News Update

news-20241127-02

"หุ่นยนต์ - รางรถไฟ" ปรับโฉมโลจิสติกส์เวียดนาม หลังติดรองบ๊วย 6 ชาติอาเซียน

หุ่นยนต์และรางรถไฟกำลังยกระดับการขนส่งในประเทศเวียดนามที่ประสิทธิภาพการขนส่งอยู่ในอันดับท้าย ๆ ในหมู่ชาติที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของอาเซียน ในสถานการณ์ที่ต้องรับมือกับอีคอมเมิร์ซที่กำลังขยายห่วงโซ่การผลิตและโรงงานที่ย้ายมาผลิตสินค้าในเวียดนามกันมากขึ้น

นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า หุ่นยนต์และรางรถไฟกำลังปรับโฉมหน้าและพัฒนาระบบขนส่งในเวียดนาม ซึ่งผู้ผลิตหลายรายกำลังขยายซัพพลายเชนและอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะแบรนด์อย่างช้อปปี้ (Shopee) และชีอิน (SHEIN) กำลังได้รับความนิยม

บริษัทเวียตเทล โพสต์ (Viettel Post) ซึ่งทำธุรกิจขนส่งสัญชาติเวียดนาม อวดโดรนส่งของและหุ่นยนต์คัดแยกสินค้าว่า กำลังช่วยยกขีดความสามารถการประมวลผลของบริษัทขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ โดยยกตัวอย่างด่านพรมแดนอัจฉริยะที่ทหารเป็นเจ้าของนั้น วางแผนที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ตามแผนของรัฐบาลที่จะปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานโดยรวมของประเทศ ซึ่งเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีโลจิสติกส์เลวร้ายมากที่สุดในอาเซียน

แผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานของทางการเวียดนามอาจเร่งการขนส่งสินค้า ตั้งแต่รางรถไฟแห่งใหม่ที่เชื่อมต่อกับจีน ไปจนถึงทางด่วนที่กำลังก่อสร้างเชื่อมระหว่างภาคเหนือและใต้ ซึ่งการขนส่งสินค้าภายในประเทศที่มีความยาว 3,000 กิโลเมตรอาจมีต้นทุนสูงกว่าการขนส่งระหว่างเวียดนามและสิงคโปร์

เวียตเทล โพสต์ระบุอีกว่า ภาคโลจิสติกส์ของเวียดนามยังคงมีข้อจำกัดจำนวนมาก ต้นทุนโลจิสติกส์คิดเป็นสัดส่วนกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ขั้นตอนการคัดแยกสินค้ายังคงใช้มือทำหรือเป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ ส่วนการนำระบบอัตโนมัติมาใช้อยู่ที่ 10 เปอร์เซ็นต์

แม้ว่าเทมู (TEMU) และชีอิน (SHEIN) จะเผชิญกับกระแสตอบรับเชิงลบจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีน แต่ทั้ง 2 บริษัทก็เป็นส่วนหนึ่งของกระแสการจับจ่ายซื้อของออนไลน์ที่เรียกร้องให้มีการขนส่งที่ดีขึ้นในเวียดนาม ซึ่งจากข้อมูลงานวิจัยที่เป็นความร่วมมือระหว่าง Google, Temasek and Bain ระบุว่า ยอดขายสินค้าออนไลน์ของเวียดนามเติบโตขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์ จากปี 2023 ถึงปี 2024

จอห์น แคมป์เบลล์ (John Campbell) หัวหน้าฝ่ายบริการอุตสาหกรรมของซาวิลส์ (Savills) กล่าวว่า สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการจัดเก็บสินค้าเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากความต้องการด้านโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้น โดยโรงงานต่าง ๆ กำลังย้ายไปยังเวียดนามเพื่อผลิตสินค้าส่งออก ตัวอย่างเช่น หูฟังสำหรับบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กอย่างเมตา และเลนส์ถ่ายภาพสำหรับบริษัทแทมรอน (Tamron) ของญี่ปุ่น

