News

ส่งออกข้าวทรุด 8 เดือนติด - สหรัฐยังนำเข้าเบอร์หนึ่ง ลุ้นลดภาษีทรัมป์ช่วยหนุนตลาด

ในปี 2567 ไทยสามารถส่งออกข้าวได้ถึง 9.95 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า สร้างรายได้รวมกว่า 225,656 ล้านบาท ซึ่งเป็นปริมาณส่งออกที่สูงที่สุดในรอบ 6 ปี และมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 9 ล้านตัน สะท้อนถึงศักยภาพของไทยในตลาดโลกในช่วงที่ยังไม่มีปัจจัยลบจากภาวะภัยแล้งหรือการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง

อย่างไรก็ตาม สำหรับปี 2568 แนวโน้มกลับไม่สดใสเท่าเดิม กรมการค้าต่างประเทศและสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดว่าการส่งออกข้าวทั้งปีจะอยู่ที่เพียง 7.5 ล้านตัน โดยมีปัจจัยกดดันหลักจากการกลับมาส่งออกของอินเดีย ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดข้าวโลก และแนวโน้มผลผลิตข้าวของหลายประเทศที่เพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์ภัยแล้งคลี่คลาย

ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ระบุว่า ในเดือนมิถุนายน 2568 ไทยส่งออกข้าวได้เพียง 678,845 ตัน ลดลงถึง 33.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าส่งออกลดลงถึง 41.1% อยู่ที่ 380.6 ล้านดอลลาร์ โดยยอดส่งออกข้าวของไทยหดตัวต่อเนื่องมาแล้วถึง 8 เดือนเต็ม ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม–มิถุนายน) 2568 ไทยส่งออกข้าวรวม 3.72 ล้านตัน ลดลง 27.3% จากปีก่อนหน้า และมีมูลค่าส่งออกรวม 2,258 ล้านดอลลาร์ ลดลง 32.3%

ในด้านตลาด แม้การส่งออกจะหดตัวโดยรวม แต่ยังมีตลาดที่ขยายตัว ได้แก่ สหรัฐ จีน แคนาดา ฮ่องกง และสิงคโปร์ ในขณะที่ตลาดอิรัก แอฟริกาใต้ เซเนกัล แคเมอรูน และญี่ปุ่น มียอดนำเข้าจากไทยลดลง

ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร รายงานข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2568 ว่าการเพาะปลูกข้าวนาปีในฤดูกาล 2568/69 มีพื้นที่ประมาณ 61.95 ล้านไร่ ลดลงจากปีก่อน 0.12% แต่กลับมีผลผลิตรวมสูงถึง 27.23 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.81% โดยผลผลิตต่อไร่อยู่ที่ 440 กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 1.15% จากปีก่อนหน้า ปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือสภาพอากาศที่เป็นปกติ ไม่มีฝนทิ้งช่วงหรืออุทกภัยเหมือนปีที่แล้ว ทำให้มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูก ส่งผลให้ผลผลิตภาพรวมเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าผลผลิตจะออกมากที่สุดในช่วงเดือนพฤศจิกายน คิดเป็นกว่า 63% ของผลผลิตทั้งหมด

สำหรับข้าวนาปรัง ปี 2568 คาดว่าจะมีการเพาะปลูก 13.14 ล้านไร่ ผลผลิตรวม 8.59 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 654 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปีก่อนในทุกด้าน โดยเฉพาะพื้นที่เพาะปลูกที่เพิ่มขึ้นกว่า 30% เนื่องจากมีฝนตกมากในช่วงปลายปี 2567 ทำให้มีน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเพียงพอต่อการเกษตร บางพื้นที่เกษตรกรสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ถึงสองรอบต่อปี

ด้านราคาข้าวที่เกษตรกรขายได้ ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิในสัปดาห์ที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 15,375 บาท ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนที่ 15,450 บาท หรือคิดเป็น 0.49% ขณะที่ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% เฉลี่ยตันละ 6,956 บาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 0.66%

