News Update

L2D Page (35)

ครึ่งปีแรกส่งออกมันสำปะหลังไทยพุ่ง 5 ล้านตัน จีนกวาดซื้อเกินครึ่ง เดินหน้าบุกตลาดใหม่ทั่วโลก

การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยในเดือนมิถุนายน 2568 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ตลอดครึ่งแรกของปีนี้ (ม.ค.–มิ.ย.) ไทยส่งออกมันสำปะหลังรวม 5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.9 จากปีก่อนหน้าที่มีปริมาณ 3.6 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 1,634.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 54,648 ล้านบาท โดยตลาดหลักยังคงเป็นประเทศจีนซึ่งครองสัดส่วนถึงร้อยละ 58.2 ของมูลค่าส่งออก รองลงมาคือญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา

เฉพาะมันเส้นและมันอัดเม็ด ไทยส่งออกในช่วง 6 เดือนแรกคิดเป็นมูลค่า 503.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 16,763 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.8 ขณะที่แป้งมันดิบมีมูลค่า 665.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 25.2 และแป้งมันดัดแปรมูลค่า 655.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 25.1 ความต้องการจากจีนยังเป็นแรงขับสำคัญ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และเอทานอลที่ขยายตัวมาก ทำให้ตั้งแต่ต้นปี 2568 จีนสั่งซื้อมันเส้นและมันอัดเม็ดจากไทยทะลุ 1 ล้านตันภายในเพียงสองเดือนแรก สะท้อนการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังจากที่ปีก่อนหน้านี้ตลาดซบเซา

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า ราคามันเส้นไทยที่สามารถแข่งขันได้เมื่อเทียบกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในจีน เป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้ กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศยังเดินหน้าขยายตลาดใหม่ โดยล่าสุดได้ส่งผู้แทนการค้าไปยังซาอุดีอาระเบียและปิดดีลส่งออกมันอัดเม็ดล็อตทดลอง 20,000 ตัน สำหรับใช้ในโรงงานผลิตอาหารสัตว์ นอกจากนี้ ยังวางแผนเจาะตลาดเม็กซิโก ชิลี และฟิลิปปินส์ เพื่อนำเสนอการใช้มันสำปะหลังในด้านพลังงานทดแทนและพลาสติกชีวภาพ ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจในหลายประเทศ

ในปีนี้ สนค. ยังร่วมกับมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เดินหน้าโครงการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อสร้างเสถียรภาพและความเข้มแข็งทางการค้าสินค้าพืชไร่ โดยเฉพาะมันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โครงการดังกล่าวอยู่ในระยะสุดท้าย และได้จัดสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษาแล้วที่จังหวัดนนทบุรีเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 และมีกำหนดจัดต่อที่จังหวัดนครราชสีมาในวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เพื่อให้หน่วยงานรัฐและเอกชนสามารถนำผลการศึกษาไปใช้ขับเคลื่อนเชิงนโยบาย สร้างความมั่นคงให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมมันสำปะหลังอย่างยั่งยืน

L2D Page (34)

ไทย–จีน เปิดเพิ่ม 5 ด่านผลไม้ หนุนกระจายสู่มณฑลทั่วแดนมังกร เริ่ม 1 กันยายนนี้

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ หลังไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนบรรลุข้อตกลงเพิ่มด่านนำเข้า–ส่งออกผลไม้รวม 5 แห่ง ภายใต้พิธีสารขนส่งผลไม้ผ่านประเทศที่สาม เพื่อแก้ปัญหาความแออัด ลดต้นทุนการขนส่ง และเพิ่มช่องทางกระจายผลไม้ไทยสู่มณฑลต่าง ๆ ของจีนอย่างรวดเร็วและทั่วถึงมากขึ้น ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นท่ามกลางตัวเลขการส่งออกผลไม้สดไทยไปจีนในปี 2567 ที่สูงกว่า 1.8 แสนล้านบาท และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ทั้งสองประเทศได้เห็นชอบปรับปรุงภาคผนวกของพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดการกักกันโรคและตรวจสอบผลไม้ที่ขนส่งผ่านประเทศที่สาม โดยเพิ่มด่านนำเข้า–ส่งออกฝั่งไทยอีก 3 แห่ง ได้แก่ ด่านทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ด่านบ้านฮวก จังหวัดพะเยา และด่านภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ ส่วนฝั่งจีนเพิ่มอีก 2 แห่ง คือ ด่านเมิ่งคัง และด่านต๋าลั่ว ในมณฑลยูนนาน ทำให้ปัจจุบันไทยมีด่านในพิธีสารรวม 9 แห่ง และจีนมี 12 แห่ง

