News Update

L2D Page (36)

อินโดนีเซียเดินหน้าลดภาษี-อุปสรรคการค้า หนุนดีลการค้ากับสหรัฐฯ ก่อนมาตรการภาษีมีผล

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์ร่วมระหว่างสหรัฐอเมริกาและอินโดนีเซีย เปิดเผยความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเข้มข้น โดยทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในระดับกรอบเบื้องต้นเพื่อจัดทำข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนอย่างเป็นทางการภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจทวิภาคี และเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกของทั้งสองประเทศสามารถเข้าถึงตลาดของกันและกันได้มากกว่าที่เคยเป็นมา

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มทรูธโซเชียล เรียกข้อตกลงดังกล่าวว่าเป็น "ชัยชนะอันยิ่งใหญ่" สำหรับภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ บริษัทเทคโนโลยี เกษตรกร ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ ไปจนถึงภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยข้อตกลงนี้ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ฉบับที่รัฐบาลทรัมป์สามารถเจรจาให้สำเร็จก่อนถึงเส้นตายการเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูงที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคมนี้

อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันถูกเก็บภาษีศุลกากรจากสหรัฐในอัตรา 19% เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ ขณะที่เวียดนามอยู่ที่ 20% อย่างไรก็ตาม ภายใต้ข้อตกลงล่าสุด อินโดนีเซียจะต้องดำเนินการยกเลิกนโยบายสำคัญหลายประการ เช่น การเก็บภาษีข้อมูลอินเทอร์เน็ต การตรวจสอบสินค้าสหรัฐก่อนขนส่ง ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของสหรัฐ และเป็นสาเหตุหนึ่งของดุลการค้าขาดดุลมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนหนึ่งที่ถือว่าเป็นความสำเร็จของฝั่งอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐคือ การที่อินโดนีเซียตกลงยอมรับมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์สหรัฐสำหรับการส่งออกเข้าสู่ตลาดอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงเพิ่มเติมให้อินโดนีเซียยกเลิกข้อจำกัดด้านการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์อุตสาหกรรม โดยเฉพาะแร่ธาตุสำคัญ พร้อมทั้งยกเลิกเงื่อนไขเรื่องการใช้ชิ้นส่วนท้องถิ่น (local content) สำหรับสินค้าที่จะส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา

ในแถลงการณ์ร่วมยังระบุว่า สหรัฐจะลดภาษีศุลกากรตอบโต้จากอัตราที่สูงลงมาอยู่ที่ 19% และยังอาจพิจารณายกเว้นภาษีเพิ่มเติมสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์บางรายการที่สหรัฐไม่มีการผลิตหรือไม่สามารถผลิตได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดเจาะจงในส่วนดังกล่าว

ทั้งสองประเทศยังตกลงจะหารือกันเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศที่สามเข้ามาใช้ช่องว่างจากข้อตกลงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับคู่สัญญาหลักอย่างสหรัฐและอินโดนีเซีย

ขณะเดียวกัน อินโดนีเซียยังแสดงความตั้งใจในการลดอุปสรรคสำหรับสินค้าอเมริกันเพิ่มเติม ด้วยการยกเลิกข้อจำกัดการนำเข้าและข้อกำหนดเกี่ยวกับใบอนุญาต สำหรับสินค้าหรือชิ้นส่วนที่ผลิตในสหรัฐ พร้อมทั้งยืนยันเข้าร่วมเวทีระดับโลกเพื่อหารือประเด็นปัญหาเรื่องการผลิตเหล็กส่วนเกิน และร่วมมือกับนานาชาติในการแก้ไขปัญหากำลังการผลิตเกินในภาคอุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลกอย่างเป็นรูปธรรม

L2D Page (35)

