News Update

L2D Page (81)

เวียดนามทำสถิติส่งออกข้าวปี 2568 ทะลุ 96,800 ล้านบาท แม้มูลค่าลดลงจากปีก่อน

กรุงฮานอย – สำนักข่าวซินหัวรายงานเมื่อวันที่ 4 กันยายนว่า เวียดนามสามารถสร้างรายได้จากการส่งออกข้าวในปี 2568 ได้ทะลุ 96,800 ล้านบาทแล้ว แม้ในเชิงปริมาณการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.88% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี แต่ตัวเลขมูลค่ากลับปรับลดลงถึง 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันของตลาดข้าวโลกที่ผันผวน ทั้งจากภาวะอุปทานและอิทธิพลด้านราคา

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาส่งออกข้าวของเวียดนามขยับขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน เนื่องจากความตึงตัวของอุปทานในตลาดโลก ปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ส่งออกเวียดนาม และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดที่ต้องการข้าวคุณภาพสูง สมาคมอาหารเวียดนาม (VFA) ประเมินว่า ภายในสิ้นปีนี้ เวียดนามจะสามารถส่งออกข้าวได้มากกว่า 8 ล้านตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยืนยันบทบาทของเวียดนามในฐานะผู้ส่งออกข้าวรายสำคัญอันดับต้น ๆ ของโลก

การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดข้าวเวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์การผลิตและการตลาดของรัฐบาลและผู้ประกอบการ โดยเวียดนามพยายามยกระดับคุณภาพการผลิตข้าว เพิ่มมาตรฐานด้านความปลอดภัยอาหาร และผลักดันให้เกษตรกรเข้าสู่ระบบการผลิตที่เน้นความยั่งยืน ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับประเทศคู่ค้าใหม่ ๆ เพื่อกระจายตลาด ลดการพึ่งพิงตลาดดั้งเดิม

แม้ภาพรวมตัวเลขส่งออกจะสะท้อนความสำเร็จ แต่ความท้าทายยังคงอยู่ในเรื่องราคาที่ผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ เช่น อินเดียและไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า หากเวียดนามสามารถรักษาความได้เปรียบด้านคุณภาพและบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถรักษาสถานะในตลาดโลกและเพิ่มโอกาสการเจาะตลาดระดับพรีเมียมได้มากขึ้น

การที่เวียดนามยังคงสามารถเพิ่มปริมาณการส่งออกได้แม้มูลค่าลดลง จึงสะท้อนถึงความยืดหยุ่นของอุตสาหกรรมข้าวในประเทศ และแสดงให้เห็นว่าเวียดนามกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญของการพัฒนาภาคเกษตร ที่ไม่เพียงเน้นปริมาณ แต่ยังมุ่งไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรที่เป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ

L2D Page (80)

จีนเร่งใช้หุ่นยนต์ยึดฐานการผลิตโลก ดันสินค้าสู่ตลาดพรีเมียม

ท่ามกลางแรงกดดันด้านต้นทุนแรงงานที่พุ่งสูงขึ้น จีนกลับสามารถรักษาความได้เปรียบทางการผลิตและขยายส่วนแบ่งการส่งออกในตลาดโลกได้ โดยการเร่งนำ “หุ่นยนต์อุตสาหกรรม” เข้ามาแทนแรงงานในสายการผลิตจำนวนมหาศาล รายงานของ Financial Times ชี้ว่า การพัฒนา “ระบบออโตเมชันราคาถูก” ที่ผลิตในประเทศ ช่วยให้โรงงานจีนผลิตสินค้าได้มากขึ้นในราคาที่ต่ำลง และยังสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ซึ่งโดยปกติประเทศผู้ผลิตจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเมื่อค่าแรงสูงขึ้น

ข้อมูลจากสมาพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ (IFR) เผยว่า โรงงานในจีนติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมกว่า 280,000 ตัวต่อปี คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของการติดตั้งทั่วโลก ส่งผลให้สัดส่วนหุ่นยนต์ต่อแรงงานของจีนก้าวแซงหน้าประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ในยุโรปอย่างเยอรมนี และกำลังไล่ตามเกาหลีใต้ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้มานาน ความสำเร็จนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่มุ่งลงทุนมหาศาลและผลักดันให้เทคโนโลยีหุ่นยนต์กลายเป็นหัวใจสำคัญของภาคการผลิต

