News Update

L2D Page (44)

สหรัฐฯ ขยายภาษีนำเข้าเหล็ก-อะลูมิเนียม 50% ครอบคลุมกว่า 400 สินค้า เพิ่มแรงกดดันต้นทุนธุรกิจ

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศขยายขอบเขตการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 50% ให้ครอบคลุมสินค้าอีกกว่า 400 รายการ โดยมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา และถือเป็นการเพิ่มน้ำหนักเชิงนโยบายการค้าอย่างมีนัยสำคัญ

รายงานจากสำนักข่าว CNBC ระบุว่าภาษีนำเข้ารอบใหม่นี้ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องดับเพลิง เครื่องจักร วัสดุก่อสร้าง ไปจนถึงสารเคมีชนิดพิเศษที่มีส่วนผสมของเหล็กหรืออะลูมิเนียม รวมถึงชิ้นส่วนรถยนต์ พลาสติก และส่วนประกอบเฟอร์นิเจอร์ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ชี้ว่า “หากสินค้าใดมีความมันวาว เป็นโลหะ หรือเกี่ยวข้องกับเหล็กและอะลูมิเนียมแม้เพียงเล็กน้อย ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกจัดเก็บภาษีในครั้งนี้”

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่ามาตรการนี้ครอบคลุมสินค้า 407 ประเภท โดยมีเป้าหมายเพื่อปิดกั้นช่องทางการหลีกเลี่ยงภาษีและสนับสนุนการฟื้นฟูอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมในประเทศ อย่างไรก็ตาม การประกาศดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน แต่ใช้รหัสศุลกากรแทน ซึ่งทำให้สาธารณชนยากต่อการประเมินขอบเขตผลกระทบโดยรวม

เจสัน มิลเลอร์ ศาสตราจารย์ด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทาน มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต ประเมินว่าภาษีชุดใหม่นี้จะครอบคลุมการนำเข้าที่มีมูลค่าสูงถึง 320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมากจากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ราว 190,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งย่อมส่งผลให้ต้นทุนธุรกิจและราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในเดือนกรกฎาคม

การเก็บภาษีนำเข้าครั้งนี้นับเป็นความต่อเนื่องจากมาตรการก่อนหน้า โดยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทรัมป์เพิ่งประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นสองเท่า หรือ 50% สำหรับประเทศส่วนใหญ่ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ ที่ต้องพึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ ทำเนียบขาวชี้ว่าการประกาศภาษีรอบใหม่ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เนื่องจากได้เริ่มกระบวนการทบทวนและรวมผลิตภัณฑ์ใหม่มาตั้งแต่ต้นปี และเปิดให้บริษัทต่างๆ ยื่นคำร้องขอจัดรวมสินค้าไว้ล่วงหน้าแล้ว

มาตรการนี้แม้จะมีเป้าหมายเพื่อเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมภายในประเทศ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในภาพรวมอาจรุนแรง โดยเฉพาะแรงกดดันเงินเฟ้อและต้นทุนที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการในหลายภาคส่วน

L2D Page (43)

คมนาคมดัน “ท่าเรือกรุงเทพ” สู่ Smart Port เปิดใช้ระบบใบสั่งปล่อยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์นำร่อง ลดขั้นตอน เพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์

กระทรวงคมนาคมเดินหน้าพัฒนาระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ของประเทศให้ก้าวทันยุคดิจิทัล ล่าสุดได้ผลักดันท่าเรือกรุงเทพ (ทกท.) สู่การเป็น Smart Port เต็มรูปแบบ โดยเริ่มนำระบบใบสั่งปล่อยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ หรือ NSW e-D/O มาใช้เป็นแห่งแรกของประเทศ ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการ ลดขั้นตอนการดำเนินงาน ลดระยะเวลา และเพิ่มความโปร่งใสของกระบวนการนำเข้าส่งออกสินค้า

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค พร้อมวางรากฐานให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ปรับตัวเข้าสู่ Smart Port อย่างสมบูรณ์ในทุกมิติ ทั้งด้านกระบวนการ เทคโนโลยี และการให้บริการที่เชื่อมโยงอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านเรือโท ภูมิ แสงค่า ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ กล่าวว่า ระบบ NSW e-D/O ที่นำมาใช้นั้นถูกพัฒนาให้รวดเร็ว โปร่งใส และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างการท่าเรือฯ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และกรมศุลกากร ผ่านแพลตฟอร์ม THAI NSW ซึ่ง NT เป็นผู้พัฒนาหลัก ระบบนี้ช่วยยกระดับการจัดการเอกสารการนำเข้าสินค้าทางเรือให้ทันสมัยและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เชื่อมโยงกับระบบปฏิบัติการของท่าเรือได้แบบไร้รอยต่อ ตั้งแต่การชำระค่าบริการไปจนถึงกระบวนการปล่อยสินค้าแบบเรียลไทม์

