฟ้า 3 เส้นนี้เปิดให้บริการ  ส่วนการจ้างเอกชนมาเดินรถนั้นก็เชื่อว่าจะทำให้ประชาชนได้รับบริการที่ดี” นายพิเชฐ กล่าว

สำหรับรถไฟฟ้าทั้ง 3 สายทาง ถือเป็น 1ในแผนพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่ 2 หรือ M-MAP 2 ซึ่งคอนเซ็ปต์จะเป็นเหมือนเส้นทางใยแมงมุมที่เข้ามาเสริมเส้นทางหลักที่มีอยู่แล้ว

ด้านความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเงิน ช่วงบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะทาง 19.7 กิโลเมตร วงเงินลงทุนประมาณ 89,948.27 ล้านบาท ปัจจุบันได้มีการศึกษารูปแบบการใช้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) แล้ว ซึ่งตามแผนรถไฟฟ้าสายสีเงินดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2572

ส่วนการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเงิน เป็นรถไฟฟ้าขนาดเบา (Light Rail Transit) จากแนวถนนบางนา-ตราดทางหลวงหมายเลข 34 ฝั่งขาออกจนถึง แยกตัดทางหลวงหมายเลข 370 ซึ่งเป็นถนนเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทางทิศใต้ มีระยะทางรวม 19.7 กิโลเมตร มีจำนวนสถานีทั้งสิ้น 14 สถานี แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระยะทาง 14.6 กิโลเมตร มีจำนวน 12 สถานีและระยะที่ 2 ระยะทาง 5.1 กิโลเมตร มีจำนวน 2 สถานี

อย่างไรก็ตามรถไฟฟ้าสายสีเงินสามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าจำนวน 2 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเขียวที่สถานีบางนา และรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่สถานีศรีเอี่ยม ซึ่งจะเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างสนามบินสุวรรณภูมิและพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานครให้กับประชาชน รวมถึงเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนบางนา-ตราดประมาณการปริมาณผู้ใช้บริการหลังเปิดบริการในอนาคต คาดว่าจะมีจำนวนผู้ใช้บริการของรถไฟฟ้าสายสีเงินประมาณ 165,390 คน-เที่ยว/วัน ส่วนความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทา ระยะที่ 1 ช่วงวัชรพล-ทองหล่อ ระยะทาง 16.3 กิโลเมตร วงเงินลงทุนประมาณ 29,130 ล้านบาท

ขณะนี้ได้มีการศึกษารูปแบบการใช้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) แล้ว มี 15 สถานี เป็นรถไฟฟ้าขนาดเบา (Light Rail Transit) โดยเริ่มจากบริเวณแยกต่างระดับรามอินทรา ถนนประดิษฐ์มนูธรรม (ฝั่งขาเข้า) ข้ามทางพิเศษฉลองรัชมุ่งหน้าตาม ถนนประดิษฐ์มนูธรรม ถนนพระราม 9 ตัดสู่แยกเอกมัย ถนนเพชรบุรี ถนนทองหล่อ และสิ้นสุดที่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 55 (ทองหล่อ)

ที่มา - thansettakij

news-20250310-02

รถไฟฟ้า 'สายสีชมพู' ส่วนต่อขยาย นั่งฟรี 1 เดือน เข้าร่วม 20 บาทตลอดสาย

ความคืบหน้าล่าสุด โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย "ช่วงสถานีศรีรัช – เมืองทองธานี" คาดว่าจะเปิดบริการให้นั่งฟรี 1 เดือน ก่อนเปิดเต็มรูปแบบเดือน กรกฎาคม 2568 และพร้อมเข้าร่วมมาตรการ 20 บาทตลอดสาย

รถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย นั่งฟรี 1 เดือน เข้าร่วม 20 บาทตลอดสาย
โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช – เมืองทองธานี ระยะทาง 3 กิโลเมตร ซึ่งประกอบด้วย 2 สถานี ล่าสุด ณ เดือนมกราคม 2568 มีความคืบหน้าโดยรวม 85.97% แบ่งเป็นงานโยธา 87.88% และงานระบบไฟฟ้า 82.22% ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการ 2.17%

ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มทดสอบการเดินรถเสมือนจริงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 และเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรี 1 เดือน ตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน ก่อนเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยกำหนดอัตราค่าโดยสาร 15-22 บาท และภายในเดือนกันยายน 2568 จะเข้าร่วมมาตรการค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย

โครงการนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่เดินทางไปยัง Impact เมืองทองธานี และพื้นที่โดยรอบ โดยเป็นระบบรถไฟฟ้า Monorail เหมือนกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี (ส่วนหลัก) ที่เปิดให้บริการไปแล้ว ซึ่งการเชื่อมต่อระหว่างส่วนหลัก และส่วนต่อขยาย จะเชื่อมต่อที่สถานีเมืองทองธานี มีทั้งหมด 3 ชานชาลา

  • ชานชาลาที่ 1 สำหรับรถไฟที่มุ่งหน้าไปยังสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี
  • ชานชาลาที่ 2 สำหรับรถไฟที่มุ่งหน้าไปยังสถานีมีนบุรี และเส้นทางส่วนต่อขยาย
  • ชานชาลาที่ 3 ไปยังสถานีอิมแพ็คเมืองทองธานี

ที่มา - bangkokbiznews

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us