News Update

L2D Page (41)

ไทยเสี่ยงเสียตลาดสหรัฐฯ หลังถูกเก็บภาษี 36% – ส่งออกปี 2568 อาจพลาดเป้า

สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทยกำลังเผชิญแรงกดดันครั้งใหญ่ หลังจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่า การที่สหรัฐฯ เตรียมเรียกเก็บภาษีตอบโต้ไทยในอัตราสูงถึง 36% ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป จะส่งผลกระทบรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกและการผลิต

สหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยในปี 2567 สัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีมากถึง 18% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศคู่แข่งในเอเชีย จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลงทันที การส่งออกชะลอตัวจะส่งผลต่อเนื่องไปยังห่วงโซ่การผลิต ทั้งสินค้าในขั้นต้น ขั้นกลาง และสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งจะสะเทือนทั้งภาคแรงงาน การลงทุน และเศรษฐกิจภาพรวม

คาดการณ์เบื้องต้นระบุว่า หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตราดังกล่าว อัตราการขยายตัวของการส่งออกไทยในปี 2568 อาจเหลือเพียง 0.5 – 1.5% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 2 – 3% โดยมีค่ากลางที่ 1.0% หรือเท่ากับมูลค่าที่หายไปกว่า 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 153,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันประเทศคู่แข่งจะเร่งรุกตลาดที่ไทยเคยครองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักเดิมหรือตลาดใหม่ที่ไทยกำลังพยายามเจาะเข้าไป นอกจากนี้ หลายประเทศอาจเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และลดนำเข้าสินค้าจากไทย เพื่อรักษาดุลการค้า ซึ่งจะซ้ำเติมสถานการณ์ของผู้ประกอบการไทยในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม

ในระยะกลางและยาว แนวโน้มการลงทุนอาจเปลี่ยนทิศ นักลงทุนอาจพิจารณาย้ายหรือกระจายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีภาษีนำเข้าต่ำกว่า เพื่อบริหารความเสี่ยง ขณะที่ในระยะสั้น ธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ จะชะลอแผนการลงทุนลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จากการวิเคราะห์ของกระทรวงพาณิชย์ พบว่าสินค้าที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง, สินค้าที่ถูกเก็บภาษีสูงตามมาตรา 232, สินค้าที่อยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการทางภาษี และสินค้าที่สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ไปแล้ว

กลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง เช่น เฟอร์นิเจอร์ โคมไฟ เครื่องดนตรี เสื้อผ้าทั้งแบบถักและไม่ถัก กระเป๋าเดินทาง เครื่องจักรไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของเล่น และสินค้าแปรรูปจากพืชผักและผลไม้ ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เพราะพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนมากกว่า 28% ของการส่งออกรวม

ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีภายใต้กฎหมายมาตรา 232 เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ มีอัตราภาษีสูงถึง 50% และ 25% ตามลำดับ โดยปัจจุบันไทยมีมูลค่าสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรานี้กว่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนกลุ่มที่อยู่ระหว่างการพิจารณาก็มีแนวโน้มจะถูกเก็บภาษีเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า อลูมิเนียม เครื่องมือแพทย์ รวมถึงของเล่นและอากาศยาน

สำหรับกลุ่มสุดท้ายคือ “สินค้าดาวร่วง” ซึ่งไทยเริ่มเสียส่วนแบ่งตลาดไปแล้วในปีที่ผ่านมา เช่น สินค้าจากเหล็กกล้า วัตถุจากพืชใช้ถักสาน หรือเส้นใยจากพืชที่ใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ

ในส่วนของความคืบหน้าการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีตอบโต้ ทางนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ว่า ฝ่ายไทยได้ส่งข้อเสนอฉบับปรับปรุงให้สหรัฐฯ พิจารณาแล้วกว่า 99.99% โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินของฝั่งสหรัฐฯ ภายใต้เงื่อนไขที่ไทยได้ปรับปรุงตามข้อเรียกร้องที่เฉพาะเจาะจง คาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ภายในเส้นตาย 1 สิงหาคมนี้ หากสำเร็จ ไทยจะนำข้อตกลงดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการเสนอรัฐสภาพิจารณาเห็นชอบต่อไป