ความได้เปรียบของจีนไม่เพียงอยู่ที่จำนวน แต่ยังรวมถึงราคาของหุ่นยนต์ที่ถูกกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจาก MIR Databank ระบุว่าเกือบครึ่งหนึ่งของหุ่นยนต์อุตสาหกรรมโลกถูกผลิตโดยบริษัทจีน ตัวอย่างเช่น Chengdu CRP Robot Technology ที่สามารถเจาะตลาดในประเทศด้วยหุ่นยนต์เชื่อมโลหะราคาย่อมเยา ต่ำกว่าคู่แข่งญี่ปุ่นและยุโรปอย่าง Yaskawa, Fanuc, ABB และ Kuka ถึง 60% นักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics วิเคราะห์ว่า ความสามารถนี้อธิบายได้ว่าทำไมจีนยังคงครองพื้นที่ในอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้น ทั้งที่ค่าแรงในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตัวเลขจาก Harvard Growth Lab ตอกย้ำแนวโน้มดังกล่าว โดยระหว่างปี 2019–2023 จีนไม่เพียงแต่รักษาส่วนแบ่งในสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น แต่ยังขยายตัวได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะหมวดของเล่น เฟอร์นิเจอร์ และสิ่งทอ เช่น สินค้าเบ็ดเตล็ดอย่างไม้กวาด ไม้ถูพื้น และปากกา มีส่วนแบ่งตลาดโลกเพิ่มขึ้น 9% แตะระดับ 52.3% ในรอบสี่ปี ขณะที่เฟอร์นิเจอร์และของเล่นขยับส่วนแบ่งขึ้นแตะ 56.9% ของตลาดโลก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าจีนกำลังยึดฐานการผลิตทั้งในตลาดสินค้าทั่วไปและสินค้าระดับพรีเมียม

กรณีศึกษาในมณฑลเสฉวนสะท้อนภาพนี้ได้อย่างชัดเจน โรงงาน Shuangsheng New Energy Vehicle ใช้หุ่นยนต์ CRP เชื่อมโครงเหล็กสำหรับรถสามล้อไฟฟ้า โดยเพียงสามปีสามารถออโตเมตสายการผลิตได้ครึ่งหนึ่ง หุ่นยนต์หลายสิบตัวเข้ามาแทนแรงงานเชื่อมโลหะที่เคยเรียกค่าแรงสูงถึง 15,000 หยวนต่อเดือน ส่งผลให้ต้นทุนลดลงอย่างมาก โรงงานแห่งนี้สามารถผลิตและส่งออกรถสามล้อไฟฟ้าราคาคันละราว 6,000 หยวน ไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา และสหรัฐฯ ได้อย่างต่อเนื่อง

ซีอีโอของ Shuangsheng อธิบายว่า “ทุกครั้งที่เราใช้หุ่นยนต์หนึ่งตัว ต้นทุนแรงงานลดลงครึ่งหนึ่ง ขณะที่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นทันที” พร้อมย้ำว่าในอดีตจีนอาศัยแรงงานราคาถูกนับพันล้านคนเป็นพลังขับเคลื่อนการผลิต แต่วันนี้การรักษาความได้เปรียบขึ้นอยู่กับ “แรงงานหุ่นยนต์” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่เรื่องไร้ต้นทุน สถิติระบุว่าการจ้างงานในอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นของจีนลดลงถึง 26.5% ระหว่างปี 2011–2023 แม้รัฐบาลพยายามผลักดันให้แรงงานดั้งเดิมพัฒนาทักษะสู่การเป็น “แรงงานปกเสื้อม่วง” หรือช่างเทคนิคหุ่นยนต์ แต่ผลลัพธ์ในเชิงโครงสร้างการจ้างงานยังคงเป็นประเด็นท้าทาย