ที่มา - prachachat

news-20241127-01

'ETDA' เผย 73.3% องค์กรไทยเตรียมพร้อมปรับใช้เทคโนโลยี AI

ความพร้อมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะในประเด็นด้านการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี AI ของไทยมีตัวเลขการเติบโตของการประยุกต์ใช้งานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

จาก “ผลการสำรวจความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) สำหรับบริการดิจิทัล ปี 2567 หรือ AI Readiness Measurement 2024” ฉบับล่าสุด ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ชี้ชัดว่าองค์กรที่ประยุกต์ใช้ AI แล้ว เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 17.8% (ปี 66 อยู่ที่ 15.2%) , มีแผนที่จะใช้งาน AI ในอนาคต สูงถึง 73.3% (ปี 66 อยู่ที่ 56.6%) และยังไม่ต้องการใช้ AI และต้องการการสนับสนุน 8.9% (ปี 66 อยู่ที่ 28.2%)

ผลการสำรวจยังพบว่า องค์กรที่มีการนำ AI มาใช้งานแล้ว มีความพร้อมเฉลี่ยอยู่ที่ 55.1% หรืออยู่ในระดับ “Aware” ซึ่งหมายถึง องค์กรมีความตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยี AI และเริ่มนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในองค์กร

เมื่อพิจารณาแยกลงไปในแต่ละด้าน (Pillar) พบว่า ด้านที่มีความเข้มแข็งมากที่สุด คือ ด้านข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน (ประกอบด้วย รูปแบบและคุณภาพของข้อมูล และ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่จำเป็นต่อการใช้งาน AI) โดยมีคะแนนเฉลี่ยความพร้อมในด้านนี้อยู่ที่ 65.5% ซึ่งจัดอยู่ในระดับ “Aware” โดยกลุ่มที่มีความพร้อมอยู่ในระดับต้นๆ ได้แก่ กลุ่มการเงินและการค้า กลุ่มโลจิสติกส์และการขนส่ง และ กลุ่มการศึกษา

ทั้งนี้ การที่หน่วยงานมีความพร้อมโดยเฉพาะในด้านข้อมูลสูง สาเหตุหนึ่งมาจากในห้วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความตื่นตัวในเรื่องของ Big Data และเห็นความสำคัญของการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ในมุมมองต่างๆ ตามที่องค์กรให้ความสนใจ สำหรับด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยในระดับรองลงมาได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านยุทธศาสตร์และความสามารถขององค์กร ด้านธรรมาภิบาล และด้านเทคโนโลยี ตามลำดับ

สำหรับองค์กรที่ปัจจุบันยังไม่มีการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในองค์กร ได้ให้เหตุผลที่น่าสนใจ 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) ยังอยู่ในช่วงของการศึกษาข้อมูล เนื่องจากยังไม่ทราบว่าจะนำ AI มาประยุกต์ใช้อย่างไร (2) รอนโยบายจากผู้บริหารที่จะเห็นความจำเป็นในการนำ AI มาใช้ และ (3) องค์กรยังขาดความพร้อมและต้องการการสนับสนุนในด้านงบประมาณ รวมถึงยังต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าในการลงทุนต่างๆ เพื่อให้สามารถนำ AI มาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ในขณะที่อุปสรรคสำคัญในการใช้งาน Generative AI คือ (1) องค์กรขาดบุคลากรที่มีทักษะ (2) องค์กรมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของข้อมูลที่นำมาใช้งาน และ (3) องค์กรยังขาดเงินทุนสำหรับการจัดซื้อและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถใช้งานได้

นอกจากนี้ ประเด็นที่น่าสนใจคือ ยังไม่พบว่าองค์กรใดเลยที่มีนโยบายที่จะเลิกการจ้างคนทั้งหมด แม้ว่างานในส่วนนั้นจะสามารถนำ Generative AI มาใช้แทนได้ก็ตาม

