News Update

news-20250306-01

ดัชนีเชื่อมั่นธุรกิจ ก.พ. กระเตื้อง รับเบิกจ่ายภาครัฐ-ส่งออกหนุน แต่ภาคผลิตยานยนต์ยังกดดัน

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือน ก.พ.68 อยู่ที่ 48.9 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 48.5 ในเดือน ม.ค.68 จากการเพิ่มขึ้นในเกือบทุกองค์ประกอบ โดยความเชื่อมั่นในภาคการผลิต ปรับเพิ่มขึ้นในเกือบทุกหมวดธุรกิจ นำโดยกลุ่มผลิตเหล็กที่ความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากผลดีของงานโครงการก่อสร้างภาครัฐที่เบิกจ่ายได้ต่อเนื่อง สอดคล้องกับกลุ่มผลิตอาหารที่ความเชื่อมั่นดีขึ้นในเกือบทุกองค์ประกอบ ตามการส่งออกทูน่ากระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องดื่ม ที่ขยายตัวได้ดี

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของกลุ่มผลิตยานยนต์ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เป็นปัจจัยกดดันให้ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคการผลิตโดยรวมเคลื่อนไหวในระดับต่ำกว่า 50 สะท้อนความเชื่อมั่นที่ยังแย่ลงจากเดือนก่อน

ขณะที่ความเชื่อมั่นในภาคที่มิใช่การผลิตปรับลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มโรงแรม และร้านอาหาร ด้านปริมาณการให้บริการ และผลประกอบการปรับลดลงมาก ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงหลังจากเทศกาลตรุษจีน และเริ่มเข้าสู่ช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว รวมทั้งความเชื่อมั่นกลุ่มการค้าปลีก ด้านคำสั่งซื้อ และผลประกอบการปรับลดลงมาก คาดว่าส่วนหนึ่งจากผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น และมาตรการ Easy E-receipt ในรอบนี้ที่สนับสนุนการใช้จ่ายได้ค่อนข้างจำกัด

ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ความเชื่อมั่นปรับดีขึ้นในทุกองค์ประกอบ ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมมาอยู่ที่ 52.5 โดยความเชื่อมั่นภาคการผลิตดีขึ้นในเกือบทุกหมวดธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Hard Disk Drive (HDD) และเลนส์ รวมถึงกลุ่มผลิตอาหาร เช่น ทูน่ากระป๋อง ผลไม้กระป๋อง และอาหารสัตว์เลี้ยง ที่ความเชื่อมั่นด้านการผลิต และผลประกอบการปรับเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวได้

เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นในภาคที่มิใช่การผลิตที่ดีขึ้น นำโดยกลุ่มการค้าปลีก ที่ความเชื่อมั่นด้านปริมาณการค้าปรับเพิ่มขึ้น คาดว่าส่วนหนึ่งจากผลดีของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (10,000 บาท) เฟส 3 ที่จะมีผลในเดือน พ.ค. และกลุ่มก่อสร้างภาครัฐและเอกชนที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย ที่ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมากในทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะด้านปริมาณงานก่อสร้าง และผลประกอบการ

ที่มา - mgronline

news-20250305-03

สรท. ชี้ 'สงครามการค้า' ระเบิดเวลาส่งออกไทย คาดทั้งปีโต 1-3%

ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)  ระบุว่า ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม 2568 กับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 25,277.0 ขยายตัวร้อยละ 13.6 และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 862,367 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 11.8  (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนมกราคมขยายตัวร้อยละ 11.4) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 27,157.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 7.9 และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 938,112 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 6.3 ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม 2568 ขาดดุลเท่ากับ 1,880.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลในรูปของเงินบาท 75,746 ล้านบาท

สรท. คาดการณ์ส่งออกปี 2568 เติบโตที่ร้อยละ 1-3 (ณ มีนาคม 2568) โดยมีปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนเสมือนระเบิดเวลาที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ในประเด็นสำคัญ ได้แก่ 

1) การส่งเสริมการลงทุนในประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น ดุลการค้าเพิ่ม แต่สัดส่วนการใช้ Local Content น้อย ประกอบกับมีความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางภาษีกดดันจากการส่งออกกลุ่มสินค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจนเกินดุลการค้า ผลกระทบจึงตกไปยังผู้ประกอบการในประเทศทั้งต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

