News Update

news-20250310-01

‘แหลมฉบัง’ แจงไร้ส่วยแซงคิว เตรียม 83 ไร่ ‘Truck Parking’ แก้ปัญหา

เรือโทยุทธนา โมกขาว ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ประชุมหารือร่วมกับผู้ประกอบการท่าเทียบเรือ 18 ท่า ในท่าเรือแหลมฉบัง ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดที่ท่าเรือแหลมฉบัง

เรือโทยุทธนา  กล่าวว่า ปัจจุบันท่าเรือแหลมฉบังมีความหนาแน่น โดยผ่านมาท่าเรือแหลมฉบังปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก  เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรภายในท่าเรือ รวมทั้งยกระดับการให้บริการให้ สอดรับต่อแผนการพัฒนาท่าเรือระยะยาว โดยใช้งบประมาณไปนับพันล้านบาท

ทั้งนี้ เพื่อลดความแออัดของรถบรรทุกที่เข้ามาขนส่งสินค้า และแก้ไขปัญหาจราจรภายในท่าเรือแหลมฉบัง โดยการเพิ่มประตูตรวจสอบตู้สินค้าจากเดิมมีเพียง  6 ช่องทาง จนปัจจุบันมีทั้งหมด 30 ช่องทางแล้ว  ทำการขยายถนน ปรับปรุงผิวจราจร ขยายช่องจราจร  ติดตั้งระบบไฟฟ้าส่องสว่าง และป้ายสัญญาณจราจร ก่อสร้างสะพานข้ามแยกบริษัท ยูนิไทย ชิปยาร์ด  ทางยกระดับจุดกลับรถทางเข้าชุมชนบ้านแหลมฉบัง รวมทั้งยังมีจองเวลาการส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์เพื่อการส่งออก โดยจะให้ผู้ประกอบการสามารถระบุระยะเวลาในการส่งตู้สินค้าซึ่งคนขับรถไม่ต้องมาเสียเวลารอ โดยมีลานจอดพักรถในพื้นที่ 70 ไร่ ซึ่งมีบริการห้องสุขา จุดทิ้งขยะ ให้บริการ และร้านอาหารใกล้บริเวณดังกล่าว ในเรื่องห้องสุขา เราจะพิจารณาจัดให้บริการในพื้นที่ตามเส้นทางเพิ่มเติม เนื่องจากความไม่สะดวกในช่วงเวลาที่เข้ามาใช้บริการและรอเพื่อเข้าส่งตู้สินค้าเป็นเวลานาน

นอกจากนี้ยังมีแผนจัดการพื้นที่ ที่ท่าเรือแหลมฉบังได้วางไว้ คือ โครงการ "Truck parking“ จะพัฒนาพื้นที่  83 ไร่ บริเวณพื้นที่โซน 3 นอกเขตรั้วศุลกากร ทำจุดจอดรถและคอมมูนิตี้มอลล์ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในการจอดรถ พักรถ และพักผ่อน เพื่อรองรับรถบรรทุกสินค้าที่เข้ามารอรับส่งสินค้าในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษารูปแบบการดำเนินงาน

รวมทั้งเบื้องต้นจะเป็นการให้เอกชนเข้ามาเช่าพื้นที่ และเสนอรูปแบบการบริหารจัดการทั้งหมด ทั้งการก่อสร้างและบริหาร  มั่นใจว่าจะรองรับรถบรรทุกหัวลากรถบรรทุกสิบล้อที่มีกว่า 350,000-370,000 คัน ที่วิ่งเข้าออกขนส่งสินค้าในท่าเรือได้สะดวกสบายมากขึ้น  พร้อมเป็นการสนับสนุนโครงการ Truck Queue  ของท่าเรือแหลมฉบัง โดยเฉพาะรถหัวลากที่ยังไม่มีคิวจะเข้ามาพักคอยในสถานที่แห่งนี้ได้  

นอกจากนี้ยังมีแผนจะเปิดประตู 5 เพื่อช่วยระบายการจราจรให้คล่องตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งหากทุกอย่างแล้วเสร็จจะสามารถแก้ไขปัญหาการจราจรภายในได้ อย่างแน่นอน

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250307-03

จับความเคลื่อนไหว 2 ยักษ์ใหญ่ขนส่ง “DHL-FedEx” กับการขยายธุรกิจในไทย

นอกจากความเคลื่อนไหวของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่ทยอยเปิดแผนและทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 แล้ว ฟากยักษ์ใหญ่ด้านการขนส่งระดับโลกอย่าง DHL และ FedEx ก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาไม่แพ้กัน เพราะต่างพร้อมใจกันขยายธุรกิจในเมืองไทย รับกับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่คาดว่าจะเติบโตได้ดี