โดยเป้าหมายขององค์กรที่มีการประยุกต์ใช้ AI แล้ว ส่วนใหญ่กว่า 69.6% ใช้เพื่อบริหารจัดการภายในองค์กร รองลงมา 59.8% ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือบริการขององค์กร และ 56.8% ใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ หรือบริการขององค์กร

ส่วน Top 3 ประเด็นขององค์กรที่มีแผนที่จะใช้งาน ส่วนใหญ่กว่า 69.6% อยู่ระหว่างกำลังศึกษาข้อมูล AI ส่วนอีก 59.8% ระบุรอนโยบายจากผู้บริหาร และอีก 56.8% พิจารณาด้านงบประมาณและความคุ้มค่า

AI Readiness Measurement ไม่เพียงสะท้อนภาพความพร้อมด้านการประยุกต์ใช้ AI ของไทย แต่ยังเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับทุกภาคส่วน ที่ช่วยกำหนดทิศทางนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ นำประเทศก้าวสู่เป้าหมายใหญ่ ทั้งการเพิ่มสัดส่วนมูลค่าเพิ่มเศรษฐกิจดิจิทัลต่อ GDP และการขยับ Ranking การแข่งขันทางดิจิทัลในเวทีโลกได้เร็วขึ้นด้วย

IMD ชี้เพิ่มทั้งโอกาสและความเหลื่อมล้ำ

ขณะที่ สถาบัน IMD สวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยรายงาน IMD World Talent Ranking 2024 ระบุว่าการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในที่ทำงานกำลังปฏิวัติโลกการทำงาน สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายใหม่ให้กับตลาดแรงงานทั่วโลก

ผลสำรวจผู้บริหารทั่วโลกพบว่า 58% เห็นว่า AI ถูกใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานที่ทำโดยมนุษย์ ขณะที่ 23% ระบุว่า AI ยังไม่ได้ถูกบูรณาการเข้ากับกระบวนการทำงานอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม 12% ชี้ว่า AI กำลังแทนที่งานเดิมและทำให้มีการลดขนาดกำลังแรงงาน และ 7% เห็นว่า AI ส่งผลให้พนักงานเลือกลาออกอย่างเงียบๆ หรือเกษียณก่อนกำหนด

ข้อมูลจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ชี้ให้เห็นความแตกต่างของผลกระทบระหว่างประเทศที่มีระดับรายได้ต่างกัน โดยพบว่าเพียง 0.4% ของงานในประเทศรายได้ต่ำที่มีความเสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI ในขณะที่ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 5.5% ในประเทศรายได้สูง

นอกจากนี้ รายงานยังพบว่าการนำ AI มาใช้ในกระบวนการจ้างงานอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติรูปแบบใหม่ โดยข้อมูลจาก World Justice Project แสดงให้เห็นว่าหลายประเทศที่มีการใช้ AI อย่างกว้างขวาง เช่น ญี่ปุ่น แคนาดา สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร และไทย กำลังประสบกับระดับการเลือกปฏิบัติที่เพิ่มขึ้น

ที่น่าสนใจคือ ประเทศที่มีดัชนีการไม่เลือกปฏิบัติสูงมีแนวโน้มดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถได้ดีกว่า เช่น สิงคโปร์ที่มีดัชนีการไม่เลือกปฏิบัติ 0.81 จาก 1 มีคะแนนการดึงดูดและรักษาบุคลากรสูงถึง 8.56 จาก 10 ขณะที่ประเทศไทยซึ่งมีดัชนีต่ำกว่า ได้คะแนนเพียง 53 จาก 100

