News Update

news-20250515-02

แบงก์ชาติย้ำไทยยังไม่เสี่ยงเงินฝืด แต่ครึ่งปีหลังน่าห่วง การลงทุน-ส่งออกอาจสะดุดจากพิษสงครามการค้า

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยืนยันเศรษฐกิจไทยยังไม่มีสัญญาณของภาวะเงินฝืด แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายในระยะสั้น แต่ยังไม่พบการหดตัวของราคาสินค้าในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ธปท. แสดงความกังวลว่าครึ่งหลังของปี 2568 อาจเริ่มเห็นแรงกระแทกจากสงครามการค้าโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อการลงทุนและภาคการส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ

นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. ระบุว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การใช้นโยบายการเงินจะต้อง “ใช้ให้คุ้ม” และรอบคอบ โดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ขณะนี้อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.75% หากลดลงมากกว่านี้อาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเท่าที่ควร เพราะปัจจัยหลักที่ฉุดเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องต้นทุนทางการเงิน แต่เป็นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนที่ยังไม่ฟื้น

“การลดดอกเบี้ยอาจไม่สามารถกระตุ้นการใช้จ่ายหรือการลงทุนได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะเมื่อผู้คนยังไม่มั่นใจในอนาคต ต่อให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลงก็ไม่มีใครกล้าลงมือ” นายปิติกล่าว

ในทิศทางเดียวกัน นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน เปิดเผยว่า ผลกระทบจากสงครามการค้าอาจยังไม่เด่นชัดในช่วงต้นปี แต่แนวโน้มจะรุนแรงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี และอาจลากยาวถึงปี 2569 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ รวมถึงเอสเอ็มอีที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของการผลิต

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และยังเห็นแรงส่งจากการส่งออกที่ฟื้นตัว ทำให้การขยายตัวยังดำเนินต่อได้ แต่ในระยะยาว ธปท. มองว่า หากไม่มีการปรับตัวเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจอาจเผชิญกับข้อจำกัดในการเติบโตต่ำกว่า 3%

นางปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยถูกกดดันจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการค้าโลก อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐฯ และจีนสามารถตกลงเลื่อนการขึ้นภาษีออกไป 90 วัน ถือเป็นสัญญาณบวกที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ชั่วคราว ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม

“แม้มาตรการผ่อนปรนภาษีจะช่วยลดความตึงเครียดได้ในระยะสั้น แต่ผลกระทบต่อ GDP ไทยยังไม่มากนัก ประมาณ 0.1% เท่านั้น” นางปราณีกล่าว พร้อมระบุว่า ต้องติดตามต่อว่าการเจรจาจะออกมาในทิศทางใด และไทยจะได้รับผลกระทบมากหรือน้อยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค

กลุ่มที่น่าจับตามองคือกลุ่มผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงในการเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้านำเข้าอย่างเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งมีเอสเอ็มอีกว่าหลายแสนรายที่จ้างงานรวมกันนับล้านคน โดย ธปท. ระบุว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการจำนวนมากกำลังเผชิญความยากลำบาก และต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนทั้งในด้านการเงิน มาตรการป้องกันการสวมสิทธิ์ และการเข้าถึงตลาดใหม่

ในขณะที่นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. เสริมว่า แม้เงินเฟ้อจะปรับลดต่ำกว่ากรอบเป้าหมายชั่วคราวจากปัจจัยราคาน้ำมันและมาตรการรัฐ แต่ในภาพรวมยังไม่พบสัญญาณของเงินฝืด โดยเงินเฟ้อระยะกลางยังอยู่ที่ประมาณ 1.6% ซึ่งถือว่าอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3%

สำหรับแนวนโยบายการเงินในระยะถัดไป ธปท. ย้ำว่าจะพิจารณาจากแนวโน้มเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยปัจจุบันนโยบายยังอยู่ในระดับผ่อนคลาย ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถช่วยรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากภายนอกประเทศได้ในระดับหนึ่ง

ที่มา - khaosod

news-20250515-01

“พิชัย” เร่งเครื่องตลาดข้าว เตรียมจัดประชุมระดับโลกปลายเดือนนี้ หวังดันส่งออกพุ่ง รับมือผลผลิตใหม่

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งเดินหน้ารุกตลาดข้าวอย่างเต็มที่ เพื่อรองรับผลผลิตใหม่ที่จะทยอยเข้าสู่ตลาด พร้อมประกาศเตรียมจัดงานประชุมข้าวระดับโลก Thailand Rice Convention 2025 ระหว่างวันที่ 25–27 พฤษภาคมนี้ โดยคาดหวังว่าจะช่วยผลักดันการส่งออกข้าวไทยให้เข้าเป้า 7.5 ล้านตัน และสร้างคำสั่งซื้อทันทีไม่น้อยกว่า 100,000 ตัน มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท

นายพิชัยระบุว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศจับตาสถานการณ์ตลาดข้าวโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในบริบทของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก ไทยในฐานะประเทศผู้ผลิตข้าวชั้นนำ จึงจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเป็นแหล่งอาหารสำคัญของโลก โดยเฉพาะในช่วงที่หลายประเทศต้องการหาพันธมิตรทางการค้าเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

การจัดงาน Thailand Rice Convention 2025 ครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่เวทีประชุม หากแต่เป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงผู้ซื้อรายใหญ่จากทั่วโลก ทั้งจากอเมริกาใต้ แอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชีย กับผู้ส่งออกข้าวไทย รวมถึงเกษตรกรและผู้ค้า (trader) ในประเทศ โดยจะเปิดโอกาสให้มีการพบปะ เจรจาธุรกิจ และสร้างความเข้าใจร่วมกันในสถานการณ์ตลาดข้าวปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต

ขณะเดียวกัน เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนของเกษตรกรไทย กระทรวงพาณิชย์ยังได้เดินหน้ามาตรการ “พาณิชย์ลดราคาปุ๋ยเคมีเพื่อเกษตรกร ปี 2568” อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการปรับลดราคาปุ๋ยเคมีมากถึง 79 สูตร เฉลี่ยกระสอบละ 20–50 บาท ครอบคลุมพืชทุกชนิด โดยเฉพาะสูตรที่ใช้กับนาข้าว เช่น 46-0-0, 0-0-60, 16-20-0 และ 15-15-15 ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อสะสมแล้วกว่า 1 ล้านกระสอบ ช่วยลดต้นทุนรวมเกษตรกรไปแล้วกว่า 30 ล้านบาท และจะเดินหน้าไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน

ในอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญ นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เผยว่า หลังจากการจัดงาน TRC แล้ว กรมฯ ยังเตรียมนำผู้ประกอบการค้าข้าวรายย่อยจากแหล่งเพาะปลูกหลักทั่วประเทศ เข้าร่วมจัดแสดงสินค้าในงาน THAIFEX - Anuga Asia 2025 ระหว่างวันที่ 27–31 พฤษภาคมนี้ ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารระดับแนวหน้าของเอเชีย โดยคาดว่าจะสร้างคำสั่งซื้อเพิ่มเติมกว่า 500 ล้านบาท และเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เข้าถึงผู้ซื้อต่างประเทศโดยตรง

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังเตรียมเดินหน้าขยายตลาดส่งออกข้าวไทยในระดับนโยบาย โดยมีแผนจะเดินทางไปเจรจาการค้ากับประเทศผู้นำเข้ารายสำคัญอย่างฟิลิปปินส์และญี่ปุ่นในระยะต่อไป เพื่อยกระดับความร่วมมือทางการค้า และตอกย้ำจุดยืนของไทยในฐานะผู้ส่งออกข้าวที่มีคุณภาพและเสถียรภาพในเวทีโลก

การเดินหมากตลาดข้าวครั้งนี้ของ “พิชัย” จึงไม่เพียงแค่มุ่งหวังให้เกิดยอดส่งออกในระยะสั้น แต่ยังสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการฟื้นฟูรายได้เกษตรกร เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการเกษตร และสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยเป็น “ครัวของโลก” อย่างแท้จริงในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ท้าทาย

ที่มา - thaipost

news-20250514-03

'รมว.คลัง' เตรียมหารือแบงก์รัฐ เร่งวางมาตรการช่วยผู้ส่งออก - SME รับมือผลกระทบภาษีทรัมป์

รัฐบาลไทยเตรียมขยับครั้งใหญ่เพื่อรับมือกับแรงกระแทกจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ล่าสุด นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ กระทรวงการคลังจะหารือร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) เพื่อหาทางออกในการช่วยเหลือกลุ่มผู้ส่งออก SME รวมถึงภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากมาตรการตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้นโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

นายพิชัยย้ำว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลและประเมินว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใดควรเดินหน้าต่อ และมาตรการใดควรชะลอไว้ก่อน โดยเฉพาะในส่วนของโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ซึ่งต้องอิงกับสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดว่าควรใช้งบประมาณในทิศทางใดมากที่สุดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในภาพรวม

ส่วนงบประมาณรายจ่ายปี 2569 ที่หลายฝ่ายจับตามอง นายพิชัยระบุว่า ยังสามารถใช้กรอบงบปี 2568 ได้ในบางโครงการ หากมีความจำเป็นและสามารถปรับงบได้ทัน ขณะที่การวางแผนระยะกลางและยาวจะมีความสำคัญยิ่งยวดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษฐกิจโลกเช่นนี้

ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า เร็ว ๆ นี้จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยในบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะนโยบายการค้าระหว่างประเทศซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่รัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ แต่ต้องเตรียมรับมือให้ดีที่สุด

