News Update

news-20250623-01

BYD เดินหน้ายึดตลาดโลก! เปิดตัว "เรือขนส่งยานยนต์" ลำที่ 5 เสริมทัพส่งออก EV ครั้งใหญ่

BYD (บีวายดี) ผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าจากจีน ตอกย้ำความแข็งแกร่งในตลาดโลกด้วยการประกาศส่งมอบ "บีวายดี ซีอัน (BYD XI'AN)" ซึ่งเป็นเรือบรรทุกยานยนต์ลำที่ 5 อย่างเป็นทางการ ณ เมืองอี๋เจิง มณฑลเจียงซู การเพิ่มกองเรือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมศักยภาพการจัดจำหน่ายทั่วโลกและวางแผนผังห่วงโซ่อุปทานของบริษัท

เรือ "บีวายดี ซีอัน" โดดเด่นด้วยขนาดความกว้าง 37.7 เมตร ความยาว 219.9 เมตร และพื้นที่บรรทุกยานยนต์ถึง 16 ชั้น สามารถบรรทุกรถยนต์ได้มากถึง 9,200 คัน ด้วยความเร็วในการเดินเรือ 19 นอต ที่สำคัญคือใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนแบบ เชื้อเพลิงคู่แอลพีจี (LNG) ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน แต่ยังช่วยลดการปล่อยมลพิษได้อย่างมาก

ก่อนหน้านี้ BYD ได้ทยอยนำเรือบรรทุกยานยนต์ 4 ลำแรกเข้าประจำการ เพื่อขนส่งยานยนต์พลังงานใหม่สู่ตลาดทั่วโลก การใช้งานกองเรือเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบยานยนต์ของ BYD ในต่างประเทศอย่างมหาศาล ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์และรอบการขนส่งให้สั้นลง และเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเร่งกลยุทธ์การขยายธุรกิจทั่วโลกของ BYD ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

ขอบคุณภาพจาก xinhuathai

news-20250507-01

'ไปรษณีย์ไทย' ทุ่ม 1,000 ล้าน! ยกเครื่องระบบรับมือ 'สงครามราคา' โลจิสติกส์ ชูธง 'Specialized Logistics' พึ่งพาแพลตฟอร์มน้อยลง

ไปรษณีย์ไทย กำลังเตรียมพร้อมรับมือกับสงครามราคาในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ด้วยการลงทุนมหาศาลกว่า 1,000 ล้านบาท ในปีนี้ เพื่อปรับทัพครั้งใหญ่ พร้อมตั้งเป้าลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และหันไปรุกตลาด Specialized Logistics ที่มีมูลค่าสูงและมีความเสี่ยงต่ำ

นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า หากพระราชบัญญัติการประกอบกิจการไปรษณีย์ฉบับใหม่ผ่านการพิจารณา จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาด โดยเฉพาะการกำกับดูแลผู้ให้บริการเอกชนที่ปัจจุบันยังอยู่นอกกฎหมายเดิม และจะมีมาตรการป้องกันการตั้งค่าบริการในราคาต่ำกว่าทุน ซึ่งเป็นการ "ดัมพ์ราคา" ที่ทำลายตลาดในระยะยาว

นายดนันท์เน้นย้ำถึงความท้าทายที่ไปรษณีย์ไทยกำลังเผชิญ จากการที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซโดยรวมเติบโตชะลอตัว และแพลตฟอร์มต่างๆ กลายเป็นตัวกลางที่ควบคุมทิศทางการขนส่งอย่างเบ็ดเสร็จ แพลตฟอร์มเหล่านี้มักจะเลือกผู้ให้บริการขนส่งจากราคาที่ถูกที่สุด โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้เลือกบริการที่เชื่อถือได้และตรงกับความต้องการ ซึ่งส่งผลให้ปริมาณงานของไปรษณีย์ไทยมีความผันผวนสูง และกระทบต่อต้นทุนคงที่ของบริษัท

