News Update

news-20250627-02

"LEO" ชูทางเลือกส่งออก ทางเรือ - รถไฟ ลดเสี่ยงโลจิสติกส์

บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) เตรียมพร้อมช่วยภาคธุรกิจและผู้ส่งออกไทยพลิกวิกฤตจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่มีการควบคุมเข้มและปิดด่านหลายจุด และสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง จากช่องแคบฮอร์มุซ ให้กลายเป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง เป็นทางเรือและทางรถไฟ ฟากบิ๊กบอส "เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์" มั่นใจการเลือกใช้เส้นทางใหม่นี้ สามารถรองรับการส่งออกที่มีความต่อเนื่องและยืดหยุ่นได้มากขึ้น

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า ปัจจุบัน การควบคุมชายแดนในจุดสำคัญส่งผลให้การขนส่งสินค้าทางบกระหว่างไทย–กัมพูชาเกิดความล่าช้า ต้นทุนเพิ่มขึ้น และบางครั้งเสี่ยงต่อการเน่าเสียของสินค้า หรือขาดแคลน stock สินค้า โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค LEO จึงแนะนำให้ผู้ส่งออกพิจารณาเส้นทางใหม่ เช่น การส่งออกทางเรือหรือทางอากาศ  หรืออีกหนึ่งทางเลือกคือการขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) โดยที่ผู้ส่งออกสามารถส่งสินค้าทางเรือไปยังประเทศเวียดนาม แล้วขนส่งทางรถบรรทุกเข้าสู่ประเทศกัมพูชาผ่านด่าน Bavet  โดยการดำเนินพิธีการศุลกากรที่ด่าน Bavet นี้  มีความสะดวกเหมือนกับการดำเนินพิธีการการค้าชายแดนทั่วไปและมีขั้นตอนความยุ่งยากน้อยกว่าพิธีการศุลกากรที่ท่าเรือหรือสนามบิน และยังช่วยลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทยได้อีกด้วย

โดยลูกค้าของบริษัทฯ จะได้รับความสะดวกและรวดเร็วสำหรับการดำเนินพิธีการศุลกากรและการขนส่งจากพนักงานของบริษัท Logicam LEO (Cambodia) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ LEO ในประเทศกัมพูชา และมีแผนกให้บริการพิธีการศุลกากรและรถบรรทุกของตัวเอง และมีความเชี่ยวชาญในการให้บริการพิธีการศุลกากรที่ชายแดนมาอย่างยาวนาน บริษัทฯ จึงมีความพร้อมในการใช้ด่าน Bavet เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของการค้าชายแดนไทย – กัมพูชาได้ทันที

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะความเสี่ยงจากช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางเรือหลักระหว่างเอเชีย–ยุโรป ได้สร้างความกังวลในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก หากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เส้นทางดังกล่าวใช้งานไม่ได้ อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการขนส่งสินค้าระหว่างภูมิภาค ด้วยเหตุนี้เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว LEO ได้เตรียมความพร้อมในการให้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟจากไทย–ลาว–จีน ไปยังประเทศในทวีปยุโรป ผ่าน บริษัท ล้านช้าง เอ๊กซ์เพรส (LaneXang Express)  ที่เป็นบริษัทย่อยของ LEO ซึ่งมีเครือข่ายรถไฟขนส่งสินค้าเชื่อมต่อจากประเทศไทย ผ่านลาวตอนเหนือ (เวียงจันทน์ – บ่อเต็น), มณฑลยูนนานของจีน และเข้าสู่เครือข่ายรถไฟจีน–ยุโรป ซึ่งสามารถกระจายสินค้าไปยังประเทศปลายทาง เช่น เยอรมนี โปแลนด์ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และอีกหลายประเทศในยุโรปได้ บริการนี้ตอบโจทย์ในด้าน ระยะเวลาขนส่งที่เร็วกว่าเรือ  ความสม่ำเสมอของตารางเดินรถและความปลอดภัยของสินค้า  เหมาะสำหรับสินค้ากลุ่ม FMCG, อุตสาหกรรม, และสินค้าเร่งด่วนที่ต้องส่งถึงตามกำหนด

“ล้านช้าง เอ็กซ์เพรส เป็นบริษัทฯ ที่มีความพร้อมและความสามารถในการให้บริการขนส่งทางรางแบบไร้รอยต่อ (Seamless Rail Transport Services) ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ซึ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพในการขนส่งสินค้าทางรางได้อย่างครบวงจรให้กับ LEO อีกทั้งยังช่วยเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Emission Reduction) ภายใต้สโลแกน “โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics)” นายเกตติวิทย์ กล่าว

