News Update

L2D Page (46)

แผนกโลจิสติกส์และวิศวกรรมทั่วไปเดินหน้าขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพ

แผนกโลจิสติกส์และวิศวกรรมทั่วไปได้จัดการประชุมเพื่อประเมินผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาและกำหนดแนวทางในอนาคต โดยมีการเคลื่อนไหวจำลองและกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมแบบผสมผสาน ทั้งในรูปแบบพบหน้าและออนไลน์ โดยเชื่อมโยงกับหน่วยงานย่อย 14 จุดทั่วทั้งแผนก

ในที่ประชุม พลโทโด วัน เทียน เลขาธิการพรรค กรมการเมืองและโลจิสติกส์ เป็นประธานและกำกับการประชุม พร้อมด้วยพลตรีเหงียน ดิ่ง เจียว และพลตรีหวู วัน เกือง รองกรมการเมืองและโลจิสติกส์ รวมถึงผู้นำและผู้บังคับบัญชาจากหน่วยงานในสังกัดเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

การประชุมได้พิจารณาผลการดำเนินงานของโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการ “ทั้งประเทศแข่งขันสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต พ.ศ. 2566–2573” และโครงการ “ทหาร–ทหารแข่งขันสร้างวัฒนธรรมสำนักงานคู่ควรทหารลุงโฮ พ.ศ. 2562–2568” รวมถึงโครงการ “ร่วมมือกันกำจัดบ้านเรือนชั่วคราวทรุดโทรมทั่วประเทศ พ.ศ. 2568” ซึ่งทั้งหมดดำเนินไปตามแผนงานที่วางไว้และประสบผลสำเร็จในหลายด้าน

ผลการดำเนินงานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญภายใต้การนำของคณะกรรมการพรรคและกรมวิศวกรรม (ซึ่งปัจจุบันคือกรมโลจิสติกส์และวิศวกรรม) โดยมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีความเป็นระบบและทันสมัย การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง กิจกรรมการปรับปรุงคุณภาพชีวิต เช่น การรื้อถอนบ้านเรือนชั่วคราวและการพัฒนาพื้นที่ชนบทใหม่ ได้รับความสำคัญเป็นพิเศษและบรรลุผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้ร่วมกันอภิปรายผลลัพธ์ วิเคราะห์ข้อจำกัด และแลกเปลี่ยนบทเรียนจากการดำเนินงานที่ผ่านมา พร้อมเสนอแนวทางพัฒนาเพื่อยกระดับประสิทธิภาพในระยะต่อไป พลโทโด วัน เทียน ได้มอบรางวัลให้กับหน่วยงานที่มีผลงานโดดเด่นในด้านการดำเนินงานเชิงจำลองและนวัตกรรม

ในช่วงท้ายของการประชุม พลโทโด วัน เทียน ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมบทบาทของคณะกรรมการพรรคและผู้บังคับบัญชาทุกระดับในการผลักดันให้การดำเนินงานตามมติที่ 3672 ว่าด้วยการวางแผนระบบสถาบันวัฒนธรรมในกองทัพบกเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินงาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่และกำลังพลสามารถเข้าถึงข้อมูลและองค์ความรู้ได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เลขาธิการพรรคและคณะกรรมการการเมืองของกรมการขนส่งและเทคโนโลยี ได้เรียกร้องให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเนื้อหาของโครงการ PTTD อย่างใกล้ชิด โดยจัดทำแผนงานและมาตรการที่สอดคล้องกับศักยภาพของแต่ละพื้นที่ พร้อมพัฒนาเนื้อหาและรูปแบบกิจกรรมให้มีความหลากหลายและยืดหยุ่นอยู่เสมอ เพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงานและความต้องการของท้องถิ่นอย่างแท้จริง

L2D Page (45)

EEC รอ รมว.คมนาคมเคาะแนวทางแก้ปมรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน–เมืองการบินอู่ตะเภา

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง–สุวรรณภูมิ–อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กิโลเมตร มูลค่า 224,544 ล้านบาท ซึ่งมีการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นเจ้าของโครงการ และบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (กลุ่มซี.พี.) เป็นคู่สัญญา ว่าขณะนี้ EEC อยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มีแนวคิดจะไม่แก้ไขสัญญาเดิม แต่จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือแนวทางแก้ไขปัญหาแทน ทั้งนี้ EEC ยังไม่ได้รับแจ้งรายละเอียดกำหนดการหรือรูปแบบการหารืออย่างเป็นทางการ