โครงการดังกล่าวยังสอดรับกับแผนพัฒนาดิจิทัลของกระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2566–2570 ที่มุ่งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างความโปร่งใส เพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่งและโลจิสติกส์ โดยมีเป้าหมายยกระดับการให้บริการสู่มาตรฐาน Smart Port และ Digital Logistics อย่างแท้จริง รองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจยุคใหม่ และเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก

L2D Page (42)

ดราม่า “มาม่าส่งออก” เขมรหวั่นเสี่ยงมะเร็ง นักวิชาการยืนยันได้มาตรฐาน ปลอดภัยเหมือนขายในไทย

เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์กัมพูชา หลังมีการเผยแพร่ภาพซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ที่มีข้อความระบุ “For Export Only” พร้อมคำบรรยายภาษาท้องถิ่นตั้งข้อสงสัยว่าสินค้าที่ส่งออกจากไทยอาจมีคุณภาพด้อยกว่าที่วางขายในประเทศ และอาจมีการใช้วัตถุดิบที่เสี่ยงเป็นอันตรายต่อสุขภาพ จนถึงขั้นเตือนผู้บริโภคว่าการกินต่อเนื่องอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ทำให้ผู้บริโภคชาวกัมพูชาบางส่วนเกิดความวิตกกังวลต่อความปลอดภัยของสินค้าไทย

กระแสดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับมาม่าเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงสินค้าอาหารไทยอื่น ๆ เช่น เครื่องเทศ นมแดง และเลมอนบาล์ม ที่ถูกเปรียบเทียบว่าเวอร์ชันส่งออกไปกัมพูชามีคุณภาพด้อยกว่าที่จำหน่ายในไทย จนทำให้เกิดความสับสนและความไม่มั่นใจในหมู่ผู้บริโภคประเทศเพื่อนบ้าน

อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมายืนยันผ่านเฟซบุ๊กว่า มาม่าที่ผลิตเพื่อการส่งออกผ่านมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารเช่นเดียวกับที่จำหน่ายในประเทศ โดยกระบวนการผลิตอยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งก่อนนำเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ ยังต้องผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขของประเทศปลายทาง จึงมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย เพียงแต่รสชาติอาจปรับเปลี่ยนตามความนิยมของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ เช่น ลดความเผ็ดหรือปรับรสชาติให้เข้ากับวัฒนธรรมการกินของท้องถิ่น

สำหรับกรณีที่มีข้อความ “For Export Only” บนบรรจุภัณฑ์ เป็นเพียงข้อกำหนดด้านภาษีและการนำเข้าวัตถุดิบ โดยสินค้าที่ผลิตเพื่อการส่งออกจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีนำเข้าบางส่วน ผู้ผลิตจึงจำเป็นต้องแยกสินค้าสำหรับการจำหน่ายภายในประเทศและการส่งออกให้ชัดเจนเพื่อความสะดวกต่อการตรวจสอบ ไม่ได้หมายความว่าสินค้าส่งออกมีคุณภาพด้อยกว่า

ปัจจุบันมาม่าผลิตโดยบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) มีโรงงานใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย เมียนมา กัมพูชา บังกลาเทศ และฮังการี ส่งออกไปกว่า 60 ประเทศทั่วโลก โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดใหญ่ที่สุด วัตถุดิบเครื่องปรุงส่วนใหญ่มาจากธรรมชาติในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด หอม หรือกระเทียม และยังมีการพัฒนารสชาติพิเศษให้เหมาะกับแต่ละประเทศ เช่น รสหมี่กะทิในเมียนมา หรือบะหมี่แห้งในบังกลาเทศ

รศ.ดร.เจษฎา ย้ำว่า การกล่าวหาว่าสินค้าส่งออกมีคุณภาพต่ำกว่าที่ขายในไทยนั้นไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์และระบบมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ มาม่าไม่ว่าจะขายในไทยหรือประเทศใดล้วนได้มาตรฐานเดียวกัน อย่างไรก็ดี การบริโภคควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะมาม่ามีปริมาณโซเดียมสูง ซึ่งหากกินบ่อยเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคในไทย กัมพูชา หรือที่ใดก็ตาม

L2D Page (41)

สมาคมอาหารสัตว์แจงนำเข้าหมูสหรัฐฯ กระทบวงกว้าง ชี้ปัญหาข้าวโพดราคาตกเป็นวัฏจักรผลผลิตล้นตลาด

สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยออกมาแสดงความเห็นต่อกรณีที่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในจังหวัดเพชรบูรณ์เตรียมรวมตัวปิดถนนบริเวณสี่แยกราหุล อำเภอบึงสามพัน วันที่ 18 สิงหาคม 2568 เพื่อกดดันให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาราคารับซื้อข้าวโพดตกต่ำและการจำกัดปริมาณการรับซื้อจากโรงงาน โดยเกษตรกรบางส่วนเชื่อมโยงปัญหากับการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐอเมริกา

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมฯ ยืนยันว่าไม่ควรเข้าใจผิดว่าการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ เป็นต้นเหตุให้ราคาตกต่ำ เนื่องจากการนำเข้าในปัจจุบันยังไม่เกิดขึ้นจริง และหากมีการนำเข้าในอนาคตก็เป็นเพียงการทดแทนปริมาณที่เคยนำเข้ามาก่อนหน้านี้ จึงไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวโพดในประเทศลดลง ขณะเดียวกันได้ชี้ให้เห็นว่าประเด็นที่ควรให้ความสำคัญมากกว่าคือการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ เพราะจะส่งผลโดยตรงต่อความต้องการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ หากผู้เลี้ยงหมูไทยได้รับผลกระทบจนต้องลดการผลิต ความต้องการใช้ข้าวโพด ปลายข้าว มันสำปะหลัง กากถั่วเหลือง และปลาป่น จะหายไปรวมหลายล้านตัน ซึ่งจะกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ

เขายังกล่าวถึงประเด็นสารเร่งเนื้อแดงที่ใช้กันในสหรัฐฯ ว่าเป็นข้อกังวลด้านสุขภาพที่ไทยไม่อาจมองข้ามได้ เพราะวิถีการบริโภคของคนไทย โดยเฉพาะการบริโภคเครื่องใน ทำให้เสี่ยงต่อการได้รับสารตกค้างมากกว่าการกินเนื้อหมูเพียงอย่างเดียว จึงถือเป็นเหตุผลสำคัญที่ไทยสามารถหยิบยกมาใช้ปกป้องผู้บริโภคได้

สำหรับสถานการณ์ราคาข้าวโพดในประเทศ นายพรศิลป์อธิบายว่าเป็นผลจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน ซึ่งจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดเฉลี่ยเดือนละกว่า 1 ล้านตัน แต่ความต้องการใช้มีเพียง 7.6 แสนตันต่อเดือน ส่งผลให้ราคาปรับลดลงเป็นเรื่องปกติ โรงงานอาหารสัตว์ส่วนใหญ่กว่า 90% ยังคงเปิดรับซื้อ มีเพียงบางส่วนที่ปิดซ่อมบำรุงและจะกลับมาเปิดภายในต้นเดือนกันยายน ทั้งนี้แม้โรงงานทั้งหมดจะเปิดรับซื้อครบถ้วน ก็ไม่อาจดูดซับผลผลิตที่ล้นตลาดได้ทั้งหมด

รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือมาโดยตลอด เช่น โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้รวบรวมหรือสถาบันเกษตรกรในการเก็บสต็อกข้าวโพดเพื่อชะลอการขาย แต่ที่ผ่านมาเกษตรกรสมัครเข้าร่วมเพียงครึ่งหนึ่ง ทำให้ผลลัพธ์ยังไม่ครอบคลุม ขณะเดียวกันประเทศไทยมีความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปีละ 9.2 ล้านตัน แต่ผลิตได้เพียง 4.8 ล้านตัน จึงจำเป็นต้องพึ่งการนำเข้า ซึ่งอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เข้มงวดทั้งจากกรอบ AFTA และ WTO

สมาคมอาหารสัตว์เตือนว่าการสร้างข่าวโยงการนำเข้ากับราคาตกต่ำจะยิ่งทำให้เกษตรกรเสียโอกาสและถูกกดราคาเกินจริง พร้อมแนะให้เกษตรกรดูแลคุณภาพผลผลิต ลดความชื้นเพื่อขายได้ราคาดีขึ้น รวมถึงขอให้หน่วยงานรัฐเข้มงวดตรวจสอบการหักน้ำหนักในลานรับซื้อ โดยย้ำว่าปัญหานี้เกิดขึ้นซ้ำเกือบทุกปีตามฤดูกาลผลิต และสิ่งที่ควรเร่งทำคือการปรับโครงสร้างการผลิตและหามาตรการรองรับผลกระทบจากการนำเข้าเนื้อหมูสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลรุนแรงต่อทั้งระบบอาหารสัตว์มากกว่าการตกต่ำของราคาข้าวโพดในช่วงสั้น ๆ

ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยตลอดห้าปีที่ผ่านมา แม้จะตกต่ำในบางช่วงฤดูกาล แต่ไม่เคยต่ำกว่า 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และยังสูงกว่าราคาตลาดโลกมาโดยตลอด สะท้อนว่าปัญหาหลักไม่ได้อยู่ที่การนำเข้า แต่เป็นเรื่องโครงสร้างการผลิตและการจัดการผลผลิตที่ต้องการการแก้ไขอย่างจริงจังจากภาครัฐและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us