บทความของ Financial Times สรุปว่า จีนกำลังกลายเป็นโมเดลการผลิตใหม่ของโลกที่พิสูจน์แล้วว่า การเร่งใช้หุ่นยนต์และระบบออโตเมชัน ไม่เพียงช่วยให้แข่งขันในตลาดสินค้าต้นทุนต่ำได้ แต่ยังเปิดทางสู่การครองตลาดสินค้าพรีเมียมระดับโลก คำถามที่ยังคงอยู่คือ โลกจะเดินไปในทิศทางใดเมื่อ “แรงงานหุ่นยนต์” เริ่มแทนที่มนุษย์ในอัตราเร่ง และแรงงานมนุษย์จะหาบทบาทใหม่ของตนเองได้อย่างไรในยุคเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่น เปิดทางเจรจาการค้าผลประโยชน์ร่วม

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เพื่อปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์และสินค้าบางประเภทจากญี่ปุ่น ตามข้อตกลงที่ประกาศไว้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา การปรับลดครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเจรจาความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศมหาอำนาจทางอุตสาหกรรม

ตามคำสั่งดังกล่าว อัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่นที่สหรัฐฯ เรียกเก็บอยู่เดิมที่ 27.5% จะถูกปรับลดลงเหลือเพียง 15% และมีกำหนดให้มีผลบังคับใช้ภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ โดยเฉพาะมาตรการบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลดภาษีจะมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ การลดภาษีดังกล่าวคาดว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของรถยนต์ญี่ปุ่นในตลาดสหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็ลดต้นทุนให้แก่ผู้บริโภคชาวอเมริกัน

นอกเหนือจากการลดภาษีนำเข้าแล้ว คำสั่งของทรัมป์ยังสะท้อนถึงการเจรจาต่อรองด้านการค้าระหว่างสองประเทศ โดยญี่ปุ่นได้ให้คำมั่นว่าจะเร่งนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ในหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง ปุ๋ย รวมถึงไบโอเอทานอล ซึ่งมีการระบุว่าอาจครอบคลุมถึงเชื้อเพลิงการบินแบบยั่งยืน (SAF) ที่กำลังได้รับความสนใจในภาคการบินโลก ความร่วมมือด้านการเกษตรดังกล่าวคาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งถือเป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อเกษตรกรและผู้ผลิตชาวอเมริกัน

อีกหนึ่งประเด็นที่มีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ คือคำยืนยันว่ารัฐบาลญี่ปุ่นตกลงที่จะลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 550 พันล้านดอลลาร์ ผ่านโครงการต่าง ๆ ที่จะได้รับการคัดเลือกและสนับสนุนจากรัฐบาลวอชิงตัน การลงทุนขนาดมหาศาลนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการจ้างงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของสหรัฐฯ ในเวทีเศรษฐกิจโลก

นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่าการลดภาษีในครั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ ที่ไม่เพียงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ยังอาจมีผลต่อการจัดสมดุลด้านอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากจีนและยุโรป

แม้จะมีเสียงวิจารณ์ในบางมุมมองเกี่ยวกับผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐฯ ที่อาจเผชิญการแข่งขันจากสินค้านำเข้าที่มีราคาถูกลง แต่รัฐบาลทรัมป์ยังคงย้ำว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะสร้าง “ความสมดุลใหม่” ให้กับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจว่าสหรัฐฯ จะยังคงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่ดึงดูดการลงทุนจากนานาชาติ

การเมืองสะเทือนเมกะโปรเจกต์คมนาคม “รถไฟฟ้า 20 บาท–บ้านเพื่อคนไทย” เสี่ยงพับแผน ไฮสปีด–แลนด์บริดจ์ ชะงักยาว