รัสเซียเร่งส่งออกทองและโลหะมีค่า พุ่งกว่า 80% จีนกลายเป็นตลาดหลักแทนตะวันตก

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การส่งออกสินแร่โลหะมีค่าของรัสเซียไปยังจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยมีอัตราเติบโตสูงถึง 80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดส่งออก หลังจากที่ชาติตะวันตกพากันใช้มาตรการคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้การรุกรานยูเครนของรัสเซีย

ข้อมูลจาก Trade Data Monitor ซึ่งอ้างอิงจากสำนักงานศุลกากรจีน ระบุว่าการนำเข้าสินแร่โลหะมีค่าจากรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือเงิน มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 28% นับตั้งแต่ต้นปี โดยมีแรงหนุนหลักจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงยืดเยื้อ ความตึงเครียดทางการค้าในระดับโลก ตลอดจนแรงซื้อจากธนาคารกลางและกองทุน ETF ทั่วโลก

ภายหลังถูกตัดออกจากตลาดการซื้อขายทองคำหลักของโลกอย่างลอนดอนและนิวยอร์กตั้งแต่ปี 2565 ทำให้รัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ด้วยกำลังการผลิตมากกว่า 300 ตันต่อปี จำเป็นต้องหาตลาดใหม่ในการระบายสินค้าทดแทน และจีนได้กลายเป็นหนึ่งในตลาดหลักที่สำคัญยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ธนาคารกลางรัสเซีย ซึ่งเคยเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ของโลก ยังไม่กลับเข้าสู่ตลาดในปริมาณที่มีนัยสำคัญ

นอกจากตลาดต่างประเทศแล้ว ความต้องการทองคำภายในรัสเซียก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภครายย่อยที่มองหาวิธีปกป้องมูลค่าเงินออมจากความผันผวนของเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้ยอดการซื้อทองคำภายในประเทศในปี 2567 พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ในอีกมุมหนึ่ง บริษัทเหมืองแร่รายใหญ่ของรัสเซียอย่าง MMC Norilsk Nickel PJSC ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตแพลเลเดียมและแพลทินัมรายสำคัญของโลก ก็ได้เร่งขยายการส่งออกไปยังตลาดจีนอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ สอดรับกับราคาของโลหะทั้งสองชนิดที่เพิ่มขึ้นถึง 38% และ 59% ตามลำดับ ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณชัดเจนของการปรับทิศทางทางเศรษฐกิจของรัสเซียหลังเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติอย่างต่อเนื่อง

L2D Page (34)

พาณิชย์รุกตลาดสหรัฐฯ เจาะดีลยักษ์ใหญ่ Food Service “Clark Associates” หวังดันส่งออกเฟอร์นิเจอร์-เครื่องครัวไทยแตะพันล้านดอลลาร์

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวล่าสุดของกระทรวงในการเดินหน้าผลักดันการส่งออกสินค้าไทยสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา โดยเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 คณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ได้เข้าพบหารือกับผู้บริหารของบริษัท Clark Associates Inc. ณ นครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ ด้านอุปกรณ์และเครื่องใช้ในอุตสาหกรรม Food Service การหารือครั้งนี้จัดขึ้นตามนโยบายเร่งด่วน 1 ใน 10 ข้อ ที่มุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าการส่งออก และรุกตลาดต่างประเทศอย่างเป็นระบบ

Clark Associates Inc. เป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในตลาดอเมริกา โดยในปีที่ผ่านมา มีการนำเข้าสินค้าจากไทยมูลค่ากว่า 628 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1,100 ล้านดอลลาร์ในอนาคตอันใกล้ หรือคิดเป็นกว่า 37,000 ล้านบาท ทั้งนี้ สินค้าที่บริษัทให้ความสนใจและมีความต้องการนำเข้าอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ตู้แช่เชิงพาณิชย์ เครื่องทำความเย็น เตาอบ ไมโครเวฟ ชั้นวางอาหาร กล่องอาหาร แก้วน้ำ แก้วไวน์ ถุงมือแพทย์ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และโต๊ะกลางแจ้ง ซึ่งล้วนเป็นสินค้าที่ไทยมีความเชี่ยวชาญในการผลิตและมีศักยภาพในการส่งออกอย่างมีคุณภาพ