กลยุทธ์ใหม่: พึ่งพาแพลตฟอร์มน้อยลง รุก Specialized Logistics

เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์ม ไปรษณีย์ไทยจึงได้ปรับกลยุทธ์โดยหันมาบริหารพอร์ตลูกค้าใหม่ เน้นกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่มีความผันผวนต่ำ และเริ่มพัฒนาธุรกิจเฉพาะทาง "Specialized Logistics" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด การส่งเวชภัณฑ์สำหรับมนุษย์และสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องการกระบวนการจัดการที่ละเอียดอ่อน เช่น การยืนยันตัวตนผู้รับยา การควบคุมอุณหภูมิ และการส่งตรงถึงบ้านภายในวันเดียวกัน

ไปรษณีย์ไทยได้จัดตั้งยูนิตธุรกิจใหม่ชื่อ “เฮลท์แคร์ โลจิสติกส์” เพื่อรองรับบริการนี้ พร้อมรับรองมาตรฐาน GSP (Good Storage Practice) และ GDP (Good Distribution Practice) เพื่อให้มั่นใจในการขนส่งเวชภัณฑ์อย่างมืออาชีพ โดยได้เริ่มทดลองร่วมกับโรงพยาบาลสัตว์อย่างจุฬาฯ และมองว่าตลาดนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากพฤติกรรมของเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ยอมจ่ายเพื่อดูแลสัตว์เสมือนคนในครอบครัว ซึ่งยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถต่อยอดสู่การจัดส่งอาหารสัตว์และสินค้าที่เกี่ยวข้องในอนาคต

แม้ปริมาณพัสดุจากกลุ่ม Specialized Logistics อาจจะยังไม่มากเท่าอีคอมเมิร์ซ แต่มีอัตราการเติบโตสูงและมีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากลูกค้ามาจากหลายแหล่ง ไม่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มเพียงไม่กี่ราย และยังสามารถสร้างแบรนด์และความสัมพันธ์กับลูกค้าได้โดยตรงอีกด้วย

ลงทุน 1,000 ล้านบาท วางระบบอัตโนมัติทั่วประเทศ

นอกจากการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจแล้ว ไปรษณีย์ไทยยังได้ ลงทุนเพิ่ม 1,000 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อวางระบบอัตโนมัติในศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ 19 แห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ ศูนย์ราชบุรี ซึ่งได้รับการออกแบบให้รองรับการกระจายพัสดุในภาคตะวันตกและภาคใต้โดยไม่ต้องผ่านกรุงเทพฯ ซึ่งจะช่วยลดความแออัดในศูนย์กลาง และประหยัดต้นทุน นอกจากนี้ยังมีการดำเนินการโหลดบาลานซ์และพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย ทำให้การคัดแยกพัสดุกว่า 240,000 ชิ้นต่อวันมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

กรรมการผู้จัดการใหญ่ไปรษณีย์ไทยกล่าวทิ้งท้ายว่า ไปรษณีย์ไทยไม่ตั้งเป้ากำไรสูงสุด แต่เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจฐานราก ไม่เป็นภาระรัฐ และเน้นการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่หลายแพลตฟอร์มใช้วิธี "ดัมพ์ราคา" หรือ "ส่งฟรี" เพื่อชิงวอลุ่ม ซึ่งหากแข่งขันไม่ได้ เอกชนรายเล็กจะทยอยออกจากตลาดไป และเหลือผู้เล่นไม่กี่รายที่สามารถควบคุมราคาได้ในที่สุด

news-20250619-02

วิกฤตเศรษฐกิจไทย! "สินค้าจีนล้นทะลัก" ผนวก "3,000 โรงงานสวมสิทธิ์" คุกคามภาคผลิตไทยอย่างหนัก