ราคาส่งออกข้าวในตลาดโลกยังปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) มีราคาส่งออกเฉลี่ยที่ 1,058 ดอลลาร์ต่อตัน หรือประมาณ 34,099 บาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนทั้งในรูปดอลลาร์และเงินบาท ข้าวขาว 5% เฉลี่ยที่ 392 ดอลลาร์ต่อตัน หรือประมาณ 12,634 บาท เพิ่มขึ้น 0.51% ส่วนข้าวนึ่ง 5% เฉลี่ยอยู่ที่ 395 ดอลลาร์ต่อตัน หรือ 12,731 บาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อนเล็กน้อย

ขณะเดียวกัน การค้าโลกยังต้องจับตาความเสี่ยงจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐ หรือ Reciprocal Tariff ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งกำหนดอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศคู่ค้า โดยสินค้าส่งออกสำคัญอย่างข้าวหอมมะลิไทยอาจได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เพราะตลาดสหรัฐยังคงเป็นผู้นำเข้าอันดับ 1 ของข้าวหอมมะลิจากไทยในปัจจุบัน

MPI มิ.ย. โตต่อเนื่อง 3 เดือนติด รับแรงหนุนยานยนต์-ส่งออกฟื้น สศอ. แนะรัฐเร่งหนุนอุตฯ รับมือภาษีทรัมป์

นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ระดับ 97.35 ขยายตัว 0.58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม สะท้อนถึงทิศทางการฟื้นตัวของภาคการผลิต โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 59.58%

ในภาพรวมของไตรมาส 2 ดัชนี MPI เฉลี่ยอยู่ที่ 96.75 ขยายตัว 1.47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเติบโตถึง 17.02% จากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดที่เพิ่มขึ้นในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงแรงหนุนจากคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกก่อนมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะมีผล

ขณะเดียวกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็มีส่วนกระตุ้นภาคการผลิตในประเทศให้ฟื้นตัว นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ไม่รวมทองคำ อาวุธยุทโธปกรณ์ และอากาศยานรบ ยังคงขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 โดยในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นกว่า 15% จากการเร่งส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม สศอ. เตือนว่าภาคอุตสาหกรรมยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ประกอบกับภาคท่องเที่ยวยังไม่กลับสู่ระดับปกติ ซึ่งกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ส่วนในระดับสากล เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังมีความไม่แน่นอนสูงจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่มีแรงกดดันจากการไหลทะลักของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว สศอ. เสนอให้ภาครัฐเร่งผลักดันการใช้สินค้าในประเทศ โดยเฉพาะในระบบจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ และส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนและวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศให้มากขึ้น พร้อมทั้งผลักดันมาตรการสนับสนุนการรับรองคุณภาพสินค้า เช่น การออกใบรับรองให้กับพลอยเจียระไนและเครื่องประดับ เพื่อยกระดับคุณภาพและขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ลดการพึ่งพาตลาดเดิมที่มีความเสี่ยงสูง

แม้ภาพรวมหลายอุตสาหกรรมสำคัญมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ยังมีบางอุตสาหกรรมที่หดตัว เช่น เครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปจากคำสั่งซื้อที่ลดลง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจากความต้องการที่ลดลง และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากการหยุดซ่อมบำรุงของผู้ผลิตรายใหญ่

สศอ. ระบุเพิ่มเติมว่า จากการประเมินสถานการณ์ผ่านระบบเตือนภัยเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคม 2568 ภาพรวมยังอยู่ในระดับ “เฝ้าระวัง” และเน้นย้ำว่าภาครัฐจำเป็นต้องเดินหน้าออกมาตรการเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับอุตสาหกรรมไทย และผลักดันสินค้าใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ เครื่องประดับระดับพรีเมียม และถุงมือยางชนิดพิเศษ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว

ราคาส่งออก-นำเข้าไทย มิ.ย. 68 ขยายตัวต่อเนื่อง จากแรงเร่งนำเข้า-ส่งออกก่อนสหรัฐฯ ปรับภาษี