รายงานยังชี้ว่าคุณภาพชีวิตเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดบุคลากรทักษะสูง โดยประเทศอย่างนอร์เวย์ที่มีดัชนีการไม่เลือกปฏิบัติสูง (0.83) และคะแนนคุณภาพชีวิตสูง (8.61) ประสบความสำเร็จในการดึงดูดบุคลากรมากกว่าประเทศที่มีดัชนีต่ำกว่า เช่น สหรัฐฯ (0.48) และฮังการี (0.40) ที่มีคะแนนคุณภาพชีวิตเพียง 7.13 และ 4.23 ตามลำดับ

ที่มา - thansettakij

news-15112024-01

LEO ควัก 160 ล้านบาท เปิดตัว “LEO COLDBOTIC” ศูนย์จัดเก็บ-กระจายสินค้า แห่งแรกในไทย

‘ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์’ ทุ่มงบ 160 ล้านบาท เปิดตัว “LEO COLDBOTIC” ศูนย์จัดเก็บและกระจายสินค้า (Logistics Center) ควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะสำหรับเก็บไวน์แห่งแรกของประเทศไทยและเป็นคลังสินค้าฑัณฑ์บน (Bonded Warehouse) ที่ได้รับ BOI ประเภทกิจการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย รวมทุกจุดเด่นการให้บริการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาตรฐาน พร้อมจุดขายใหม่ Wine Tasting Area ที่ออกแบบมาเพื่อเจาะกลุ่มไวน์เลิฟเวอร์โดยเฉพาะ บิ๊กบอส “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” มั่นใจต่อยอดธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics ช่วยสร้างรายได้เพิ่มจากการบริการจัดการด้าน Warehouse / Distribution Center ดันผลงานปี 67 มาตามนัด

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดตัว “LEO COLDBOTIC” คลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิที่ใช้ระบบ Automation & Robot  ระบบอัจฉริยะใช้ Robot ทำงานแทนมนุษย์ แห่งแรกของประเทศไทยที่ใช้เก็บสินค้าประเภทไวน์  ตั้งอยู่ในบริเวณท่าเทียบเรือ สหไทยฯ ถนนปู่เจ้าสมิงพราย ตำบลบางหญ้าแพรก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ภายใต้งบลงทุน 160 ล้านบาท และยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับการอนุมัติจากทางกรมศุลกากรให้เป็นคลังสินค้าทัณฑ์บน (Bonded Warehouse) ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการสามารถได้รับสิทธิประโยชน์ในเรื่องภาษีนำเข้าของการใช้คลังสินค้าทัณฑ์บนทุกประการ และยังเป็น Bonded Cold Chain Logistics Center ที่ตั้งอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจและการค้าของกรุงเทพมหานครมากที่สุด

“LEO COLDBOTIC เป็นการให้บริการคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า (Warehouse / Logistics Center) แบบครบวงจร  ที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิฉริยะควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์และใช้หุ่นยนต์ทำงานแทนมนุษย์ด้วยระบบ 4-ways shuttle Automatic รายแรกของประเทศไทยในการจัดเก็บสินค้าประเภท Wine & Spirit   สามารถจัดเก็บสินค้าประเภทไวน์ ในระหว่างช่วงอุณหภูมิตั้งแต่ 15-18 องศาเซลเซียส ได้มากกว่า 1.2 ล้านขวด นอกจากนี้ยังสามารถนำเสนอบริการโลจิสติกส์ได้อย่างครบวงจรในลักษณะ End-to-End Global Logistics  เหมาะสำหรับลูกค้าในกลุ่มผู้นำเข้าไวน์ ธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ต โรงแรม และร้านอาหาร เป็นอย่างยิ่ง อีกทั้ง ยังได้รับสิทธิ์ BOI ประเภทกิจการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย (Distribution Center: DC)”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO กล่าวอีกว่า สำหรับไฮไลท์ของ LEO COLDBOTIC อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ห้อง Wine tasting  สำหรับลูกค้าที่มาเก็บไวน์ที่คลังของเราได้จัดพื้นที่นำเสนอไวน์ให้กับลูกค้า สามารถนั่งชิมไวน์ในบรรยากาศหรูหรา  รวมถึงมีห้องประชุมสำหรับพูดคุยเรื่องธุรกิจเพิ่มเติมด้วย

