News Update

L2D Page (31)

LEO โชว์ผลงบไตรมาส 2 รายได้ 337 ล้าน เดินหน้าธุรกิจใหม่-ลุย Green Logistics ครึ่งปีหลัง

บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2/2568 (สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2568) โดยมีรายได้รวม 337.3 ล้านบาท และกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 5.4 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรขั้นต้น 113.1 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน อันเป็นผลจากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนด้านอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกไปยังสหรัฐฯ รวมถึงสินค้าจากจีนที่ขนส่งผ่านไทยลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ยังเผชิญผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงไตรมาสดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม LEO มีการเติบโตเด่นในธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ที่ช่วยลดความผันผวนจากธุรกิจหลัก โดยรายได้จากการขนส่งทางรางในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 151.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 576% จากปีก่อน ขณะที่บริษัทร่วม LaneXang Express ทำรายได้ในไตรมาส 2/2568 ถึง 19.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6 เท่าจากไตรมาสก่อน ส่วน Sritrang Leo Multimodal Logistics ทำรายได้จากการขนส่งทางรางภายในประเทศ 57.6 ล้านบาทในไตรมาส 2/2568 ขณะเดียวกัน Logicam LEO ในกัมพูชาเพิ่มรายได้ถึง 60% จากไตรมาสก่อน

ธุรกิจ Self-Storage และลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ก็ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทย่อย YJC Depot Services มีรายได้เพิ่มขึ้น 58% จากไตรมาส 1/2568 และเติบโตถึง 100% จากปีก่อน นอกจากนี้ ศูนย์จัดเก็บและกระจายสินค้าอัจฉริยะ LEO Coldbotic และการส่งออกทุเรียนไปจีนผ่าน LEO Sourcing & Supply Chain ก็เริ่มสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO ระบุว่า การเติบโตของกลุ่มธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics เป็นไปตามแผน และถือเป็นหัวใจสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างรายได้ระยะยาว เนื่องจากธุรกิจ Freight ยังคงมีความผันผวนสูงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก บริษัทจึงมุ่งกระจายความเสี่ยงและเดินหน้าขยายธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งนอกจากช่วยลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจหลักแล้ว ยังเป็นโอกาสสร้างกำไรขั้นต้นในระดับที่เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับครึ่งปีหลัง 2568 บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการจะดีขึ้น โดยเฉพาะไตรมาส 3 และ 4 หลังจากที่สหรัฐฯ มีการประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่ชัดเจน พร้อมเดินหน้าโครงการ Green Logistics ใช้รถบรรทุกไฟฟ้า (EV Truck) ให้บริการลูกค้า สนับสนุนการขนส่งแบบยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และออกเอกสาร Carbon Emission Statement ตามมาตรฐาน ISO 14067 ให้ลูกค้าในไตรมาส 4

LEO ตั้งเป้าผลักดันรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้มีสัดส่วน 30-35% ของรายได้รวมภายในปีนี้ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

L2D Page (30)

รมช.คมนาคมลงพื้นที่ตรวจท่าอากาศยานอุบลราชธานี เดินหน้าแผนพัฒนาสู่สนามบินนานาชาติ ศูนย์กลางการบินภาคอีสาน

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานที่ท่าอากาศยานอุบลราชธานี เพื่อติดตามมาตรการด้านความปลอดภัยและประเมินความพร้อมในการยกระดับสนามบินแห่งนี้สู่มาตรฐานนานาชาติ ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการผลักดันจังหวัดอุบลราชธานีให้เป็นศูนย์กลางการบินของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ระหว่างการตรวจเยี่ยม รมช.คมนาคมได้สั่งการให้กรมท่าอากาศยานปรับปรุงอาคารผู้โดยสารและจัดพื้นที่รองรับด่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ พร้อมทั้งดึงดูดสายการบินเปิดเส้นทางบินใหม่ เชื่อมโยงอุบลราชธานีกับเมืองสำคัญทั้งในและต่างประเทศ

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม นางมนพรพร้อมคณะผู้บริหารได้เยี่ยมชมศูนย์ควบคุมการบินอุบลราชธานี และรับฟังการบรรยายเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา พร้อมเน้นย้ำให้บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เร่งพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากร เพื่อสนับสนุนบทบาทของสนามบินในฐานะศูนย์กลางการบิน รวมถึงการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย

นอกจากนี้ รมช.คมนาคมยังได้กำชับให้กรมท่าอากาศยานและ บวท. เข้มงวดมาตรการด้านความมั่นคง โดยเน้นการควบคุมการใช้โดรนในเขตสนามบิน การเพิ่มความถี่ในการตรวจการณ์ และการซ้อมแผนฉุกเฉินร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของผู้โดยสารและบุคลากรทุกฝ่าย

ด้านนายดนัย เรืองสอน อธิบดีกรมท่าอากาศยาน เปิดเผยว่าท่าอากาศยานอุบลราชธานีมีศักยภาพรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 1,050 คนต่อชั่วโมง หรือราว 3 ล้านคนต่อปี และสามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ได้พร้อมกันถึง 5 ลำ ปัจจุบันมีเที่ยวบินภายในประเทศเชื่อมต่อสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิจากหลายสายการบิน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งรถเช่า รถแท็กซี่ และรถซิตี้บัส