2) สินค้าจีนทะลัก ขาดระบบควบคุม (Overcapacity) จากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ เพื่อกีดกันสินค้าและลดการเกินดุลการค้ากับจีน ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากที่ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถูกกระจายมายังภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยเป็นแหล่งรองรับสินค้า ส่งผลให้ SME ไทยแข่งขันด้านราคาไม่ได้และอาจต้องปิดกิจการ รวมถึงทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้น 

3) Soft Loan เข้าถึงยาก ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่องและไม่สามารถยกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมให้ทันกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง ทำให้การลงทุนและการเติบโตในทางธุรกิจทำได้ช้า

4) การผลิตสินค้าล้าสมัย รับจ้างผลิต ขาดเอกลักษณ์ของตนเอง อุตสาหกรรมของไทยยังพึ่งพาการผลิตสินค้ารูปแบบ รับจ้างผลิต (OEM) ขาดงบประมาณสนับสนุนด้าน R&D ส่งเสริมการสร้างแบรนด์อัตลักษณ์ของคนไทยอย่างจริงงจัง ทำให้มีความเสี่ยงสูงจากการพึ่งพารูปแบบ OEM มากเกินไป 

5) Skill labour ไม่ปรับตัว ไทยยังขาดแรงงานที่มีฝีมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ไทยเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับแรงงานขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้เทคโนโลยีและทักษะดิจิทัล ทำให้ปรับตัวไม่ทันสำหรับการเปลี่ยนแปลง ทักษะไม่ตรงกับความต้องการภาคการผลิต 

6) ขาด SINGLE POLICY อุตสาหกรรมไทยและภาคการผลิตขาดทิศทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อน ทำให้ขาดประสิทธิภาพแม้มีแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจมากมาย เช่น Thailand 4.0, BCG Economy และ EEC แต่ไม่มีนโยบาที่เป็นแกนหลัก (Pivot policy) ที่ทุกภาคส่วนต้องปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบ

ที่มา - nationtv

news-20250305-02

จีนตอบโต้สหรัฐฯ ขึ้น 'ภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร-อาหาร' มูลค่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาแล้ว ในวันอังคารที่ 4 มี.ค. 2568 หลังจากเลื่อนมา 1 เดือน และเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% เพิ่มเติมจากกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 10% ที่พวกเขาเริ่มบังคับใช้เมื่อ 4 ก.พ. และจากการดำรงตำแหน่งสมัยที่แรกของโดนัลด์ ทรัมป์

แต่ไม่กี่นาทีหลังจากกำแพงภาษีเพิ่มเติมของสหรัฐฯ เริ่มมีผลบังคับใช้ ทางการจีนก็ประกาศมาตรการตอบโต้ในทันที โดยจะขึ้นภาษีในอัตรา 15% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ประเภท ไก่, ข้าวสาลี, ข้าวโพด และฝ้าย ขณะที่ขึ้น 10% ต่อสินค้านำเข้าประเภท ถั่วเหลือง, ข้าวฟ่าง, เนื้อหมู, เนื้อวัว, ผลิตภัณฑ์จากปลา, ผัก, ผลไม้ และผลิตภัณฑ์จากนมวัว

มาตรการตอบโต้ของจีนจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. เป็นต้นไป โดยครอบคลุมสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งออกให้แก่จีนถึง 15% มีมูลค่าการค้าขายอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนั้น จีนยังเพิ่มชื่อบริษัทอเมริกันอีก 15 แห่ง เข้าสู่บัญชีควบคุมการส่งออก ซึ่งห้ามบริษัทจีนส่งออกเทคโนโลยีที่สามารถใช้เพื่อจุดประสงค์หลายอย่างให้แก่บริษัทเหล่านี้ ขณะที่อีก 10 บริษัทถูกขึ้นบัญชีเป็นบริษัทที่ไม่น่าเชื่อถือ ฐานขายอาวุธให้ไต้หวัน
ต่อมา รัฐบาลออกคำสั่งให้มีการสืบสวนบริษัทสหรัฐฯ ที่ผลิตสายใยแก้วนำแสง หรือ ไฟเบอร์ออปติก ตามมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด และระงับใบอนุญาตส่งออกของผู้ส่งออกสัญชาติอเมริกัน 3 แห่ง และระงับการขนส่งไม้จากสหรัฐฯ มายังประเทศจีนด้วย