ในส่วนของกระบวนการแก้ไขสัญญา หลังสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบร่างสัญญาและมีข้อสังเกต 18 ประเด็น เบื้องต้นทางกลุ่มซี.พี.ได้ทำหนังสือชี้แจงเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการวางหลักประกันสัญญาตามข้อเสนอของอัยการสูงสุดที่ระบุให้ รฟท.กำหนดหลักประกันครอบคลุมมูลค่าความเสี่ยงของงานโยธา ระบบรถไฟ และขบวนรถไฟ พร้อมดำรงมูลค่าหลักประกันไว้อย่างน้อย 2 ปีหลังการเปิดให้บริการเดินรถทั้งระบบ ซึ่งทางกลุ่มซี.พี.ได้ชี้แจงว่าได้จัดวางหลักประกันครอบคลุมครบถ้วนแล้ว การเพิ่มหลักประกันอีกชั้นอาจซ้ำซ้อนและไม่จำเป็น ขณะนี้หนังสือชี้แจงดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของ รฟท. เพื่อส่งต่อให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาต่อไป

อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานอาจล่าช้าออกไปเล็กน้อยหลังจากนายวีริศ อัมระปาล ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการ รฟท. ทำให้ต้องรอการแต่งตั้งรักษาการผู้ว่าการคนใหม่ เพื่อดำเนินการลงนามส่งหนังสืออย่างเป็นทางการ

ขณะเดียวกัน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท ที่มีกองทัพเรือเป็นเจ้าของโครงการ และบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (ซึ่งประกอบด้วย บมจ.การบินกรุงเทพ (BA), บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และ บมจ.ซิโน–ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC)) เป็นผู้ร่วมทุน ก็มีความเคลื่อนไหวสำคัญเช่นกัน หลังเอกชนส่งสัญญาณอาจขอยกเลิกสัญญาเนื่องจากความล่าช้าเกินกว่า 5 ปี นับตั้งแต่ลงนามในปี 2563

แหล่งข่าวจาก EEC เปิดเผยว่า ได้มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างภาครัฐและเอกชน โดย EEC ยินยอมให้มีการปรับแผนการพัฒนาเฟสแรกของสนามบินอู่ตะเภา จากเดิมที่ตั้งเป้ารองรับผู้โดยสาร 12 ล้านคนต่อปี มาเริ่มต้นเพียง 3 ล้านคนต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดการบินหลังวิกฤตโควิด-19 และการแข่งขันจากการขยายสนามบินของบริษัท ทอท. อีกทั้งข้อมูลปัจจุบันระบุว่าสนามบินอู่ตะเภามีผู้โดยสารเพียง 400,000 คนต่อปี ขณะที่อาคารผู้โดยสารหลังใหม่สามารถรองรับได้ราว 2–3 ล้านคนต่อปี ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับการลงทุนในระยะเริ่มต้น หากเปิดบริการแล้วมีอัตราการเติบโตของผู้โดยสารแตะ 70% ของขีดความสามารถ ก็สามารถขยายต่อเป็น 6 ล้านคน และ 8 ล้านคนต่อปี ก่อนจะพัฒนาเต็มศักยภาพที่ 60 ล้านคนต่อปีตามแผนระยะยาวของสัญญา 50 ปี

ในข้อตกลงใหม่นี้ เอกชนจะต้องสละสิทธิ์เงื่อนไขเดิมที่กำหนดให้เริ่มโครงการได้ก็ต่อเมื่อมีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเริ่มดำเนินการแล้ว ขณะที่โครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 และทางขับของสนามบินได้เริ่มต้นแล้ว ซึ่งตามสัญญาเดิม อาคารผู้โดยสารหลังใหม่จะต้องเริ่มสร้างควบคู่ไปด้วย ทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าควรเริ่มโครงการโดยเร็วเพื่อให้เป็นไปตามแผนการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก

สำหรับขั้นตอนต่อไป EEC จะนำเงื่อนไขใหม่เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เพื่อพิจารณาและรับทราบ ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบต่อไป หลังได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองระดับแล้ว จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการปรับแก้สัญญาอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ การเสนอเรื่องดังกล่าวยังต้องรอการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบอร์ด EEC ว่าจะกำหนดทิศทางและแนวทางการดำเนินการต่อไปอย่างไร

L2D Page (44)

จีนเร่งนำเข้าแร่เหล็ก ทองแดง และถ่านหิน เดือนกันยายน ทำสถิติสูงสุดของปี รับอุปสงค์อุตสาหกรรมแข็งแกร่ง

การนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์หลักของจีนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเดือนกันยายน สะท้อนถึงการฟื้นตัวของกิจกรรมภาคอุตสาหกรรมและความต้องการใช้วัตถุดิบที่ขยายตัวตามฤดูกาลในช่วงฤดูใบไม้ร่วง โดยเฉพาะแร่เหล็ก ทองแดง และถ่านหินที่ทำสถิติสูงสุดของปี ขณะเดียวกัน การนำเข้าถั่วเหลืองปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบสี่เดือน

ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีนระบุว่า จีนมีการนำเข้าแร่เหล็กสูงถึง 116.326 ล้านตันในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปีนี้ ส่วนการนำเข้าถ่านหินเพิ่มขึ้น 7.6% แตะที่ 46 ล้านตัน เนื่องจากการลดกำลังผลิตภายในประเทศทำให้ราคาภายในสูงขึ้น ส่งผลให้การนำเข้าจากต่างประเทศมีความคุ้มค่ามากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่โรงไฟฟ้าเร่งตุนถ่านหินสำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง

การนำเข้าทองแดงและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นถึง 13% จากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากผู้ประกอบการหันไปใช้โลหะที่ผ่านการแปรรูปแล้ว เพื่อทดแทนการขาดแคลนอุปทานของแร่ทองแดงเข้มข้นซึ่งลดลง 6.3% อันเป็นผลมาจากการหยุดชะงักของการทำเหมืองในบางพื้นที่

ในส่วนของสินค้าเกษตร การนำเข้าถั่วเหลืองของจีนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 12.869 ล้านตัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบสี่เดือน สะท้อนความต้องการที่เพิ่มขึ้นของภาคปศุสัตว์และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ภายในประเทศ

ขณะที่การนำเข้าน้ำมันดิบลดลง 4.5% อยู่ที่ 47.252 ล้านตัน แม้ว่าจีนจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยพยุงราคาน้ำมันโลกจากการสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ แต่การนำเข้าชะลอตัวลงในเดือนกันยายน เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันของรัฐหลายแห่งอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุงตามฤดูกาล การนำเข้าก๊าซธรรมชาติลดลงเช่นกัน 6.8% เหลือ 11.04 ล้านตัน เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม

นอกจากนั้น จีนยังเปิดเผยข้อมูลการส่งออกที่ขยายตัวเร็วที่สุดในรอบหกเดือน ซึ่งสะท้อนถึงความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งของภาคการผลิต นักวิเคราะห์มองว่าทิศทางการค้าเชิงบวกนี้อาจช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองของจีนในเวทีการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ ท่ามกลางความตึงเครียดทางเศรษฐกิจที่ยังคงดำเนินต่อเนื่อง

L2D Page (43)

เวียดนามเดินหน้าคุมเข้มนำเข้า ปิดช่องโหว่การค้าผิดกฎหมาย มุ่งสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาค

เว็บไซต์กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม รายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามอยู่ระหว่างการจัดทำร่างกฤษฎีกาฉบับใหม่เพื่อแทนที่กฤษฎีกาเลขที่ 69/2018 ว่าด้วยการบริหารการค้าต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลกิจกรรมการนำเข้าแบบชั่วคราวเพื่อส่งออกกลับ (Temporary Importation for Re-exportation)