การขยายด่านครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเปิดเส้นทางขนส่งใหม่ สนับสนุนให้เกษตรกรและผู้ประกอบการลดต้นทุน เพิ่มทางเลือกในการขนส่ง และกระจายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลผลไม้ที่มักประสบปัญหาคอขวด การเพิ่มด่านจะช่วยให้ผลไม้สดไทยสามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้รวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่ปลายทางมากขึ้น และเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดที่ใหญ่ที่สุดของผลไม้ไทย

นายชัยวัฒน์ โยธคล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) อธิบายว่า พิธีสารฉบับนี้ลงนามครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยกับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) เพื่อกำหนดมาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชสำหรับการส่งออก–นำเข้าผลไม้ทางบกผ่านประเทศที่สาม โดยเปิดโอกาสให้เพิ่มด่านใหม่ได้หากทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน การประกาศเพิ่มด่านในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าเกษตรไทยและขยายตลาดผลไม้ในจีนได้อย่างยั่งยืน

L2D Page (33)

สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าอินเดียพุ่ง 50% ปมซื้อน้ำมันรัสเซีย เสี่ยงดันราคาน้ำมันโลกพุ่งแรง

สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียเพิ่มอีก 25% ส่งผลให้ภาษีรวมอยู่ที่ 50% โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า อินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงต้องปรับภาษีนำเข้าให้เป็นไปตามกฎหมายการค้าของสหรัฐฯ

ในอดีต สหรัฐฯ เคยสนับสนุนให้อินเดียซื้อน้ำมันดิบรัสเซีย เนื่องจากน้ำมันดิบไม่ได้ถูกคว่ำบาตรเช่นเดียวกับ LNG แต่ต้องซื้อขายภายใต้กรอบราคาที่จำกัดรายได้รัฐบาลมอสโก ข้อมูลจากบริษัท Kpler ระบุว่า อินเดียเป็นหนึ่งในผู้ซื้อน้ำมันรัสเซียรายใหญ่ที่สุด โดยนำเข้าประมาณ 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปริมาณส่งออกรวมของรัสเซียราว 3.35 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่จีนอยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน

Bob McNally ประธานบริษัท Rapidan Energy Group และอดีตที่ปรึกษาด้านพลังงานทำเนียบขาวในยุคประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช มองว่าท่าทีของสหรัฐฯ อาจสร้างความสับสนให้กับอินเดีย เพราะก่อนหน้านี้ โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยเดินทางไปอินเดียหลังรัสเซียรุกรานยูเครน และขอร้องให้อินเดียซื้อน้ำมันรัสเซียเพื่อช่วยควบคุมราคาน้ำมันโลก

ในระยะใกล้ ตลาดน้ำมันยังมีความเสี่ยงจากทั้งการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะลดปริมาณการส่งออกน้ำมัน ซึ่งอาจดันราคาน้ำมันดิบเบรนท์ขึ้นสู่ระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แม้ผลกระทบทางเศรษฐกิจอาจไม่รุนแรงนัก

อินเดียยืนยันว่าปฏิบัติตามมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศทั้งหมด และการซื้อน้ำมันจากรัสเซียช่วยรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันโลก พร้อมโต้ว่า หากต้องหยุดนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย จำเป็นต้องมีแผนรองรับเพื่อชดเชยอุปทานที่หายไปและป้องกันความผันผวนของตลาดพลังงาน

Giovanni Staunovo นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์จาก UBS ให้ความเห็นว่า หากอินเดียลดการซื้อน้ำมันรัสเซีย โรงกลั่นน้ำมันจะหันไปพึ่งแหล่งน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางเช่นเดิม เนื่องจากคุ้นเคยกับการใช้น้ำมันจากภูมิภาคนี้ก่อนปี 2565 และไม่น่าจะมีผู้ซื้อรายใหม่เข้ามาแทนที่