ทั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งตั้งกำแพงภาษีเม็กซิโก, แคนาดา และจีน ตั้งแต่วันแรกที่เขารับตำแหน่งเมื่อ 20 ม.ค. โดยกล่าวหาทั้ง 3 ประเทศว่ามีส่วนทำให้ยาเฟนทานิลหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐฯ โดยเม็กซิโกกับแคนาดาเจรจากับสหรัฐฯ และให้คำมั่นว่าจะควบคุมชายแดนให้เข้มงวดขึ้น ทำให้การบังคับใช้กำแพงภาษีถูกเลื่อนออกไป 1 เดือน

ฝ่ายจีนกล่าวหาสหรัฐฯ ว่า กำลังแบล็คเมลประเทศของพวกเขาด้วยกำแพงภาษี พร้อมยืนยันว่า พวกเขาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนโยบายต่อต้านยาเสพติดเข้มงวดที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การที่จีนเพิ่มการเก็บภาษีในอัตราไม่ถึง 20% หมายความว่าจีนอาจยังหวังที่จะเจรจาสงบศึกทางการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ แต่หากสถานการณ์ลุกลามมากกว่านี้ โอกาสในการเจรจาก็จะยิ่งลดน้อยลง

ที่มา - thairath

news-20250305-01

'ไปรษณีย์ไทย' เผย EMS โตแรง 6.99% รับอีคอมเมิร์ซบูม คาดปี 68 โตต่อเนื่อง

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเติบโตอย่างชัดเจนของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและภาคค้าปลีก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ความต้องการบริการส่งด่วน EMS ในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้ากลุ่มเสื้อผ้า เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้ใช้บริการ”

ในปี 2567 บริการ EMS มีสัดส่วนรายได้สูงถึง 42.76% ของรายได้ทั้งหมดของไปรษณีย์ไทย สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของบริการดังกล่าวต่อธุรกิจของบริษัทฯ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ไปรษณีย์ไทย

เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย ไปรษณีย์ไทยได้วางกลยุทธ์สำคัญ 5 ประการ ดังนี้

  • ความคุ้มค่าและควบคุมต้นทุน: ไปรษณีย์ไทยกำหนดอัตราค่าบริการตามน้ำหนักจริง และคิดราคาเดียวกันทั่วประเทศ พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าธุรกิจและผู้ค้าออนไลน์ที่มีปริมาณการส่งสินค้าจำนวนมาก เพื่อช่วยลดต้นทุนในการขนส่ง
  • ความรวดเร็วในการขนส่ง: ไปรษณีย์ไทยรับประกันระยะเวลาการจัดส่งภายใน 1-2 วันทั่วประเทศ ด้วยมาตรฐานการขนส่งที่เป็นเลิศ และระบบ Service Level Agreement (SLA) ที่ช่วยให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถตรวจสอบสถานะและกำหนดเวลาการจัดส่งได้อย่างแม่นยำ
  • รองรับสิ่งของฝากส่งหลากหลายประเภท: ไปรษณีย์ไทยให้บริการขนส่งสินค้าหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก สินค้าที่มีมูลค่าสูง สินค้าควบคุมอุณหภูมิ หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิต โดยมีระบบ Parcel Defined Logistics ที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับสินค้าแต่ละประเภท
  • ฟังก์ชันครบครัน ดูแลทุกขั้นตอน: ไปรษณีย์ไทยมีระบบติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์ 100% ทีมงานดูแลลูกค้าหลังการขายในทุกจังหวัด สายด่วน 1505 สำหรับแจ้งเตือนการนำจ่ายพัสดุ ระบบสนับสนุนร้านค้าออนไลน์ และบริการ COD (เก็บเงินปลายทาง) ที่เชื่อถือได้
  • เครือข่ายครอบคลุมทั่วไทย: ไปรษณีย์ไทยมีเครือข่ายการให้บริการกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศ ทั้งที่ทำการไปรษณีย์ ร้านไปรษณีย์ไทย ร้านสะดวกซื้อ และ EMS Point พร้อมด้วยบุรุษไปรษณีย์กว่า 25,000 คน และศูนย์ไปรษณีย์ 20 แห่ง ที่มีระบบคัดแยกพัสดุที่ทันสมัย รองรับพัสดุได้มากกว่า 6 ล้านชิ้นต่อวัน

ดร.ดนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ไปรษณีย์ไทยพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568 มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลไทยจะเติบโตถึง 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเติบโตดังกล่าว ด้วยมูลค่าตลาดที่คาดว่าจะสูงถึง 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ”

ที่มา - biztalknews

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us