LEO พร้อมเป็น Partner ที่ลูกค้าสามารถพึ่งพาได้ในทุกสถานการณ์ โดยเชื่อว่า ทุกวิกฤตคือโอกาสในการพัฒนาและขยายช่องทางการขนส่งสินค้าใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านต้นทุน เวลา และความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางส่งออกไปยังกัมพูชาผ่านเวียดนาม หรือเส้นทางส่งออกไปยุโรปผ่านระบบรถไฟ LEO มีความเชี่ยวชาญและโซลูชันครบวงจร พร้อมสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถขนส่งสินค้าไปยังทุกจุดหมายปลายทางทั่วโลกอย่างมืออาชีพ

news-20250624-03

สนค. เตือน! วิกฤตช่องแคบฮอร์มุซสั่นคลอนเศรษฐกิจโลก ชี้ราคาน้ำมันพุ่ง ต้นทุนส่งออกไทยจ่อแพงขึ้น

บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) เตรียมพร้อมช่วยภาคธุรกิจและผู้ส่งออกไทยพลิกวิกฤตจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่มีการควบคุมเข้มและปิดด่านหลายจุด และสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง จากช่องแคบฮอร์มุซ ให้กลายเป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง เป็นทางเรือและทางรถไฟ ฟากบิ๊กบอส "เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์" มั่นใจการเลือกใช้เส้นทางใหม่นี้ สามารถรองรับการส่งออกที่มีความต่อเนื่องและยืดหยุ่นได้มากขึ้น

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า ปัจจุบัน การควบคุมชายแดนในจุดสำคัญส่งผลให้การขนส่งสินค้าทางบกระหว่างไทย–กัมพูชาเกิดความล่าช้า ต้นทุนเพิ่มขึ้น และบางครั้งเสี่ยงต่อการเน่าเสียของสินค้า หรือขาดแคลน stock สินค้า โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค LEO จึงแนะนำให้ผู้ส่งออกพิจารณาเส้นทางใหม่ เช่น การส่งออกทางเรือหรือทางอากาศ  หรืออีกหนึ่งทางเลือกคือการขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) โดยที่ผู้ส่งออกสามารถส่งสินค้าทางเรือไปยังประเทศเวียดนาม แล้วขนส่งทางรถบรรทุกเข้าสู่ประเทศกัมพูชาผ่านด่าน Bavet  โดยการดำเนินพิธีการศุลกากรที่ด่าน Bavet นี้  มีความสะดวกเหมือนกับการดำเนินพิธีการการค้าชายแดนทั่วไปและมีขั้นตอนความยุ่งยากน้อยกว่าพิธีการศุลกากรที่ท่าเรือหรือสนามบิน และยังช่วยลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทยได้อีกด้วย

โดยลูกค้าของบริษัทฯ จะได้รับความสะดวกและรวดเร็วสำหรับการดำเนินพิธีการศุลกากรและการขนส่งจากพนักงานของบริษัท Logicam LEO (Cambodia) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ LEO ในประเทศกัมพูชา และมีแผนกให้บริการพิธีการศุลกากรและรถบรรทุกของตัวเอง และมีความเชี่ยวชาญในการให้บริการพิธีการศุลกากรที่ชายแดนมาอย่างยาวนาน บริษัทฯ จึงมีความพร้อมในการใช้ด่าน Bavet เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของการค้าชายแดนไทย – กัมพูชาได้ทันที

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะความเสี่ยงจากช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางเรือหลักระหว่างเอเชีย–ยุโรป ได้สร้างความกังวลในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก หากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เส้นทางดังกล่าวใช้งานไม่ได้ อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการขนส่งสินค้าระหว่างภูมิภาค ด้วยเหตุนี้เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว LEO ได้เตรียมความพร้อมในการให้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟจากไทย–ลาว–จีน ไปยังประเทศในทวีปยุโรป ผ่าน บริษัท ล้านช้าง เอ๊กซ์เพรส (LaneXang Express)  ที่เป็นบริษัทย่อยของ LEO ซึ่งมีเครือข่ายรถไฟขนส่งสินค้าเชื่อมต่อจากประเทศไทย ผ่านลาวตอนเหนือ (เวียงจันทน์ – บ่อเต็น), มณฑลยูนนานของจีน และเข้าสู่เครือข่ายรถไฟจีน–ยุโรป ซึ่งสามารถกระจายสินค้าไปยังประเทศปลายทาง เช่น เยอรมนี โปแลนด์ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และอีกหลายประเทศในยุโรปได้ บริการนี้ตอบโจทย์ในด้าน ระยะเวลาขนส่งที่เร็วกว่าเรือ  ความสม่ำเสมอของตารางเดินรถและความปลอดภัยของสินค้า  เหมาะสำหรับสินค้ากลุ่ม FMCG, อุตสาหกรรม, และสินค้าเร่งด่วนที่ต้องส่งถึงตามกำหนด

