News Update

L2D Page (88)

สหรัฐฯ เดินหน้าลดภาษีนำเข้าญี่ปุ่น 16 ก.ย. นี้ ดันอุตสาหกรรมยานยนต์ขยายตัว

สหรัฐอเมริกาออกประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่น โดยเฉพาะรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยมาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 กันยายน 2568 ตามที่เผยแพร่ในเอกสารราชการ Federal Register ซึ่งรับรองคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ภายใต้ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ–ญี่ปุ่น

เรียวเซ อากาซาวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่นและหัวหน้าผู้เจรจาการค้า เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า การลดภาษีดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญในการขจัดอุปสรรคทางการค้า โดยอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์จะปรับจาก 27.5% ลงมาอยู่ที่ 15% ขณะที่ชิ้นส่วนยานยนต์ได้รับสิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขเดียวกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตญี่ปุ่นในตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างชัดเจน

การดำเนินการครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อสัปดาห์ก่อน เพื่อปลดล็อกความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นตลอดเดือนที่ผ่านมา แม้ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ จะบรรลุข้อตกลงในเดือนกรกฎาคมแล้ว แต่ต้องรอการรับรองทางกฎหมายจึงจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ

ในขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้แสดงความตั้งใจต่อสหรัฐฯ ด้วยการลงนามบันทึกความเข้าใจกับโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ โดยให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน

นักวิเคราะห์มองว่าการลดภาษีครั้งนี้จะสร้างแรงกระตุ้นใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น โดยเฉพาะบริษัทรถยนต์รายใหญ่ เช่น โตโยต้า ฮอนด้า และนิสสัน ที่มีฐานการผลิตและเครือข่ายการจำหน่ายในสหรัฐฯ อยู่แล้ว ซึ่งจะสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ผลิตชิ้นส่วนญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน ผลกระทบต่อไทยอาจมีทั้งบวกและลบ ด้านหนึ่ง อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ อาจต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรงขึ้น เนื่องจากสินค้าญี่ปุ่นมีต้นทุนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในอีกด้านหนึ่ง การที่ญี่ปุ่นขยายฐานการผลิตในสหรัฐฯ และภูมิภาค อาจเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่กว้างขึ้น

ในภาพรวม การลดภาษีครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งอาจมีผลต่อสมดุลการค้าโลกในระยะยาว ทั้งในมิติการแข่งขัน การลงทุน และความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะภาคยานยนต์และเทคโนโลยีขั้นสูงที่ทั้งสองประเทศต้องการรักษาความเป็นผู้นำในเวทีโลก

ChatGPT Image Sep 10, 2025, 09_30_39 AM

ก้าวใหม่โลจิสติกส์ไทย–ลาว: สะพานมิตรภาพหนองคาย–เวียงจันทน์ แห่งที่ 2 เปิดเส้นทางการค้าเชื่อมจีน

การขนส่งผลไม้ไทยสู่ตลาดจีนขยายตัวต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มีปริมาณกว่า 1,108 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือราว 27,700 ตัน ผ่านเส้นทางรางมาบตาพุด–หนองคาย–สปป.ลาว–จีน ระยะทางกว่า 1,750 กิโลเมตร กลายเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่ช่วยผลักดันการค้าผลไม้ไทยให้เข้าถึงตลาดปลายทางได้รวดเร็วและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

เพื่อรองรับแนวโน้มที่เติบโต รัฐบาลไทยเดินหน้าหารือร่วมกับ สปป.ลาว และจีน เกี่ยวกับการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย–ลาว หนองคาย–เวียงจันทน์ แห่งที่ 2 โดยมีนายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เป็นประธานการประชุมครั้งแรกของปี 2568 ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านคมนาคม การต่างประเทศ และการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–จีน ซึ่งปัจจุบันระยะที่ 1 มีงานก่อสร้างเสร็จแล้วบางส่วน และอยู่ระหว่างดำเนินการอีกหลายสัญญา ส่วนระยะที่ 2 จากนครราชสีมาไปหนองคาย กำลังเตรียมเปิดประมูลภายในปี 2568 ขณะเดียวกันยังได้เตรียมความพร้อมของฝ่ายไทยก่อนเข้าหารืออย่างเป็นทางการกับ สปป.ลาวในเดือนตุลาคม เพื่อกำหนดท่าทีและข้อสรุปการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ซึ่งจะเชื่อมสถานีนาทา–หนองคาย เข้ากับท่านาแล้งและเวียงจันทน์ใต้