ขณะที่การดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้รวม จำนวน 513.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 141.1 ล้านบาท หรือ 38% จากไตรมาส 2/2567 และเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2566 เพิ่มขึ้น 187.6 ล้านบาท หรือ 58% เมื่อเปรียบเทียบ 9 เดือนปี 2567 กับ 9 เดือนปี 2566 เพิ่มขึ้น 225.1 ล้านบาท คิดเป็น 22%

“บริษัทฯ เชื่อมั่นว่านับตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 บริษัทฯจะมีการเติบโตของรายได้และกำไรขั้นต้นจากการรับรู้รายได้ของหน่วยธุรกิจใหม่ๆ เช่น โครงการ Self-Storage และ Wine Storage สาขา ถนนพระราม 4 โดยรายได้ของธุรกิจ Self-Storage มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 3/2567 โดยมีการเติบโตถึง 98% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/2566 และเมื่อเปรียบเทียบ 9 เดือนปี 2567 กับ 9 เดือนปี 2566 เพิ่มขึ้น 68% รวมถึงโครงการอื่นๆที่ได้มีการจัดตั้งในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่  การขนส่งทางรางไปยังประเทศจีน-ลาว ของบริษัท LaneXang Express การขนส่งสินค้าทางรางภายในประเทศของบริษัท Sritrang Leo Multimodal Logistics การให้บริการศูนย์โลจิสติกส์และกระจายสินค้า ของบริษัท Advantis Leo และการส่งออกสินค้าทุเรียนไปยังประเทศจีนจากบริษัท LEO Sourcing & Supply Chain ซึ่งบริษัทดังกล่าวเหล่านี้จะทำให้เกิดรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีสัดส่วนของรายได้มาเป็น 30-35% จากยอดรวมของบริษัทฯ ใน 1-2 ปีข้างหน้า”

news-13112024-01

'คมนาคม' ลุยศึกษาเก็บค่าธรรมเนียมรถติด เปิดโมเดล 4 ประเทศแก้ปัญหาได้จริง

นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ไปดำเนินการศึกษาแนวทางการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดอย่างรอบคอบ ทั้งข้อดีของการดำเนินการพื้นที่ที่จะดำเนินการ อัตราค่าธรรมเนียม รูปแบบการชำระค่าธรรมเนียม รูปแบบการดำเนินการในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ และนำมาเปรียบเทียบความน่าจะเป็นกับความเหมาะสมในประเทศไทย รวมถึงระบบ ทางเศรษฐกิจทุกภาคส่วน สังคม สิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียม และระบบการขนส่งสาธารณะ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก

ทั้งนี้ จากการรายงานของ สนข. ถึงผลการศึกษาเบื้องต้นระบุว่า ก่อนหน้านี้ช่วงปี 2562 - 2565 สนข. ได้ความร่วมมือจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน (GIZ) ในการดำเนินการศึกษาและพิจารณารายละเอียดของการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด ขณะนี้ สนข. ได้ทบทวนผลการศึกษาเพื่อสนับสนุนนโยบาย ค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เบื้องต้นได้ศึกษาถึงมาตรการที่เหมาะสมกับบริบทของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในพื้นที่ที่มีการพัฒนาระบบขนส่งด้วยรถไฟฟ้า และรถขนส่งสาธารณะอย่างครอบคลุม และมีความสะดวกในการใช้งานแล้ว เพื่อสนับสนุนให้พี่น้องประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น โดยจะมีการจัดเตรียมระบบขนส่งสาธารณะให้มีความพร้อมรองรับการเดินทางอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะระบบขนส่งสาธารณะรอง (ฟีดเดอร์) เพื่อขนส่งผู้โดยสารมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะหลักอย่างระบบรถไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการจราจร สามารถกำหนดระยะเวลาในการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังลดมลพิษทางอากาศ และที่สำคัญการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดนั้น จะนำเงินที่ได้รับดังกล่าวมาสนับสนุนนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ถือเป็นการลดค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชน สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และมีส่วนช่วยแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ได้อีกด้วย

