News

L2D Page (173)

“คมนาคม”คุยนักลงทุนจีน สนร่วมลงทุน”ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ”หนุนเชื่อมสปป.ลาว–จีน ผ่านบ่อเต็น–ห้วยทราย

คมนาคมเปิดเจรจานักลงทุนยูนนาน หนุนศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ เชื่อมไทย–ลาว–จีน แก้คอขวด R3A รองรับโลจิสติกส์อนุภูมิภาค

กระทรวงคมนาคมเดินหน้าเปิดการเจรจากับนักลงทุนจากมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและโลจิสติกส์ โดยเฉพาะโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ ซึ่งมีเป้าหมายยกระดับการเชื่อมโยงการค้าระหว่างไทย สปป.ลาว และจีน ผ่านเส้นทางบ่อเต็น–ห้วยทราย–เชียงของ ระยะทางประมาณ 180 กิโลเมตร เพื่อรองรับการขยายตัวของการค้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2568 นายรัชพงศ์ ชูแก้ว เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมร่วมกับคณะผู้แทนจากรัฐวิสาหกิจมณฑลยูนนาน นำโดยนายหลี่ เอ๋อร์ ท่านทั่ว ประธานฝ่ายการลงทุน พร้อมด้วยผู้แทนจาก Yunnan Communications Investment & Construction Group Co., Ltd. และหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและรับฟังข้อเสนอความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุน และระบบโลจิสติกส์ระหว่างไทยและจีน โดยมีหน่วยงานด้านนโยบายและแผนของกระทรวงคมนาคมเข้าร่วม

นายรัชพงศ์เปิดเผยว่า การประชุมดังกล่าวเป็นไปตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชนและนักลงทุนต่างประเทศเข้ามานำเสนอแนวคิดและศักยภาพในการร่วมพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งระบบราง ถนน สะพาน อุโมงค์ ระบบโลจิสติกส์ และเทคโนโลยีคมนาคมสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมของประเทศ

กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญกับความร่วมมือระหว่างไทยและจีนมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ขณะที่มณฑลยูนนานถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมโยงจีนตอนใต้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีบทบาทสำคัญในกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ฝ่ายจีนได้แสดงความสนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย โดยเห็นถึงศักยภาพของระบบคมนาคมไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับทำเลที่ตั้งซึ่งเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อของภูมิภาค และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเพื่อรองรับการค้า การลงทุน และโลจิสติกส์ระหว่างประเทศในระยะยาว

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือแนวคิดการพัฒนาเส้นทางเศรษฐกิจเชื่อมโยงไทย สปป.ลาว และจีน ผ่านบ่อเต็น–ห้วยทราย–เชียงของ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการเชื่อมต่อของโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่ โดยประเมินว่าเส้นทาง R3A ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันมีข้อจำกัดด้านสภาพถนนและจำนวนช่องจราจร ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้นในอนาคต จึงมีข้อเสนอให้พัฒนาโครงข่ายเสริมควบคู่กับการร่วมลงทุนในโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของในรูปแบบเอกชนร่วมลงทุน (PPP) ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

L2D Page (172)

"ยอดจดทะเบียนธุรกิจใหม่" เดือน พ.ย.ลดลง 11% แรงกดดันเศรษฐกิจ ชะลอตัว

ธุรกิจใหม่ชะลอแรง พ.ย.68 ลดลง 11% สะท้อนเศรษฐกิจซบ แต่ต่างชาติยังมั่นใจลงทุนไทยกว่า 3.1 แสนล้าน

ยอดจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ของไทยในเดือนพฤศจิกายน 2568 ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเปิดเผยว่า เดือนดังกล่าวมีการจดทะเบียนธุรกิจใหม่จำนวน 5,554 ราย ลดลงจากเดือนตุลาคมถึง 22% และลดลง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ทุนจดทะเบียนรวมอยู่ที่ 14,860 ล้านบาท ส่งสัญญาณว่าผู้ประกอบการยังระมัดระวังการเริ่มต้นธุรกิจใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาโครงสร้างของธุรกิจที่จัดตั้งใหม่ พบว่าบางกลุ่มยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และห้องชุด ซึ่งเติบโตสูงสุดจากแรงหนุนของภาคท่องเที่ยว รองลงมาคือธุรกิจค้าส่งทั่วไปและธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้า สะท้อนความต้องการด้านโลจิสติกส์และการกระจายสินค้าที่เพิ่มขึ้น แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–พฤศจิกายน) การจัดตั้งธุรกิจใหม่มีจำนวนสะสม 80,064 ราย ลดลงราว 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ทุนจดทะเบียนสะสมอยู่ที่ 250,852 ล้านบาท ลดลง 5% ส่วนการเลิกประกอบกิจการในเดือนพฤศจิกายนมีจำนวน 2,494 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า แต่ยังลดลงเมื่อเทียบรายปี ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน ประเทศไทยมีนิติบุคคลจดทะเบียนรวมกว่า 2.04 ล้านราย โดยมีธุรกิจที่ยังดำเนินกิจการอยู่ประมาณ 970,000 ราย

แม้การจัดตั้งธุรกิจใหม่ของผู้ประกอบการไทยจะชะลอลง แต่การลงทุนจากต่างชาติยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤศจิกายน 2568 มีการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยจำนวน 104 ราย เงินลงทุนรวมกว่า 34,000 ล้านบาท และเมื่อรวม 11 เดือนแรกของปี พบว่าต่างชาติเข้ามาลงทุนแล้ว 973 ราย มูลค่ารวมกว่า 311,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าการลงทุนเมื่อเทียบกับปีก่อนอย่างชัดเจน

ประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุดยังคงเป็นญี่ปุ่น สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา จีน และฮ่องกง โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมด สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศต่อศักยภาพระยะยาวของเศรษฐกิจไทย แม้ภาคธุรกิจภายในประเทศจะยังเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวก็ตาม

L2D Page (171)

เศรษฐกิจไม่ดี/บริษัทไทยลดการจ้าง? เมื่อคนอายุ 30, 40 ปีขึ้นไปอาจหางานยากขึ้น วางแผนเรื่องเงินยังไง

เศรษฐกิจชะลอ–บริษัทไทยลดจ้าง เมื่อวัยทำงาน 30–40+ เริ่มไม่มั่นคง ต้องวางแผนเงินอย่างไรให้รอด

“รับสมัครงาน อายุไม่เกิน 35 ปี” คือข้อความที่ยังพบเห็นได้ทั่วไปในตลาดแรงงานไทย และกลายเป็นแรงกดดันเงียบๆ สำหรับคนทำงานจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่กำลังคิดจะเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนสายอาชีพ หลายคนเลือกจะอยู่ที่เดิมต่อ แม้ไม่พอใจงาน เพราะกลัวว่าหากออกไปแล้วจะกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ยากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น

ในอีกด้านหนึ่ง วัย 30 ไปจนถึง 40 ปีขึ้นไป คือกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ และเข้าใจระบบการทำงาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่องค์กรจำนวนไม่น้อยต้องการ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “อายุสำคัญไหม” แต่คืออายุที่มากขึ้นกำลังกลายเป็นความเสี่ยงในยุคเศรษฐกิจผันผวนหรือไม่ และเราควรเตรียมชีวิตอย่างไรเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนนี้

หากพิจารณาจากประกาศรับสมัครงานจำนวนมาก จะพบว่าการจำกัดอายุยังพบได้บ่อย โดยเฉพาะในตำแหน่งระดับปฏิบัติการหรือพนักงานทั่วไป อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่าอายุอาจไม่ใช่ปัจจัยหลัก หากแต่เป็นเรื่องของทักษะ ความเชี่ยวชาญ และความต้องการของตลาดแรงงานในช่วงเวลานั้นมากกว่า

