News Update

news-20250306-02

'DHL' ปรับโฟกัสฐานลูกค้าใหม่ หนุนไทยศูนย์กลางอีวี อีคอมเมิร์ซ ซัพลายเชน

DHL โชว์กลยุทธ์ 5 ปี ‘Strategy 2030’ เตรียมปรับใช้พลังงานใหม่ เน้นไทยเป็นศูนย์กลางขนส่งในภูมิภาค เพิ่มศักยภาพซัพพลายเชน เจาะลูกค้าใหม่กลุ่มโรงงานขนาดเล็ก - SME 

นายเฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทย และหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน เปิดเผยว่า DHL ได้เริ่มใช้แผนธุรกิจ 5 ปี ‘Strategy 2030’ ผ่านความร่วมมือของ 4 หน่วยธุรกิจในประเทศไทย ได้แก่ DHL eCommerce, DHL Express, DHL Global Forwarding) และ DHL Supply Chain

“DHL มีความพร้อมในการสนับสนุนการเติบโตของประเทศไทยด้วยการลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยมีหน่วยธุรกิจที่ให้บริการโลจิสติกส์อย่างเต็มรูปแบบ ทั้ง DHL eCommerce, DHL Express, DHL Global Forwarding และ DHL Supply Chain เพื่อสนับสนุนธุรกิจไทยให้เข้าถึงเครือข่ายและโซลูชันระดับโลก”

กรอบแนวคิด ของ ‘Strategy 2030’ มีกรอบ 4 ด้าน คือ 1. มุ่งเน้นเป็นผู้ให้บริการที่เป็นตัวเลือกให้ผู้ใช้ 2.เป็นนายจ้างที่เป็นตัวเลือกให้ผู้ถูกจ้างทำงานอย่างมีความสุข 3.การเป็นธุรกิจที่เป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุน และ 4.เป็นตัวเลือกสำหรับการสร้างธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคตที่ทุกคนเลือกใช้

“เครือข่ายโลจิสติกส์ของเราที่ครอบคลุม 220 ประเทศและเขตปกครอง พร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางอากาศและภาคพื้นดินส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญของการค้าโลก เราช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจทุกขนาดในประเทศไทยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากโอกาสธุรกิจที่มีทั่วโลก และส่งเสริมอนาคตที่ยั่งยืนผ่านโซลูชันที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพ เช่น บริการ GoGreen Plus เราพร้อมเชื่อมต่อประเทศไทยกับทั่วโลกและเปิดตลาดใหม่ให้แก่ธุรกิจไทย”

ด้วยโครงข่ายการขนส่งทางรถ ราง เรือ และอากาศมายาวนานนับแต่เป็นไปรษณีย์แห่งเยอรมนี ทำให้เราสามารถบริการกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ๆ อย่างเข้มแข็งได้ทั่วโลก ปรับตัวตามข้อกฎหมายของทั้ง 220 ประเทศและเขตปกครอง แต่ในปีนี้โฟกัสของเราจะอยู่ที่การเชื่อมต่อซัพพลายเชน ระหว่างโรงงานและธุรกิจ SME เข้าด้วยกันแบบข้ามโลกข้ามภูมิภาค ไม่ใช่แค่จัดส่งพาเซลใหญ่ๆ แต่รวมถึงสินค้าอีคอมเมิร์ซแบบจัดส่งถึงหน้าบ้าน

ปัจจุบัน DHL Supply Chain บริหารจัดการพื้นที่คลังสินค้ากว่า 678,000 ตารางเมตร ครอบคลุมมากกว่า 70 แห่ง รวมถึงในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยเครือข่ายการขนส่งที่ครอบคลุมทำให้บริษัทสามารถจัดการการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยรถขนส่งกว่า 4,800 คัน ปัจจุบันบริษัทกำลังลงทุนพัฒนาคลังสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมีแผนขยายการใช้รถขนส่งไฟฟ้า (EV) เพิ่มขึ้น 300% ในอีกสามปีข้างหน้า

