News Update

L2D Page (48)

“อรรถกร” เดินหน้าคุมเข้มมาตรฐานทุเรียนไทยส่งออกจีน ถอดบทเรียนแก้ปัญหาย้อมสี ล็อกคุณภาพสร้างความเชื่อมั่นตลาด พร้อมวางแผนลำไยตามต่อ

ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ผ่านมา นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานที่ปรึกษาการประชุมคณะทำงานติดตามและแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนย้อมสีไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ครั้งที่ 13/2568 โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ไม่ว่าจะเป็นนายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ นายถาวร ทันใจ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวนฤมล สงวนวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทำงานฯ รวมถึงนางสาวอิงอร ปัญญากิจ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และสำนักแผนงานและโครงการพิเศษ

การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการติดตามและประเมินผลมาตรการควบคุมปัญหาการปนเปื้อนสารห้ามใช้ในทุเรียนผลสดที่ส่งออกไปยังประเทศจีน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเคยเกิดปัญหาทุเรียน “ย้อมสี” จนสร้างแรงกดดันต่อภาพลักษณ์ของทุเรียนไทยในตลาดจีน รัฐมนตรีเกษตรฯ ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ไทยต้องเรียนรู้จากบทเรียนเดิม นำมาวิเคราะห์ทั้งอุปสรรคและช่องโหว่ เพื่อนำไปปรับปรุงและวางแผนรองรับฤดูกาลส่งออกครั้งต่อไปให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น

ที่ประชุมได้หารือถึงการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะการสร้างระบบควบคุมคุณภาพในสวนผลไม้ การตรวจสอบย้อนกลับ และการยกระดับมาตรฐานการผลิตให้ได้ตามข้อกำหนดของจีน ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาซ้ำรอยในอนาคต และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและคู่ค้ารายใหญ่ในจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกผลไม้ที่สำคัญที่สุดของไทย

นายอรรถกรยังย้ำด้วยว่า มาตรการควบคุมคุณภาพจะต้องเข้มข้นต่อเนื่อง ไม่เพียงเพื่อรักษาภาพลักษณ์ทุเรียนไทย แต่ยังเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการและเกษตรกรไทย ซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชนบท นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ขยายกรอบการหารือไปถึงแนวทางเตรียมความพร้อมสำหรับการส่งออกลำไยไปจีนในฤดูกาลที่จะถึง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาด้านคุณภาพซ้ำรอยทุเรียน และยกระดับมาตรฐานผลไม้ไทยทั้งระบบ

การประชุมครั้งนี้จึงสะท้อนถึงความจริงจังของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการยกระดับมาตรฐานผลไม้ไทยทั้งด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือในสายตาตลาดโลก โดยเฉพาะประเทศจีนที่ยังคงเป็นตลาดหลักและมีศักยภาพการเติบโตสูง หากไทยสามารถควบคุมมาตรฐานได้อย่างเข้มแข็ง ย่อมจะช่วยสร้างแต้มต่อในการแข่งขัน และขยายโอกาสส่งออกผลไม้ไทยในอนาคตอย่างยั่งยืน

L2D Page (47)

ไทยลงนาม MOU ศรีลังกา เตรียมนำเข้าแรงงานศรีลังกา เสริมตลาดแรงงานไทยแทนกัมพูชา

ประเทศไทยเดินหน้าเสริมกำลังแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ ล่าสุด นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ไทยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับรัฐบาลศรีลังกาเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นความคืบหน้าสำคัญของการจัดหากำลังคนต่างด้าวเข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมาย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนเสนอเรื่องผ่านกระทรวงการต่างประเทศ และเข้าสู่การตรวจพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างสมบูรณ์ตามกฎหมาย

เมื่อขั้นตอนทางกฎหมายแล้วเสร็จ จะเปิดทางให้แรงงานจากศรีลังกาเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยกระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน สำรวจความต้องการแรงงานในสาขาต่าง ๆ ทั้งภาคอุตสาหกรรมการผลิต เกษตรกสิกรรม และบริการ เพื่อกระจายแรงงานศรีลังกาเข้าสู่ตลาดแรงงานหลายภาคส่วน ไม่ให้กระจุกตัวอยู่เพียงบางอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน และรักษาเสถียรภาพการผลิตในภาพรวมของประเทศ

การนำแรงงานศรีลังกาเข้ามาครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อทดแทนแรงงานกัมพูชาจำนวนมากที่ตัดสินใจอพยพกลับบ้านในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากความไม่สงบชายแดน ส่งผลให้หลายภาคการผลิตในไทยต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานกะทันหัน และกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเปิดรับแรงงานจากประเทศใหม่จึงกลายเป็นยุทธศาสตร์ที่กระทรวงแรงงานมุ่งดำเนินการ เพื่อกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาแรงงานจากประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป และสร้างความมั่นคงในตลาดแรงงานของไทย

