News Update

news-20250303-03

อัปเดตล่าสุด 'ทำใบขับขี่ - ต่อใบขับขี่ 2568' ค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ - เอกสารใช้อะไรบ้าง?

อัปเดตล่าสุด “กรมการขนส่งทางบก” เปิดขั้นตอนการ “ต่ออายุใบขับขี่ ทำใบขับขี่ใหม่ 2568” เอกสารที่ต้องใช้ ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย การจองคิวล่วงหน้า "DLT Smart Queue" รวมถึงการใช้ใบรับรองแพทย์มาเป็นหลักฐานประกอบ

นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า สำหรับผู้ต้องการขอรับและต่อใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล(รถยนต์/รถจักรยานยนต์) สามารถจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue (เลือกสำนักงานขนส่ง วันและเวลาที่สะดวก) 

เพื่อเข้าตรวจสอบเอกสาร รับการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย การอบรม การทดสอบข้อเขียน และการทดสอบขับรถ ได้ที่ขนส่ง โดยแนะนำให้จัดเตรียมเอกสารประกอบคำขอรับ/ต่ออายุใบอนุญาตให้ครบถ้วนเพื่อความรวดเร็วในการดำเนินการ

“ทำใบขับขี่ 2568” การขอรับใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลใหม่ (ไม่เคยมีมาก่อน)

เอกสารหลักฐานที่ต้องใช้

1. บัตรประชาชนตัวจริง 

2. ใบรับรองแพทย์

ค่าธรรมเนียม : รถจักรยานยนต์ 105 บาท / รถยนต์ 205 บาท

“ทำใบขับขี่ 2568” เปลี่ยนประเภทใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล (ชั่วคราว) ชนิด 2 ปีเป็น 5 ปี

เอกสารหลักฐานที่ต้องใช้

1. บัตรประชาชนตัวจริง 

2. ใบรับรองแพทย์ 

3. ใบอนุญาตขับรถเดิมตัวจริง

ค่าธรรมเนียม : รถจักรยานยนต์ 255 บาท / รถยนต์ 505 บาท

“ทำใบขับขี่ 2568” การต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล ชนิด 5 ปีเป็น 5 ปี

เอกสารหลักฐานที่ต้องใช้

1. บัตรประชาชนตัวจริง 

2. ใบรับรองแพทย์ 

3. ใบอนุญาตขับรถเดิมตัวจริง

4. ผลการอบรม e-Learning

ค่าธรรมเนียม : รถจักรยานยนต์ 255 บาท / รถยนต์ 505 บาท

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250303-02

ส่งออก 'มะม่วงไทย' ยอดพุ่งปี 67 กว่า 4.6 พันล้าน เกาหลีใต้ตลาดหลัก ยอดซื้อแตะ 3 พันล้าน

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตัวเลขการส่งออกมะม่วงสดของไทยตลอดปีที่แล้ว มีมูลค่ารวม 4,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.68% โดยตลาดส่งออก 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. เกาหลีใต้ 2,931 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132.7% สัดส่วน 62.2% ของมูลค่าการส่งออกมะม่วงสดของไทย 2. มาเลเซีย 1,191 ล้านบาท ลดลง 12.8% สัดส่วน 25.3% 3. ญี่ปุ่น 139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.8% สัดส่วน 3.0% 4. เวียดนาม 131 ล้านบาท ลดลง 15.7% สัดส่วน 2.8% และ 5. สปป.ลาว 38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.3% สัดส่วน 0.8%

นายอนุกูล กล่าวว่า สาเหตุเกาหลีใต้ได้ก้าวขึ้นมาอันดับที่ 1 ตลาดส่งออกมะม่วงสดของไทย แซงหน้ามาเลเซีย เป็นผลจากมาตรการของรัฐบาลเกาหลีใต้ ที่ขยายปริมาณโควตานำเข้าผลไม้เขตร้อน และลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรชั่วคราว เพื่อลดค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคและลดปัญหาขาดแคลนสินค้าในประเทศ โดยปรับอัตราภาษีมะม่วงและมังคุดเหลือ 0% จากเดิม 30% และทุเรียนเหลือ 5% จากเดิม 45% ส่งผลให้มะม่วงไทยเป็นที่ต้องการมากขึ้น