ในการเจรจา กระทรวงพาณิชย์ได้เน้นย้ำถึงความพร้อมของไทยในฐานะฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่มีมาตรฐานระดับสากล โดยเฉพาะในกลุ่มอุปกรณ์ครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ พร้อมกันนี้ ได้เชิญชวนผู้บริหารระดับสูงของ Clark Associates ให้เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเยี่ยมชมโรงงานของผู้ผลิตไทยและเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ซึ่งทางภาครัฐพร้อมสนับสนุนและอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการของตลาดสหรัฐฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง รวมถึงหารือเกี่ยวกับแนวทางการลดอุปสรรคทางการค้าและโลจิสติกส์ อาทิ มาตรการภาษี มาตรฐานสินค้า และกระบวนการทางศุลกากร โดยไทยยินดีรับฟังข้อคิดเห็นจากภาคเอกชนสหรัฐฯ เพื่อหาแนวทางปรับปรุงระบบร่วมกัน

นายจตุพรยังกล่าวว่า การหารือกับบริษัท Clark Associates ถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของการขยายตลาดสินค้าไทยเชิงรุก โดยอาศัยความร่วมมือกับภาคเอกชนต่างประเทศที่มีศักยภาพสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย และเปิดโอกาสให้สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดอเมริกาได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

สำหรับบริษัท Clark Associates Inc. ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1971 ที่เมือง Hatville รัฐเพนซิลเวเนีย โดย Glenn และ Lloyd Clark เริ่มจากธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ในภาคบริการอาหาร ก่อนจะขยายธุรกิจสู่การติดตั้งและบริการซ่อมบำรุง ปัจจุบันบริษัทมีสำนักงานใหญ่ที่เมือง Lancaster รัฐเพนซิลเวเนีย มียอดขายรวมกว่า 3,200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 100,000 ล้านบาท มีสินค้าวางจำหน่ายเกือบ 500,000 รายการ และมีพนักงานกว่า 8,200 คน โดยลูกค้ารายสำคัญของบริษัทครอบคลุมทั้งภาคบริการและธุรกิจระดับโลก เช่น Disney, Marriott Hotel, Starbucks, Subway และ Chick-fil-A เป็นต้น

L2D Page (32)

“จีนส่งออกแม่เหล็กแร่หายากพุ่ง 158% หลังลดตึงเครียดการค้าสหรัฐ ท่ามกลางแรงกดดันจากทั่วโลก”

จีนกลับมาเร่งการส่งออกแม่เหล็กแร่หายาก (rare earth magnets) อย่างชัดเจนในเดือนมิถุนายน 2568 โดยข้อมูลจากศุลกากรจีนเผยว่าปริมาณการส่งออกพุ่งขึ้นเป็น 3,188 ตัน เพิ่มขึ้นกว่า 158% จากเดือนพฤษภาคมที่มีเพียง 1,238 ตัน ถือเป็นสัญญาณสำคัญหลังจากที่ปักกิ่งผ่อนคลายมาตรการควบคุมการส่งออกบางส่วน โดยเฉพาะต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับผลกระทบจากการจำกัดแร่หายากอย่างรุนแรงในช่วงก่อนหน้า

การส่งออกแม่เหล็กจากจีนไปยังสหรัฐเพิ่มขึ้นจาก 46 ตันในเดือนพฤษภาคม เป็น 353 ตันในเดือนมิถุนายน แม้ปริมาณดังกล่าวยังต่ำกว่าระดับเฉลี่ยก่อนจีนใช้มาตรการควบคุมในเดือนเมษายน แต่ก็สะท้อนถึงความพยายามของทั้งสองประเทศในการคลี่คลายความขัดแย้งด้านการค้า โดยเฉพาะหลังจากการเจรจาที่นครเจนีวา ซึ่งนำไปสู่ข้อตกลงเบื้องต้นที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า “จีนจะกลับมาส่งออกแร่หายากและแม่เหล็กอย่างเต็มรูปแบบ”