“ล้านช้าง เอ็กซ์เพรส เป็นบริษัทฯ ที่มีความพร้อมและความสามารถในการให้บริการขนส่งทางรางแบบไร้รอยต่อ (Seamless Rail Transport Services) ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ซึ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพในการขนส่งสินค้าทางรางได้อย่างครบวงจรให้กับ LEO อีกทั้งยังช่วยเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Emission Reduction) ภายใต้สโลแกน “โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics)” นายเกตติวิทย์ กล่าว

LEO พร้อมเป็น Partner ที่ลูกค้าสามารถพึ่งพาได้ในทุกสถานการณ์ โดยเชื่อว่า ทุกวิกฤตคือโอกาสในการพัฒนาและขยายช่องทางการขนส่งสินค้าใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านต้นทุน เวลา และความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางส่งออกไปยังกัมพูชาผ่านเวียดนาม หรือเส้นทางส่งออกไปยุโรปผ่านระบบรถไฟ LEO มีความเชี่ยวชาญและโซลูชันครบวงจร พร้อมสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถขนส่งสินค้าไปยังทุกจุดหมายปลายทางทั่วโลกอย่างมืออาชีพ

news-20250624-02

พลิกโฉมโลจิสติกส์ไทย! 'ไฟร์ไบรท์' ดันนวัตกรรม 'แบตเตอรี่สลับ' ชาร์จเร็ว 3 นาที ตั้งเป้า 100 สถานีปี 69

บริษัท ไฟร์ไบรท์ (ประเทศไทย) จำกัด กำลังเข้ามาปฏิวัติวงการยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ภาคขนส่ง และโลจิสติกส์ในประเทศไทย ด้วยการเปิดตัวระบบนิเวศแบตเตอรี่สลับ (Battery Swapping Ecosystem) ที่ครบวงจรและล้ำสมัย ระบบนี้ผสานรวมยานยนต์อัจฉริยะ, แบตเตอรี่แบบแยกส่วน, สถานีสลับแบตเตอรี่อัตโนมัติ และแพลตฟอร์มคลาวด์เฉพาะทาง เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงานของภาคส่วนนี้อย่างก้าวกระโดด

นายแครี่ เซียง (Carrie Xiong) รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไฟร์ไบรท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หัวใจสำคัญของระบบนี้คือความสามารถในการ เปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ภายในเวลาเพียง 3 นาที ซึ่งช่วยลดเวลาการจอดรถได้ถึง 70% และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของยานพาหนะในระบบขนส่งและคมนาคมได้อย่างมหาศาล

สถานี All-in-One และเทคโนโลยี Split Pack Swap
สถานีแบตเตอรี่สลับของไฟร์ไบรท์เป็นแบบ All-in-One ที่รวมฟังก์ชันการสลับแบตเตอรี่ การตรวจสอบคุณภาพอัตโนมัติ และระบบกักเก็บพลังงานอัจฉริยะเข้าไว้ด้วยกัน โดยสามารถให้บริการยานพาหนะได้มากกว่า 300 คันต่อวัน และยังสามารถปรับความจุของแบตเตอรี่ให้เหมาะสมกับลักษณะของยานยนต์แต่ละประเภทได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ไฟร์ไบรท์ยังนำเสนอเทคโนโลยี Split Pack Swap ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้สามารถใช้งานแบตเตอรี่ร่วมกันได้ระหว่างรถยนต์หลากหลายประเภท ตั้งแต่รถ SUV, รถกระบะ ไปจนถึงรถเชิงพาณิชย์ขนาดเล็ก เทคโนโลยีนี้ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานให้แก่ผู้ประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยระบบจัดการแบตเตอรี่ที่เป็นมาตรฐานและยั่งยืน

บริการด้านพลังงานและแบตเตอรี่ มุ่งเป้า B2B
ไฟร์ไบรท์ออกแบบบริการด้านพลังงานและแบตเตอรี่มาเพื่อแก้ไขปัญหาหลักของผู้ใช้รถ EV ในปัจจุบัน โดยเน้นกลุ่มลูกค้าแบบ B2B (ธุรกิจสู่ธุรกิจ) โดยเฉพาะผู้ให้บริการระบบขนส่ง ผู้ประกอบการแท็กซี่ ธุรกิจขนส่งควบคุมอุณหภูมิ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ จุดเด่นของบริการ ได้แก่:

เปลี่ยนแบตเตอรี่เร็ว: ไม่ต้องรอชาร์จนาน
ลดต้นทุน: ไม่ต้องลงทุนซื้อแบตเตอรี่ก้อนใหญ่เอง
ยืดหยุ่น: สามารถปรับความจุแบตเตอรี่ตามความต้องการใช้งาน
บริหารจัดการง่าย: มีแพลตฟอร์มคลาวด์รองรับ
แผนการขยายสถานีทั่วประเทศ
สำหรับประเทศไทย ไฟร์ไบรท์ตั้งเป้าที่จะเปิดสถานีสลับแบตเตอรี่มากกว่า 20 แห่งภายในปี 2568 และจะเพิ่มเป็นกว่า 100 แห่งภายในปี 2569 โดยในช่วงแรกจะเน้นขยายบริการด้านการจัดการพลังงานในพื้นที่กรุงเทพฯ ก่อน จากนั้นจึงจะขยายไปสู่ทั่วประเทศ