มาตรการใหม่นี้กำหนดให้สินค้าที่นำเข้าแบบชั่วคราวสามารถเก็บรักษาได้สูงสุดไม่เกิน 60 วัน และอนุญาตให้ขยายเวลาได้เพียงสองครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 วัน ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน การกำหนดกรอบเวลาเช่นนี้มุ่งลดการนำเข้าเพื่อการค้าผิดกฎหมาย (Illicit Trade) ซึ่งในอดีตเวียดนามเผชิญปัญหาการใช้ช่องทางการนำเข้าชั่วคราวในการลักลอบค้าข้ามพรมแดน โดยเฉพาะเส้นทางจากนครโฮจิมินห์ไปยังกัมพูชา และเส้นทางนำเข้าสินค้ากลับจากกัมพูชา การควบคุมให้สินค้าผ่านเฉพาะด่านระหว่างประเทศและด่านหลักของประเทศ ถือเป็นแนวทางสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบ ลดความเสี่ยงด้านภาษี และเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

ในทางธุรกิจ มาตรการใหม่นี้อาจสร้างแรงกดดันต่อผู้ประกอบการที่เคยใช้เวียดนามเป็นฐานพักสินค้าระยะยาว แต่ในระยะยาวกลับจะช่วยยกระดับความโปร่งใสทางการค้าและลดโอกาสที่เวียดนามจะถูกใช้เป็นฐานถ่ายลำสินค้า (Transshipment) ที่ผิดกฎหมาย อีกทั้งยังเป็นการลดความเสี่ยงต่อข้อพิพาททางการค้ากับประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งเพิ่งประกาศจัดเก็บภาษีตอบโต้ 20% สำหรับสินค้าจากเวียดนาม และภาษีสูงสุดถึง 40% สำหรับสินค้าที่ถูกระบุว่ามีการถ่ายลำ

ในเชิงยุทธศาสตร์ การปรับกฎหมายครั้งนี้สะท้อนความมุ่งมั่นของเวียดนามในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการค้าและโลจิสติกส์ เพื่อวางรากฐานสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาคและระดับโลก การยกระดับกฎระเบียบให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่คู่ค้าต่างประเทศ และเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมสนับสนุน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

สคต.โฮจิมินห์ ระบุว่า การบังคับใช้กฤษฎีกาฉบับใหม่ที่เข้มงวดขึ้นจะช่วยลดความเสี่ยงจากการลักลอบนำเข้าและหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร ตลอดจนยกระดับความโปร่งใสของระบบอำนวยความสะดวกทางการค้า และสร้างความเชื่อมั่นในกลไกกำกับดูแลการค้าระหว่างประเทศของเวียดนาม ซึ่งจะส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนและการค้าในระดับภูมิภาค

สำหรับผู้ประกอบการไทย สคต.โฮจิมินห์ แนะนำให้ใช้โอกาสนี้ในการยกระดับภาพลักษณ์และสร้างความน่าเชื่อถือของธุรกิจในตลาดเวียดนาม รวมทั้งตลาดเชื่อมโยงอื่น ๆ มาตรการดังกล่าวจะช่วยลดการแข่งขันจากสินค้าลอกเลียนแบบหรือสินค้าที่ผ่านช่องทางผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ประกอบการไทยที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

นอกจากนี้ การที่เวียดนามมีเป้าหมายพัฒนาตนเองเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค จะเปิดโอกาสให้ไทยใช้เวียดนามเป็นจุดกระจายสินค้าสำคัญไปยังกัมพูชา ลาว จีน และตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การกำหนดเส้นทางผ่านด่านศุลกากรหลักและด่านระหว่างประเทศอย่างชัดเจนยังช่วยลดความซับซ้อนและความเสี่ยงจากการค้าชายแดนย่อย ซึ่งมักมีปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้า

ผู้ประกอบการไทยจึงควรวางแผนการนำเข้าและส่งออกให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่ โดยเฉพาะการบริหารระยะเวลาพักสินค้าชั่วคราวไม่ให้เกิน 60 วัน พร้อมจัดเตรียมเอกสารรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin: C/O) อย่างถูกต้องและโปร่งใส เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตีความว่าเป็นการถ่ายลำสินค้า ซึ่งอาจถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% ในตลาดสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป

ในระยะยาว การลงทุนในระบบโลจิสติกส์ การตรวจสอบคุณภาพสินค้า และการปฏิบัติตามมาตรการทางการค้าอย่างเคร่งครัด จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยใช้เวียดนามเป็นฐานกลางทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทาน และต่อยอดศักยภาพของไทยในฐานะพันธมิตรเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างมั่นคง

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us