News Update

news-20250527-01

'คมนาคม' เดินเครื่องเต็มสูบ สั่งทุกหน่วยเร่งเสนอแผนใช้งบ 1.57 แสนล้านบาทกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใน 28 พ.ค.นี้

หลังรัฐบาลตัดสินใจชะลอโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ในเฟส 3 และ 4 ที่เคยตั้งงบไว้กว่า 157,000 ล้านบาท ล่าสุดกระทรวงคมนาคมกลายเป็นหนึ่งในกลไกหลักที่จะได้รับงบก้อนนี้ไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจแทน โดยจะนำไปลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นการจ้างงาน เพิ่มศักยภาพการคมนาคม และลดผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกและมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เผยว่า ได้มีคำสั่งชัดเจนให้กรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) และหน่วยงานอื่นๆ เร่งจัดทำแผนเสนอรายการโครงการที่พร้อมดำเนินการ โดยเฉพาะโครงการที่ถูกตัดงบประมาณจากปี 2568-2569 เพื่อฟื้นกลับมาดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว

ทุกหน่วยงานต้องเร่งสรุปรายละเอียดและส่งกลับมายังกระทรวงภายในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ ก่อนที่จะนำเสนอให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องพิจารณาอย่างเร่งด่วน โดยกรอบงบประมาณทั้งหมดจะครอบคลุมหลากหลายมิติ ทั้งด้านน้ำ คมนาคม การท่องเที่ยว เกษตรกรรม และการส่งออก ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้รับการจัดลำดับความสำคัญเป็นพิเศษ

แหล่งข่าวจากกรมทางหลวงเผยว่า ขณะนี้กำลังเร่งรวบรวมโครงการต่างๆ ที่สามารถนำกลับมาดำเนินการได้ทันที เช่น โครงการขยายถนนสายหลัก บำรุงรักษาทางหลวง และโครงการแก้ปัญหาจุดตัดรถไฟกับถนน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดปัญหาจราจร โดยคาดว่าจะเสนอของบประมาณรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ครอบคลุมราว 100 โครงการทั่วประเทศ

ในขณะที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก็ได้ยื่นแผนโครงการต่อกระทรวงคมนาคมไปแล้วเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเสนอขอใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจรวม 2,720 ล้านบาท ครอบคลุม 123 โครงการทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงแผนก่อสร้างและปรับปรุงลานเก็บกองตู้คอนเทนเนอร์ในจังหวัดระยองและราชบุรี วงเงินรวม 104 ล้านบาท

การเคลื่อนไหวครั้งนี้นับเป็นการพลิกเกมใช้งบประมาณครั้งสำคัญของรัฐบาล ที่หันมาเน้นการลงทุนสร้างงาน สร้างรายได้ผ่านโครงสร้างพื้นฐานแทนการแจกเงินตรง และหากการพิจารณาโครงการเป็นไปอย่างรวดเร็ว ก็มีโอกาสเห็นหลายโครงการเร่งเปิดไซต์ก่อสร้างได้ภายในปีนี้ทันที ซึ่งจะช่วยเสริมแรงให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางปัจจัยภายนอกที่ยังเปราะบาง

ที่มา - thansettakij

news-20250526-03

รฟท. เตรียมเปิดหวูดทางคู่ “ลพบุรี-ปากน้ำโพ” เสริมแกร่งการเดินทางสายเหนือ เชื่อมเศรษฐกิจ-ขนส่ง-ท่องเที่ยวครบวงจร

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เดินหน้าผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบรางสมัยใหม่เต็มรูปแบบ โดยล่าสุดเตรียมเปิดให้บริการ “รถไฟทางคู่” ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กิโลเมตร อย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนาเครือข่ายระบบรางสายเหนือ เพื่อรองรับการเดินทางที่รวดเร็ว ปลอดภัย และทันสมัยยิ่งขึ้น

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ รฟท. เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจความพร้อมว่า ในช่วงแรกจะเปิดให้บริการ 5 ขบวน พร้อมเปลี่ยนตารางเวลาเดินรถใหม่ โดยยังใช้เส้นทางผ่านสถานีลพบุรี 1 ก่อนจะเปลี่ยนเข้าสู่ “สถานีลพบุรี 2” ซึ่งอยู่ขนานกับถนนหมายเลข 366 ในวันที่ 5 ธันวาคม 2568 พร้อมเปิดใช้งานระบบอาณัติสัญญาณ “E-Token” อัจฉริยะ ซึ่งไทยนับเป็นประเทศแรกในโลกที่นำระบบนี้มาใช้จริง

จุดเด่นสำคัญของเส้นทางนี้คือ “ทางรถไฟยกระดับ” ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดยยกระดับจากสถานีบ้านกลับ จังหวัดสระบุรี ไปจนถึงสถานีโคกกระเทียม จังหวัดลพบุรี ระยะทางกว่า 19 กิโลเมตร สูงเฉลี่ย 10-20 เมตร ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มความเร็วในการเดินทาง แต่ยังลดผลกระทบต่อชุมชนและการจราจรในพื้นที่