นอกจากนี้ มะม่วงไทยเป็นที่ต้องการในเกาหลีใต้มาจากกระแส Soft Power ของไทย โดยเฉพาะ “ข้าวเหนียวมะม่วง” ที่ได้รับความนิยมจากสื่อโซเชียลมีเดีย รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคเกาหลีใต้ที่นิยมรับประทานผลไม้สดหลังอาหารหรือเป็นอาหารว่าง สำหรับตลาดมาเลเซีย ยังคงเป็นตลาดสำคัญสำหรับมะม่วงสดจากไทย เนื่องจากความนิยมบริโภคผลไม้สดและนำไปทำเครื่องดื่มปั่น Mango Shake ขณะที่ญี่ปุ่นต้องการมะม่วงสดเพิ่มขึ้นตามกระแสรักสุขภาพ และการนำมะม่วงไปใช้ในอุตสาหกรรมขนมหวาน เป็นต้น

ทั้งนี้ ปัจจุบันเกาหลีใต้อนุญาตนำเข้าผลไม้จากไทยได้เพียง 6 ชนิด คือ มะม่วง มังคุด ทุเรียน กล้วย มะพร้าว และสับปะรด แต่ชาวเกาหลีใต้มีการรับรู้เกี่ยวกับรสชาติและคุณภาพของผลไม้ไทยเป็นอย่างดี ผ่านสื่อโซเชียลและนักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางมาไทย โดยเฉพาะมะม่วง มังคุด และทุเรียน ผลไม้ไทยได้รับการยอมรับจากชาวเกาหลีใต้ว่าเป็นสินค้าพรีเมียมคุณภาพสูง หากไทยสามารถรักษามาตรฐานคุณภาพ และความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์ได้ต่อเนื่อง ก็จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ไทยอยู่ระหว่างการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreement) กับเกาหลีใต้ หากมีการเจรจาลดภาษีผลไม้ลงมาอีก ก็จะช่วยสนับสนุนการส่งออกมะม่วงและผลไม้ของไทยให้เติบโตได้เป็นอย่างดี

ที่มา - mgronline

news-20250303-01

'คมนาคม' หนุนวิทยุการบินฯ หารือพันธมิตรระดับโลก เร่งพัฒนาบุคลากรและเทคโนโลยี

วิทยุการบินฯ จับมือพันธมิตรหาแนวทางความร่วมมือด้านเทคโนโลยี พัฒนากำลังคน สร้างทักษะความรู้ด้านการบิน พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาค

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า “อุตสาหกรรมการบินเติบโตอย่างรวดเร็ว หน่วยงานด้านการบินจำเป็นต้องเร่งพัฒนายกระดับเทคโนโลยีให้สูงยิ่งขึ้นทันกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ ๆ จึงได้มอบนโยบายให้วิทยุการบินฯ ดำเนินการหาแนวทางความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและด้านการพัฒนาบุคลากรกับพันธมิตรประเทศต่าง ๆ แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้การพัฒนาด้านการบินดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและจะส่งผลดีต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินระดับภูมิภาคด้วย

นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.)  กล่าวว่า จากนโยบายของกระทรวงคมนาคมที่มอบหมายให้ บวท. ดำเนินการหาแนวทางความร่วมมือกับพันธมิตรเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรด้านการบิน บวท. จึงเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Next Wave APAC Aviation Technologies through Synergy เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา  ซึ่ง บวท. และหน่วยงานผู้ให้บริการการเดินอากาศจากกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ได้ร่วมกันหารือแนวทางในการวางแผน จัดหา ติดตั้ง ใช้งาน ซ่อมบำรุง ระบบ/อุปกรณ์ เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะนำมาใช้สำหรับให้บริการการเดินอากาศ เช่น เทคโนโลยี Next-Generation AeroMACS ซึ่งใช้เทคโนโลยี 5G ซึ่งเป็นโครงข่ายสื่อสารไร้สายสำหรับสนามบิน สำหรับเชื่อมต่อและส่งข้อมูลระหว่างเครื่องช่วยเดินอากาศภายในสนามบิน 

