News

L2D Page (55)

จีนคุมเข้มส่งออกแร่หายาก เดือนก.ย. ยอดร่วงแรง สหรัฐฯ ชี้กระทบมั่นคงซัพพลายเชนโลก

ปริมาณการส่งออกแร่หายากของจีนในเดือนกันยายนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังรัฐบาลปักกิ่งออกมาตรการควบคุมเข้มข้นขึ้น ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกเผชิญแรงกดดัน และเพิ่มความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา

ข้อมูลจากศุลกากรจีนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ระบุว่า จีนส่งออกแร่หายาก 6,538 ตันในเดือนกันยายน ลดลงจาก 7,338 ตันในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นเดือนที่ยอดส่งออกแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ก่อนจะปรับตัวลดลงทันทีหลังมีการประกาศควบคุมการส่งออกเพิ่มเติม

มาตรการล่าสุดของรัฐบาลจีนขยายขอบเขตไปถึงสินค้าที่ผลิตในต่างประเทศซึ่งมีส่วนประกอบเพียงเล็กน้อยจากแร่หายากของจีน โดยทางการปักกิ่งให้เหตุผลว่าเป็นการป้องกันการใช้ทรัพยากรของประเทศอย่างไม่เป็นธรรม ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วิจารณ์ว่ามาตรการดังกล่าวเป็นภัยต่อความมั่นคงด้านอุปทานโลก และมีลักษณะตอบโต้ทางการค้าต่อข้อจำกัดที่สหรัฐฯ กำหนดเพิ่มในช่วงที่ผ่านมา

จีนในฐานะผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลกเริ่มใช้มาตรการจำกัดการส่งออกตั้งแต่เดือนเมษายน ส่งผลให้ปริมาณส่งออกชะลอลงชั่วคราว ก่อนกลับมาฟื้นตัวในช่วงกลางปี หลังสองประเทศตกลงลดระดับความขัดแย้งทางการค้าชั่วคราว แต่การออกกฎใหม่ในเดือนกันยายนได้จุดกระแสความกังวลรอบใหม่ในตลาดโลก

ด้านสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ระบุระหว่างการประชุมผู้นำเศรษฐกิจโลกที่กรุงวอชิงตันว่า สหรัฐฯ อาจร่วมมือกับชาติพันธมิตรเพื่อรับมือกับการควบคุมของจีน พร้อมย้ำว่าการกระจุกตัวของแหล่งแร่หายากอยู่ในมือประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระยะยาว

ทั้งนี้ ตลาดโลกกำลังจับตาการพบปะระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นนอกรอบการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคที่เกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม ถึง 1 พฤศจิกายน โดยการหารือดังกล่าวถูกมองว่าอาจเป็นโอกาสสำคัญในการคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้า และวางแนวทางใหม่ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่หายากในระดับโลก

L2D Page (54)

ไทยนำเข้าแร่จากพม่าทะยานแตะหมื่นล้าน รัฐเมียนมาปฏิเสธอนุญาต เหมืองรัฐฉานถูกจับตาก่อมลพิษข้ามแดน

ศูนย์ข่าวภาคเหนือรายงานว่า ตัวเลขการนำเข้าสินแร่จากประเทศเมียนมาผ่านด่านศุลกากรชายแดนภาคเหนือของไทยในปี 2568 เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยมีมูลค่าสูงถึง 9,825.92 ล้านบาท จากเดิมในปี 2567 เพียงกว่า 2,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงกว่า 7,700 ล้านบาท สร้างความฉงนให้กับหลายฝ่าย หลังรัฐบาลเมียนมาระบุว่าไม่เคยอนุญาตให้มีการส่งออกแร่ใด ๆ อย่างเป็นทางการ

ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรภาค 3 ระบุว่า มีเอกชนกว่า 40 รายเข้าร่วมการนำเข้าสินแร่จากเมียนมาผ่านด่านศุลกากรใน 4 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงรายมีมูลค่าการนำเข้ารวม 248.56 ล้านบาท แบ่งเป็นแร่แมงกานีส 1.54 ล้านบาท แร่ตะกั่ว 41.36 ล้านบาท แร่พลวง 138.20 ล้านบาท และเฟอร์โรแมงกานีสกับซิลิคอนแมงกานีสอีก 59.25 ล้านบาท

ส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีการนำเข้าแร่ดีบุกและพลวงรวมมูลค่า 21.53 ล้านบาท ขณะที่ด่านศุลกากรแม่สอด จังหวัดตาก เป็นจุดนำเข้าหลักของสินแร่ทองคำ มูลค่า 0.97 ล้านบาท แร่ดีบุก 29.07 ล้านบาท แร่พลวง 3,327.36 ล้านบาท และโลหะพลวงที่ยังไม่ขึ้นรูปมูลค่าถึง 6,555.82 ล้านบาท

อาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก และโขง ตั้งข้อสงสัยว่าแร่ที่ไทยนำเข้ามาจากเมียนมานั้น มีที่มาจากเหมืองใดในประเทศเพื่อนบ้าน และเหมืองเหล่านั้นส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของแม่น้ำสายหลักที่ไหลลงสู่ประเทศไทยหรือไม่ พร้อมระบุว่ารัฐบาลไทยควรตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างโปร่งใส หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแร่มาจากแหล่งที่ไม่ก่อมลพิษ ก็ควรพิจารณาระงับการนำเข้าชั่วคราว

“สิ่งที่น่าตกใจคือ ระหว่างการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ไทยกับฝ่ายเมียนมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลกลางเมียนมากลับยืนยันว่าไม่เคยอนุญาตให้เปิดเหมืองแร่ในรัฐฉานแต่อย่างใด” ดร.สืบสกุลกล่าว

รายงานข่าวยังเผยว่า ฝ่ายปกครองอำเภอแม่สายเคยตรวจพบเหมืองแร่ในรัฐฉาน 4 แห่ง ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำสาย ประกอบด้วยเหมืองแมงกานีสและทองคำที่บ้านแม่โจ๊กและบ้านนายาว เมืองสาด และเหมืองแมงกานีสกับสังกะสีที่บ้านน้ำปุงใหม่และน้ำพุร้อนใหม่ เมืองสาด ซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำสายหรือแม่น้ำสาขาโดยตรง

นอกจากนี้ มูลนิธิมนุษยชนไทใหญ่เปิดเผยข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม พบเหมืองแร่หายาก (แรร์เอิร์ธ) 2 แห่งในพื้นที่ระหว่างเมืองยอนและเมืองสาด ห่างจากชายแดนไทยด้านอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพียง 25 กิโลเมตร โดยหนึ่งในนั้นอยู่ห่างจากแม่น้ำกกเพียง 3.6 กิโลเมตร และอีกแห่งห่างเพียง 2.6 กิโลเมตร

ขณะเดียวกัน เขตปกครองพิเศษที่ 4 ชายแดนเมียนมา–จีน ภายใต้การควบคุมของกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (NDAA) พบเหมืองแรร์เอิร์ธถึง 16 แห่ง ทั้งในเขตเมืองยองและพื้นที่ตะวันออก ห่างจากแม่น้ำโขงราว 40 กิโลเมตร โดยมีการปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำโขงบริเวณเมืองสบโหลย ซึ่งอยู่ตรงข้ามสามเหลี่ยมทองคำ ห่างจากอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ประมาณ 125 กิโลเมตร

นอกจากแร่หายากแล้ว ยังมีเหมืองแมงกานีสจำนวนมากกระจายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโหลย เช่น เมืองแอ่นและเมืองหลอยหล้า ขณะที่เขตปกครองพิเศษที่ 2 ของว้าแดง ก็พบมีการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในเมืองป๊อกชายแดนเมียนมา–จีนถึง 26 แห่ง ใช้ลำน้ำปายเป็นแหล่งน้ำในกระบวนการทำเหมือง ซึ่งทั้งหมดกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนว่ากิจกรรมเหล่านี้มีส่วนเชื่อมโยงกับการนำเข้าแร่ของไทยหรือไม่

L2D Page (53)

ไทยแซงจีน ขึ้นแท่นผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศรายใหญ่สุดสู่สหรัฐฯ คาดมูลค่าส่งออกปี 2568 พุ่ง 36%

ศูนย์ข่าวภาคเหนือรายงานว่า ตัวเลขการนำเข้าสินแร่จากประเทศเมียนมาผ่านด่านศุลกากรชายแดนภาคเหนือของไทยในปี 2568 เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยมีมูลค่าสูงถึง 9,825.92 ล้านบาท จากเดิมในปี 2567 เพียงกว่า 2,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงกว่า 7,700 ล้านบาท สร้างความฉงนให้กับหลายฝ่าย หลังรัฐบาลเมียนมาระบุว่าไม่เคยอนุญาตให้มีการส่งออกแร่ใด ๆ อย่างเป็นทางการ

ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรภาค 3 ระบุว่า มีเอกชนกว่า 40 รายเข้าร่วมการนำเข้าสินแร่จากเมียนมาผ่านด่านศุลกากรใน 4 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงรายมีมูลค่าการนำเข้ารวม 248.56 ล้านบาท แบ่งเป็นแร่แมงกานีส 1.54 ล้านบาท แร่ตะกั่ว 41.36 ล้านบาท แร่พลวง 138.20 ล้านบาท และเฟอร์โรแมงกานีสกับซิลิคอนแมงกานีสอีก 59.25 ล้านบาท

ส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีการนำเข้าแร่ดีบุกและพลวงรวมมูลค่า 21.53 ล้านบาท ขณะที่ด่านศุลกากรแม่สอด จังหวัดตาก เป็นจุดนำเข้าหลักของสินแร่ทองคำ มูลค่า 0.97 ล้านบาท แร่ดีบุก 29.07 ล้านบาท แร่พลวง 3,327.36 ล้านบาท และโลหะพลวงที่ยังไม่ขึ้นรูปมูลค่าถึง 6,555.82 ล้านบาท

อาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก และโขง ตั้งข้อสงสัยว่าแร่ที่ไทยนำเข้ามาจากเมียนมานั้น มีที่มาจากเหมืองใดในประเทศเพื่อนบ้าน และเหมืองเหล่านั้นส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของแม่น้ำสายหลักที่ไหลลงสู่ประเทศไทยหรือไม่ พร้อมระบุว่ารัฐบาลไทยควรตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างโปร่งใส หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแร่มาจากแหล่งที่ไม่ก่อมลพิษ ก็ควรพิจารณาระงับการนำเข้าชั่วคราว

“สิ่งที่น่าตกใจคือ ระหว่างการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ไทยกับฝ่ายเมียนมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลกลางเมียนมากลับยืนยันว่าไม่เคยอนุญาตให้เปิดเหมืองแร่ในรัฐฉานแต่อย่างใด” ดร.สืบสกุลกล่าว

รายงานข่าวยังเผยว่า ฝ่ายปกครองอำเภอแม่สายเคยตรวจพบเหมืองแร่ในรัฐฉาน 4 แห่ง ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำสาย ประกอบด้วยเหมืองแมงกานีสและทองคำที่บ้านแม่โจ๊กและบ้านนายาว เมืองสาด และเหมืองแมงกานีสกับสังกะสีที่บ้านน้ำปุงใหม่และน้ำพุร้อนใหม่ เมืองสาด ซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำสายหรือแม่น้ำสาขาโดยตรง

นอกจากนี้ มูลนิธิมนุษยชนไทใหญ่เปิดเผยข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม พบเหมืองแร่หายาก (แรร์เอิร์ธ) 2 แห่งในพื้นที่ระหว่างเมืองยอนและเมืองสาด ห่างจากชายแดนไทยด้านอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพียง 25 กิโลเมตร โดยหนึ่งในนั้นอยู่ห่างจากแม่น้ำกกเพียง 3.6 กิโลเมตร และอีกแห่งห่างเพียง 2.6 กิโลเมตร

ขณะเดียวกัน เขตปกครองพิเศษที่ 4 ชายแดนเมียนมา–จีน ภายใต้การควบคุมของกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (NDAA) พบเหมืองแรร์เอิร์ธถึง 16 แห่ง ทั้งในเขตเมืองยองและพื้นที่ตะวันออก ห่างจากแม่น้ำโขงราว 40 กิโลเมตร โดยมีการปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำโขงบริเวณเมืองสบโหลย ซึ่งอยู่ตรงข้ามสามเหลี่ยมทองคำ ห่างจากอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ประมาณ 125 กิโลเมตร

นอกจากแร่หายากแล้ว ยังมีเหมืองแมงกานีสจำนวนมากกระจายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโหลย เช่น เมืองแอ่นและเมืองหลอยหล้า ขณะที่เขตปกครองพิเศษที่ 2 ของว้าแดง ก็พบมีการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในเมืองป๊อกชายแดนเมียนมา–จีนถึง 26 แห่ง ใช้ลำน้ำปายเป็นแหล่งน้ำในกระบวนการทำเหมือง ซึ่งทั้งหมดกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนว่ากิจกรรมเหล่านี้มีส่วนเชื่อมโยงกับการนำเข้าแร่ของไทยหรือไม่

L2D Page (52)

เงินวอนอ่อนค่า–น้ำมันพุ่ง หนุนต้นทุนนำเข้าเกาหลีใต้เพิ่มต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3

ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) เปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมว่า ดัชนีราคานำเข้าในเดือนกันยายนปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ถือเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยสาเหตุหลักมาจากการอ่อนค่าของเงินวอนและการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก

BOK ระบุว่า ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เงินวอนอ่อนค่าลงสู่ระดับเฉลี่ย 1,391.83 วอนต่อดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1,389.66 วอนต่อดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม การอ่อนค่าของค่าเงินส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบดูไบซึ่งเป็นเกณฑ์อ้างอิงสำคัญของเกาหลีใต้ก็ปรับตัวขึ้น 0.9% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 70.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานและการผลิตของประเทศขยับสูงขึ้นตามไปด้วย

ธนาคารกลางเกาหลีใต้ชี้ว่า ราคานำเข้าที่เพิ่มขึ้นถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจะถูกส่งผ่านไปยังราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และอาจกดดันค่าครองชีพของประชาชน

นอกจากราคานำเข้าที่ขยับขึ้นแล้ว ข้อมูลของ BOK ยังระบุว่า ดัชนีราคาส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือนกันยายนก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามเช่นกัน โดยปรับขึ้น 0.6% จากเดือนก่อนหน้า สะท้อนแรงกดดันด้านราคาที่เพิ่มขึ้นทั้งในภาคนำเข้าและส่งออก ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงปลายปีนี้

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us