News Update

L2D Page (57)

LEO เดินเกมรุก หลังสหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้า ดันบริการนำเข้าสินค้าจากอเมริกาขยายตัว

บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO ประกาศเดินหน้ารุกตลาดนำเข้า-ส่งออกทันที หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย จากเดิม 36% เหลือ 19% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยถือเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่จะจุดกระแสการค้าไทย-สหรัฐฯ ให้คึกคักมากยิ่งขึ้น และสร้างโอกาสให้กับภาคธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกับตลาดอเมริกาอย่างชัดเจน

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ LEO เปิดเผยว่า การปรับลดภาษีในครั้งนี้ ถือเป็น “โอกาสทอง” สำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะได้เปรียบในด้านต้นทุนมากกว่าประเทศคู่แข่งอย่างจีนและเวียดนาม ขณะเดียวกัน ผู้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนเทคโนโลยี อุปกรณ์การแพทย์ หรือสินค้าอุปโภคบริโภคบางประเภท ก็จะสามารถลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน

ในฐานะผู้ให้บริการ End-to-End Logistics Service Provider ที่ครอบคลุมทั้งขนส่งทางทะเล ทางอากาศ พิธีการศุลกากร คลังสินค้า และการกระจายสินค้า LEO พร้อมทำหน้าที่เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ให้กับลูกค้า ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ให้บริการขนส่ง แต่ยังเป็นที่ปรึกษาในการนำเข้า-ส่งออก ช่วยให้ลูกค้าได้เปรียบในการแข่งขันทั้งด้านเชิงพาณิชย์และพิธีการศุลกากร

หนึ่งในจุดแข็งสำคัญของ LEO คือเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ครอบคลุมกว่า 40 มลรัฐ และมีมากกว่า 280 ตัวแทน ทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการด้านต้นทุน เวลา และประสิทธิภาพการขนส่งได้อย่างใกล้ชิด ส่งผลให้บริการจากต้นทางในสหรัฐฯ ไปถึงปลายทางในประเทศไทยเป็นไปอย่างราบรื่นและแม่นยำ

ปีที่ผ่านมา LEO มีปริมาณการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ มากกว่า 8,000 TEUs ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อมาตรฐานการให้บริการ และตอกย้ำจุดยืนของบริษัทในฐานะ Logistic Services Provider ของคนไทย ที่สามารถให้บริการ Weekly LCL/Consolidation Service ไปยังและจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ในตลาดมักเป็นบริษัทข้ามชาติ

นายเกตติวิทย์ ระบุว่า บริการนำเข้าจากสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักที่ LEO มุ่งเน้นในปี 2568 โดยตั้งใจโปรโมทและผลักดันให้เติบโตอย่างชัดเจน ด้วยความมั่นใจในศักยภาพของเครือข่ายพันธมิตร รวมถึงการให้บริการที่ครอบคลุมและคุ้มค่า ช่วยให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย พร้อมลดต้นทุนได้มากยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมแผนพัฒนาบริการเพิ่มเติม ทั้งด้านศุลกากร ศูนย์กระจายสินค้า และคลังสินค้าห้องเย็น (Cold Chain Warehouse) เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในยุคที่การค้าระหว่างประเทศเริ่มฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยการปรับลดภาษีจากฝั่งสหรัฐฯ ครั้งนี้ ยังถูกมองว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อแนวโน้มปริมาณการค้าทั่วโลก ซึ่งจะเป็นแรงผลักสำคัญต่อรายได้ของธุรกิจโลจิสติกส์ในช่วงครึ่งหลังของปี

“LEO มุ่งมั่นจะเป็นมากกว่าผู้ให้บริการโลจิสติกส์ทั่วไป แต่เป็นพาร์ตเนอร์ที่เติบโตไปกับลูกค้า ท่ามกลางโลกการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” นายเกตติวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย

L2D Page (56)

ส่งออกเกษตร-ป่าไม้-ประมงเวียดนามแตะเกือบ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ กาแฟทำสถิติใหม่ ดันเป้าส่งออกปี 2568 แตะ 7 หมื่นล้าน