DHL Express บริหารเครือข่ายการบินและภาคพื้นดินที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค (regional hub) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ศูนย์บริการ 15 แห่ง และจุดให้บริการทั้งที่เป็นเจ้าของเองและผ่านพันธมิตร 131 แห่ง ทั้งหมดนี้รองรับการจัดส่งด่วนระหว่างประเทศแบบถึงมือผู้รับ มีเครื่องบินขนส่งสินค้าระหว่างประเทศให้บริการ 85 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยศูนย์บริการทั้งหมด 100% ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียน

DHL Global Forwarding มีความเชี่ยวชาญด้านบริการจัดการการขนส่งสินค้าทางอากาศ ทางทะเล ทางรางรถไฟ และทางถนน ด้วยสำนักงาน 7 แห่ง และคลังสินค้า 3 แห่ง รวมพื้นที่ 8,480 ตารางเมตรทั่วประเทศไทย DHL Global Forwarding ให้บริการลูกค้ากว่า 2,000 ราย

ศูนย์ DHL International Multimodal Hub แห่งใหม่เป็นการลงทุนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค ศูนย์นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการขนส่ง โดยช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างรูปแบบการขนส่งต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น และลดความซับซ้อนของพิธีการศุลกากรในจุดเดียว นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์เชื่อมต่อที่สำคัญให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เช่น ประเทศลาว ด้วยทางเลือกการขนส่งที่หลากหลาย

DHL eCommerce มีเครือข่ายการจัดส่งครอบคลุมทั่วประเทศอย่างกว้างขวาง ประกอบด้วยศูนย์กระจายสินค้าปลายทาง 151 แห่ง ยานพาหนะกว่า 2,000 คัน และจุดให้บริการกว่า 230 แห่ง ทำให้สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง พร้อมทั้งบริการจัดส่งถึงมือผู้รับภายในวันถัดไปสูงถึง 97% ของพื้นที่ทั่วประเทศ ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง DHL eCommerce ลงทุนในโซลูชันที่ทันสมัยเพื่อยกระดับคุณภาพการบริการที่แตกต่างให้แก่ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-retailers) ธุรกิจ SME แบรนด์ต่างๆ และลูกค้าองค์กร โดยมีแผนปรับปรุงศูนย์กระจายสินค้าครั้งใหญ่ในปี 2569 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

อีคอมเมิร์ซ – ธุรกิจพลังงานใหม่ โอกาสของไทย
ด้านนายเกียรติชัย พิตรปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DHL eCommerce เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ภาคอีคอมเมิร์ซของไทยยังมีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดี DHL มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ ผ่านการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการขนส่งให้ดียิ่งขึ้นและการขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ด้วยการผสานเครือข่ายการจัดส่งที่ครอบคลุมทั่วประเทศเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยและโซลูชันด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน เราสามารถส่งเสริมศักยภาพให้ธุรกิจไทยทุกขนาดและทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าองค์กรหรือบุคคลทั่วไป ให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในเศรษฐกิจดิจิทัล

“ตามกลยุทธ์ Strategy 2030 ส่วนที่สำคัญ คือ การเป็นตัวเลือกสำหรับการสร้างธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยเราจะมุ่งเน้นการเปลี่ยนไปใช้พลังงานใหม่ และลดการปลดคาร์บอน โดยในไตรมาสที่ 2/2568 นี้จะเริ่มนำร่องใช้รถอีวรในการขนส่งระยะไกล 300-350 กิโลเมตร รอบศูนย์กลางกระจายสินค้าระดับภูมิภาคที่สุวรรณภูมิ ซึ่งจะทดลองใช้ไม่เกิน 5% ของจำนวนรถขนส่งระยะไกล หากทดสอบแล้วไปได้ดี จะเริ่มขยายไปใช้รถขนส่งพลังงานใหม่ทดแทน”

ภาคอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย (Thailand E-commerce Association) คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะเติบโตจาก 26,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 เป็น 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2568 ซึ่งสะท้อนอัตราการเติบโตที่ประมาณ 21% ในช่วงสองปี เทียบเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ประมาณ 10% อีกทั้ง DHL ยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาคธุรกิจ SME ที่เติบโตของไทย ซึ่งประกอบด้วยผู้ประกอบการกว่า 3.2 ล้านราย และมีส่วนสำคัญในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ คิดเป็น GDP ถึง 35%

ความสำเร็จของแบรนด์อย่าง Gentlewoman และ Fairtex แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของแบรนด์ไทยในการใช้ประโยชน์จากโซลูชันโลจิสติกส์แบบครบวงจรของ DHL เพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ การผสานเครือข่ายระดับโลกของ DHL เข้ากับความเชี่ยวชาญในท้องถิ่น เสริมสร้างขีดความสามารถให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพในตลาดระดับสากล

โครงการสำคัญอย่าง GoTrade ของ DHL ได้พัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการ SME กว่า 9,000 รายทั่วโลก สำหรับประเทศไทย DHL Express ได้พัฒนาโครงการนี้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่สำคัญ อาทิ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (OSMEP) เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่โอกาสทางการค้าระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากการสนับสนุนด้านการค้าระหว่างประเทศแล้ว DHL ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-retailers) ธุรกิจ SME และแบรนด์ต่างๆ ในการขยายตลาดภายในประเทศไทย ผ่านบริการขนส่งที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐาน คุณภาพสูง ในราคาที่คุ้มค่าของ DHL eCommerce   ความมุ่งมั่นในการให้บริการที่เป็นเลิศของ DHL ทำให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจทุกขนาดและทุกภาคส่วนจะสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลมากขึ้น

ในส่วนของ พลังงานใหม่ ก็กำลังมีการการเปลี่ยนแปลงในภาคพลังงานหมุนเวียนและอุตสาหกรรมยานยนต์จำเป็นต้องมีโซลูชันโลจิสติกส์เฉพาะทาง ซึ่ง DHL มองเห็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐในการดึงดูดผู้ผลิตจากต่างประเทศให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ

โซลูชันที่ครอบคลุมซัพพลายเชนด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของ DHL จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ถึง 30% ของปริมาณการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573

ที่มา - prachachat

news-20250306-01

ดัชนีเชื่อมั่นธุรกิจ ก.พ. กระเตื้อง รับเบิกจ่ายภาครัฐ-ส่งออกหนุน แต่ภาคผลิตยานยนต์ยังกดดัน

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือน ก.พ.68 อยู่ที่ 48.9 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 48.5 ในเดือน ม.ค.68 จากการเพิ่มขึ้นในเกือบทุกองค์ประกอบ โดยความเชื่อมั่นในภาคการผลิต ปรับเพิ่มขึ้นในเกือบทุกหมวดธุรกิจ นำโดยกลุ่มผลิตเหล็กที่ความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากผลดีของงานโครงการก่อสร้างภาครัฐที่เบิกจ่ายได้ต่อเนื่อง สอดคล้องกับกลุ่มผลิตอาหารที่ความเชื่อมั่นดีขึ้นในเกือบทุกองค์ประกอบ ตามการส่งออกทูน่ากระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องดื่ม ที่ขยายตัวได้ดี

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของกลุ่มผลิตยานยนต์ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เป็นปัจจัยกดดันให้ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคการผลิตโดยรวมเคลื่อนไหวในระดับต่ำกว่า 50 สะท้อนความเชื่อมั่นที่ยังแย่ลงจากเดือนก่อน

ขณะที่ความเชื่อมั่นในภาคที่มิใช่การผลิตปรับลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มโรงแรม และร้านอาหาร ด้านปริมาณการให้บริการ และผลประกอบการปรับลดลงมาก ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงหลังจากเทศกาลตรุษจีน และเริ่มเข้าสู่ช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว รวมทั้งความเชื่อมั่นกลุ่มการค้าปลีก ด้านคำสั่งซื้อ และผลประกอบการปรับลดลงมาก คาดว่าส่วนหนึ่งจากผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น และมาตรการ Easy E-receipt ในรอบนี้ที่สนับสนุนการใช้จ่ายได้ค่อนข้างจำกัด

ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ความเชื่อมั่นปรับดีขึ้นในทุกองค์ประกอบ ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมมาอยู่ที่ 52.5 โดยความเชื่อมั่นภาคการผลิตดีขึ้นในเกือบทุกหมวดธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Hard Disk Drive (HDD) และเลนส์ รวมถึงกลุ่มผลิตอาหาร เช่น ทูน่ากระป๋อง ผลไม้กระป๋อง และอาหารสัตว์เลี้ยง ที่ความเชื่อมั่นด้านการผลิต และผลประกอบการปรับเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวได้

เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นในภาคที่มิใช่การผลิตที่ดีขึ้น นำโดยกลุ่มการค้าปลีก ที่ความเชื่อมั่นด้านปริมาณการค้าปรับเพิ่มขึ้น คาดว่าส่วนหนึ่งจากผลดีของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (10,000 บาท) เฟส 3 ที่จะมีผลในเดือน พ.ค. และกลุ่มก่อสร้างภาครัฐและเอกชนที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย ที่ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมากในทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะด้านปริมาณงานก่อสร้าง และผลประกอบการ

ที่มา - mgronline

news-20250305-03

สรท. ชี้ 'สงครามการค้า' ระเบิดเวลาส่งออกไทย คาดทั้งปีโต 1-3%

ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)  ระบุว่า ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม 2568 กับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 25,277.0 ขยายตัวร้อยละ 13.6 และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 862,367 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 11.8  (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนมกราคมขยายตัวร้อยละ 11.4) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 27,157.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 7.9 และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 938,112 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 6.3 ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม 2568 ขาดดุลเท่ากับ 1,880.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลในรูปของเงินบาท 75,746 ล้านบาท

สรท. คาดการณ์ส่งออกปี 2568 เติบโตที่ร้อยละ 1-3 (ณ มีนาคม 2568) โดยมีปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนเสมือนระเบิดเวลาที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ในประเด็นสำคัญ ได้แก่ 

1) การส่งเสริมการลงทุนในประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น ดุลการค้าเพิ่ม แต่สัดส่วนการใช้ Local Content น้อย ประกอบกับมีความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางภาษีกดดันจากการส่งออกกลุ่มสินค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจนเกินดุลการค้า ผลกระทบจึงตกไปยังผู้ประกอบการในประเทศทั้งต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

2) สินค้าจีนทะลัก ขาดระบบควบคุม (Overcapacity) จากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ เพื่อกีดกันสินค้าและลดการเกินดุลการค้ากับจีน ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากที่ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถูกกระจายมายังภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยเป็นแหล่งรองรับสินค้า ส่งผลให้ SME ไทยแข่งขันด้านราคาไม่ได้และอาจต้องปิดกิจการ รวมถึงทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้น 

3) Soft Loan เข้าถึงยาก ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่องและไม่สามารถยกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมให้ทันกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง ทำให้การลงทุนและการเติบโตในทางธุรกิจทำได้ช้า

4) การผลิตสินค้าล้าสมัย รับจ้างผลิต ขาดเอกลักษณ์ของตนเอง อุตสาหกรรมของไทยยังพึ่งพาการผลิตสินค้ารูปแบบ รับจ้างผลิต (OEM) ขาดงบประมาณสนับสนุนด้าน R&D ส่งเสริมการสร้างแบรนด์อัตลักษณ์ของคนไทยอย่างจริงงจัง ทำให้มีความเสี่ยงสูงจากการพึ่งพารูปแบบ OEM มากเกินไป 

5) Skill labour ไม่ปรับตัว ไทยยังขาดแรงงานที่มีฝีมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ไทยเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับแรงงานขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้เทคโนโลยีและทักษะดิจิทัล ทำให้ปรับตัวไม่ทันสำหรับการเปลี่ยนแปลง ทักษะไม่ตรงกับความต้องการภาคการผลิต 