การผลักดันสะพานหนองคาย–เวียงจันทน์ แห่งที่ 2 ไม่เพียงเป็นการเชื่อมต่อโครงข่ายรางระหว่างไทย ลาว และจีน หากยังเป็นกลไกสำคัญในการขยายพลังทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน สู่การเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งและมั่นคงมากขึ้นในอนาคต

“อรรถกร” เดินหน้าคุมเข้มทุเรียนแช่แข็ง ยกระดับมาตรฐาน ป้องกันสินค้าปลอมปนในตลาดส่งออก

นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร ครั้งที่ 3/2568 ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผู้ผลิต ผู้ส่งออก และผู้นำเข้าสินค้าเกษตรตามมาตรฐานบังคับ โดยเฉพาะกรณีทุเรียนแช่แข็ง ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องยื่นเอกสารหลักฐานประกอบทุกครั้งที่มีการนำเข้าและส่งออก เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำเข้าทุเรียนจากต่างประเทศแล้วนำมาบรรจุใหม่พร้อมอ้างว่าเป็นทุเรียนไทย อันเป็นการสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นในสินค้าเกษตรของประเทศ

มาตรการดังกล่าวถือเป็นการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรไทย และต่อยอดจากการดำเนินการที่กระทรวงเกษตรฯ เคยประกาศไว้แล้วก่อนหน้านี้ เช่น มาตรฐานการปฏิบัติที่ดีสำหรับการผลิตทุเรียนแช่เยือกแข็ง (มกษ. 9046-2560) และมาตรฐานการตรวจและรับผลทุเรียนสำหรับโรงรวบรวมและโรงคัดบรรจุ (มกษ. 9070-2566) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 ประเทศคู่ค้าได้บังคับใช้มาตรการเข้มงวดมากขึ้น โดยกำหนดให้ผู้ส่งออกทุเรียนต้องแนบรายงานผลการตรวจเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค โลหะหนักแคดเมียม และสารสีต้องห้าม Basic Yellow 2 (BY2) ในทุกชิปเมนต์ เพื่อป้องกันปัญหาการกีดกันทางการค้าและสร้างความมั่นใจให้กับตลาดต่างประเทศ

นอกจากประเด็นทุเรียนแล้ว ที่ประชุมยังได้เห็นชอบร่างมาตรฐานสินค้าเกษตรใหม่อีกหลายเรื่องเพื่อขยายขอบเขตการกำกับดูแล ได้แก่ การผลิตพืชโดยปลอดการเผาในกลุ่มพืชเศรษฐกิจหลักอย่างข้าว ข้าวโพด และอ้อยโรงงาน เพื่อแก้ปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 โดยเริ่มจากมาตรการภาคสมัครใจก่อนจะพัฒนาไปสู่ข้อบังคับในอนาคต มันเทศซึ่งมีการกำหนดเกณฑ์คุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าสดตั้งแต่การเตรียม บรรจุ ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพ หลักการปฏิบัติในการป้องกันและลดการปนเปื้อนสารหนูในข้าวเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและรักษาความเชื่อมั่นในตลาดโลก การจัดหมวดหมู่สินค้าเกษตรเล่มใหม่สำหรับอาหารแปรรูปจากพืช อ้างอิงมาตรฐานสากล Codex เพื่อรองรับการตรวจสอบและการค้า รวมถึงมาตรฐานการปฏิบัติที่ดีสำหรับศูนย์ผลิตน้ำเชื้อปศุสัตว์ ที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต บรรจุเก็บรักษา การดูแลสัตว์ ไปจนถึงการขนส่งและการบันทึกข้อมูล เพื่อรับประกันคุณภาพ ความปลอดภัย และความถูกต้องของข้อมูลพันธุ์สัตว์

การกำหนดมาตรฐานใหม่เหล่านี้สะท้อนความพยายามของภาครัฐในการยกระดับสินค้าเกษตรไทยทั้งด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือในตลาดโลก พร้อมทั้งเป็นการปิดช่องโหว่ของการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรเถื่อน และสร้างกลไกที่สอดคล้องกับมาตรการสิ่งแวดล้อมและการค้าสากลในอนาคต