รัฐบาลเวียดนามเผยตัวเลขการส่งออกภาคเกษตร ป่าไม้ และประมงยังเติบโตแข็งแกร่ง แม้เผชิญแรงกดดันจากความผันผวนของตลาดโลก โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้รวมกว่า 39.68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบ 15% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมเวียดนามคาดว่ามูลค่าการส่งออกจะอยู่ที่ราว 6 พันล้านดอลลาร์

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อม นายฟุง ดึ๊ก เตียน ระบุว่า เพื่อรักษาโมเมนตัมของการเติบโตท่ามกลางความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดโลก เวียดนามกำลังเดินหน้าเจาะตลาดส่งออกใหม่ ๆ โดยเฉพาะในยุโรป แอฟริกา และกลุ่มประเทศมุสลิม พร้อมทั้งเน้นการปรับโครงสร้างการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตร เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการส่งออกทั้งปี 2568 ที่ระดับ 65,000–70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มสินค้าเกษตรหลักทั้งสามกลุ่ม ได้แก่ สินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ป่าไม้ และผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ต่างมีดุลการค้าเกินดุล โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ป่าไม้ซึ่งมีดุลเกินดุลสูงถึง 8.39 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 5% จากปีที่ผ่านมา ขณะที่ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำมีดุลเกินดุล 4.18 พันล้านดอลลาร์ และสินค้าเกษตรมีดุลเกินดุล 4.28 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 33.4%

สินค้าเกษตรที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้คือกาแฟ โดยในเดือนกรกฎาคม 2568 การส่งออกกาแฟของเวียดนามแตะระดับ 110,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 592.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนยอดสะสมตลอด 7 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 1.1 ล้านตัน มูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7.6% ในด้านปริมาณ และพุ่งสูงถึง 65.1% ในแง่มูลค่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 ตัวเลขนี้ถือว่าทำสถิติสูงสุด แซงหน้ามูลค่าการส่งออกกาแฟทั้งปีของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 5.48 พันล้านดอลลาร์

ราคาส่งออกกาแฟเฉลี่ยอยู่ที่ 5,672.2 ดอลลาร์ต่อตัน เพิ่มขึ้นกว่า 53% โดยตลาดหลักยังคงเป็นยุโรป ได้แก่ เยอรมนี อิตาลี และสเปน ขณะที่ตลาดที่มีการเติบโตสูงสุดคือเม็กซิโก ซึ่งมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 88 เท่า สะท้อนการขยายตัวเชิงรุกของกาแฟเวียดนามในตลาดโลก

ขณะเดียวกัน ยางพาราก็มีแนวโน้มดีเช่นกัน แม้ว่าปริมาณการส่งออกในช่วง 7 เดือนแรกจะลดลง 2.1% อยู่ที่ 893,800 ตัน แต่มูลค่ากลับเพิ่มขึ้นเกือบ 14% มาอยู่ที่ 1.61 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากราคาส่งออกเฉลี่ยที่ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,803.2 ดอลลาร์ต่อตัน เพิ่มขึ้นกว่า 16% จากปีก่อน ตลาดหลักยังคงเป็นจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 70% ของยอดส่งออกยางพาราเวียดนาม ตามด้วยอินเดียและเกาหลีใต้ ทั้งนี้ มาเลเซียกลายเป็นตลาดที่มีมูลค่าการนำเข้ายางเวียดนามเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปีนี้ ขณะที่อินเดียกลับลดลงมากที่สุด

ด้านผักและผลไม้ซึ่งเคยซบเซาในช่วงต้นปี เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว โดยในเดือนกรกฎาคมมียอดส่งออกประมาณ 810 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ยอดรวมในช่วง 7 เดือนแรกอยู่ที่ 3.92 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.9% จากปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกากลายเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่ม 15 ประเทศหลัก ด้วยอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 65.5% แซงหน้าจีนซึ่งยังคงเป็นตลาดหลักในแง่ปริมาณ แต่กลับมีมูลค่าลดลงถึง 24.3%