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมอินเดียเตือนว่า หากน้ำมันรัสเซียถูกดึงออกจากตลาด ราคาน้ำมันโลกอาจพุ่งทะลุ 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อผู้บริโภคทั่วโลกอย่างรุนแรง

L2D Page (32)

ไทยปักหมุดยุทธศาสตร์ “เครื่องมือแพทย์–AI ทางการแพทย์” ลดนำเข้า 1,500 ล้าน ดันนวัตกรรมใช้เองทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พร้อมภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสมาคมเฮลท์เทคไทย จัดงาน Kick-off แผนงานมุ่งเป้าระดับประเทศ เพื่อผลักดันเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ด้านเครื่องมือแพทย์ บริการทางการแพทย์ และยา มุ่งเพิ่มศักยภาพการผลิตและจำหน่ายนวัตกรรมทางการแพทย์และเทคโนโลยี AI ภายในประเทศ ลดการนำเข้ารวมมูลค่า 1,500 ล้านบาท และเปิดโอกาสให้ประชาชนกว่า 8.5 ล้านคนเข้าถึงเทคโนโลยีที่พัฒนาโดยคนไทยภายในปี 2569

พิธีเปิดจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมี นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมเป้าหมายสำคัญด้านเครื่องมือแพทย์ บริการทางการแพทย์ และยา เป็นประธาน พร้อมเน้นย้ำว่า AI ทางการแพทย์จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับระบบสุขภาพและเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะเมื่อประเทศมีจุดแข็งด้านฐานข้อมูลขนาดใหญ่จากโรงพยาบาลชั้นนำ และมีนักวิจัยที่มีศักยภาพสูง รวมถึงความร่วมมือจากหลายภาคส่วนตั้งแต่งานวิจัย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการขยายสู่เชิงพาณิชย์และการใช้งานจริงในวงกว้าง

หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จคือ “นวัตกรรมการวิเคราะห์ภาพรังสีทรวงอกด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)” ซึ่งได้รับการบรรจุเป็นสิทธิประโยชน์บริการทางการแพทย์ขั้นสูงในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามมติบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 และจะเริ่มให้บริการในโรงพยาบาลภาครัฐ 167 แห่งในปีงบประมาณนี้ ด้วยงบ 55 ล้านบาท ก่อนขยายครอบคลุมทั่วประเทศ กรณีนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานจากราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย อย. และ Singapore FDA และขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยเรียบร้อยแล้ว โดย สปสช.มีแผนขยายให้ครอบคลุมโรงพยาบาล 887 แห่งทั่วประเทศภายใน 3 ปี เพื่อช่วยคัดกรองโรคสำคัญอย่างวัณโรคและมะเร็งปอด ลดภาระงานของแพทย์ และเพิ่มความรวดเร็วในการวินิจฉัย

ดร.จิตติ์พร ธรรมจินดา ผู้อำนวยการ TCELS กล่าวเสริมว่า การขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านการแพทย์ โดยเฉพาะ AI จำเป็นต้องเชื่อมโยงทุกภาคส่วนให้ทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ กรณี AI Chest X-ray ถือเป็นโครงการนำร่องที่แสดงผลลัพธ์เชิงประจักษ์ และจะเป็นต้นแบบสำหรับการขยายสู่นวัตกรรมอื่น ๆ โดยตลาดภาครัฐถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ก่อนต่อยอดสู่ตลาดสากล

ด้าน นพ.อาทิตย์ คำจันทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเกาะเต่า ยืนยันจากประสบการณ์ใช้งานจริงว่า AI อ่านฟิล์มเอกซเรย์มีความแม่นยำสูง ใช้งานง่าย และช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากทุกโรงพยาบาลได้ใช้นวัตกรรมประเภทนี้ จะช่วยยกระดับการรักษาและคุณภาพชีวิตประชาชนได้อย่างชัดเจน

ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เครื่องมือแพทย์และ AI ทางการแพทย์ของไทยไปสู่การใช้งานจริงทั้งในประเทศและเวทีโลก พร้อมสร้างความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพประชาชน

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us