และเป็นข่ายสื่อสารระหว่างเครื่องบินและภาคพื้นดิน ให้เป็นไปอย่างปลอดภัย แม่นยำ และรวดเร็ว เทคโนโลยี Space-based VHF เป็นเทคโนโลยีที่สนับสนุนการสื่อสารทางการบินผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารห้วงอากาศในพื้นที่มหาสมุทรระยะไกลและบริเวณที่ไม่มีโครงข่ายสื่อสารภาคพื้นดินรองรับช่วยให้การสื่อสารระหว่างนักบินและหน่วยควบคุมการจราจรทางอากาศเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยี Space-based ADS-B เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการติดตามอากาศยานและการบริหารห้วงอากาศในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านสัญญาณด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการส่งข้อมูลผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit) เพื่อให้การเฝ้าระวังและบริหารจราจรทางอากาศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยี Cloud-Based UTM/ATM สำหรับการบริหารการจราจรทางอากาศสำหรับอากาศยานปกติและอากาศยานไร้คนขับซึ่งติดตั้งใช้งานแบบ On-Cloud ซึ่งเป็นแนวดำเนินการให้บริการบนแพลตฟอร์มสำหรับอนาคต และเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography (PQC) เพื่อกระตุ้นความตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมของเทคโนโลยีการบินให้สามารถยกระดับความสามารถในการรักษาความปลอดภัยของระบบ ทั้งนี้ จากการประชุมฯ มีการเสนอให้จัดตั้ง Insight Exchange Forum ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวคิด และข้อมูลด้านเทคโนโลยีระหว่างกลุ่มประเทศเอเชียและแปซิฟิกด้วย

นางสาวทิพาภรณ์ นิปกากร รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเดือนมีนาคม 2568 บวท. จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้ให้บริการการเดินอากาศภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Asia and Pacific ANSP Committee - AAC) เพื่อหาแนวทางพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการให้บริการการเดินอากาศของภูมิภาค ในขณะเดียวกัน บวท. ได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมเป็นคณะทำงานด้านต่าง ๆ ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก รวมทั้งองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)   เพื่อจะได้รับทราบข้อมูล เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านการบิน และร่วมมีบทบาทในการพัฒนาการดำเนินงาน ด้านการให้บริการการเดินอากาศ ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยและภูมิภาค 

นอกจากนี้ บวท. ได้ร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานพันธมิตร จัดทำแผนพัฒนาบุคลากรที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะและความสามารถในการเรียนรู้เทคโนโลยีแห่งอนาคต ภายใต้แนวทาง ICAO Next Generation of Aviation Professions (NGAP) โดย บวท. ให้ความสำคัญในการเร่งผลิตและพัฒนาบุคลากรทั้งด้านการให้บริการจราจรทางอากาศ ด้านมาตรฐาน และด้านวิศวกรรม ให้มีจำนวนเพียงพอ มีศักยภาพพร้อมรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบิน ทั้งนี้ บวท. เร่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านการบิน พร้อมทั้ง Digital Transformation เพื่อพัฒนาการคมนาคมขนส่งทางอากาศของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป

ที่มา - siamturakij

news-20250227-03

'E-methanol' คืออะไร ทำไมลดคาร์บอนในอุตสาหกรรม-การขนส่งทางเรือ

E-methanol (electro-methanol) คือ เมทานอลสังเคราะห์ ที่ผลิตโดยใช้พลังงานหมุนเวียน กระบวนการผลิตมักใช้ไฮโดรเจนสีเขียว (green hydrogen) ซึ่งได้จากการแยกน้ำด้วยไฟฟ้า (electrolysis) และคาร์บอนไดออกไซด์ที่จับจากแหล่งกำเนิดหรือจากอากาศ (carbon capture หรือ direct air capture – DAC)