รัฐมนตรีแรงงานย้ำว่า การทำ MOU กับศรีลังกาเป็นเพียงจุดเริ่มต้น รัฐบาลยังคงพิจารณาความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ไทยมีแหล่งแรงงานที่หลากหลายและเพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวและภาคการส่งออกมีแนวโน้มเติบโต ความพร้อมด้านแรงงานจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

การลงนามครั้งนี้จึงสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการปรับตัวต่อสถานการณ์แรงงานที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งสร้างกลไกป้องกันไม่ให้การผลิตและการจ้างงานในประเทศสะดุด อันเป็นการวางรากฐานเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

L2D Page (46)

จับตาสหรัฐคงภาษีจีน 30% หนุนสินค้าทะลักเข้าไทย ผู้เชี่ยวชาญเตือนขาดดุลพุ่ง-เสี่ยงถูกสวมสิทธิส่งออกสหรัฐ โดนภาษีอ่วม

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่เริ่มต้นขึ้นภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงขยายวงสู่ความขัดแย้งด้านการค้าระดับโลก หลังสหรัฐประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากคู่ค้าต่าง ๆ ในอัตรา 10-50% มีผลตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เป็นต้นมา โดยไทยถูกเก็บภาษีในอัตรา 19% ส่วนจีนได้รับการขยายเวลาการจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 30% ออกไปอีก 90 วัน จนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568

สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความกังวลว่าสินค้าจีนอาจไหลทะลักเข้าสู่ภูมิภาคอาเซียน รวมถึงไทยมากขึ้น รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยว่า ในปี 2567 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนกว่า 1.6 ล้านล้านบาท และปี 2568 มีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 1.7–1.8 ล้านล้านบาท แม้ผลกระทบจากภาษี 30% ที่สหรัฐเรียกเก็บจากจีนยังไม่ปรากฏชัดในปีนี้ แต่หากสหรัฐคงภาษีนำเข้าไว้ที่ระดับนี้หรือสูงกว่าในอนาคต จะส่งผลให้เกิดการเบี่ยงเบนทางการค้า และสินค้าจีนจะหลั่งไหลเข้ามาในตลาดไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2569–2571

สินค้าหลักที่ไทยนำเข้าจากจีนในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก และเสื้อผ้า คิดเป็น 70–80% ของการนำเข้า ส่วนอีกประมาณ 20% เป็นสินค้าเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ และปุ๋ย ขณะที่สินค้าที่ไทยส่งออกไปจีนมีมูลค่าไม่สูงนัก ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรและสินค้าเกษตรแปรรูป เช่น ผลไม้สดและแห้ง ผลิตภัณฑ์ยาง มันสำปะหลัง และไก่

รศ.ดร.อัทธ์ ยังเตือนว่า ปริมาณสินค้าจีนที่ทะลักเข้าไทยอาจนำไปสู่การสวมสิทธิ (Transshipment) โดยสินค้าจีนถูกแปลงถิ่นกำเนิดเป็น “เมด อิน ไทยแลนด์” เพื่อส่งออกไปสหรัฐ หากเกิดขึ้นจริง สหรัฐอาจเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าเหล่านี้สูงถึง 40% เช่นเดียวกับกรณีที่เคยเกิดกับเวียดนาม ซึ่งหน่วยงานไทยจึงจำเป็นต้องเข้มงวดในการตรวจสอบย้อนกลับถิ่นกำเนิดสินค้า

ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปัจจุบันมีสินค้า 49 รายการที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการสวมสิทธิ เช่น แผงโซลาร์เซลล์ ฮาร์ดดิสก์ ล้อเหล็ก ท่อเหล็ก ยางรถยนต์ สายไฟ กระปุกเกียร์ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และของใช้ตกแต่งต่าง ๆ โดยกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องยื่นตรวจสอบถิ่นกำเนิดก่อนการออกหนังสือรับรอง Form C/O

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แสดงความกังวลว่าสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาในไทยเพิ่มมากขึ้นจะยิ่งกดดันอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี โดยคาดว่าในปี 2568 จะมีอย่างน้อย 30 อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม หลังจากปีก่อนมีเพียง 24 อุตสาหกรรม

เขาระบุว่า ปัจจุบันกำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทยอยู่เพียง 60% ต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็นที่ 75–80% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากผลพวงของนโยบายการเก็บภาษีของสหรัฐตั้งแต่ “ทรัมป์ 1.0–2.0” และกระแสสินค้าจีนที่ทะลักเข้าสู่ตลาดไทย

