News Update

L2D Page (23)

FTA หนุนส่งออกไทย 7 เดือนปี 68 โต 11.57% อาเซียนครองแชมป์ ทุเรียนสดใช้สิทธิ์สูงสุด

กรมการค้าต่างประเทศเปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–กรกฎาคม) มีมูลค่า 53,421.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 11.57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 81.59% ของมูลค่าการใช้สิทธิ์ทั้งหมด โดยตลาดที่มีการใช้สิทธิ์มากที่สุดคือความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) มูลค่า 18,505.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคืออาเซียน–จีน (ACFTA) มูลค่า 16,046.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาเซียน–อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 6,232.98 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย–ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 3,670.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทย–ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 3,195.98 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในด้านสินค้า พบว่าทุเรียนสดครองแชมป์การใช้สิทธิ์มากที่สุด ตามด้วยยานยนต์สำหรับขนส่งของ ยางสังเคราะห์และแฟกติชที่ได้จากน้ำมัน แพลทินัมที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป และน้ำตาลจากอ้อย สะท้อนให้เห็นว่าการใช้ FTA ครอบคลุมทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม โดยกลุ่มสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป เช่น ทุเรียนสด น้ำตาล ผลไม้สด มันสำปะหลัง และไก่ปรุงแต่ง มีมูลค่ารวม 15,713.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 29.41% ของการใช้สิทธิ์ทั้งหมด ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องจักรอัตโนมัติ และโลหะมีค่า มีมูลค่ารวม 37,707.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 70.59%

กรมการค้าต่างประเทศระบุว่า ข้อมูลนี้เป็นการติดตามการใช้สิทธิ์ FTA ทั้งหมด 12 ฉบับจากที่ไทยมีอยู่ 14 ฉบับ ยกเว้นความตกลงไทย–นิวซีแลนด์ที่ใช้ระบบการรับรองตนเองของผู้ส่งออก และอาเซียน–ฮ่องกง เนื่องจากฮ่องกงเป็นเขตการค้าเสรีที่ไม่เก็บภาษีนำเข้า โดยนางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวว่า ในยุคที่การแข่งขันทางการค้ารุนแรงและผันผวนมากขึ้น การใช้ FTA ถือเป็นกลไกสำคัญในการลดอุปสรรคด้านภาษี ช่วยผู้ประกอบการไทยเพิ่มแต้มต่อทางการแข่งขัน และกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะตลาดจีนที่ยังคงมีความต้องการสูงในสินค้าเกษตร และตลาดอินเดียที่กำลังซื้อเติบโตต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังพบว่าสินค้าแพลทินัม อัญมณี และเครื่องประดับ มีแนวโน้มการส่งออกขยายตัวอย่างโดดเด่นในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แสดงถึงความหลากหลายของผู้ประกอบการไทยในการใช้ประโยชน์จาก FTA ได้มากกว่าสินค้าเกษตรเพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกัน กรมฯ ยังได้รับนโยบายนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้เดินหน้าส่งเสริมการใช้สิทธิ์ FTA อย่างเข้มข้น โดยปี 2568 ได้จัดสัมมนาให้ความรู้ทั่วประเทศแล้ว 10 ครั้ง มีผู้เข้าร่วมกว่า 1,364 ราย เกินเป้าหมายที่วางไว้ และในปีงบประมาณ 2569 จะขยายผลการทำงานเชิงรุกทั้งในเชิงนโยบายและระดับพื้นที่ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยใช้สิทธิ์ FTA ได้อย่างเต็มศักยภาพต่อไป

L2D Page (22)

พิพัฒน์ สั่งด่วนคมนาคม 4 เดือน ลดค่าเดินทาง–เร่งโครงการโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบนโยบายเร่งด่วนต่อผู้บริหารกระทรวงคมนาคม เดินหน้ามาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนในด้านการเดินทาง พร้อมเร่งรัดการก่อสร้างโครงการคมนาคมที่ล่าช้า และผลักดันแผนประมูลโครงสร้างพื้นฐานใหม่ทั่วประเทศ เพื่ออัดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

ภายใต้นโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง กระทรวงคมนาคมได้รับมอบหมายให้ดำเนินการ “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ลดภาระประชาชน และวางโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่” โดยเริ่มต้นจากการขยายมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทั้งสายสีแดงและสายสีม่วง ไปจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2568 ขณะเดียวกันยังตั้งคณะทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับมาตรการค่าโดยสารใหม่ ซึ่งอาจพัฒนาเป็นระบบตั๋วร่วมในอนาคต

นอกจากนี้ยังมีการเดินหน้าโครงการเปลี่ยนรถเมล์ร้อนเป็นรถโดยสารไฟฟ้า (EV) จำนวน 1,520 คัน ภายใต้แผนของ ขสมก. โดยจะต้องพิจารณาโครงสร้างค่าโดยสารที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ นักเรียน นักศึกษา และกลุ่มคนเพิ่งเริ่มทำงาน มาตรการดังกล่าวมุ่งหวังให้ระบบขนส่งสาธารณะมีคุณภาพ จูงใจประชาชนให้หันมาใช้บริการมากขึ้น ช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรและลดมลพิษในเขตเมืองใหญ่