สถานการณ์การเมืองไทยปัจจุบันกำลังส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงโครงการคมนาคมขนาดใหญ่ที่เป็นหัวใจสำคัญของนโยบายรัฐบาล โดยจุดเปลี่ยนครั้งนี้เกิดขึ้นหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยมติ 6 ต่อ 3 กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา คำวินิจฉัยดังกล่าวมีผลให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา ขณะที่การเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แม้พรรคเพื่อไทยยังเดินหน้าสู้ แต่การที่พรรคภูมิใจไทยส่งสัญญาณพร้อมตั้งรัฐบาลแข่ง โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นำทีม อาจทำให้สมการการเมืองเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ความไม่แน่นอนทางการเมืองครั้งนี้ทำให้โครงการเรือธงของพรรคเพื่อไทยหลายโครงการต้องเผชิญความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะนโยบาย “ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ซึ่งเพิ่งเริ่มใช้ในสายสีแดงและสายสีม่วง และกำลังจะขยายครอบคลุมรถไฟฟ้าอีก 10 สายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ครอบคลุมระยะทางกว่า 276 กิโลเมตร 194 สถานี รัฐบาลได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนใช้สิทธิ์ผ่านแอปตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มียอดผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 2.5 แสนราย และตั้งเป้าเริ่มใช้จริงวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ แม้จะเลื่อนมาจากกำหนดเดิมวันที่ 1 ตุลาคมก็ตาม

อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวยังติดปัญหาหลักคือความล่าช้าของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการระบบตั๋วร่วม และการแก้ไข พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.2543 แม้ทั้งหมดผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้ว แต่ยังรอการพิจารณาของวุฒิสภา ขณะเดียวกันยังต้องแก้ไขสัญญาสัมปทานกับเอกชนผู้ให้บริการทั้ง BTS และบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ ซึ่งประเด็นการชดเชยรายได้ยังเจรจากันไม่ลงตัว รัฐประเมินว่าต้องใช้งบอุดหนุนราว 8,000 ล้านบาทต่อปีเพื่อให้โครงการเดินหน้า

อีกหนึ่งนโยบายสำคัญคือ “บ้านเพื่อคนไทย” ที่รัฐบาลเพื่อไทยตั้งใจใช้ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยนำร่อง 4 ทำเล รวมกว่า 5,700 ยูนิต ให้ประชาชนผ่อนชำระเริ่มต้นเพียงเดือนละ 4,000 บาท สิทธิการถือครอง 99 ปี แต่การผลักดันโครงการกลับติดปัญหากฎหมายทรัพย์อิงสิทธิที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ขณะที่ความต้องการจากประชาชนมีมหาศาล มีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 260,000 คน และกว่า 136,000 คนผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ แต่อนาคตโครงการยังแขวนอยู่บนความไม่แน่นอน หากรัฐบาลเปลี่ยนขั้ว โครงการอาจถูกพับไปทันที

นอกจากนี้ โครงการเมกะโปรเจกต์ที่มีมูลค่ามหาศาลก็เผชิญความล่าช้าเช่นกัน ทั้ง “รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน” มูลค่า 224,544 ล้านบาท ที่อยู่ระหว่างการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนระหว่าง รฟท. และกลุ่มซี.พี. ซึ่งล่าสุดร่างแก้ไขถูกส่งกลับให้อัยการสูงสุดตรวจทานเพิ่มเติม อาจทำให้โครงการเลื่อนไปอีกไม่ต่ำกว่า 1-2 เดือน และยังไม่แน่ว่าจะเริ่มต้นได้ภายในปีนี้หรือไม่ ขณะที่ “โครงการแลนด์บริดจ์” มูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านบาท แม้เพิ่งสรุปผลการศึกษาไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และมีนักลงทุนต่างชาติหลายรายสนใจ แต่ความไม่ชัดเจนของการเมืองและการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาจทำให้กระบวนการผลักดันต้องสะดุดเช่นกัน

โครงการโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ เช่น รถไฟทางคู่ระยะที่ 2 ทางด่วนใหม่ มอเตอร์เวย์ M8 และการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง ต่างก็รอการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ซึ่งหากเข้าสู่สภาวะยุบสภาหรือรัฐบาลรักษาการเต็มรูปแบบ ก็มีแนวโน้มสูงที่จะต้องเลื่อนออกไปทั้งหมด

ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวอยู่แล้วอาจเผชิญแรงกดดันหนักขึ้น หากเมกะโปรเจกต์เหล่านี้ไม่สามารถเดินหน้าตามกำหนด เพราะไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ แต่ยังทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสด้านการแข่งขันในระยะยาว ความล่าช้าของโครงการใหญ่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองจึงอาจกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจให้ถดถอยยิ่งขึ้น

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us