ด้วยนวัตกรรมระบบนิเวศแบตเตอรี่สลับนี้ ไฟร์ไบรท์พร้อมที่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่ยานยนต์ไฟฟ้าในภาคขนส่งและโลจิสติกส์ของไทย ให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้นในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij

news-20250624-01

พลิกโฉมโลจิสติกส์ไทย! "สุริยะ" ดันรถไฟทางคู่เฟส 2 แสนล้านบาท หวังลดต้นทุน - ปั้นไทยสู่ฮับภูมิภาค

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยความคืบหน้าครั้งสำคัญของโครงการก่อสร้าง รถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ซึ่งประกอบด้วย 6 เส้นทาง รวมระยะทาง 1,249 กิโลเมตร มูลค่ามหาศาลกว่า 297,924 ล้านบาท โครงการนี้ถูกนำเสนอต่อสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) เพื่อขออนุมัติ โดยมีเป้าหมายหลักคือการยกระดับขีดความสามารถด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศให้แข่งขันได้ในระดับสากล และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อระบบการขนส่งที่แท้จริงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้จัดลำดับความสำคัญของโครงการทั้ง 6 เส้นทางตามคำแนะนำของสภาพัฒน์ฯ อย่างรอบคอบ โดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ ความต้องการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า, ความจุของเส้นทาง, ด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน, รวมถึงยุทธศาสตร์และนโยบายของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยรองอีก 11 ด้าน เช่น ข้อมูลคาดการณ์และสถิติผู้โดยสารและปริมาณสินค้า, การเชื่อมโยงโครงข่ายทั้งภายในและระหว่างประเทศ และความพร้อมในการดำเนินโครงการ

แบ่งกลุ่มตามความสำคัญ: 3 กลุ่มโครงการรถไฟทางคู่เฟส 2
รฟท. ได้แบ่งความสำคัญของ 6 เส้นทาง ออกเป็น 3 กลุ่ม เพื่อจัดลำดับการพัฒนา:

กลุ่ม 1 (ความสำคัญอันดับต้น) 3 เส้นทาง:

สุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา: 321 กม. วงเงิน 66,270 ล้านบาท
ปากน้ำโพ-เด่นชัย: 218 กม. วงเงิน 81,143 ล้านบาท
ชุมพร-สุราษฎร์ธานี: 168 กม. วงเงิน 30,422 ล้านบาท

กลุ่ม 2 (ความสำคัญอันดับกลาง) 2 เส้นทาง:

ชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี: 308 กม. วงเงิน 44,095 ล้านบาท
เด่นชัย-เชียงใหม่: 189 กม. วงเงิน 68,222 ล้านบาท

กลุ่ม 3 (ความสำคัญอันดับท้าย) 1 เส้นทาง:

หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์: 45 กม. วงเงิน 7,772 ล้านบาท
การเตรียมความพร้อมและประโยชน์ที่คาดหวัง
รฟท. ได้ดำเนินการปรับปรุงข้อมูลและข้อสมมติฐานที่ใช้ในการคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารและสินค้าให้เป็นปัจจุบัน พร้อมวิเคราะห์แผนการเดินรถและความจุทางอย่างละเอียด นอกจากนี้ ยังได้จัดส่งบัญชีแสดงปริมาณงานและราคา (BOQ) ของทุกโครงการที่สามารถแจกแจงรายละเอียดการลงทุนในแต่ละส่วนได้อย่างชัดเจน

สำหรับสถานีรถไฟขนาดใหญ่และย่านกองเก็บตู้สินค้า รฟท. ได้ชี้แจงแผนการเพิ่มรายได้และแผนธุรกิจที่ชัดเจน พร้อมทั้งทบทวนแผนการแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟและถนนเสมอระดับของแต่ละโครงการ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และมีการวิเคราะห์ผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ รฟท. ทั้งในกรณีที่มีและไม่มีโครงการแล้ว

โครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 มีเป้าหมายหลักคือการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าจากทางถนนมาสู่ทางราง ซึ่งจะช่วย ลดระยะเวลาการเดินทางลงได้ถึง 30% เนื่องจากไม่ต้องรอหลีกขบวนรถ ทำให้การเดินรถตรงต่อเวลามากขึ้น และยังช่วยลดอุบัติเหตุ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ รวมถึงเพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้กับประชาชนที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีราคาสมเหตุสมผล ทั้งหมดนี้จะช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศไทยให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us