เริ่มกันที่ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ประเทศไทย (DHL Global Forwarding Thailand) ในเครือ DHL Group ที่ประกาศเปิดตัวศูนย์กลางการขนส่งระหว่างประเทศแบบมัลติโมดอล “DHL International Multimodal Hub” ในพื้นที่ใหม่ขนาด 480 ตารางเมตร ภายในศูนย์การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ณ เขตปลอดอากร 3 สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศแบบมัลติโมดอล

โดยศูนย์การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ หรือ Multimodal Transportation Center นั้น จัดตั้งขึ้นโดย บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด (AOTGA) ร่วมกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) และกรมศุลกากรไทย ในพื้นที่ของสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าและยกระดับอุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาค

สำหรับศูนย์กลางการขนส่งระหว่างประเทศแบบมัลติโมดอล “DHL International Multimodal Hub” ของดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ประเทศไทย ณ เขตปลอดอากร 3 สนามบินสุวรรณภูมินั้น มาด้วยจุดแข็งการเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศรายเดียวที่พร้อมด้วยคลังสินค้าพิเศษภายในศูนย์ ทำให้สามารถให้บริการขนส่งแบบผสมผสานได้ครบวงจร ตอบโจทย์การขนส่งหลายรูปแบบหรือ Multimodal ทั้งการขนส่งทางรถ ทางอากาศ และทางทะเล

ถ้าลงในรายละเอียดยังพบว่า นอกจากรูปแบบการขนส่งที่ยืดหยุ่นแล้ว DHL International Multimodal Hub ยังมีการยกเว้นเอกสาร Exporter of Record / Importer of Record สำหรับการขนส่งผ่านแดนและการขนส่งแบบหลายรูปแบบ มีบริการขั้นตอนทางศุลกากรตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงการจัดการสินค้าที่ต้องการเอกสารเฉพาะและการอำนวยความสะดวกในการชำระภาษีและอากรในท้องถิ่น

“หนึ่งในข้อได้เปรียบหลักของ DHL International Multimodal Hub คือ การเป็นศูนย์กลางขนส่งแบบครบวงจรลูกค้าสามารถดำเนินกระบวนการศุลกากรได้อย่างรวดเร็วภายในกรุงเทพฯ ลดขั้นตอนการเดินทางเพื่อไปดำเนินการยังจุดชายแดน ทำให้สินค้าถึงมือผู้รับปลายทางได้เร็วขึ้น ลดระยะเวลาในการขนส่ง และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ” วินเซนต์ ยง กรรมการผู้จัดการของ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ประเทศไทย กล่าว

ที่มากกว่านั้นดูเหมือนว่า ดีเอชแอลกำลังขยายการเติบโตโดยผลักดันการเชื่อมโยงทางการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้แข็งแกร่งและไร้รอยต่อ ผ่านการใช้เครือข่าย DHL Asiaconnect และ DHL Asiaconnect+ ซึ่งเป็นเครือข่ายการขนส่งแบบ LTL (Less Than Truckload) ของดีเอชแอลด้วยใช้ศูนย์กลางการขนส่งแบบครบวงจรที่ประเทศไทยเป็นฐานสำคัญ ทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดจีน และจีน เป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ สปป. ลาว ด้วยแนวคิดเปลี่ยน Landlock สู่ Landlink ที่เน้นการขนส่งทางถนนอันเป็นส่วนหนึ่งของโซลูชันการขนส่งแบบมัลติโมดอลของดีเอชแอล

“ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ความสามารถในการขนส่งที่จำกัด อัตราค่าขนส่งทางทะเลและทางอากาศที่สูง รวมถึงการปิดท่าเรือและสนามบิน ได้ผลักดันให้ลูกค้าหันมาใช้การขนส่งทางถนนมากขึ้น และเมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ลูกค้าก็ยังคงเห็นถึงความสำคัญของการขนส่งทางถนน