อย่างไรก็ตาม ตลาดที่น่าจับตาคือไทย ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของผักและผลไม้จากเวียดนาม แต่ในปีนี้มูลค่าการส่งออกกลับลดลงมากถึง 31.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ภาพรวมทั้งหมดสะท้อนว่า เวียดนามยังคงรักษาความแข็งแกร่งในการส่งออกสินค้าเกษตร ป่าไม้ และประมงได้อย่างมั่นคง พร้อมเดินหน้าปรับตัวรับมือกับความท้าทายจากภายนอกด้วยกลยุทธ์การขยายตลาดใหม่และยกระดับโครงสร้างการผลิตเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

L2D Page (55)

เพชรบูรณ์ต้านนำเข้าข้าวโพดจีเอ็มโอ หวั่นกระทบเกษตรกร-ห่วงโซ่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์

ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์ออกมาแสดงความกังวลต่อกรณีรัฐบาลมีแนวโน้มอนุญาตให้นำเข้าข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) เพื่อป้อนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ โดยชี้ว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเกษตรกรและระบบการผลิตในประเทศทั้งระบบ

ตามข้อมูลที่เปิดเผยโดยรองนายกรัฐมนตรี นายพิชัย ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ประมาณ 4.7–5 ล้านตันต่อปี ขณะที่ความต้องการจากภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์สูงถึง 10 ล้านตัน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม นายเทพ พรหมสาขา ณ สกลนคร ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้แสดงจุดยืนคัดค้านการนำเข้าข้าวโพดจีเอ็มโออย่างชัดเจน โดยให้เหตุผลว่า ประเทศไทยยังไม่มีการปลูกข้าวโพดจีเอ็มโอในเชิงพาณิชย์ และไม่มีกลไกควบคุมที่เข้มงวดมากพอ หากมีการนำเข้าข้าวโพดจีเอ็มโอเพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรม อาจเกิดการปนเปื้อนสู่ห่วงโซ่อาหารทั้งในประเทศและสินค้าส่งออก โดยเฉพาะตลาดยุโรปซึ่งมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยอาหารที่เข้มงวดมาก

เขายังเตือนถึงความเสี่ยงที่เมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอที่ยังมีชีวิตอาจหลุดรอดสู่ระบบนิเวศและปนเปื้อนกับพันธุกรรมของข้าวโพดพื้นเมือง ซึ่งอาจส่งผลระยะยาวต่อความมั่นคงทางชีวภาพของประเทศ

นอกจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคแล้ว นายเทพยังชี้ว่าการนำเข้าข้าวโพดในปริมาณมากอาจทำให้เกษตรกรไทยลดพื้นที่เพาะปลูก เพราะไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ ส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรลดลง และยังส่งผลต่ออุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช เมล็ดพันธุ์ เครื่องจักรกลการเกษตร น้ำมัน และแรงงานในภาคชนบท

เขายังเน้นว่าพืชเศรษฐกิจอื่นอย่างข้าวและมันสำปะหลังก็อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะข้าว ซึ่งผลพลอยได้จากการสี เช่น รำข้าวและปลายข้าว เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ หากความต้องการลดลง ย่อมส่งผลต่อราคาข้าวโดยตรง ขณะที่มันสำปะหลังในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ก็ใช้ในอุตสาหกรรมเดียวกัน จึงอาจเผชิญแรงกดดันด้านราคาเช่นเดียวกัน

ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์จึงเสนอว่า หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องนำเข้าข้าวโพด ควรกำหนดวัตถุประสงค์และปริมาณที่ชัดเจน พร้อมทั้งกำหนดมาตรการรองรับผลกระทบ เช่น การรับซื้อผลผลิตภายในประเทศก่อน การประกันราคาที่เหมาะสม และนำส่วนต่างจากการนำเข้าไปใช้เยียวยาเกษตรกร

นอกจากนี้ เขายังเสนอแนวทางแก้ไขเชิงโครงสร้างระยะยาว เช่น การจัดโซนนิ่งพื้นที่เพาะปลูกให้เหมาะสม การส่งเสริมพืชชนิดอื่นมาทดแทนในบางพื้นที่ รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ข้าวโพดแห่งชาติ หรือศูนย์ข้าวโพดระดับชุมชน เพื่อใช้บริหารจัดการเมล็ดพันธุ์ ปัจจัยการผลิต และควบคุมปริมาณให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด

นายเทพย้ำว่า จังหวัดเพชรบูรณ์ถือเป็นแหล่งผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่สำคัญของประเทศ โดยมีสัดส่วนพื้นที่เพาะปลูกราว 20% ของทั้งประเทศ จึงขอให้รัฐบาลทบทวนแนวทางการนำเข้าข้าวโพดจีเอ็มโออย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้กระทบต่อรายได้ของเกษตรกรและโครงสร้างการผลิตเกษตรกรรมโดยรวมของไทย

L2D Page (54)

ฟิลิปปินส์เล็งระงับนำเข้าข้าวชั่วคราว หวังพยุงราคาภายในประเทศ ท่ามกลางราคาตลาดโลกขาลง

รัฐบาลฟิลิปปินส์กำลังพิจารณามาตรการระงับการนำเข้าข้าวเป็นการชั่วคราว หลังราคาข้าวในตลาดโลกลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี ซึ่งแม้จะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อของผู้บริโภค แต่กลับสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรท้องถิ่นที่ต้องเผชิญกับราคาผลผลิตตกต่ำอย่างต่อเนื่อง

สำนักงานสื่อสารประจำทำเนียบประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เปิดเผยเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมว่า ข้อเสนอดังกล่าวมาจากกระทรวงเกษตร โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องภาคเกษตรกรรมของประเทศจากผลกระทบของราคาข้าวนำเข้าที่ต่ำลง ซึ่งกดทับราคาข้าวภายในประเทศจนต่ำกว่าระดับที่ผู้ผลิตจะสามารถอยู่รอดได้

หนึ่งในข้อเสนอหลักของกระทรวงเกษตรคือ การปรับขึ้นภาษีนำเข้าข้าว และการจำกัดปริมาณการนำเข้ารายปีให้ไม่เกิน 20% ของระดับปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อโรงสีและเกษตรกรในประเทศที่เริ่มได้รับผลกระทบจากราคาที่ตกต่ำ และต้นทุนการผลิตที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

นายฟรานซิสโก ติอู ลอเรล จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า โรงสีหลายแห่งเริ่มหยุดดำเนินกิจการชั่วคราว และมีแนวโน้มจะทยอยปิดตัวลงถาวร หากสถานการณ์ราคายังไม่ฟื้นตัว ซึ่งจะกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานข้าวภายในประเทศในระยะยาว

ทั้งนี้ รัฐบาลยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาหรือเงื่อนไขที่ชัดเจนในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่เสนอ แต่เบื้องต้นคณะรัฐมนตรีจะนำประเด็นนี้เข้าหารือกับประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ระหว่างการเดินทางเยือนอินเดียในสัปดาห์นี้

สถานการณ์ในตลาดโลกปัจจุบันบ่งชี้ว่า อุปทานข้าวกำลังฟื้นตัวดีขึ้นในหลายประเทศผู้ส่งออกหลัก เช่น อินเดีย เวียดนาม และไทย ซึ่งส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดเอเชียปรับลดลง โดยเฉพาะข้าวขาวที่แตะระดับราคาต่ำสุดในรอบ 8 ปี จากข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการค้า

แม้ว่าผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากราคาข้าวที่ถูกลง โดยเฉพาะในช่วงที่เงินเฟ้อยังสูงอยู่ในหลายประเทศ แต่ผลกระทบที่มีต่อผู้ผลิตต้นน้ำก็เริ่มปรากฏชัดมากขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงฟิลิปปินส์ ซึ่งพึ่งพาการนำเข้าข้าวในสัดส่วนสูงเพื่อเติมเต็มความต้องการภายในประเทศ

นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า หากฟิลิปปินส์เดินหน้าใช้มาตรการจำกัดนำเข้าในช่วงที่ตลาดโลกมีอุปทานมาก อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของราคาข้าวในภูมิภาค และทำให้เกิดแรงกระเพื่อมด้านการค้าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ฝ่ายรัฐบาลยังคงเน้นย้ำว่า มาตรการที่เสนอนั้นมีเป้าหมายหลักเพื่อความมั่นคงทางอาหาร และความยั่งยืนของภาคเกษตรกรรมภายในประเทศเป็นอันดับแรก

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us