นอกจากนี้ นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ซีอีโอกลุ่มบริษัท EfraStructure ชี้ว่าการค้าออนไลน์และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซกลายเป็นช่องทางสำคัญในการกระจายสินค้าจีนเข้าสู่ภูมิภาค รัฐบาลไทยจึงต้องบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร ตำรวจสอบสวนกลาง กระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee Lazada และ TikTok Shop ในการตรวจสอบและกวาดล้างสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน พร้อมผลักดันกฎหมายและระบบตรวจสอบที่รัดกุม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผูกขาดและเอาเปรียบผู้บริโภค

สถานการณ์ภาษีสหรัฐ–จีนที่ยังไม่แน่นอน และกระแสสินค้าจีนที่หลั่งไหลเข้ามาในไทย จึงไม่เพียงสร้างแรงกดดันต่อภาคอุตสาหกรรม แต่ยังอาจกลายเป็นโจทย์ใหญ่ด้านนโยบายเศรษฐกิจการค้าของไทยในระยะยาว

L2D Page (45)

“จตุพร” ไฟเขียว นำเข้าถั่วเหลืองไม่จำกัด-ภาษี 0% เดินหน้ากรอบ 3 ปี ควบคู่มาตรการคุ้มครองเกษตรกร

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ที่มีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบมาตรการสำคัญเพื่อบริหารจัดการสินค้าพืชน้ำมันและน้ำมันพืช โดยมุ่งสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมในประเทศ และยกระดับรายได้เกษตรกรให้เติบโตอย่างยั่งยืน

มาตรการหลักที่ประกาศในที่ประชุมคือการเปิดเสรีการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองในช่วงปี 2569–2571 โดยไม่จำกัดปริมาณ และกำหนดอัตราภาษีนำเข้า 0% ทั้งนี้ เนื่องจากความต้องการใช้ถั่วเหลืองในประเทศอยู่ที่ประมาณ 3.6–4 ล้านตันต่อปี ขณะที่ผลผลิตในประเทศมีเพียง 15,000–16,000 ตันต่อปีเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกษตรกรได้รับผลกระทบ รัฐบาลจะออกกลไกคุ้มครองรายได้ ได้แก่ การประกันราคาถั่วเหลืองในประเทศให้สูงขึ้นไม่น้อยกว่ากิโลกรัมละ 1 บาท และสนับสนุนค่ารวบรวมผลผลิตผ่านสหกรณ์และวิสาหกิจชุมชนกิโลกรัมละ 2 บาท

นอกจากนี้ ยังมีการบริหารจัดการโควตาการนำเข้ากากถั่วเหลืองระหว่างปี 2568–2570 ปริมาณ 230,559 ตัน ภายใต้พันธกรณีขององค์การการค้าโลก (WTO) โดยกำหนดอัตราภาษีในโควตา 10% และนอกโควตา 133% รวมถึงกำหนดให้กากถั่วเหลืองที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อการบริโภคของมนุษย์ต้องเป็นชนิด Non GMO เช่น ซอสหรือซีอิ๊ว เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ

สำหรับสินค้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพืชน้ำมัน ที่ประชุมยังเห็นชอบให้เปิดตลาดและบริหารการนำเข้ามะพร้าว เนื้อมะพร้าวแห้ง มะพร้าวฝอย น้ำมันมะพร้าว รวมถึงแฟรกชัน ในช่วงปี 2569–2571 ภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรี (FTA) และพันธกรณี WTO โดยจะเน้นการบริหารสมดุลอุปสงค์–อุปทานภายในประเทศ เพื่อป้องกันความผันผวนของราคาและลดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าว

นายฉันทานนท์กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้มาตรการเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ประชุมได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลรายสินค้า โดยมีตัวแทนจากภาครัฐ เกษตรกร และเอกชนเข้าร่วม อาทิ คณะอนุกรรมการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าว ที่มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน ส่วนคณะอนุกรรมการกำกับดูแลเมล็ดถั่วเหลืองมีเลขาธิการ สศก. ทำหน้าที่ประธาน

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงการวางระบบบริหารจัดการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชตลอดห่วงโซ่อุปทานครบวงจร โดยสอดคล้องกับพันธกรณีการค้าระหว่างประเทศ และยังสร้างความมั่นใจได้ว่าภาคอุตสาหกรรมจะมีวัตถุดิบเพียงพอ ขณะเดียวกันเกษตรกรไทยก็จะมีกลไกดูแลที่ชัดเจน เพื่อยกระดับรายได้และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us