นายกฤชนนท์ กล่าวต่อว่า ในการศึกษาของ สนข. นั้น ยังได้นำรูปแบบการดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดใน 4 ประเทศที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้กับประเทศไทยให้มีความเหมาะสม ได้แก่ 1) ลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยมีการใช้ระบบกล้องตรวจจับการรับรู้ป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ (ANPR) เพื่อจัดเก็บค่าธรรมเนียมฯ ในพื้นที่ศูนย์กลางของเมือง รัศมีขนาด 21 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) จัดเก็บในช่วงวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 07.00 - 18.00 น. และวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 12.00 - 18.00 น. แต่ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์

โดยจัดเก็บในราคา 15 ปอนด์ต่อวัน (ประมาณ 658 บาท) ส่วนวิธีการชำระเงินนั้นสามารถชำระได้ในช่องทางแอปพลิเคชันและออนไลน์ ซึ่งผลลัพธ์จากการศึกษามาตรการเก็บค่าธรรมเนียมใช้ถนนที่ลอนดอน พบว่า การจราจรติดขัดลดลง 16% และมีปริมาณผู้โดยสารขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น 18% 2) ประเทศสิงคโปร์ จัดเก็บค่าธรรมเนียมฯ ในพื้นที่ศูนย์กลางของเมือง ทางด่วน และพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น ในวันจันทร์ - เสาร์ ช่วงเวลา 06.00 - 22.00 น. ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ในราคา 1 - 6 ดอลลาร์สิงคโปร์ (26 - 158 บาท) ขึ้นอยู่กับประเภทรถ ช่วงเวลา และพื้นที่ สามารถชำระเงินได้ที่ชุดควบคุมภายในรถ (IU) โดยเชื่อมต่อกับเครื่องชำระเงินผ่านบัตรแทนเงินสด หรือบัตรเดบิต / เครดิต

ส่วนระบบการทำงานนั้นจะใช้เทคโนโลยีวิทยุระบุความถี่ (RFID) เพื่อทำการเก็บค่าธรรมเนียมความแออัดโดยอัตโนมัติจากยานพาหนะที่ติดตั้ง IU ที่ผ่านไปใต้ประตู ERP โดยผลลัพธ์การจัดเก็บค่าธรรมเนียมฯ พบว่า การจราจรติดขัดลดลง 15% 3) สต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน จัดเก็บในพื้นที่ศูนย์กลางของเมืองทางหลวงพิเศษเอสซิงเกเลเดน (Essingeleden Motorway) ในวันจันทร์ - เสาร์ เวลา 06.30 - 18.29 น. ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ในราคา 11 - 45 โครนาสวีเดน (35.53 - 145.35 บาท) ขึ้นอยู่กับประเภทรถ ช่วงเวลา และพื้นที่ โดยกล้องตรวจจับการรับรู้ป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ จะตรวจจับค่าผ่านทางบนถนน โดยจะบันทึกยานพาหนะทั้งหมด และมีการส่งใบแจ้งหนี้ไปยังเจ้าของยานพาหนะในช่วงสิ้นเดือน

ทั้งนี้ ผลลัพธ์การจัดเก็บค่าธรรมเนียมฯ พบว่า จราจรติดขัดลดลง 20% มีการใช้ขนส่งสาธารณะเพิ่ม 5% ขณะที่ โกเธนเบิร์ก ประเทศสวีเดน ได้มีการจัดเก็บในพื้นที่ใจกลางเมืองโกเธนเบิร์กทั้งหมด และถนนสายหลัก E6 ในวันจันทร์ - เสาร์ เวลา 06.30 - 18.29 น. ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ในราคา 9 - 22 โครนาสวีเดน (29.07 - 71.06 บาท) ขึ้นอยู่กับประเภทรถ ช่วงเวลาและพื้นที่