สำหรับแผนพัฒนาในปี 2568 กรมท่าอากาศยานได้จัดสรรงบประมาณเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย ด้วยการติดตั้งเครื่องตรวจอาวุธและวัตถุระเบิดแบบ Dual View X-Ray กล้องตรวจการแบบ Panorama และยานพาหนะตรวจจับสิ่งแปลกปลอมบนทางวิ่ง (FOD Vehicle) เพื่อให้สนามบินมีระบบความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานสากล รองรับทั้งการเดินทางภายในประเทศและต่างประเทศอย่างมั่นใจ

L2D Page (29)

ทรัมป์ยืนยันสหรัฐฯ ไม่เก็บภาษีนำเข้าทองคำ เคลียร์ปมความเข้าใจผิด สงบความผันผวนตลาดโลก

สถานการณ์ความผันผวนในตลาดทองคำโลกเริ่มคลี่คลาย หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาประกาศอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่มีการเก็บภาษีจากการนำเข้าทองคำ เพื่อยุติความกังวลที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อทั้งตลาดซื้อขายทองคำและความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ

ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชียลไทมส์ (FT) รายงานโดยอ้างจดหมายจากหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ลงวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ระบุว่าทองคำแท่งน้ำหนัก 1 กิโลกรัม และ 100 ออนซ์ จะถูกจัดให้อยู่ในพิกัดศุลกากรที่ต้องเสียภาษีนำเข้า เนื้อหาในจดหมายดังกล่าวสร้างความสับสนให้กับผู้ประกอบการค้าทองคำหลายราย จนบางบริษัทตัดสินใจหยุดส่งออกทองคำแท่งเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะทองแท่งขนาด 1 กิโลกรัม ซึ่งถือเป็นรูปแบบที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดโลกและตลาดสหรัฐฯ

หลังจากกระแสข่าวแพร่กระจาย ทำเนียบขาวได้เร่งออกมาชี้แจงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นความเข้าใจผิดทางเทคนิคเกี่ยวกับรหัสศุลกากร โดยยืนยันว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ไม่มีนโยบายเก็บภาษีนำเข้าทองคำ และจะดำเนินการแก้ไขข้อมูลอย่างเป็นทางการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศเพิ่มเติม การประกาศยืนยันของทรัมป์ในครั้งนี้ไม่เพียงช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ค้าและนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังช่วยสกัดแรงกระเพื่อมในตลาดโลกที่เกิดจากความกังวลเรื่องต้นทุนการนำเข้า ซึ่งก่อนหน้านี้มีแนวโน้มจะดันราคาทองคำผันผวนอย่างหนัก

นักวิเคราะห์มองว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นสัญญาณสำคัญว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงต้องการรักษาความมั่นคงของตลาดทองคำและหลีกเลี่ยงความตึงเครียดทางการค้าในสินทรัพย์ที่ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะเดียวกันผู้ประกอบการค้าทองคำระหว่างประเทศต่างจับตาดูการดำเนินการของ CBP ว่าจะปรับปรุงกระบวนการสื่อสารและการกำหนดรหัสศุลกากรอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยในอนาคต

L2D Page (27)

ปศุสัตว์ย้ำปิดทางหมูสหรัฐปนเปื้อน เดินหน้านโยบายปลอดสารเร่งเนื้อแดง

นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งรายละเอียดหรือการดำเนินการใด ๆ อย่างชัดเจนเกี่ยวกับกระแสข่าวการเปิดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ แลกกับภาษีที่ไทยได้รับ 19% ซึ่งในสังคมมีความกังวลว่าหมูจากสหรัฐฯ อาจมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงซึ่งกระทบต่อสุขภาพของประชาชน กรมปศุสัตว์ยืนยันจุดยืนชัดเจนว่าไทยห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงตลอดห่วงโซ่การผลิต พร้อมสร้างการรับรู้ให้เกษตรกรตระหนักถึงอันตรายและผลกระทบเชิงลบจากการใช้สารดังกล่าว

กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกในการเฝ้าระวังการลักลอบใช้สารเร่งเนื้อแดงในโรงฆ่าสัตว์ โรงงานผลิตอาหารสัตว์ และฟาร์มทั่วประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยปลอดจากสารเร่งเนื้อแดงอย่างแท้จริง สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคในประเทศและตลาดต่างประเทศกว่า 160 ประเทศทั่วโลก เช่น สหภาพยุโรป จีน รัสเซีย และญี่ปุ่น ที่ต่างก็มีคำสั่งห้ามใช้และห้ามนำเข้าสินค้าปศุสัตว์ที่มีการปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดง เนื่องจากมีข้อกังวลด้านสุขภาพ

นายสมชวนกล่าวว่า สารเร่งเนื้อแดงเป็นสารต้องห้ามตามกฎหมายไทย เพราะหากสะสมในร่างกายจะส่งผลเสียต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่เป็นอันตราย กรมปศุสัตว์จึงให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของประชาชน และเชื่อว่ารัฐบาลจะคำนึงถึงสุขภาพของคนไทยเป็นหลัก โดยไม่ยอมให้มาตรฐานอาหารลดลง

สำหรับความคืบหน้าในเรื่องนี้ หากมีข้อมูลเพิ่มเติม กรมปศุสัตว์จะหารือกับนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเบื้องต้นก็มีจุดยืนสอดคล้องกับกรมปศุสัตว์ในเรื่องการป้องกันการใช้สารเร่งเนื้อแดงในเนื้อหมูที่จำหน่ายในประเทศไทย

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us