โดยเฉพาะในภูมิภาคนี้ การขนส่งทางถนนมีบทบาทสำคัญในโซลูชันการขนส่งแบบมัลติโมดอลโดยเฉพาะเมื่อต้องขนส่งสินค้าภายในภูมิภาคหรือกับประเทศจีน การขนส่งสินค้าผ่านรูปแบบการขนส่งแบบผสม เช่น ทางรถไฟและทางถนน สามารถช่วยลดระยะเวลา Door-to-Door (DTD) ได้เร็วกว่าการขนส่งทางทะเล และมีต้นทุนต่ำกว่าการขนส่งทางอากาศ” บรูโน เซลโมนี รองประธานฝ่ายการขนส่งทางถนนและโซลูชันมัลติโมดอล ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ดีเอชแอล โกลบอล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง เสริม

ฟาก เฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น (Federal Express Corporation) หรือ FedEx ก็ไม่น้อยหน้า ล่าสุดเดินหน้าขยายศูนย์บริการแห่งใหม่ สาขาแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ให้บริการครบวงจรด้านการส่งพัสดุและโลจิสติกส์ โดยการขยายศูนย์บริการในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการรองรับความต้องการของธุรกิจนำเข้าและส่งออกในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีเป้าหมายในการขยายสู่ระดับสากล

ศูนย์กระจายสินค้าและให้บริการแห่งใหม่สาขาแหลมฉบัง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 4,900 ตารางเมตร มีขนาดใหญ่ขึ้นเกือบสี่เท่าของขนาดเดิม มาพร้อมเทคโนโลยีการจัดการพัสดุขั้นสูง และระบบการคัดแยกที่สามารถคัดแยกพัสดุได้สูงสุดถึง 3,000 ชิ้นต่อชั่วโมง

นอกจากนี้ ยังมีคลังสินค้าขนาด 4,560 ตารางเมตร เพื่อรองรับการขนส่งหลากหลายรูปแบบ ทั้งการขนส่งทางเครื่องบิน ทางเรือ และทางรถที่ร่วมกับ เฟดเอ็กซ์ โลจิสติกส์ เพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมในการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักมาก อีกทั้งยังมีบริการเหมารถสำหรับเข้ารับสินค้า/นำส่งสินค้า, บริการตีลังไม้, บริการรมยา (Fumigation), บริการจัดเรียงสินค้าบทพาเลท, บริการช่วยเหลือ ณ สถานที่ของลูกค้า (On-dock Support) และบริการจัดส่งสินค้าอันตราย เพื่ออุดช่องว่างของตลาด

ความน่าสนใจคือศูนย์บริการแห่งนี้ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ใจกลางเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก บริเวณ ปิ่นทอง โลจิสติกส์ ปาร์ค ทำให้การเข้าถึงพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญเป็นไปได้สะดวก พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกในการให้บริการรับ-ส่งพัสดุและสินค้าถึงมือผู้รับในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งน่าจะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สร้างการเติบโตทางธุรกิจให้กับเฟดเอ็กซ์ในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

“การขยายศูนย์บริการสาขาแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเพิ่มการเข้าถึงของลูกค้าในตลาดสากล และเป็นการสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยที่จะเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์แห่งอาเซียน” ศศธร ภาสภิญโญ กรรมการผู้จัดการ เฟดเอ็กซ์ ประเทศไทย กล่าว

ทางเฟดเอ็กซ์มั่นใจว่าศูนย์บริการแห่งใหม่จะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันการเติบโตและการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งคิดเป็น 15.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย (GDP) โดยมีเป้าหมายดึงดูดการลงทุนใหม่มูลค่า 5 แสนล้านบาท พร้อมทั้งเพิ่ม GPP ให้เติบโต 6.3% ระหว่างปี 2566-2570

ปัจจุบันเฟดเอ็กซ์ถือเป็นหนึ่งในบริษัทขนส่งด่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่ให้บริการมากกว่า 220 ประเทศและเขตปกครอง โดยในส่วนของบริษัท เฟดเอ็กซ์ ประเทศไทย มีศูนย์บริการรับส่งพัสดุทั้งหมด 20 แห่ง และสถานีเฟดเอ็กซ์อีก 14 แห่ง

ในขณะที่ดีเอชแอลมีการขนส่งทั้งทางถนน อากาศ และทะเล ไปจนถึงการบริหารจัดการซัปพลายเชนอุตสาหกรรม โดยขนส่งไปยัง 220 ประเทศและเขตปกครองทั่วโลก รวมถึง 10 ประเทศในอาเซียน สำหรับ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ประเทศไทย มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ประกอบด้วยสำนักงาน 7 แห่ง และคลังสินค้าอีก 3 แห่ง พื้นที่รวม 8,480 ตารางเมตร ซึ่งหลังจากนี้ คาดว่าน่าจะได้เห็นความเคลื่อนไหวของ 2 ยักษ์ใหญ่ด้านขนส่งตามมาอีกอย่างแน่นอน