6) ขาด SINGLE POLICY อุตสาหกรรมไทยและภาคการผลิตขาดทิศทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อน ทำให้ขาดประสิทธิภาพแม้มีแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจมากมาย เช่น Thailand 4.0, BCG Economy และ EEC แต่ไม่มีนโยบาที่เป็นแกนหลัก (Pivot policy) ที่ทุกภาคส่วนต้องปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบ

ที่มา - nationtv

news-20250305-02

จีนตอบโต้สหรัฐฯ ขึ้น 'ภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร-อาหาร' มูลค่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาแล้ว ในวันอังคารที่ 4 มี.ค. 2568 หลังจากเลื่อนมา 1 เดือน และเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% เพิ่มเติมจากกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 10% ที่พวกเขาเริ่มบังคับใช้เมื่อ 4 ก.พ. และจากการดำรงตำแหน่งสมัยที่แรกของโดนัลด์ ทรัมป์

แต่ไม่กี่นาทีหลังจากกำแพงภาษีเพิ่มเติมของสหรัฐฯ เริ่มมีผลบังคับใช้ ทางการจีนก็ประกาศมาตรการตอบโต้ในทันที โดยจะขึ้นภาษีในอัตรา 15% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ประเภท ไก่, ข้าวสาลี, ข้าวโพด และฝ้าย ขณะที่ขึ้น 10% ต่อสินค้านำเข้าประเภท ถั่วเหลือง, ข้าวฟ่าง, เนื้อหมู, เนื้อวัว, ผลิตภัณฑ์จากปลา, ผัก, ผลไม้ และผลิตภัณฑ์จากนมวัว

มาตรการตอบโต้ของจีนจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. เป็นต้นไป โดยครอบคลุมสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งออกให้แก่จีนถึง 15% มีมูลค่าการค้าขายอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนั้น จีนยังเพิ่มชื่อบริษัทอเมริกันอีก 15 แห่ง เข้าสู่บัญชีควบคุมการส่งออก ซึ่งห้ามบริษัทจีนส่งออกเทคโนโลยีที่สามารถใช้เพื่อจุดประสงค์หลายอย่างให้แก่บริษัทเหล่านี้ ขณะที่อีก 10 บริษัทถูกขึ้นบัญชีเป็นบริษัทที่ไม่น่าเชื่อถือ ฐานขายอาวุธให้ไต้หวัน
ต่อมา รัฐบาลออกคำสั่งให้มีการสืบสวนบริษัทสหรัฐฯ ที่ผลิตสายใยแก้วนำแสง หรือ ไฟเบอร์ออปติก ตามมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด และระงับใบอนุญาตส่งออกของผู้ส่งออกสัญชาติอเมริกัน 3 แห่ง และระงับการขนส่งไม้จากสหรัฐฯ มายังประเทศจีนด้วย

ทั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งตั้งกำแพงภาษีเม็กซิโก, แคนาดา และจีน ตั้งแต่วันแรกที่เขารับตำแหน่งเมื่อ 20 ม.ค. โดยกล่าวหาทั้ง 3 ประเทศว่ามีส่วนทำให้ยาเฟนทานิลหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐฯ โดยเม็กซิโกกับแคนาดาเจรจากับสหรัฐฯ และให้คำมั่นว่าจะควบคุมชายแดนให้เข้มงวดขึ้น ทำให้การบังคับใช้กำแพงภาษีถูกเลื่อนออกไป 1 เดือน

ฝ่ายจีนกล่าวหาสหรัฐฯ ว่า กำลังแบล็คเมลประเทศของพวกเขาด้วยกำแพงภาษี พร้อมยืนยันว่า พวกเขาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนโยบายต่อต้านยาเสพติดเข้มงวดที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การที่จีนเพิ่มการเก็บภาษีในอัตราไม่ถึง 20% หมายความว่าจีนอาจยังหวังที่จะเจรจาสงบศึกทางการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ แต่หากสถานการณ์ลุกลามมากกว่านี้ โอกาสในการเจรจาก็จะยิ่งลดน้อยลง

ที่มา - thairath

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us