สถานการณ์นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการส่งออก หากแต่ยังชี้ชะตาทิศทางเศรษฐกิจไทยในอนาคตอันใกล้

L2D Page (40)

พาณิชย์รุกขยายตลาดแอฟริกา หารือรวันดา-บุรุนดี หนุนส่งออกสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์ไทย

กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าผลักดันการเปิดตลาดใหม่ในทวีปแอฟริกา โดยเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้พบหารือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐรวันดาและบุรุนดีประจำประเทศไทย ณ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสองประเทศในแอฟริกาตะวันออก ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการขยายบทบาทของไทยในภูมิภาคที่กำลังเติบโตและมีศักยภาพสูง

นายเอกฉัตรกล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ไทยมีเป้าหมายในการขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคใหม่ๆ โดยแอฟริกา โดยเฉพาะรวันดาและบุรุนดี ถือเป็นภูมิภาคดาวรุ่งที่มีแนวโน้มเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ทั้งสองประเทศตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของแอฟริกาตะวันออก ซึ่งสามารถเชื่อมโยงการค้าในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ไทยก็พร้อมเป็นประตูการค้าสำหรับรวันดาและบุรุนดีเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในระหว่างการหารือ ฝ่ายไทยได้แสดงความพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่มั่นคง โดยเน้นกลุ่มสินค้าที่ไทยมีศักยภาพสูงในการส่งออก เช่น วัสดุก่อสร้าง แผงสวิตซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตลอดจนเคมีภัณฑ์ รวมถึงสินค้าเกษตรบางประเภทที่สอดคล้องกับความต้องการพัฒนาของทั้งสองประเทศ ด้านรวันดาซึ่งเป็นประเทศที่มีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างรวดเร็ว ก็มีสินค้าที่ไทยสนใจนำเข้า เช่น กาแฟและชา ขณะที่บุรุนดีเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติหลากหลาย โดยเฉพาะแร่ธาตุหายาก ทองแดง และนิกเกิล

ไทยได้เชิญชวนให้ทั้งรวันดาและบุรุนดีเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าและงานแสดงสินค้าสำคัญของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เช่น งาน Thailand-Global Connect: Seeking New Opportunities amidst Global Trade Challenges ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม งาน Thailand International Logistics Fair 2025 ในเดือนสิงหาคม งาน Bangkok Gems & Jewelry Fair 2025 ในเดือนกันยายน และงาน Thailand Tractor & Agri-Machinery Show: THAITAM ที่วางแผนจัดขึ้นในเดือนธันวาคม ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทั้งสองฝ่ายได้พบปะ พูดคุย และขยายความร่วมมือเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม

กระทรวงพาณิชย์ยังมีสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ซึ่งมีพื้นที่ความรับผิดชอบครอบคลุมรวันดาและบุรุนดีด้วย โดยจะทำหน้าที่เป็นกลไกสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศให้เป็นไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ

ข้อมูลทางการค้าระหว่างไทยกับทั้งสองประเทศในปี 2567 สะท้อนแนวโน้มที่น่าจับตา โดยรวันดาเป็นคู่ค้าอันดับที่ 26 ของไทยในทวีปแอฟริกา มูลค่าการค้าอยู่ที่ 55.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยส่งออกไปรวันดา 4.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 51.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่งออกหลักได้แก่ เคมีภัณฑ์ แผงสวิตซ์และอุปกรณ์ไฟฟ้า รถยนต์และชิ้นส่วน ขณะที่สินค้านำเข้าได้แก่ แร่โลหะ เศษโลหะ อัญมณี เงิน ทอง กาแฟและชา