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าของไทยในเดือนมิถุนายน 2568 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากการเร่งสำรองสินค้าของประเทศคู่ค้า ก่อนที่มาตรการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะมีผลเต็มรูปแบบ รวมถึงการเพิ่มปริมาณนำเข้าสินค้าวัตถุดิบเพื่อผลิตส่งออกและรองรับการบริโภคภายในประเทศ

ดัชนีราคาส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ระดับ 111.3 เพิ่มขึ้น 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากสินค้าอุตสาหกรรมที่เร่งส่งออกก่อนปรับภาษีสหรัฐฯ โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ประกอบ ส่วนทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ได้รับความนิยม ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ความต้องการเครื่องปรับอากาศในหลายประเทศเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิที่สูงขึ้น ก็เป็นอีกแรงหนุนสำคัญ

ในกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าอย่างอาหารทะเลกระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ยังคงเติบโตตามแนวโน้มความต้องการสินค้าสุขภาพและไลฟ์สไตล์ แต่ขณะเดียวกัน หมวดแร่และเชื้อเพลิง รวมถึงสินค้าเกษตรบางชนิด เช่น ข้าวและมันสำปะหลัง กลับมีราคาลดลงจากภาวะอุปทานส่วนเกิน และแรงกดดันด้านการแข่งขันราคาในตลาดโลก

ด้านดัชนีราคานำเข้าเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 115.4 เพิ่มขึ้น 2.4% จากปีก่อนหน้า โดยมีแรงผลักจากการนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร และอุปกรณ์เพื่อรองรับการผลิตและคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ รวมถึงความต้องการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัว หนุนให้เกือบทุกหมวดสินค้านำเข้าปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ยา เครื่องประดับ และสินค้าเบ็ดเตล็ดทั่วไป

ในหมวดวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ราคาทองคำยังขยับขึ้นจากความกังวลต่อสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง และนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่แผงวงจรไฟฟ้า และปุ๋ย ก็เป็นอีกกลุ่มที่ขยายตัวตามความต้องการในอุตสาหกรรมผลิตและภาคเกษตร สำหรับหมวดสินค้าทุน เช่น เครื่องจักรกล และคอมพิวเตอร์ ยังเติบโตได้ดี สะท้อนถึงการลงทุนที่สอดรับกับเทคโนโลยีดิจิทัล ส่วนหมวดยานพาหนะขยายตัวเล็กน้อยตามการเติบโตของอุตสาหกรรม EV ในประเทศ ขณะที่หมวดเชื้อเพลิงกลับลดลงกว่า 10% จากความคาดหวังว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะสูงเกินอุปสงค์

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 3 ปี 2568 สนค. คาดว่าดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าจะยังขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยมีแรงหนุนจากความต้องการสินค้าเกษตรแปรรูป อาหาร และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI, Data Center และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งยังคงเติบโตในตลาดโลก ประกอบกับต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มขยับสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบการขยายตัวราคายังต้องจับตา ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ แนวโน้มอุปทานส่วนเกินในสินค้าเกษตรบางชนิด และการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อภาคการส่งออกไทยในช่วงถัดไป

ไปรษณีย์ไทยชูบทบาทเชื่อมไทย-จีน ดัน SME บุกตลาดด้วยโลจิสติกส์และ Soft Power

ปี 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ดำเนินมายาวนานถึง 50 ปี ตลอดช่วงเวลาครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่างสองประเทศได้เบ่งบานในหลากหลายมิติ ทั้งด้านการเมือง สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ โดยมี “บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด” เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้เชื่อมโยงความสัมพันธ์อย่างแนบแน่น จากบทบาทผู้ส่งสารในอดีต สู่การเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ทรงพลัง