ส่วนรูปแบบการชำระเงินและการดำเนินการ จะเป็นเช่นเดียวกันกับสต็อกโฮล์ม โดยการดำเนินการในโกเธนเบิร์กนั้น พบว่า จราจรติดขัดลดลง 10% และใช้ขนส่งสาธารณะเพิ่ม 6% 4) มิลาน ประเทศอิตาลี ได้ติดตั้งกล้องตรวจจับการรับรู้ป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ เพื่อจัดเก็บค่าธรรมเนียมฯ ในพื้นที่ใจกลางเมืองมิลาน บริเวณเซอร์เคีย เดย บาสติโอนี่ (Cerchia dei Bastioni) แบ่งเป็นวันจันทร์ อังคาร พุธ และศุกร์ เวลา 07.30 - 19.30 น. ส่วนวันพฤหัสบดี เวลา 07.30 - 18.30 น. (ยกเว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์) จัดเก็บในราคา 2 - 5 ยูโรต่อวัน (76.42 - 191.05 บาท) ขึ้นอยู่กับประเภทรถ สามารถชำระเงินได้ผ่านตู้ชำระเงินบริเวณที่จอดรถ เครื่องเอทีเอ็ม แอปพลิเคชัน และระบบออนไลน์ โดยการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว พบว่า การจราจรติดขัดลดลง 34%

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าประเทศที่ดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด พบว่ามีปริมาณผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าก่อนเริ่มใช้มาตรการนั้น ประชาชนจะตั้งข้อสังเกตุในหลายกรณี แต่เมื่อหลังเริ่มใช้แล้วพบว่าประชาชนให้การสนับสนุนและให้การยอมรับ

นายกฤชนนท์ กล่าวอีกว่า ในผลการศึกษาฯ ยังระบุอีกว่าก่อนที่จะเริ่มใช้มาตรการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดของทั้ง 4 ประเทศดังกล่าวข้างต้นนั้น มีประชาชนไม่เห็นด้วยจำนวนหนึ่ง แต่ภายหลังจากเริ่มแล้วกลับมาให้การยอมรับและเห็นด้วยอย่างมาก เช่น สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ก่อนเริ่มมาตรการฯ ประชาชนในพื้นที่ให้การยอมรับ 21% และภายหลังเริ่มมาตรการให้การยอมรับเพิ่มเป็น 67% ขณะที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก่อนเริ่มมาตรการฯ ประชาชนในพื้นที่ให้การยอมรับ 39% และภายหลังเริ่มมาตรการให้การยอมรับเพิ่มเป็น 54% อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมจะดำเนินการอย่างละเอียด รอบคอบ เป็นธรรม และพร้อมรับฟังทุกเสียงของพี่น้องประชาชนอย่างเท่าเทียมแน่นอน

ล่าสุดในปี 2567 สนข. อยู่ระหว่างการขอรับการสนับสนุนในการศึกษา Congestion Charge โครงการของ UK PACT โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักร เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการกำหนดนโยบายเพื่อใช้กำหนดรูปแบบ วิธีการ และค่าธรรมเนียม ในการนำรถยนต์ส่วนบุคคลเข้ามาในเขตพื้นที่ที่มีการติดขัดของการจราจรสูง โดยจะต้องศึกษามาตรการที่เหมาะสมกับบริบทของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในพื้นที่ที่มีการพัฒนาระบบขนส่งด้วยรถไฟฟ้า รถขนส่งสาธารณะอย่างครอบคลุม และมีความสะดวกในการใช้งานแล้ว โดยระยะเวลาดำเนินโครงการศึกษาคาดเห็นความชัดเจนในปี 2568

ที่มา - nationtv

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us