News Update

L2D Page (46)

ราคาส่งออก-นำเข้าไทย มิ.ย. 68 ขยายตัวต่อเนื่อง จากแรงเร่งนำเข้า-ส่งออกก่อนสหรัฐฯ ปรับภาษี

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าของไทยในเดือนมิถุนายน 2568 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากการเร่งสำรองสินค้าของประเทศคู่ค้า ก่อนที่มาตรการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะมีผลเต็มรูปแบบ รวมถึงการเพิ่มปริมาณนำเข้าสินค้าวัตถุดิบเพื่อผลิตส่งออกและรองรับการบริโภคภายในประเทศ

ดัชนีราคาส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ระดับ 111.3 เพิ่มขึ้น 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากสินค้าอุตสาหกรรมที่เร่งส่งออกก่อนปรับภาษีสหรัฐฯ โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ประกอบ ส่วนทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ได้รับความนิยม ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ความต้องการเครื่องปรับอากาศในหลายประเทศเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิที่สูงขึ้น ก็เป็นอีกแรงหนุนสำคัญ

ในกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าอย่างอาหารทะเลกระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ยังคงเติบโตตามแนวโน้มความต้องการสินค้าสุขภาพและไลฟ์สไตล์ แต่ขณะเดียวกัน หมวดแร่และเชื้อเพลิง รวมถึงสินค้าเกษตรบางชนิด เช่น ข้าวและมันสำปะหลัง กลับมีราคาลดลงจากภาวะอุปทานส่วนเกิน และแรงกดดันด้านการแข่งขันราคาในตลาดโลก

ด้านดัชนีราคานำเข้าเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 115.4 เพิ่มขึ้น 2.4% จากปีก่อนหน้า โดยมีแรงผลักจากการนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร และอุปกรณ์เพื่อรองรับการผลิตและคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ รวมถึงความต้องการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัว หนุนให้เกือบทุกหมวดสินค้านำเข้าปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ยา เครื่องประดับ และสินค้าเบ็ดเตล็ดทั่วไป

ในหมวดวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ราคาทองคำยังขยับขึ้นจากความกังวลต่อสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง และนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่แผงวงจรไฟฟ้า และปุ๋ย ก็เป็นอีกกลุ่มที่ขยายตัวตามความต้องการในอุตสาหกรรมผลิตและภาคเกษตร สำหรับหมวดสินค้าทุน เช่น เครื่องจักรกล และคอมพิวเตอร์ ยังเติบโตได้ดี สะท้อนถึงการลงทุนที่สอดรับกับเทคโนโลยีดิจิทัล ส่วนหมวดยานพาหนะขยายตัวเล็กน้อยตามการเติบโตของอุตสาหกรรม EV ในประเทศ ขณะที่หมวดเชื้อเพลิงกลับลดลงกว่า 10% จากความคาดหวังว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะสูงเกินอุปสงค์

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 3 ปี 2568 สนค. คาดว่าดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าจะยังขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยมีแรงหนุนจากความต้องการสินค้าเกษตรแปรรูป อาหาร และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI, Data Center และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งยังคงเติบโตในตลาดโลก ประกอบกับต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มขยับสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบการขยายตัวราคายังต้องจับตา ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ แนวโน้มอุปทานส่วนเกินในสินค้าเกษตรบางชนิด และการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อภาคการส่งออกไทยในช่วงถัดไป

L2D Page (45)

ไปรษณีย์ไทยชูบทบาทเชื่อมไทย-จีน ดัน SME บุกตลาดด้วยโลจิสติกส์และ Soft Power

ปี 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ดำเนินมายาวนานถึง 50 ปี ตลอดช่วงเวลาครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่างสองประเทศได้เบ่งบานในหลากหลายมิติ ทั้งด้านการเมือง สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ โดยมี “บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด” เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้เชื่อมโยงความสัมพันธ์อย่างแนบแน่น จากบทบาทผู้ส่งสารในอดีต สู่การเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ทรงพลัง