ในช่วงเวลาที่การสื่อสารยังไม่ไร้พรมแดนเช่นในปัจจุบัน ไปรษณีย์ไทยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการส่งต่อจดหมาย โปสการ์ด และพัสดุจากคนไทยเชื้อสายจีนถึงครอบครัวในแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสื่อแห่งความคิดถึงเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานของความไว้วางใจ ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเศรษฐกิจโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและการค้าออนไลน์กลายเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน ไปรษณีย์ไทยได้ปรับตัวอย่างรวดเร็วและพัฒนาบทบาทสู่การเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั้งทางบกและทางอากาศ เชื่อมโยงไทย–จีนอย่างไร้รอยต่อ ระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งนี้ไม่ได้ตอบโจทย์เพียงแค่ผู้ส่งออกขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ของไทยสามารถเข้าสู่ตลาดจีนที่มีศักยภาพสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เหตุการณ์สำคัญที่ตอกย้ำความสามารถในการปรับตัวของไปรษณีย์ไทยคือการกลับมาเปิดเส้นทางขนส่งสู่ประเทศจีนได้อย่างรวดเร็วหลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งไม่เพียงแต่แสดงถึงศักยภาพด้านการบริหารจัดการเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการไทยว่า ห่วงโซ่อุปทานจะไม่สะดุด และการส่งออกสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง

หนึ่งในโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการรายย่อยต้องเผชิญคือปัญหาด้านโลจิสติกส์ในช่วง "ไมล์แรก" และ "ไมล์สุดท้าย" ไปรษณีย์ไทยได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ผ่านเครือข่ายจุดบริการกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศ ทำให้ไม่ว่าผู้ประกอบการจะอยู่พื้นที่ใด ก็สามารถเข้าถึงบริการที่ได้มาตรฐานและเชื่อมต่อกับระบบขนส่งระหว่างประเทศได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง ThailandPostMart ที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรและผู้ผลิตสินค้าชุมชนสามารถเข้าสู่ตลาดออนไลน์ เชื่อมต่อกับระบบขนส่งของไปรษณีย์ไทยได้ครบวงจร ส่งเสริมให้สินค้าเกษตร ผลไม้สด ผลิตภัณฑ์แปรรูป และสินค้า OTOP ของไทย เดินทางไปถึงมือผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างสดใหม่และรวดเร็ว

นอกเหนือจากบทบาทในเชิงเศรษฐกิจ ไปรษณีย์ไทยยังสานต่อภารกิจการเป็น “ทูตวัฒนธรรม” ผ่านการจัดทำแสตมป์ที่ระลึก เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญและสื่อถึงมิตรภาพระหว่างสองชาติ ล่าสุดในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ได้จัดทำแสตมป์ชุดพิเศษ “50 ปี ไทย–จีน” ที่ออกแบบอย่างงดงาม โดยนำพญานาค ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของไทย และมังกร ตัวแทนของจีน มาผสานเป็นเลข 50 อย่างมีศิลปะ พร้อมองค์ประกอบทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่สะท้อนความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง เช่น ภาพการเชิดสิงโต พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญในพระราชวังบางปะอิน และอาคารสถาปัตยกรรมจีน–โปรตุเกสในจังหวัดภูเก็ต

แสตมป์ชุดพิเศษนี้จึงไม่ใช่เพียงของสะสมหายาก หากแต่เป็นสื่อ Soft Power ที่ทรงพลัง ถ่ายทอดเรื่องราวของมิตรภาพข้ามพรมแดนได้อย่างลึกซึ้ง เป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือที่ต่อเนื่องจากแสตมป์ชุดพิเศษในวาระครบรอบ 20 ปี และเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่าบทบาทของไปรษณีย์ไทยนั้นลึกซึ้งกว่าที่หลายคนเคยมอง

การเดินทางตลอด 50 ปีของความสัมพันธ์ไทย–จีน ภายใต้มุมมองของไปรษณีย์ไทย จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของการส่งสารหรือขนส่งพัสดุ แต่คือการเชื่อมโยงผู้คน เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งและยั่งยืน ไปรษณีย์ไทยได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ที่พร้อมสนับสนุนทั้งการค้าและการสื่อสารวัฒนธรรมในระดับภูมิภาค สู่การเติบโตอย่างมั่นคงในอีก 50 ปีข้างหน้า

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us