ส่วนบุรุนดี แม้ยังเป็นตลาดเกิดใหม่และอยู่ในลำดับที่ 51 ของไทยในแอฟริกา แต่ก็มีศักยภาพในการเติบโต มูลค่าการค้ารวมในปี 2567 อยู่ที่ 1.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยทั้งหมดเป็นการส่งออกจากไทย ซึ่งประกอบด้วยรถยนต์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์กระดาษ ส่วนสินค้านำเข้าจากบุรุนดียังอยู่ในระดับต่ำมาก และจำกัดอยู่ในกลุ่มของที่ทำจากเหล็กกล้า สิ่งพิมพ์ และข้าว

การขยายตลาดการค้าสู่แอฟริกา โดยเฉพาะผ่านความร่วมมือกับประเทศอย่างรวันดาและบุรุนดี จึงถือเป็นก้าวสำคัญของไทยในการสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจที่หลากหลาย ลดการพึ่งพาตลาดเดิม และต่อยอดความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์ร่วมกันระหว่างประเทศกำลังพัฒนาในหลายมิติ ทั้งการค้า การลงทุน และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

L2D Page (38)

เศรษฐกิจไทยเผชิญกับดักนำเข้า สัญญาณลดบทบาท "ประเทศผู้ผลิต" สู่การเป็น "ประเทศทางผ่าน" ในห่วงโซ่อุปทานโลก

กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าผลักดันการเปิดตลาดใหม่ในทวีปแอฟริกา โดยเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้พบหารือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐรวันดาและบุรุนดีประจำประเทศไทย ณ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสองประเทศในแอฟริกาตะวันออก ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการขยายบทบาทของไทยในภูมิภาคที่กำลังเติบโตและมีศักยภาพสูง

นายเอกฉัตรกล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ไทยมีเป้าหมายในการขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคใหม่ๆ โดยแอฟริกา โดยเฉพาะรวันดาและบุรุนดี ถือเป็นภูมิภาคดาวรุ่งที่มีแนวโน้มเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ทั้งสองประเทศตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของแอฟริกาตะวันออก ซึ่งสามารถเชื่อมโยงการค้าในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ไทยก็พร้อมเป็นประตูการค้าสำหรับรวันดาและบุรุนดีเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในระหว่างการหารือ ฝ่ายไทยได้แสดงความพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่มั่นคง โดยเน้นกลุ่มสินค้าที่ไทยมีศักยภาพสูงในการส่งออก เช่น วัสดุก่อสร้าง แผงสวิตซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตลอดจนเคมีภัณฑ์ รวมถึงสินค้าเกษตรบางประเภทที่สอดคล้องกับความต้องการพัฒนาของทั้งสองประเทศ ด้านรวันดาซึ่งเป็นประเทศที่มีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างรวดเร็ว ก็มีสินค้าที่ไทยสนใจนำเข้า เช่น กาแฟและชา ขณะที่บุรุนดีเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติหลากหลาย โดยเฉพาะแร่ธาตุหายาก ทองแดง และนิกเกิล

ไทยได้เชิญชวนให้ทั้งรวันดาและบุรุนดีเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าและงานแสดงสินค้าสำคัญของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เช่น งาน Thailand-Global Connect: Seeking New Opportunities amidst Global Trade Challenges ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม งาน Thailand International Logistics Fair 2025 ในเดือนสิงหาคม งาน Bangkok Gems & Jewelry Fair 2025 ในเดือนกันยายน และงาน Thailand Tractor & Agri-Machinery Show: THAITAM ที่วางแผนจัดขึ้นในเดือนธันวาคม ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทั้งสองฝ่ายได้พบปะ พูดคุย และขยายความร่วมมือเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม

กระทรวงพาณิชย์ยังมีสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ซึ่งมีพื้นที่ความรับผิดชอบครอบคลุมรวันดาและบุรุนดีด้วย โดยจะทำหน้าที่เป็นกลไกสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศให้เป็นไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ

ข้อมูลทางการค้าระหว่างไทยกับทั้งสองประเทศในปี 2567 สะท้อนแนวโน้มที่น่าจับตา โดยรวันดาเป็นคู่ค้าอันดับที่ 26 ของไทยในทวีปแอฟริกา มูลค่าการค้าอยู่ที่ 55.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยส่งออกไปรวันดา 4.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 51.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่งออกหลักได้แก่ เคมีภัณฑ์ แผงสวิตซ์และอุปกรณ์ไฟฟ้า รถยนต์และชิ้นส่วน ขณะที่สินค้านำเข้าได้แก่ แร่โลหะ เศษโลหะ อัญมณี เงิน ทอง กาแฟและชา

ส่วนบุรุนดี แม้ยังเป็นตลาดเกิดใหม่และอยู่ในลำดับที่ 51 ของไทยในแอฟริกา แต่ก็มีศักยภาพในการเติบโต มูลค่าการค้ารวมในปี 2567 อยู่ที่ 1.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยทั้งหมดเป็นการส่งออกจากไทย ซึ่งประกอบด้วยรถยนต์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์กระดาษ ส่วนสินค้านำเข้าจากบุรุนดียังอยู่ในระดับต่ำมาก และจำกัดอยู่ในกลุ่มของที่ทำจากเหล็กกล้า สิ่งพิมพ์ และข้าว

การขยายตลาดการค้าสู่แอฟริกา โดยเฉพาะผ่านความร่วมมือกับประเทศอย่างรวันดาและบุรุนดี จึงถือเป็นก้าวสำคัญของไทยในการสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจที่หลากหลาย ลดการพึ่งพาตลาดเดิม และต่อยอดความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์ร่วมกันระหว่างประเทศกำลังพัฒนาในหลายมิติ ทั้งการค้า การลงทุน และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

L2D Page (37)

CHANGAN Automobile ต้อนรับกรมศุลกากรมาบตาพุด เยี่ยมชมโรงงานผลิตรถยนต์พลังงานใหม่แห่งแรกในต่างประเทศ พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นลงทุนระยะยาวในไทย

CHANGAN Automobile ผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะและคาร์บอนต่ำ เปิดประตูโรงงานฉางอาน ออโตโมบิล ระยอง (CHANGAN Automobile Rayong Factory) ต้อนรับคณะทำงานจากสำนักงานศุลกากรมาบตาพุด เข้าเยี่ยมชมและรับฟังการดำเนินงานของฐานการผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ครบวงจรแห่งแรกของบริษัทนอกประเทศจีน ซึ่งโรงงานแห่งนี้ยังได้รับการสนับสนุนให้เป็นพื้นที่เขตปลอดอากรภาษีจากกรมศุลกากรและหน่วยงานภาครัฐของไทยอีกด้วย

ในการนี้ เซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีส เอเชีย และ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) ได้เข้าพบภัทริยา กุลชล ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรมาบตาพุด เพื่อหารือความร่วมมือและแสดงความขอบคุณต่อการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยเน้นย้ำถึงความตั้งใจในการลงทุนระยะยาวในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของฉางอานที่ให้ความสำคัญกับตลาดอาเซียน

CHANGAN ย้ำความพร้อมในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย โดยเฉพาะการสนองต่อนโยบายภาครัฐภายใต้มาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า EV 3.0 และ EV 3.5 ด้วยการผลิตในประเทศทดแทนการนำเข้าให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งเป้าใช้ชิ้นส่วนและอะไหล่ที่ผลิตในไทยในสัดส่วน 60-70% เพื่อช่วยเพิ่มรายได้และศักยภาพให้กับผู้ผลิตไทย พร้อมทั้งสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ โดยได้จัดสรรบุคลากรไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านการนำเข้า-ส่งออกมาร่วมประสานงานกับกรมศุลกากรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามกฎหมาย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพสูงสุด

การเปิดโรงงานต้อนรับคณะทำงานจากภาครัฐในครั้งนี้ สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของฉางอานในการให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับหน่วยงานราชการไทย พร้อมเดินหน้าสนับสนุนนโยบายของรัฐอย่างแข็งขัน ควบคู่กับการส่งมอบเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าและสังคมไทยในระยะยาว

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us