ที่มา - gotomanager

news-20250307-01

'คมนาคม' ล้มแผนโอนย้ายสิทธิ์ ทอท.บริหาร 3 สนามบินภูมิภาค

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการโอนสิทธิบริหาร 3 ท่าอากาศยานภูมิภาคของกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ไปให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. โดยระบุว่า หลังจากเข้ามากำกับดูแล ทย. ซึ่งรับผิดชอบดูแลท่าอากาศยานภูมิภาค 28 แห่ง พบว่าท่าอากาศยานแต่ละแห่งมีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกัน เช่น ท่าอากาศยานหัวเมืองท่องเที่ยวหลักก็สามารถรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ ส่วนท่าอากาศยานเมืองรองก็รองรับส่งต่อผู้โดยสารภายในประเทศ

ส่วนภาพรวมรายได้ของ ทย. ส่วนใหญ่ยังมาจากท่าอากาศยานกระบี่ มีกำไรถึง 180 ล้านบาท สนามบินอุดรธานี ซึ่งมีกำไร 30 ล้านบาท ส่วนท่าอากาศยานขอนแก่น และท่าอากาศยานอุดรธานี มีกำไรรวมกว่า 40 ล้านบาท โดยกำไรจากการบริหารท่าอากาศยานเหล่านี้ ทย.จะนำไปบริหารจัดการค่าใช้จ่าย อุดหนุนในส่วนของท่าอากาศยานที่ขาดทุน

รวมทั้งพัฒนาบริการท่าอากาศยานภูมิภาคให้รองรับต่อการบริการผู้โดยสารภายใต้คอนเซ็ปต์ "สนามบินมีชีวิต" ซึ่งต้องพร้อมในด้านบริการผู้โดยสาร มีอัตลักษณ์ มีการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว และภาคขนส่งสาธารณะเชื่อมต่อท่าอากาศยานและแหล่งท่องเที่ยว

ต้องยอมรับว่าการดำเนินงานบริหารสนามบินทั้ง 28 แห่งของภาครัฐ ยังมีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ผลประกอบการรวม 28 สนามบินในปีที่ผ่านมาพบว่ามีรายได้ และทำกำไรประมาณ 250 ล้านบาท ส่วนรายจ่ายมีจำนวนรวม 330 ล้านบาททำให้ประสบปัญหาขาดทุนกว่า 80 ล้านบาท ดังนั้นกระทรวงฯ พิจารณาแล้วว่า ทย.พัฒนาท่าอากาศยานทั้งหมดและบริหารรายได้จะก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่า อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมทุกสนามบินให้ยืนอยู่ได้ ท้ายที่สุดก็ไม่ต้องพึ่งพางบประมาณของรัฐบาล

ขณะเดียวกันตนได้มอบหมายให้ทุกท่าอากาศยานจัดตั้งคณะทำงานบูรณการร่วมกับทุกภาคส่วนในท้องถิ่น โดยมีหัวหน้าหน่วยงานในจังหวัดทุกภาคส่วนเข้ามาเป็นกรรมการ เพื่อให้การต่อยอดการพัฒนาท่าอากาศยานและท้องถิ่นควบคู่กันไป เช่น การเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะของท้องถิ่น การประชาสัมพันธ์กิจกรรมและประเพณีของท้องถิ่น

รวมไปถึงการนำสินค้าจากวิสาหกิจชุมชนมาจำหน่ายโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และสั่งการให้ ทย.บริหารสัญญาพื้นที่เชิงพาณิชย์ เปิดให้เอกชนเข้ามาประมูลให้มีความหลากหลายมากขึ้น หากดำเนินการสิ่งเหล่านี้คาดว่าจะทำให้ ทย.มีรายได้เพิ่มประมาณ 30%

นางมนพร กล่าวด้วยว่า ตนเชื่อว่าหากแต่ละท่าอากาศยานบริหารจัดการให้เป็นสนามบินมีชีวิต ตอบโจทย์บริการผู้โดยสาร พร้อมทั้งบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์บริหารรายได้ให้มีศักยภาพ จะทำให้แต่ละท่าอากาศยานมีรายได้และทำกำไร

ดังนั้นตนจึงมีนโยบายที่จะชะลอแผนการโอนสิทธิ์บริหาร 3 ท่าอากาศยาน คือ ท่าอากาศยานกระบี่ ท่าอากาศยานอุดรธานี และท่าอากาศยานบุรีรัมย์ จากเดิมที่มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2565 เห็นชอบในหลักการให้มีการโอนสิทธิ์ดังกล่าวไปอยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท.