ในส่วนของโครงการโครงสร้างพื้นฐาน กระทรวงคมนาคมได้รับมอบหมายให้เร่งเปิดใช้มอเตอร์เวย์ M82 ช่วงบางขุนเทียน–บ้านแพ้ว ระยะทางรวมกว่า 24 กิโลเมตร โดยเฟสแรกจะเปิดให้บริการภายในเดือนตุลาคมนี้ และอีกส่วนก่อนเทศกาลสงกรานต์ปี 2569 ขณะเดียวกันยังเร่งรัดมอเตอร์เวย์สาย M81 บางใหญ่–กาญจนบุรี ที่จะเปิดในเดือนตุลาคม และสาย M6 บางปะอิน–โคราช ที่มีกำหนดเปิดต้นปีหน้า รวมถึงสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 5 จังหวัดบึงกาฬ และการผลักดันโครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้และภาคอีสาน รวมถึงโครงการทางพิเศษภูเก็ตเพื่อแก้ปัญหาจราจร

ในระยะยาว กระทรวงคมนาคมยังมีแผนพัฒนาโครงการใหญ่ เช่น LANDBRIDGE ที่จะเชื่อมการคมนาคมทางราง ถนน ท่าเรือ และท่อขนส่ง เพื่อผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค ตลอดจนการสร้างทางรถไฟสายใหม่ รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ–โคราช การต่อขยายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และการขยายสนามบินหลักทั้งสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และเชียงใหม่

นายพิพัฒน์ย้ำว่า นโยบายคมนาคมภายใต้รัฐบาลชุดนี้จะเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ขณะเดียวกันยังมอบหมายให้นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กำกับดูแล 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมท่าอากาศยาน กรมการขนส่งทางบก บริษัท ขนส่ง จำกัด และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด

ด้านนางสาวมัลลิกา ยืนยันว่ากระทรวงคมนาคมพร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดกับทุกฝ่ายเพื่อให้ทุกโครงการเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน โดยย้ำว่า “ทุกโครงการต้องทำได้จริง และประชาชนต้องได้ประโยชน์จริง”

L2D Page (21)

กกร.กังวลบาทแข็ง ฉุดส่งออกไทย ส่อปรับเป้าประมาณการใหม่

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยล่าสุดยังคงคาดการณ์การส่งออกปี 2568 ไว้ที่ระดับ 2-3% แต่ยอมรับว่าแรงกดดันจากเงินบาทแข็งมีน้ำหนักต่อทิศทางการค้าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร. เปิดเผยว่า หากสามารถดูแลเสถียรภาพค่าเงิน และทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ จะเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้การส่งออกปรับตัวสูงขึ้น พร้อมย้ำว่ากกร.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและอาจทบทวนประมาณการใหม่ในการประชุมเดือนหน้า

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568 กกร. ยังคงประเมินการขยายตัวไว้ที่ 1.8-2.2% ใกล้เคียงกับคาดการณ์เดิม โดยมีเงื่อนไขสำคัญอยู่ที่การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ให้ได้ประมาณหนึ่งในสามของวงเงินภายในสิ้นปีนี้ ควบคู่กับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ถึง 34 ล้านคน รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส การสนับสนุน SMEs และการผลักดัน Made In Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล

กกร. เชื่อว่าหากมาตรการทั้งหมดเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 เติบโตใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำได้ 2.5% แม้ต้องเผชิญความท้าทายจากค่าเงินบาทแข็งที่ยังเป็นแรงกดดันหลักในระยะสั้น

L2D Page (20)

สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้ายา 100% บีบยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ต้องตั้งโรงงานในอเมริกาเท่านั้น

สงครามการค้าด้านเภสัชภัณฑ์ปะทุอีกครั้ง เมื่อสหรัฐอเมริกาเริ่มจัดเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาที่มีตราสินค้าและได้รับสิทธิบัตรในอัตราสูงถึง 100% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป มาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “America First” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งผลักดันให้บริษัทยาข้ามชาติย้ายฐานการผลิตเข้าสู่สหรัฐฯ

ทรัมป์ประกาศชัดเจนผ่าน Truth Social เมื่อวันที่ 25 กันยายนว่า บริษัทที่ต้องการหลีกเลี่ยงการถูกจัดเก็บภาษีจำเป็นต้องมีโรงงานผลิตยาในสหรัฐฯ และต้องอยู่ในสถานะ “กำลังก่อสร้าง” หรือ “อยู่ระหว่างการก่อสร้าง” เท่านั้น หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ผลิตภัณฑ์ยาที่มีสิทธิบัตรทั้งหมดจะถูกเก็บภาษีนำเข้าเต็มอัตรา

การเคลื่อนไหวครั้งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อห่วงโซ่อุปทานยาทั่วโลก บริษัทยารายใหญ่ต่างเร่งออกมาประกาศลงทุนก่อสร้างและขยายโรงงานในสหรัฐฯ มูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางการค้า ขณะที่นักวิเคราะห์เตือนว่า แม้มาตรการนี้จะไม่ครอบคลุมถึงยาสามัญ (Generic Drugs) แต่ยาที่มีสิทธิบัตรและเป็นยาหลักจำนวนมากจะมีราคาสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผลกระทบที่ตามมาคือ ผู้ป่วยในสหรัฐฯ อาจต้องเผชิญกับราคายาที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันตลาดยาทั่วโลกก็อาจได้รับแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตและการค้าสินค้าทางการแพทย์ครั้งใหญ่ ซึ่งถือเป็นการใช้กำแพงภาษีในรูปแบบที่เข้มข้นที่สุดของรัฐบาลทรัมป์ เพื่อผลักดันการผลิตกลับสู่ภายในประเทศ

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us