SCB EIC ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ "สินค้าจีนล้นทะลัก" (China Flooding) อย่างรุนแรง ซึ่งกำลังกัดเซาะภาคการผลิตภายในประเทศโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องแข่งขันกับสินค้าจีนที่มีต้นทุนต่ำ ขณะเดียวกัน การส่งออกของไทยที่ดูเหมือนจะขยายตัวสวนทางกับมูลค่าการผลิตเพื่อส่งออกในภาคอุตสาหกรรมไทยที่กลับไม่เติบโตและปรับตัวลง ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมการ "สวมสิทธิ์" ที่เริ่มส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

รายงานดังกล่าวยังเผยอีกว่า มีโรงงานในประเทศไทยกว่า 3,000 แห่ง หรือคิดเป็นประมาณ 5% ของสถานประกอบการทั่วประเทศ ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็น "ช่องทางสวมสิทธิ์" ให้สินค้าจากจีน โดยมีการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปจากจีนเข้ามาเพื่อเปลี่ยนฉลาก หรือมีการประกอบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่จะส่งออกต่อไปยังประเทศที่สามในฐานะสินค้า "Made in Thailand" พฤติกรรมนี้พบมากในอุตสาหกรรมสำคัญๆ เช่น แผงวงจรไฟฟ้า, แผงโซลาร์เซลล์, พลาสติก, อะลูมิเนียม และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวต่อการแข่งขันจากจีนโดยตรง

สถานการณ์เช่นนี้กำลังเปลี่ยนบทบาทของไทยจาก "ฐานการผลิต" ให้กลายเป็นเพียง "ทางผ่าน" ของสินค้าจากเอเชียขนาดใหญ่ ในขณะที่ผู้ผลิตในประเทศกลับต้องเผชิญกับการเบียดบังทางการตลาดและการถูกแทนที่อย่างเงียบงัน ท่ามกลางระบบการค้าที่มีการแข่งขันรุนแรงขึ้นทุกขณะ

จีนถล่มตลาดไทย: นำเข้าสูงสุดในอาเซียน ขาดดุลมากสุดในรอบ 2 ปี
SCB EIC ชี้ว่า ปัจจุบันไทยกำลังก้าวสู่บทบาทใหม่ในภูมิภาคในฐานะจุดยุทธศาสตร์หลักของจีนสำหรับการกระจายสินค้าส่งออกไปยังตลาดโลก ข้อมูลล่าสุดระบุว่า มูลค่าการส่งออกจากจีนมายังไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 เติบโตสูงถึง 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงที่สุดในกลุ่มอาเซียน สะท้อนให้เห็นว่าไทยได้กลายเป็นปลายทางสำคัญของสินค้า "เมดอินไชน่า" ในภูมิภาค

แนวโน้มนี้ไม่ใช่แค่ความผันผวนระยะสั้น แต่เป็นกระแสที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2562–2567 โดยในช่วงเวลาดังกล่าว มูลค่าการส่งออกของจีนมายังไทยเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 14% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 7% และของอาเซียนที่ 10% เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน ไทยยังมีอัตราการนำเข้าสินค้าจากจีนที่เติบโตเร็วที่สุดในไตรมาสแรกของปี 2568 ที่ 18% ในขณะที่เวียดนามอยู่ที่ 16%, อินโดนีเซีย 12% และมาเลเซียเพียง 3% ตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะตลาดสำคัญที่ขับเคลื่อนการส่งออกของจีนในอาเซียน

นอกจากนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 จีนยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเติบโตของมูลค่านำเข้ารวมของไทย โดยมีส่วนร่วมต่อการขยายตัวถึง 7 จุดเปอร์เซ็นต์ จากการเติบโตโดยรวมที่ 9.6 จุดเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ภูมิภาคอื่น เช่น อาเซียนและสวาซิแลนด์ มีบทบาทน้อยกว่ามาก (1.8 และ 1.7 จุดเปอร์เซ็นต์ตามลำดับ) ตรงกันข้ามกับประเทศและภูมิภาคอย่าง EU28, ไต้หวัน, แอฟริกาใต้ และกลุ่มประเทศอื่น ๆ ที่กลับส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการเติบโตของการนำเข้ารวมของไทย

news-20250619-01

ส่งออกญี่ปุ่นร่วงหนักสุดใน 8 เดือน! รถยนต์ไปสหรัฐฯ ดิ่งเกือบ 25% นักวิเคราะห์เตือน “สงครามการค้า” ฉุดเศรษฐกิจแดนซามูไร