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250213-01

'สรท.' ชี้ ทรัมป์ 2.0 ระเบิดเวลาส่งออกไทย คาดไตรมาส 2 กระทบแน่

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การส่งออกเดือน ม.ค. มูลค่า 25,277 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวถึง 13.6 %  ถือเป็นว่าดี แต่ผู้ส่งออกไม่ได้ดีใจมาก  เพราะพิจารณาจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ซึ่งเป็นสินค้าหลักของไทย เดือนม.ค.ขยายตัวเพียง 0.1 % แม้ไม่มากแต่ก็มีนัยสำคัญ  โดยสินค้าที่เป็นแรงสนับสนุนให้การส่งออกเดือนม.ค.ขยายตัวสูง คือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวสูง 17 % เครื่องใช้ไฟฟ้า 10 % โดยทั้ง 2 ตัวนี้เร่งส่งออกไปยังสหรัฐตั้งแต่ช่วงปลายปี เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีของสหรัฐ

ยอดส่งออกเดือนม.ค.เป็นเพียงภาพลวงตา เพราะเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เห็น โดยภาคการผลิตที่ยังไม่ฟื้นดูจากดัชนีภาคการผลิตที่ฟื้นตัวเล็กน้อย  เช่น  จีน  เวียดนาม  บางประเทศที่ดัชนีภาคการผลิตขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐที่เพิ่มขึ้นก่อนการบังคับใช้มาตรการภาษี ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลงเพราะความต้องการใช้น้อยลง ค่าระวางเรือมีแนวโน้มลดลง  ซึ่งการส่งออกลดลง

ในปี 67 ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐ 35,000 ล้านดอลลาร์ แต่ขาดดุลการค้ากับจีนมากถึง 45,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสัญญาณให้มีการทบทวนกฎระเบียบเกี่ยวกับการส่งออกและนำเข้า ดังนั้นเราคงจะดูเฉพาะยอดส่งออกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลงลึกไปในรายละเอียดด้วย

“สิ่งที่เห็น คือไฟไหม้นอกบ้านอยู่แล้ว รู้อย่างไรว่าจะไม่ลามถึงบ้านเรา  ซึ่งเราต้องเตรียมมาตรการรับมือ ทั้งนี้สงครามการค้าจะเต็มรูปแบบจากนี้ไปซึ่งจะเป็นระเบิดเวลาส่งออกไทย”นายชัยชาญ กล่าว

นายชัยชาญ กล่าวว่า  สำหรับไตรมาสแรก สรท.ยังมั่นใจว่า การส่งออกของไทยจะขยายตัว  7-8 % โดยการส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 25,000 ล้านดอลลาร์  แม้ขณะนี้ทรัมป์ 2.0 จะมีผลเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้ากับแคนาดา เม็กซิโก รวมไปถึงจีนที่ขึ้นไปแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตามไทยไม่สามารถที่จะจะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากเรื่องกำแพงภาษี เพราะการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐไม่ได้จำกัดเฉพาะประเทศเม็กซิโก แคนาดา และจีนเท่านั้น อีกทั้งยังเกิดผลกระทบต่อสินค้าบางชนิด เช่น เหล็ก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาหามาตรการรองรับผลกระทบดังกล่าว

ขณะที่การส่งออกในไตรมาส 2 จะเป็นต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะการปรับขึ้นภาษีของทรัมป์จะเห็นผลชัดเจนต่อการส่งออกไทย โดยทางตรงอาจไม่มาก แต่ทางอ้อมจะกระทบหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าสำคัญเช่นเหล็กและอลูมิเนียม โดยจะมีผลต่อห่วงโซ่ซัพพลายเชนที่ใช้เหล็กและอลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบในการผลิต โดยเฉพาะอย่างเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ ก่อสร้าง อุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