เขาระบุว่า รัฐบาลจะต้องมองภาพรวมเศรษฐกิจในหลายมิติ ทั้งการบริโภค การลงทุน การส่งออก การบริหารความเสี่ยง และการใช้นโยบายการคลังอย่างรอบคอบ โดยย้ำว่าไม่ควรยึดติดกับแนวคิดว่า "การลงทุนภาครัฐ" คือคำตอบเดียว เพราะเศรษฐกิจที่ดีต้องเกิดจากความสมดุลของกลไกต่าง ๆ ที่ทำงานสอดรับกัน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นการบริโภคหรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

สำหรับกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงความเห็นว่า “กระสุนทางการคลัง” มีจำกัด และไม่ควรใช้มาตรการกระตุ้นผ่านการบริโภคเพียงอย่างเดียว นายเผ่าภูมิมองว่า แม้ข้อกังวลนี้จะมีเหตุผล แต่รัฐบาลก็ต้องมองความเหมาะสมเป็นรายกรณี พร้อมปรับนโยบายให้ยืดหยุ่น และใช้เครื่องมือที่หลากหลายสอดคล้องกับสถานการณ์เฉพาะหน้า

ในส่วนของการเจรจากับสหรัฐฯ นั้น นายเผ่าภูมิระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยกำลังเดินหน้าอย่างเต็มที่ โดยมียุทธศาสตร์รองรับอย่างชัดเจน ภายใต้การพิจารณาเงื่อนไขการเจรจาอย่างรอบด้าน ทั้งสิ่งที่ไทยสามารถยื่นข้อเสนอ สิ่งที่ควรรักษาไว้ และสิ่งที่อาจต้องใช้เป็นเครื่องมือเจรจา โดยเป้าหมายสำคัญคือการรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ และพาเศรษฐกิจไทยผ่านความท้าทายจากแรงสั่นสะเทือนนโยบายต่างประเทศครั้งนี้ไปให้ได้อย่างดีที่สุด

ที่มา - infoquest

news-20250514-02

บีโอไอรับยอดผลิต EV ยังไม่เข้าเป้า ชี้ตลาดในประเทศ - ส่งออกยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า แม้บีโอไอจะเดินหน้าสนับสนุนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตที่เข้าร่วมโครงการ EV3.0 ซึ่งได้เริ่มต้นสายการผลิตไปแล้วตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่จำนวนรถ EV ที่ผลิตได้ในไทยขณะนี้ แม้จะเกิน 400,000 คันแล้ว ก็ยังไม่ถึงระดับเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออกยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว

ผู้ผลิตหลายรายกำลังเร่งหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง หากสถานการณ์ด้านอุปสงค์ทั้งในและนอกประเทศเริ่มดีขึ้น ก็จะเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้สามารถผลิตได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับกำลังการผลิตที่วางไว้ และสร้างความมั่นใจให้กับแผนลงทุนในระยะยาวมากยิ่งขึ้น

สำหรับประเด็นเรื่องการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย นายนฤตม์ระบุว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก โดยในฝั่งของบีโอไอก็กำลังหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อออกมาตรการรับมือกับผลกระทบทางภาษี และเตรียมเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบีโอไอในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้

นโยบายที่กำลังจะออกมา จะเป็นการผสมผสานทั้งการปรับปรุงมาตรการเดิมและการเสนอแนวทางใหม่ เพื่อเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ นโยบายการค้า หรือกระแสการลงทุนที่ผันผวน

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคือ แนวทางการส่งเสริมการลงทุนที่ไม่ยึดติดกับสัญชาติของนักลงทุนอีกต่อไป แต่จะให้ความสำคัญกับการสร้างผลประโยชน์ร่วมกับประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบริษัทต่างชาติสู่คนไทย ซึ่งบีโอไอหวังว่าการเปิดกว้างเช่นนี้จะเป็นประตูให้คนไทยได้มีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีในระดับโลก ผ่านการทำงานร่วมกับบริษัทที่เข้ามาลงทุนในประเทศ

นอกจากนี้ บีโอไอยังมีการประสานความร่วมมือกับสถานทูตไทย สำนักงานพาณิชย์ และสำนักงานบีโอไอในต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในจุดหมายสำคัญอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และตะวันออกกลาง ซึ่งมีชุมชนคนไทยที่เข้มแข็งและเป็นฐานนักลงทุนสำคัญอยู่แล้ว

แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากประเด็นภาษีของสหรัฐฯ แต่นายนฤตม์ยังคงมั่นใจว่าแนวโน้มการลงทุนในปีนี้ยังคงสดใส เพราะประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายที่มีความพร้อมในหลายมิติ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบซัพพลายเชน บุคลากรที่มีศักยภาพ ระบบพลังงานที่มั่นคงและมีพลังงานสะอาดเพียงพอ รวมถึงพื้นที่อุตสาหกรรมที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยสามารถเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการลงทุนใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์

ประเทศไทยยังคงเป็น “ตัวเลือกที่มั่นคง” ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และบีโอไอเชื่อมั่นว่าด้วยการปรับตัวและความยืดหยุ่นในการออกนโยบาย ไทยจะสามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันและเป็นฐานการลงทุนสำคัญของภูมิภาคต่อไป

ที่มา - thansettakij

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us