เมื่อโครงการรถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพเปิดใช้งาน จะสามารถลดระยะเวลาการเดินทางจากเดิมที่ใช้เวลาราว 4-5 ชั่วโมง เหลือเพียง 3-4 ชั่วโมง และหากเปิดใช้โครงการเฟส 2 จากปากน้ำโพถึงเชียงใหม่ได้ครบถ้วน ก็จะยิ่งลดเวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่จากกว่า 14 ชั่วโมง เหลือเพียงราว 7 ชั่วโมงครึ่ง หากใช้รถไฟที่มีสมรรถนะสูง

ทั้งนี้ โครงการรถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญาหลัก ครอบคลุมทั้งเส้นทางระดับพื้น ยกระดับ ระบบสถานีใหม่ ศูนย์ควบคุมการเดินรถ และคลังสินค้าที่สถานีเขาทอง โดยมีสถานีหลักรวม 19 แห่ง และจุดหยุดรถอีก 5 จุด ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์แบบครบวงจร

นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางแล้ว เส้นทางรถไฟสายใหม่นี้ยังมีความหมายต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมอย่างมาก เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมต่อสู่โครงข่ายรถไฟทางคู่สายเหนือเฟสถัดไป ตั้งแต่ปากน้ำโพ-เด่นชัย และเด่นชัย-เชียงใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนขออนุมัติโครงการ โดยหากทั้งระบบเสร็จสมบูรณ์ จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของระบบรางเดี่ยวเดิม เพิ่มความตรงต่อเวลา ลดการรอหลีกทาง และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์และท่องเที่ยวได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในอนาคต รฟท. ยังวางแผนเชื่อมการเดินทางระหว่างสถานีลพบุรี 1 และลพบุรี 2 ด้วยระบบรถเชื่อมต่อ (Feeder) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงให้สถานีลพบุรี 1 ทำหน้าที่รองรับขบวนรถท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง

การเปิดหวูดรถไฟทางคู่ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทย ในการขับเคลื่อนประเทศด้วยระบบรางสมัยใหม่ที่เชื่อมโยงทั้งคน เมือง และเศรษฐกิจ เข้าด้วยกันอย่างยั่งยืน

ที่มา - thaipost

news-20250526-02

ส่งออกไทยเมษายนโตแรง 10.2% สะท้อนเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง - จับตาครึ่งปีหลังเจอแรงเสี่ยงภาษีสหรัฐ

การส่งออกของไทยในเดือนเมษายน 2568 ยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยขยายตัว 10.2% คิดเป็นมูลค่า 25,625.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 857,700 ล้านบาท ถือเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันที่การส่งออกขยายตัว สะท้อนถึงศักยภาพของภาคเศรษฐกิจไทยที่ยังแข็งแกร่ง แม้จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่เริ่มส่งแรงกดดันเข้ามา

หากตัดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัยออก การส่งออกยังเติบโตถึง 7.1% โดยกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรมยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ สินค้าสำคัญที่มีการเติบโต อาทิ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยาง แผงวงจรไฟฟ้า และอัญมณี (ไม่รวมทองคำ) ซึ่งหนุนให้ภาพรวม 4 เดือนแรกของปีนี้การส่งออกขยายตัว 14% หรือ 12.1% หากไม่รวมสินค้าในกลุ่มพิเศษ

ตลาดส่งออกหลักยังคงเติบโตได้ดี ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อาเซียน และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะอาเซียนที่โตต่อเนื่อง 2 เดือนที่ 7.8% เอเชียใต้โต 8.7% สหภาพยุโรปขยายตัว 6.1% และญี่ปุ่น 5.5% ส่วนจีนโต 3.2% ติดต่อกันถึง 7 เดือนแล้ว

ในด้านการค้า กระทรวงพาณิชย์เตรียมเปิดฉากเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรปอย่างจริงจัง หวังสรุปภายในสิ้นปี 2568 โดยรมว.พาณิชย์ เตรียมเข้าพบกรรมาธิการการค้าของอียู และองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพื่อเร่งให้การเจรจาเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเปิดประตูโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในขณะเดียวกัน นายพิชัยยังระบุว่า การเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อให้ไทยได้รับสิทธิทางภาษีเท่าเทียมกับประเทศอื่นๆ คืบหน้าไปมาก และอาจได้ข้อสรุปภายใน 90 วันข้างหน้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทยในตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ด้านนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า แม้การส่งออกจะเติบโต แต่การนำเข้าก็ขยายตัวแรงเช่นกัน โดยเดือนเมษายนมีมูลค่า 28,946.4 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 16.1% ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 3,321.3 ล้านดอลลาร์ สำหรับช่วง 4 เดือนแรกของปี การนำเข้ารวมอยู่ที่ 109,397.8 ล้านดอลลาร์ ขาดดุลการค้าสะสมที่ 2,240.3 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรอุตสาหกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ 8.4% แม้สินค้าบางกลุ่มยังเติบโตได้ เช่น ยางพารา ไก่แปรรูป น้ำตาล และอาหารสัตว์เลี้ยง แต่สินค้าหลักอย่างข้าว ผลไม้สด และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังยังคงติดลบอย่างต่อเนื่อง