การส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคม 2568 ดิ่งลงอย่างน่าตกใจถึง 1.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 ข้อมูลล่าสุดนี้ตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้าที่กำลังฉุดรั้งเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่หดตัวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี

แม้ตัวเลขการลดลงนี้จะน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 3.8% แต่ก็สวนทางกับการส่งออกที่เคยเติบโต 2% ในเดือนเมษายนอย่างสิ้นเชิง

สหรัฐฯ และจีน: ตลาดหลักที่ชะลอตัว

ข้อมูลจากกระทรวงการค้าของญี่ปุ่นเผยว่า การส่งออกไปยัง สหรัฐฯ ยังคงน่าเป็นห่วง โดยลดลงถึง 11.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกไปยัง จีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ก็ลดลง 8.8%

ที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ การส่งออกรถยนต์ทั่วโลกของญี่ปุ่นลดลง 6.9% โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกรถยนต์ไปยัง สหรัฐฯ ที่ร่วงหนักถึง 24.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่นคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 28.3% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดไปยังสหรัฐฯ ในปี 2567

เผชิญศึกภาษีซ้ำซ้อน

นอกจากภาษีนำเข้า 25% ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากรถยนต์และเหล็กจากญี่ปุ่นแล้ว ญี่ปุ่นยังต้องเผชิญกับ อัตราภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) 24% สำหรับสินค้าส่งออกอื่นๆ ทั้งหมด ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ ยิ่งเพิ่มความท้าทายให้กับการส่งออกของญี่ปุ่น

BOJ ส่งสัญญาณเตือน เศรษฐกิจซบเซา

ข้อมูลการส่งออกที่น่าผิดหวังนี้ถูกเผยแพร่เพียงหนึ่งวันหลังจากที่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ออกแถลงการณ์นโยบายการเงิน โดยระบุว่า "การเติบโตของเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะชะลอตัว" อันเนื่องมาจากปัจจัยด้านการค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและกำไรของภาคธุรกิจภายในประเทศ

BOJ ยังแสดงความกังวลว่า "เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนอย่างยิ่งว่า นโยบายการค้าและปัจจัยอื่นๆ ในแต่ละประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และเศรษฐกิจโลกจะตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้อย่างไร" โดยการส่งออกที่ลดลงได้ส่งผลกระทบต่อ GDP ของญี่ปุ่นแล้ว ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัว 0.2% ในไตรมาสที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการหดตัวเชิงไตรมาสครั้งแรกในรอบ 1 ปี

ดุลการค้าขาดดุลหนัก การเจรจายังไร้ข้อสรุป

ในเดือนพฤษภาคม การนำเข้าของญี่ปุ่นก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลง 7.7% ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ของรอยเตอร์คาดไว้ ส่งผลให้ดุลการค้าของญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ขาดดุล 6.376 แสนล้านเยน ซึ่งแม้จะน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็ยังคงเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงภาวะการค้าที่อ่อนแอ

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้แสดงความเห็นว่า ญี่ปุ่นเข้มงวดในการเจรจาการค้า หลังจากที่มีการเจรจาถึง 6 รอบระหว่างนายเรียวเซ อากาซาวะ หัวหน้าคณะเจรจาของญี่ปุ่น กับรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ฮาวเวิร์ด ลัตนิก และรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ ได้

สถานการณ์การส่งออกที่ย่ำแย่และการเจรจาการค้าที่ยังไม่คืบหน้า กำลังเป็นแรงกดดันสำคัญต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us