ในช่วงเวลาที่การสื่อสารยังไม่ไร้พรมแดนเช่นในปัจจุบัน ไปรษณีย์ไทยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการส่งต่อจดหมาย โปสการ์ด และพัสดุจากคนไทยเชื้อสายจีนถึงครอบครัวในแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสื่อแห่งความคิดถึงเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานของความไว้วางใจ ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเศรษฐกิจโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและการค้าออนไลน์กลายเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน ไปรษณีย์ไทยได้ปรับตัวอย่างรวดเร็วและพัฒนาบทบาทสู่การเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั้งทางบกและทางอากาศ เชื่อมโยงไทย–จีนอย่างไร้รอยต่อ ระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งนี้ไม่ได้ตอบโจทย์เพียงแค่ผู้ส่งออกขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ของไทยสามารถเข้าสู่ตลาดจีนที่มีศักยภาพสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เหตุการณ์สำคัญที่ตอกย้ำความสามารถในการปรับตัวของไปรษณีย์ไทยคือการกลับมาเปิดเส้นทางขนส่งสู่ประเทศจีนได้อย่างรวดเร็วหลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งไม่เพียงแต่แสดงถึงศักยภาพด้านการบริหารจัดการเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการไทยว่า ห่วงโซ่อุปทานจะไม่สะดุด และการส่งออกสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง

หนึ่งในโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการรายย่อยต้องเผชิญคือปัญหาด้านโลจิสติกส์ในช่วง "ไมล์แรก" และ "ไมล์สุดท้าย" ไปรษณีย์ไทยได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ผ่านเครือข่ายจุดบริการกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศ ทำให้ไม่ว่าผู้ประกอบการจะอยู่พื้นที่ใด ก็สามารถเข้าถึงบริการที่ได้มาตรฐานและเชื่อมต่อกับระบบขนส่งระหว่างประเทศได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง ThailandPostMart ที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรและผู้ผลิตสินค้าชุมชนสามารถเข้าสู่ตลาดออนไลน์ เชื่อมต่อกับระบบขนส่งของไปรษณีย์ไทยได้ครบวงจร ส่งเสริมให้สินค้าเกษตร ผลไม้สด ผลิตภัณฑ์แปรรูป และสินค้า OTOP ของไทย เดินทางไปถึงมือผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างสดใหม่และรวดเร็ว

นอกเหนือจากบทบาทในเชิงเศรษฐกิจ ไปรษณีย์ไทยยังสานต่อภารกิจการเป็น “ทูตวัฒนธรรม” ผ่านการจัดทำแสตมป์ที่ระลึก เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญและสื่อถึงมิตรภาพระหว่างสองชาติ ล่าสุดในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ได้จัดทำแสตมป์ชุดพิเศษ “50 ปี ไทย–จีน” ที่ออกแบบอย่างงดงาม โดยนำพญานาค ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของไทย และมังกร ตัวแทนของจีน มาผสานเป็นเลข 50 อย่างมีศิลปะ พร้อมองค์ประกอบทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่สะท้อนความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง เช่น ภาพการเชิดสิงโต พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญในพระราชวังบางปะอิน และอาคารสถาปัตยกรรมจีน–โปรตุเกสในจังหวัดภูเก็ต

แสตมป์ชุดพิเศษนี้จึงไม่ใช่เพียงของสะสมหายาก หากแต่เป็นสื่อ Soft Power ที่ทรงพลัง ถ่ายทอดเรื่องราวของมิตรภาพข้ามพรมแดนได้อย่างลึกซึ้ง เป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือที่ต่อเนื่องจากแสตมป์ชุดพิเศษในวาระครบรอบ 20 ปี และเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่าบทบาทของไปรษณีย์ไทยนั้นลึกซึ้งกว่าที่หลายคนเคยมอง

การเดินทางตลอด 50 ปีของความสัมพันธ์ไทย–จีน ภายใต้มุมมองของไปรษณีย์ไทย จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของการส่งสารหรือขนส่งพัสดุ แต่คือการเชื่อมโยงผู้คน เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งและยั่งยืน ไปรษณีย์ไทยได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ที่พร้อมสนับสนุนทั้งการค้าและการสื่อสารวัฒนธรรมในระดับภูมิภาค สู่การเติบโตอย่างมั่นคงในอีก 50 ปีข้างหน้า

L2D Page (44)

การส่งออกของไทยเดือนมิถุนายน 2568: เติบโตต่อเนื่องท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการค้า

