News Update

เวียดนามปฏิรูปตลาดทองคำ เปิดเสรีการผลิตและนำเข้า

รัฐบาลเวียดนามประกาศเดินหน้าเปิดเสรีตลาดทองคำ ยกเลิกการผูกขาดของภาครัฐที่เคยครอบงำทั้งการนำเข้าและการผลิตทองคำแท่ง โดยเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนและธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารกลางสามารถเข้ามามีบทบาทได้มากขึ้น มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดช่องว่างระหว่างราคาทองคำในประเทศกับราคาตลาดโลก รวมถึงเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการซื้อขาย

ธนาคารกลางเวียดนาม (State Bank of Vietnam) จะทำหน้าที่เป็นผู้อนุมัติใบอนุญาตสำหรับการนำเข้าทองคำดิบและการซื้อขายกับต่างประเทศ โดยกำหนดคุณสมบัติสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเข้มงวด บริษัทเอกชนต้องมีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 1 ล้านล้านดอง ส่วนธนาคารพาณิชย์ต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านล้านดอง ขณะที่ทองคำดิบที่นำเข้ามาต้องมีความบริสุทธิ์อย่างน้อย 99.5% และใช้เพื่อการผลิตทองคำแท่งหรือเครื่องประดับตามกฎหมายที่กำหนด

นักเศรษฐศาสตร์ ฟาม ลู หง จาก SSI Securities Corp. ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะตลาดทองคำเวียดนามกำลังเปลี่ยนจากระบบควบคุมเบ็ดเสร็จโดยรัฐ ไปสู่ตลาดที่แม้ยังมีการกำกับดูแลแต่เปิดให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

แม้มีมาตรการใหม่ ราคาทองคำในเวียดนามยังคงสูงกว่าตลาดโลกอย่างชัดเจน ข้อมูลจากบริษัท Saigon Jewelry ระบุว่า ราคาทองคำในประเทศล่าสุดอยู่ที่ 128 ล้านดอง หรือประมาณ 4,857 ดอลลาร์ต่อหนึ่งตำลึง (37.5 กรัม) เมื่อนำมาคำนวณเทียบเป็นหนึ่งทรอยออนซ์จะอยู่ที่ราว 4,028 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองคำในตลาดโลกอยู่เพียง 3,377 ดอลลาร์ หรือถูกกว่าราว 19%

ทั้งนี้ ความต้องการทองคำในเวียดนามยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยสภาทองคำโลกระบุว่าในปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคเวียดนามใช้ทองคำถึง 55.3 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีเพียง 39.8 ตัน สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่ทองคำยังคงมีในเศรษฐกิจและสังคมเวียดนามอย่างเด่นชัด

คมนาคมเดินหน้าแก้สัญญาสัมปทานรถไฟฟ้า กำหนดแบ่งรายได้ 25% เข้ากองทุนตั๋วร่วม รองรับมาตรการ “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย”

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินมาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายว่า ขณะนี้กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการรอการพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย, พระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม และพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง เพื่อให้มาตรการดังกล่าวสามารถมีผลบังคับใช้ได้โดยเร็ว โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ประมาณวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568

ในระหว่างที่กระบวนการทางกฎหมายยังอยู่ระหว่างการพิจารณา กระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าแก้ไขสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าใน 4 สายหลัก ได้แก่ สายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีชมพู และสายสีเหลือง เพื่อปรับปรุงสัดส่วนการแบ่งรายได้เข้ากองทุนตั๋วร่วม โดยกำหนดให้ผู้รับสัมปทานแบ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทในอัตรา 25% จากเดิมที่เคยกำหนดไว้เพียง 15% ซึ่งจะช่วยเสริมความมั่นคงทางการเงินให้กับระบบตั๋วร่วมและสนับสนุนการเดินหน้านโยบายดังกล่าว

ทั้งนี้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะสรุปรายละเอียดของการแก้ไขสัญญาและรายงานให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาในวันที่ 31 สิงหาคม 2568 ก่อนที่จะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ รฟม. ในวันที่ 9 กันยายน และส่งต่อให้คณะกรรมการกำกับการแก้ไขสัญญาภายในวันที่ 16 กันยายน 2568 จากนั้นจะส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบ ซึ่งตามแผนจะใช้เวลาประมาณ 45 วัน แต่หากสามารถเร่งรัดให้เสร็จภายใน 30 วัน ก็จะช่วยให้การดำเนินมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทสามารถเริ่มได้ตามกรอบเวลาที่วางไว้ และเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) รวมถึงคณะรัฐมนตรีในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน

นายสุริยะย้ำว่า ได้มีการหารือเบื้องต้นกับผู้รับสัมปทานแล้ว และทุกฝ่ายไม่ได้แสดงความคัดค้านแต่อย่างใด โดยเฉพาะสายสีเขียวที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร (กทม.) จะต้องดำเนินการแก้ไขรายละเอียดสัญญาร่วมกันต่อไป ส่วนรถไฟฟ้าสายสีม่วง สายสีแดง สายสีทอง และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เป็นรูปแบบการจ้างเดินรถ จึงไม่จำเป็นต้องแก้ไขสัญญา

สำหรับสายสีแดงและสายสีม่วง มาตรการค่าโดยสาร 20 บาทได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 และจะครบกำหนดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 ต่อมาได้มีการเสนอให้คณะรัฐมนตรีขยายมาตรการต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 และจะปรับให้สอดคล้องกับการเริ่มต้นมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทครอบคลุมทั้ง 8 สาย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569 โดยจะขยายระยะเวลาเป็นปีต่อปีตามความเหมาะสม

นายสุริยะยังยืนยันว่า กระทรวงคมนาคมจะเดินหน้ามาตรการนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเดินทางที่สะดวกสบายและมีค่าโดยสารที่เหมาะสม ควบคู่กับการสร้างระบบการเงินและสัญญาสัมปทานที่โปร่งใสและยั่งยืน

“ทรัมป์” ส่งสัญญาณกดดันจีน ขู่ขึ้นภาษีนำเข้า 200% หากจำกัดการส่งออกแม่เหล็กหายาก

สถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาเตือนว่าหากจีนยังคงเดินหน้าจำกัดการส่งออกแม่เหล็กหายาก (Rare-earth Magnets) สหรัฐฯอาจใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 200% เพื่อกดดันให้จีนต้องปรับท่าที

คำประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังการพบปะหารือกับประธานาธิบดีอี แจ มยอง ผู้นำเกาหลีใต้ ที่ทำเนียบขาว โดยทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “จีนจำเป็นต้องส่งแม่เหล็กให้สหรัฐฯ ถ้าไม่ส่ง เราก็ต้องเก็บภาษี 200% หรือทำอะไรบางอย่าง” พร้อมชี้ว่า ชิ้นส่วนเครื่องบินถือเป็นหนึ่งในอาวุธทางการค้าสำคัญที่สหรัฐฯ สามารถใช้กดดันจีน เนื่องจากหากไม่มีการจัดส่งแม่เหล็กหายากจากจีน เครื่องบินโบอิ้งกว่า 200 ลำของสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถขึ้นบินได้

รายงานจากบลูมเบิร์กเผยว่า ปัจจุบันโบอิ้งอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงครั้งใหญ่กับจีน เพื่อขายเครื่องบินมากถึง 500 ลำ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมการบินในฐานะตัวแปรหลักที่อาจส่งผลต่อการเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศ การซื้อขายในระดับนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายยังคงพึ่งพาซึ่งกันและกัน แม้จะมีความตึงเครียดทางการเมืองและการค้าก็ตาม

ข้อมูลของรัฐบาลจีนล่าสุดระบุว่า การส่งออกแม่เหล็กหายากไปยังสหรัฐฯ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยในเดือนมิถุนายน การส่งออกพุ่งขึ้นกว่า 7 เท่า หรือราว 660% จากเดือนก่อนหน้า และยังขยายตัวต่ออีก 76% ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดสหรัฐฯ ยังต้องพึ่งพาจีนอย่างหนักในวัตถุดิบสำคัญเหล่านี้

จีนในฐานะผู้ผลิตแม่เหล็กหายากรายใหญ่ที่สุดของโลก ครองส่วนแบ่งการผลิตมากถึง 90% และยังควบคุมกระบวนการถลุงแร่ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมแม่เหล็ก ทำให้จีนมีอำนาจต่อรองสูงในเวทีการค้าโลก ขณะที่สหรัฐฯยังคงต้องใช้แม่เหล็กหายากในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่ยานยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงพลังงานหมุนเวียน

นักวิเคราะห์มองว่าคำพูดของทรัมป์ครั้งนี้อาจเป็นเพียง “การขู่” ทางการเมือง เฮนรี หวัง ประธานศูนย์วิจัย China & Globalization ในนครปักกิ่ง ให้ความเห็นว่า ทรัมป์มักใช้วาทกรรมแข็งกร้าวเพื่อสร้างแรงกดดัน แต่สิ่งสำคัญกว่าคือการติดตามว่าทั้งสองประเทศจะยึดตามข้อตกลงการค้าที่ทำไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สหรัฐฯและจีนเพิ่งบรรลุกรอบข้อตกลงการค้าใหม่ ที่รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการส่งออกแม่เหล็กของจีน และการลดข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีบางส่วนของสหรัฐฯ ทั้งสองฝ่ายยังตกลงที่จะลดอัตราภาษีศุลกากรซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 55% และ 32% ตามลำดับ แต่ข้อตกลงพักรบดังกล่าวจะสิ้นสุดในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2568

ความเคลื่อนไหวล่าสุดยิ่งทำให้ตลาดจับตามองการเยือนสหรัฐฯ ของหลี่ เฉิงกัง หัวหน้าคณะเจรจาการค้าระดับสูงของจีน ซึ่งจะพบกับเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังภายในสัปดาห์นี้ นักวิเคราะห์เชื่อว่าการพบปะครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาระดับสูงที่จะกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ทางการค้าในอนาคต หากทั้งสองฝ่ายสามารถขยายข้อตกลงพักรบออกไปหลังพ้นกำหนดเดือนพฤศจิกายน ความเสี่ยงที่จะเกิด “สงครามการค้า” รอบใหม่ก็อาจลดลง

ปิดด่าน “กัมพูชา–เมียนมา” ฉุดการค้าชายแดนสะดุด พาณิชย์หั่นเป้าโตเหลือ 2%

กรมการค้าต่างประเทศเผยภาพรวมการค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตได้เพียง 2% จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่ 3% โดยคาดว่ามูลค่าการค้าจะอยู่ที่ประมาณ 1.85 ล้านล้านบาท ลดลงจากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 1.87 ล้านล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา และการปิดด่านสำคัญระหว่างไทย–เมียนมา

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2568 ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายต้องใช้มาตรการเข้มงวดด้านความมั่นคง โดยมีการสั่งงดการผ่านเข้า–ออกของยานพาหนะทุกประเภท และนำไปสู่การปิดจุดผ่านแดนรวม 18 แห่งทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 24–28 กรกฎาคมที่ผ่านมา มาตรการดังกล่าวแม้จะเป็นไปเพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคง แต่กลับส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการค้า การลงทุน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการส่งออกและนำเข้าผ่านพรมแดนต้องหยุดชะงักแทบทั้งหมด จนมูลค่าการค้าลดลงเกือบ 100%

นอกจากชายแดนกัมพูชาแล้ว การค้าระหว่างไทย–เมียนมาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยในช่วงต้นปี ฝ่ายไทยได้สั่งปิดด่านชายแดนบางแห่งเพื่อจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แม้ต่อมาจะมีการเปิดด่านกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ทางการเมียนมาได้ประกาศปิดด่านแม่สอด–เมียวดี บริเวณสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมาแห่งที่ 2 ฝั่งเมียนมา โดยให้เหตุผลว่าเป็นมาตรการสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการขนส่งสินค้าและการค้าชายแดน

อย่างไรก็ตาม หากมองภาพรวมการค้าชายแดนและผ่านแดนของไทย ณ เดือนกรกฎาคม 2568 ยังมีการเติบโต 5% จากปีก่อนหน้า มีมูลค่ารวม 166,025 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออก 92,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% และการนำเข้า 73,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% ทำให้ไทยได้ดุลการค้า 18,406 ล้านบาท แต่เมื่อเจาะลึกการค้ากับกัมพูชา กลับพบว่าตกลงเหลือเพียง 376 ล้านบาทเท่านั้น ถือเป็นการหดตัวอย่างรุนแรง

สำหรับช่วง 7 เดือนแรกของปี (มกราคม–กรกฎาคม 2568) มูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยยังขยายตัวได้ 11% อยู่ที่ 1.18 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออก 688,477 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7% และการนำเข้า 499,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.3% ไทยยังคงเกินดุลการค้าอยู่ที่ 188,683 ล้านบาท

แต่อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ชายแดนยังไม่คลี่คลาย ทั้งความขัดแย้งด้านความมั่นคงกับกัมพูชา และมาตรการเข้มงวดของเมียนมาในการปิดด่าน อาจส่งผลให้เป้าหมายการค้าชายแดนของไทยในปีนี้บรรลุได้ยาก และสร้างแรงกดดันต่อผู้ประกอบการส่งออก–นำเข้าที่พึ่งพาช่องทางชายแดนเป็นหลัก โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคและเกษตรกรรมที่ต้องใช้ระบบโลจิสติกส์ชายแดนเป็นเส้นเลือดสำคัญ

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us