สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โดย นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกและดัชนีราคานำเข้าของไทยในเดือนพฤษภาคม 2568 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการสินค้าจากประเทศคู่ค้าที่เร่งตัวขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการนำเข้าสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องเพื่อใช้ในการผลิต
อย่างไรก็ตาม สนค. ยังคงเตือนถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการค้าโลก, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค, การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, นโยบายกีดกันทางการค้า, และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ดัชนีราคาส่งออก: อุตสาหกรรมและเกษตรแปรรูปเป็นดาวเด่น
ดัชนีราคาส่งออกในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 111.0 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อยที่ 0.4% (YOY) โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ รวมถึงการขยายตัวที่ดีของการส่งออกอาหารแปรรูป
หมวดสินค้าอุตสาหกรรม: สูงขึ้น 1.6% โดยเฉพาะ ทองคำ (ความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น), เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (ความต้องการเร่งนำเข้าก่อนมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เต็มรูปแบบ และความต้องการรองรับ AI-Data Center), และ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (อุณหภูมิและความชื้นทั่วโลกสูงขึ้น)
หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร: สูงขึ้น 1.4% ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (สินค้าเก็บได้นาน ปลอดภัย), อาหารสัตว์เลี้ยง (โดยเฉพาะกลุ่มพรีเมียมและ Functional Food), และ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ความต้องการบริโภคเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ)
ในทางตรงกันข้าม หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกลดลง ได้แก่ หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลง 15.8% โดยเฉพาะ น้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบ (อุปทานส่วนเกิน-ความต้องการชะลอตัว) และ หมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลง 4.0% ซึ่งได้รับผลกระทบจาก ข้าว (อุปทานโลกสูง-การแข่งขันจากอินเดียและเวียดนาม) และ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (ความต้องการจากจีนลดลง)
ดัชนีราคานำเข้า: ผู้ผลิตเร่งสต็อกรับมือภาษีสหรัฐฯ
ดัชนีราคานำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 114.1 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.4% (YOY) สาเหตุหลักมาจากการที่ผู้ผลิตในประเทศเร่งสต็อกนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล่วงหน้า (Prestock) เพื่อเตรียมพร้อมก่อนมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า
หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค: สูงขึ้น 8.5% โดยเฉพาะ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน, ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม, เครื่องประดับอัญมณี, ผัก ผลไม้ และของปรุงแต่ง (ความต้องการใช้ภายในประเทศและการท่องเที่ยวขยายตัว)
หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป: สูงขึ้น 4.9% โดยเฉพาะ ทองคำ (ราคาสูงขึ้นตามเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และความกังวลตะวันออกกลาง-เศรษฐกิจโลก), อุปกรณ์ ส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ความต้องการในภาคการผลิตและอุตสาหกรรม), และ ปุ๋ย (ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น-ความต้องการเพิ่มขึ้น)
หมวดสินค้าทุน: สูงขึ้น 4.3% ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (รองรับการผลิตเพื่อส่งออกและการขยายตัวของ AI-Data Center)
หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง: สูงขึ้น 0.8% โดยเฉพาะ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ (ความต้องการชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อการผลิตและประกอบรถยนต์)
หมวดสินค้าเชื้อเพลิง: หดตัวเพิ่มขึ้น 14.6% โดยเฉพาะ ราคาน้ำมันดิบ (ทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลก และคาดการณ์ว่าอุปทานจะสูงเกินอุปสงค์)
แนวโน้มเดือนมิถุนายน 2568 และปัจจัยเสี่ยง
นายพูนพงษ์คาดการณ์ว่า ในเดือนมิถุนายน 2568 จะมีปัจจัยสนับสนุนให้ดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่ การเร่งนำเข้าสินค้าไทยจากประเทศคู่ค้าก่อนมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จะมีผลเต็มรูปแบบ, การเติบโตต่อเนื่องของสินค้าเกษตรแปรรูป, ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทั่วโลก, และแนวโน้มต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าหลัก, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังยืดเยื้อ, ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ, ราคาสินค้าเกษตรบางกลุ่มที่เผชิญกับอุปทานส่วนเกิน, การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น, และความผันผวนและการแข็งค่าของค่าเงินบาท
ที่มา prachachat