เนื่องจาก e-methanol ผลิตจากแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนและไม่มีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลโดยตรง จึงถูกมองว่าเป็นเชื้อเพลิงที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการเดินเรือและอุตสาหกรรมหนัก ซึ่งการลดคาร์บอนเป็นเรื่องท้าทาย

ปัจจุบันการขนส่งทั่วโลกคิดเป็นประมาณ 3% ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก โดยมีศักยภาพที่จะเพิ่มขึ้นหากไม่มีการดําเนินการที่แข็งแกร่งมากขึ้น องค์การการเดินเรือระหว่างประเทศ (IMO) ได้ตอบสนองด้วยกลยุทธ์ก๊าซเรือนกระจกในปี 2566 โดยเรียกร้องให้ลดการปล่อยมลพิษทางเรือลง 20% ภายในปี 2573 เพิ่มขึ้นเป็น 70-80% ภายในปี 2583 ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมเคมีซึ่งพึ่งพาเมทานอลเป็นสารตั้งต้นของผลิตภัณฑ์จํานวนมาก เป็นตัวแทนของภาคที่มีการปล่อยมลพิษสูงอีกภาคหนึ่งที่ต้องทําความสะอาดห่วงโซ่อุปทานอย่างรวดเร็ว

บทบาทคู่ของ E-methanol ในฐานะเชื้อเพลิงทางทะเลและวัตถุดิบทางเคมีสอดคล้องกับความต้องการเร่งด่วนเหล่านี้อย่างสมบูรณ์แบบ ความเก่งกาจทําให้เป็นโซลูชันระยะสั้นที่จับต้องได้ซึ่งสามารถรวมเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่าเรือและศูนย์กลางการผลิตสารเคมี

เส้นทางการผลิตและด้านสิ่งแวดล้อม

การผลิต E-methanol โดยทั่วไปเกี่ยวข้องกับสามขั้นตอนสําคัญดังนี้

  • การผลิตไฮโดรเจนสีเขียว: อิเล็กโทรไลซิสของน้ําที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียนสร้างวัตถุดิบไฮโดรเจน
  • การดักจับคาร์บอน : คาร์บอนไดออกไซด์ถูกดักจับจากก๊าซไอเสียอุตสาหกรรม (เช่น โรงงานเหล็กหรือโรงงานปูนซีเมนต์) หรือโดยตรงจากอากาศ ลดการปล่อยมลพิษโดยรวมที่แหล่งกําเนิด
  • การสังเคราะห์เมทานอล : ไฮโดรเจนและ CO2 รวมกันในเครื่องปฏิกรณ์ตัวเร่งปฏิกิริยาภายใต้แรงดัน ทําให้เกิดเมทานอลที่มีผลพลอยได้น้อยที่สุด

การประเมินสิ่งอํานวยความสะดวกเชิงพาณิชย์ยุคแรก ๆ เช่น FlagshipONE ในสวีเดนแสดงให้เห็นว่าอีเมทานอลสามารถปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิได้ต่ำถึง 1.3 กิโลกรัม ต่อเชื้อเพลิงหนึ่งกิโลกรัมด้วยเครดิตการดักจับคาร์บอน ทําให้มีคาร์บอนติดลบ แม้ในขณะที่พิจารณาการขนส่งและการเผาไหม้ วิธีการประเมินการปล่อยมลพิษแบบ "well-to-wake" e-methanol ยังคงสะอาดกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล

ภายในปี 2578 ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า e-methanol สามารถตอบสนองความต้องการเมทานอลของภาคเคมีได้ 60% หากการกําหนดราคาคาร์บอนและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานยังคงทัน

ที่มา - bangkokbiznews

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us