การส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน 2568 ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งที่ร้อยละ 15.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน โดยมีมูลค่า 28,649.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 938,533 ล้านบาท แรงหนุนสำคัญมาจากการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีใหม่ที่อาจมีผลในอนาคต การชะลอการใช้มาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ผู้นำเข้าเร่งตุนสินค้าไทยไว้ล่วงหน้า

อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนการเติบโตยังคงเป็นภาคอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของเทคโนโลยีดิจิทัลทั่วโลก นอกจากนี้ สินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้สด แช่แข็ง มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม น้ำตาลทราย ไก่แปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยง ก็กลับมาฟื้นตัวและขยายตัวได้ดีในหลายตลาดสำคัญ รวมถึงจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเวียดนาม

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกไทยรวมอยู่ที่ 166,851.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตร้อยละ 15.0 ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 166,914.1 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 11.6 ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลเล็กน้อยที่ 62.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากคิดเป็นเงินบาท มูลค่าส่งออกในช่วงเดียวกันอยู่ที่ 5,578,959 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.6 ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 5,651,241 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 4.6

การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในช่วงเวลาดังกล่าวเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลไม้สดและแปรรูปที่เติบโตในระดับสูงในหลายตลาด เช่น จีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์มีอัตราการเติบโตถึง 124.2% ขณะที่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลัง อาหารสำเร็จรูป และน้ำตาลทรายก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับข้าวและอาหารทะเลกระป๋องที่กลับมาหดตัว

ในด้านสินค้าอุตสาหกรรม การเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 17.6 นำโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง โดยสินค้ากลุ่มนี้ขยายตัวในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม บางหมวดสินค้าสำคัญยังคงเผชิญภาวะหดตัว เช่น รถยนต์และชิ้นส่วน อุปกรณ์กึ่งตัวนำ และเครื่องรับโทรทัศน์

ตลาดส่งออกหลักของไทยส่วนใหญ่ยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่ขยายตัวร้อยละ 41.9 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 21 สะท้อนถึงความต้องการสินค้าด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเบาอย่างต่อเนื่อง จีนและสหภาพยุโรปก็มีการนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ตลาดรองอย่างเอเชียใต้และรัสเซียยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ตลาดบางแห่ง เช่น ออสเตรเลีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา และตะวันออกกลาง กลับมาเผชิญภาวะหดตัวอีกครั้งในเดือนนี้

ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดเริ่มใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ไทยได้ยื่นข้อเสนอใหม่ที่เปิดตลาดมากขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับเชิงบวกจากสหรัฐฯ คาดว่าการเจรจาจะนำไปสู่การลดอัตราภาษีอย่างเหมาะสม ช่วยให้ไทยยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค

ในระยะยาว ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นโอกาสในการยกระดับโครงสร้างการส่งออกของไทยให้ไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และส่งเสริมการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

สำหรับปัจจัยอื่นที่อาจส่งผลต่อทิศทางการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังคงสูง ผลไม้ตามฤดูกาลที่ทยอยออกสู่ตลาด สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง การชะลอการลงทุนเพื่อรอดูผลการเจรจาการค้า และการปรับตัวของผู้ส่งออกให้สอดคล้องกับเงื่อนไขใหม่ของสหรัฐฯ รัฐบาลไทยยังเตรียมมาตรการรองรับเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจและเกษตรกรรมในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป

L2D Page (42)

SCB EIC ชี้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตเหลือเพียง 0.4% ปีหน้า หากปิดดีลภาษีกับสหรัฐฯ ไม่สำเร็จ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวเพียง 1.5% ใกล้เคียงกับประมาณการเดิม แม้จะมีความหวังว่าการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดอัตราภาษีตอบโต้จะประสบผลสำเร็จก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคมนี้ อย่างไรก็ตาม แม้การเจรจาจะได้ผลในบางส่วน อัตราภาษีของไทยก็ยังคงสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ทำให้สินค้าไทยยังเสียเปรียบในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ จะเริ่มส่งผลชัดเจนขึ้น

หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ การเร่งส่งออกสินค้าล่วงหน้า (front-loading) ก่อนการเก็บภาษีใหม่ ทำให้ภาพรวมการส่งออกช่วงต้นปีดูแข็งแกร่ง แต่ในช่วงครึ่งหลังของปี สินค้าหลายรายการ โดยเฉพาะสินค้าที่ถูกเก็บภาษีแบบเฉพาะราย (specific tariffs) เริ่มถูกกระทบหนักขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีแนวโน้มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ให้แก่ประเทศในอาเซียน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งมีอัตราภาษีตอบโต้ต่ำกว่าไทย

SCB EIC ยังเตือนว่า ไทยอาจเผชิญกับความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ใช้ "สินค้าสวมสิทธิ" เช่นเดียวกับกรณีของเวียดนาม ซึ่งทำให้ต้นทุนการค้าสูงขึ้น ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ อาจใช้มาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าที่เข้มงวดขึ้นกับสินค้าส่งออกจากไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีสัดส่วนการนำเข้าสูง ซึ่งจะกระทบผู้ผลิตในหลายอุตสาหกรรมที่พึ่งพาชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ

ในกรณีเลวร้ายที่สุด หากการเจรจากับสหรัฐฯ ล้มเหลว และสหรัฐฯ คงอัตราภาษีตอบโต้ไทยไว้ที่ 36% เท่าเดิม ในขณะที่คู่แข่งอย่างเวียดนามถูกเก็บในอัตราต่ำกว่ามาก (ราว 20%) SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้เพียง 1.1% และอาจลดลงเหลือเพียง 0.4% ในปี 2569 จากผลกระทบของการส่งออกที่หดตัวลงต่อเนื่อง รวมถึงแรงลงทุนจากภาคเอกชนที่อ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเจรจา ก็เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวสูงอย่างสุกร ไก่เนื้อ และข้าวโพด ซึ่งมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าสหรัฐฯ มาก หากไทยต้องเปิดเสรีสินค้าเหล่านี้ จะกระทบเกษตรกรรายย่อยและผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานอย่างกว้างขวาง จึงจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องมีมาตรการรองรับและช่วยเหลือการปรับตัวของภาคการผลิตภายในประเทศอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งพิจารณาประเด็นความมั่นคงทางอาหารควบคู่กันไป

แม้เศรษฐกิจโลกโดยรวมมีสัญญาณฟื้นตัวบางส่วน เช่น เศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวเกินคาดในไตรมาสที่ 2 ที่ 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากแรงส่งของการส่งออกไปยังอาเซียนและยุโรป แต่สหรัฐฯ กลับมีแนวโน้มชะลอการนำเข้า โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเริ่มลดลงจากระดับปกติ หลังจากมีการเร่งนำเข้าล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ส่งผลให้ภาพรวมการค้าโลกยังคงเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง

สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด หลังสหรัฐฯ เร่งกระบวนการเจรจากับคู่ค้ารายใหญ่หลายประเทศ โดยมีการส่งหนังสือแจ้งอัตราภาษีตอบโต้ล่วงหน้า (Reciprocal tariffs) ที่จะเริ่มมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม และกำลังพิจารณาขยายรายการสินค้าที่จะเก็บภาษีเฉพาะรายเพิ่มเติม เช่น ทองแดง ยา และเซมิคอนดักเตอร์ ภายในสิ้นปีนี้

ในด้านนโยบายการเงิน แม้ว่าธนาคารกลางหลายประเทศยังคงท่าทีผ่อนคลาย แต่ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้ารอบใหม่จะส่งผลต่อทิศทางดอกเบี้ยในอนาคต โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังไม่มีสัญญาณเร่งปรับลดดอกเบี้ยในไตรมาส 3 เนื่องจากตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง และผลของภาษีต่อเงินเฟ้อยังไม่ชัดเจน ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยไว้ เนื่องจากกำแพงภาษีอาจกดดันค่าจ้างและชะลอวัฏจักรเงินเฟ้อ

สำหรับไทย SCB EIC คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่อ่อนแรง หากการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่คืบหน้า หรือเกิดแรงกระแทกใหม่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจไทยจะเผชิญแรงกดดันด้านลบเพิ่มขึ้น และอาจทำให้ กนง. ต้องลดดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดไว้

สถานการณ์ในช่วงเวลานี้จึงเป็นจุดชี้ขาดสำคัญของทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ทั้งในด้านการค้าระหว่างประเทศ การลงทุน และความสามารถในการรับมือกับแรงกระแทกจากนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us