ตรงกันข้ามกับสินค้าอุตสาหกรรมที่ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง 16.6% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 สะท้อนถึงแนวโน้มการผลิตเพื่อส่งออกที่ยังมีแรงหนุน แม้สินค้าบางกลุ่มเริ่มชะลอตัว เช่น รถยนต์ เครื่องจักรกล และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางประเภท

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งออกในทุกมิติ ทั้งการกระจายตลาด การเร่งเจรจา FTA และการลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้า เพื่อให้ไทยสามารถรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจไว้ได้ แม้จะเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลังที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น

ที่มา - thaipbs

news-20250526-01

ทรัมป์เลื่อนเส้นตายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าอียู 50% ออกไปถึง 9 ก.ค. หวังเจรจาคลี่คลายตึงเครียด

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขยายเส้นตายการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปเป็น 50% ออกไปจนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 หลังหารือทางโทรศัพท์กับอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป โดยเขาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวระหว่างเดินทางกลับกรุงวอชิงตันว่า “เราได้พูดคุยกันอย่างดี และผมตกลงที่จะเลื่อนการเจรจาออกไป”

ฟอน แดร์ ไลเอิน เองก็โพสต์ข้อความในวันเดียวกันผ่านแพลตฟอร์ม X ว่ายุโรปพร้อมเจรจาอย่างเร่งด่วนและเด็ดขาด โดยย้ำว่า “ข้อตกลงที่ดี ต้องใช้เวลา” พร้อมชี้ว่าช่วงเวลาแห่งความผ่อนปรนนี้จะสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่การพักชั่วคราวในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าระดับ 10% จะครบ 90 วัน

เดิมที ทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอียูเป็น 50% ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนนี้ โดยให้เหตุผลว่าสหภาพยุโรปดำเนินการเจรจาการค้าล่าช้าและออกกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นธรรมกับบริษัทอเมริกัน ซึ่งการขู่ขึ้นภาษีรอบนี้ครอบคลุมมูลค่าการค้าระหว่างสองฝ่ายสูงถึง 321,000 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะกระทบเศรษฐกิจสหรัฐราว 0.6% พร้อมดันราคาสินค้าให้พุ่งขึ้นกว่า 0.3% ตามการวิเคราะห์ของ Bloomberg

แม้สหภาพยุโรปจะพยายามเสนอข้อตกลงใหม่ที่ครอบคลุมทั้งภาษีศุลกากรและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี เช่น กฎระเบียบภายในประเทศ หรือขั้นตอนทางกฎหมายของแต่ละชาติสมาชิก แต่ทรัมป์ยังคงย้ำว่า ปัญหาหลักอยู่ที่ “อุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี” และการเจรจากับกลุ่มประเทศแบบสหภาพยุโรปนั้น “ซับซ้อนและล่าช้า”

เจ้าหน้าที่สหรัฐบางราย เช่น ไมเคิล ฟอลเคนเดอร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยังมองว่าความท้าทายในการเจรจาอยู่ที่การต้องดีลทั้งในระดับกลุ่มประเทศและประเทศรายบุคคล ซึ่งยิ่งทำให้กระบวนการยุ่งยากมากขึ้น

นอกจากการขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไปแล้ว ทรัมป์ยังเคยกล่าวถึงการขึ้นภาษีนำเข้าสมาร์ตโฟนจากบริษัทอย่าง Apple และ Samsung เพิ่มอีก 25% เพื่อกดดันให้บริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตกลับมาสู่สหรัฐ แต่ล่าสุดก็แสดงท่าทีผ่อนปรนมากขึ้น โดยกล่าวเห็นด้วยกับรัฐมนตรีคลังสหรัฐ สก็อตต์ เบสเซนต์ ว่าสหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องดึงอุตสาหกรรมสิ่งทอกลับมา เช่น การผลิตรองเท้าผ้าใบหรือเสื้อยืด แต่ควรเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมหลักที่มีศักยภาพสูง อย่างชิปคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ทางทหาร และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

บรรยากาศการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับอียูยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทว่าอย่างน้อยการขยายเส้นตายในครั้งนี้ก็ช่วยเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายเดินหน้าเจรจาเพื่อหาจุดลงตัว ลดแรงกดดันต่อตลาดโลก และรักษาสมดุลของห่วงโซ่อุปทานในระยะสั้นไว้ได้อีกระยะหนึ่ง

ที่มา - bangkokbiznews

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us