ส่งออกหนุนเศรษฐกิจต้นปี ขับเคลื่อนตลาดอุตสาหกรรมไทยโตต่อเนื่องครึ่งแรกปี 2568

ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เปิดเผยรายงานตลาดอสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรมครึ่งปีแรก 2568 โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกขยายตัว 3.1% ได้แรงหนุนหลักจากการส่งออกที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 13 ไตรมาส มีมูลค่ารวม 80.44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นแรงผลักสำคัญ ทั้งคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบที่เติบโตถึง 130.8% เครื่องใช้ไฟฟ้า 50.4% และอุปกรณ์โทรคมนาคม 24.6% ขณะเดียวกัน การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นถึง 26.3% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกัน

อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนกลับหดตัว 0.9% สะท้อนความระมัดระวังท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลงเหลือ 2.6% ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิถุนายนอยู่ที่ 97.18 ขยายตัว 0.58% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะยานยนต์ไฮบริดและไฟฟ้า รวมถึงภาคเกษตร

คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานว่าในไตรมาสแรกปีนี้ยังมีความเคลื่อนไหวคึกคัก โดยมีโครงการได้รับอนุมัติรวม 530 โครงการ มูลค่ารวม 368,510 ล้านบาท เพิ่มขึ้นชัดเจนจากปีก่อน การเติบโตนี้มาจากอุตสาหกรรมมูลค่าสูง โดยเฉพาะภาคดิจิทัลที่มีการลงทุนเพิ่มขึ้นมากกว่า 900% ขณะที่กลุ่มไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญ แม้จำนวนโรงงานใหม่ลดลง 33% และการขยายโรงงานลดลงถึง 55% แต่กลับไม่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของการอนุมัติ FDI และยอดขายที่ดินอุตสาหกรรม

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนสองแนวโน้มหลัก คือการรวมกิจการที่ทำให้โครงการลงทุนมีขนาดใหญ่ขึ้นแม้มีจำนวนลดลง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงอย่างยานยนต์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งยังเห็นความต้องการที่ดินจากธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่โรงงาน เช่น ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างในตลาดอสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรมไทยไปสู่โครงการขนาดใหญ่และมูลค่าสูง

ในช่วงครึ่งปีแรก 2568 อุปทานที่ดินอุตสาหกรรมพร้อมบริการ (SILP) เพิ่มขึ้น 1.5% อยู่ที่ 184,028 ไร่ โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายจากนิคมเดิมและโครงการใหม่ เช่น WHA Eastern Seaboard 3.1 ขณะที่อุปสงค์มียอดขายรวม 4,684 ไร่ เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อน โดยพื้นที่ EEC ยังคงครองสัดส่วนสูงสุดถึง 85% ส่งผลให้อัตราการขายสะสมของตลาดปรับขึ้นเป็น 90% ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 4.5% มาอยู่ที่ 6.64 ล้านบาทต่อไร่ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล (BMR) ที่พุ่งขึ้นเป็นสถิติสูงสุดที่ 11.6 ล้านบาทต่อไร่

ตลาดโรงงานสำเร็จรูป (RBF) ไม่มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดในครึ่งปีแรก แสดงถึงความระมัดระวังของผู้พัฒนา ส่งผลให้อัตราการครอบครองปรับขึ้นเป็น 96.2% โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่เกือบเต็มกำลังถึง 98.73% ส่วน BMR และภาคกลางก็ยังคงมีอัตราการครอบครองสูงเช่นกัน

มาร์คัส เบอร์เทนชอว์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านพื้นที่โลจิสติกส์และอุตสาหกรรมของไนท์แฟรงค์ ชี้ว่าภาพรวมตลาดสะท้อนการปรับตัวของเศรษฐกิจไทยในท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก แม้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะสร้างแรงกดดัน แต่การส่งออกที่แข็งแกร่งในช่วงต้นปียังคงช่วยพยุงการเติบโต

เขาย้ำว่าการลดลงของจำนวนโรงงานใหม่ไม่ได้เป็นสัญญาณลบ แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้นไปสู่การลงทุนในอุตสาหกรรมมูลค่าสูง เช่น ดิจิทัลและยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐและศักยภาพเชิงแข่งขันของไทยในระยะยาว แนวโน้มในอนาคตแม้อาจเผชิญการชะลอตัวของการขายที่ดินในระยะสั้น แต่ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายที่ชัดเจนยังคงทำให้ไทยเป็นเป้าหมายการลงทุนคุณภาพสูงที่น่าจับตามองต่อไป

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us