นอกจากนี้เมื่อแคนาดาและเม็กซิโก จีน ส่งออกไปสหรัฐไม่ได้ ก็ต้องหาตลาดใหม่ทดแทน อีกทั้งจะเกิดซัพพลายดีสรัปชั่น  รวมไปถึงการลดราคาสินค้าเพื่อความอยู่รอดทำให้เกิดการแข่งขันสูง ผู้ส่งออกที่สายป่านยาวก็จะอยู่รอดได้

“เพียงแค่ 1 เดือนที่ทรัมป์ปรับขึ้นภาษีก็โกลาหลไปทั่วโลก วันนี้สงครามการค้ามี 2 มิติ คือ ตัวประเทศที่ถูกขึ้นภาษีโดยตรงและตัวสินค้า ซึ่งการประเมินผลกระทบจากการขึ้นภาษีของทรัมป์ในไตรมาส 2 เป็นเรื่องยาก เพราะโจทย์ยังไม่รู้ อีกทั้งต้องติดตามในช่วงเดือนเม.ย.นี้ด้วยว่า สหรัฐจะประกาศมีการขึ้นภาษีสินค้าใด กับประเทศไหน สิ่งที่ทำได้ขณะนี้คือ การปรับตัวและรับมือกับสงครามการค้า”นายชัยชาญ กล่าว

นายชัยชาญ กล่าวว่า ทั้งนี้ สรท. ยังคงเป้าส่งออกปี  68 เติบโตที่  13 % โดยมีมูลค่า 305,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนเสมือนระเบิดเวลาที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ในประเด็นสำคัญ ได้แก่

1. การส่งเสริมการลงทุนในประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น ดุลการค้าเพิ่ม แต่สัดส่วนการใช้ Local Content น้อย ประกอบกับมีความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางภาษีกดดันจากการส่งออกกลุ่มสินค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจนเกินดุลการค้า ผลกระทบจึงตกไปยังผู้ประกอบการในประเทศทั้งต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

2.สินค้าจีนทะลัก ขาดระบบควบคุม (Overcapacity) จากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ เพื่อกีดกันสินค้าและลดการเกินดุลการค้ากับจีน ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากที่ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถูกกระจายมายังภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยเป็นแหล่งรองรับสินค้า ส่งผลให้ SME ไทยแข่งขันด้านราคาไม่ได้และอาจต้องปิดกิจการ รวมถึงทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้น

3.Soft Loan เข้าถึงยาก ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่องและไม่สามารถยกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมให้ทันกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง ทำให้การลงทุนและการเติบโตในทางธุรกิจทำได้ช้า

4. การผลิตสินค้าล้าสมัย รับจ้างผลิต ขาดเอกลักษณ์ของตนเอง อุตสาหกรรมของไทยยังพึ่งพาการผลิตสินค้ารูปแบบ รับจ้างผลิต (OEM) ขาดงบประมาณสนับสนุนด้าน R&D ส่งเสริมการสร้างแบรนด์อัตลักษณ์ของคนไทยอย่างจริงงจัง ทำให้มีความเสี่ยงสูงจากการพึ่งพารูปแบบ OEM มากเกินไป

5.Skill labour ไม่ปรับตัว ไทยยังขาดแรงงานที่มีฝีมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ไทยเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับแรงงานขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้เทคโนโลยีและทักษะดิจิทัล ทำให้ปรับตัวไม่ทันสำหรับการเปลี่ยนแปลง ทักษะไม่ตรงกับความต้องการภาคการผลิต

6.ขาด SINGLE POLICY อุตสาหกรรมไทยและภาคการผลิตขาดทิศทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อน ทำให้ขาดประสิทธิภาพแม้มีแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจมากมาย เช่น Thailand 4.0, BCG Economy และ EEC แต่ไม่มีนโยบาที่เป็นแกนหลัก (Pivot policy) ที่ทุกภาคส่วนต้องปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบ

ทั้งนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะที่สำคัญ ดังนี้ ผู้ส่งออกไทยที่ทำการค้ากับสหรัฐฯ ควรมีแผนรองรับความเสี่ยง (Derisking) อาทิ มองหาตลาดอื่นทดแทนเพื่อกระจายสินค้า  หารือผู้นำเข้า ฑูตพาณิชย์ อย่างต่อเนื่องเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเตรียมการรับมือร่วมกัน

เร่งใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีอยู่และใช้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่ให้เต็มที่ เช่น กรอบ RCEP รวมถึงเร่งเจรจา FTA Thai – EU และ ASEAN – Canada ให้บรรลุผลโดยเร็ว

ที่มา - bangkokbiznews

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us