แร่หายากและแม่เหล็กถาวรถือเป็นวัตถุดิบเชิงกลยุทธ์ที่จำเป็นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า สมาร์ทโฟน และระบบอาวุธทันสมัย การขาดแคลนในช่วงที่จีนจำกัดการส่งออกทำให้หลายโรงงานทั่วโลกต้องชะลอหรือหยุดการผลิต ส่งผลกระทบลุกลามไปยังห่วงโซ่อุปทานโลก ความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนจึงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในฐานะศูนย์กลางการผลิตแม่เหล็กแร่หายากที่คิดเป็นสัดส่วนถึง 90% ของกำลังผลิตทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม การส่งออกที่เพิ่มขึ้นในเดือนมิถุนายนไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับสหรัฐ แต่ยังรวมถึงอินเดียที่มียอดนำเข้าเพิ่มเป็น 172 ตัน จาก 150 ตันในเดือนก่อนหน้า แม้ว่าจีนยังไม่อนุมัติใบอนุญาตใหม่แก่ผู้ผลิตรถยนต์อินเดียเลยนับตั้งแต่เดือนเมษายน โดยยังมีใบสมัครค้างอยู่ถึง 30 ฉบับ

ในฝั่งยุโรป สหภาพยุโรปเริ่มเห็น “สัญญาณบวกเล็กน้อย” จากจีนเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตส่งออกแม่เหล็ก หลังการหารือระหว่างนายมารอช เซฟโควิช หัวหน้าฝ่ายการค้าของ EU กับรัฐมนตรีพาณิชย์จีน หวัง เหวินเทา เมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยคาดว่าปัญหานี้จะถูกหยิบยกขึ้นหารืออีกครั้งในการประชุมสุดยอด EU-จีน ณ กรุงปักกิ่งในสัปดาห์นี้

ในขณะที่ประเทศตะวันตกเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาแร่หายากจากจีน กระทรวงกลาโหมสหรัฐจึงตัดสินใจลงทุนในบริษัท MP Materials Co. ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่หายากเพียงรายเดียวในประเทศ เพื่อสร้างโรงงานแม่เหล็กถาวรในสหรัฐให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

ทางด้านจีนแม้จะพยายามสื่อสารว่าเศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายใน ไม่ได้ต้องการครอบงำตลาดโลก แต่การที่รัฐบาลประกาศใช้นโยบาย “ไม่ยอมผ่อนปรน” ต่อการลักลอบขนแร่หายากออกนอกประเทศ รวมถึงการควบคุมการถ่ายโอนเทคโนโลยีอย่างเข้มงวด ก็ยิ่งทำให้หลายประเทศมองว่าจีนยังคงใช้แร่หายากเป็นเครื่องมือเชิงนโยบาย

การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในของจีนผ่านโครงการขนาดใหญ่ เช่น การสร้างเขื่อนในทิเบตที่มีมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านหยวน หรือกว่า 167,000 ล้านดอลลาร์ ก็ยิ่งสร้างแรงกดดันต่อระบบนิเวศและความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอินเดีย

ขณะที่ภาษีนำเข้าของสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับเฉลี่ยสูงถึง 40% ก็ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของการค้าเต็มรูปแบบระหว่างสองประเทศ แม้จะมีความคืบหน้าในบางส่วนแล้วก็ตาม

สถานการณ์แร่หายากในครั้งนี้จึงสะท้อนความเปราะบางของระบบอุตสาหกรรมโลก และตอกย้ำความสำคัญของการกระจายความเสี่ยงด้านทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ในยุคที่เศรษฐกิจและความมั่นคงระดับโลกเชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้น

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us