ข้อมูลจากรายงาน The Midcareer Opportunity ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD สะท้อนภาพที่น่าสนใจว่า เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โอกาสได้รับการจ้างงานมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะผู้สมัครตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป กลุ่มอายุที่นายจ้างมีแนวโน้มรับเข้าทำงานน้อยที่สุดคือช่วงอายุ 55–65 ปี ขณะที่วัย 45–54 ปี ก็เริ่มเผชิญข้อจำกัดมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม กลุ่มอายุ 30–44 ปี กลับเป็นช่วงวัยที่นายจ้างต้องการมากที่สุด เนื่องจากถูกมองว่าสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ และนำประสบการณ์มาสร้างคุณค่าให้กับองค์กรได้ดีกว่าแรงงานที่อายุมากกว่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทย ภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทำให้รูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หลายบริษัทเริ่มลดการจ้างพนักงานประจำ หันไปใช้แรงงานสัญญาจ้าง พนักงานชั่วคราว หรือการจ้างงานแบบไม่เต็มเวลามากขึ้น ข้อมูลจากการสำรวจของ Jobsdb สะท้อนว่า สัดส่วนแรงงานรูปแบบดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่ตำแหน่งพนักงานประจำแบบดั้งเดิมลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ในช่วงเวลาเดียวกัน ยังมีข่าวการเปิดโครงการเกษียณก่อนกำหนดหรือ Early Retire จากองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่ง ซึ่งบางโครงการเปิดรับตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกไม่มั่นคงของแรงงานวัยกลางคน และทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรไทยกำลังมองวัยทำงานกลุ่มนี้อย่างไร

เหตุผลที่ทำให้แรงงานวัย 40 ปีขึ้นไปอาจหางานใหม่ได้ยากขึ้น มักเกี่ยวข้องกับทัศนคติของนายจ้างต่อการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ต้นทุนค่าจ้างที่สูงขึ้นตามอายุงาน ความท้าทายด้านโครงสร้างองค์กรที่หัวหน้ามักอายุน้อยกว่า และการที่แรงงานจำนวนมากยังอยู่ในงานลักษณะเดิมซ้ำๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เทคโนโลยีและ AI สามารถเข้ามาทดแทนได้ง่าย

แม้ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่แรงงานไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ควบคุมได้คือการเตรียมความพร้อมของตัวเอง โดยเฉพาะด้านการเงิน เมื่อความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติ การวางแผนการเงินตั้งแต่วันที่ยังมีรายได้ประจำจึงเป็นสิ่งจำเป็น

การมีเงินสำรองฉุกเฉินเป็นพื้นฐานสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับวัย 40 ปีขึ้นไปที่อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะได้งานใหม่ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวมากกว่าเดิม เงินสำรองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอย่างน้อยหนึ่งถึงสองปี จะช่วยลดแรงกดดันและเปิดโอกาสให้ตัดสินใจเรื่องงานได้ดีขึ้น

ขณะเดียวกัน การทบทวนแผนเกษียณก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินลงทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ จำเป็นต้องประเมินว่าเพียงพอกับเป้าหมายชีวิตหรือไม่ โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มคิดถึงการเกษียณเร็ว การคำนวณค่าใช้จ่ายระยะยาวและผลกระทบจากเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

การลดภาระหนี้ให้น้อยที่สุดก่อนเข้าสู่วัยเกษียณก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน หนี้บ้าน หนี้รถ หรือหนี้บริโภค หากสามารถจัดการให้หมดเร็วขึ้น จะช่วยให้มีสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นในวันที่รายได้ไม่แน่นอน

นอกจากการเงินแล้ว การลงทุนกับตัวเองผ่านการพัฒนาทักษะใหม่ยังเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เทคโนโลยี การเพิ่มทักษะที่ตลาดต้องการ หรือการสร้างรายได้ทางเลือก การเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ย่อมดีกว่ารอให้ถูกบีบให้เปลี่ยนแปลงในวันที่ไม่มีทางเลือก

สุดท้าย แม้งานจะเป็นส่วนสำคัญของชีวิต แต่ “เงิน” คือเครื่องมือที่จะช่วยให้เรารับมือกับความไม่แน่นอนได้ดีขึ้น ต่อให้งานไม่เลือกเรา หากเราวางแผนการเงินไว้ดีพอ ชีวิตก็ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีและทางเลือก

L2D Page (170)

กรมขนส่งฯ รณรงค์ “เช็กก่อนจะช้าไป : เช็กรถ เช็กทาง เช็กคน”เดินทางปีใหม่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

ขนส่งฯ เดินหน้ารณรงค์ปีใหม่ “เช็กก่อนจะช้าไป” ย้ำเตรียมพร้อมก่อนเดินทาง สร้างความปลอดภัยบนถนนตลอดปี

กรมการขนส่งทางบกเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการด้านความปลอดภัยทางถนนรับเทศกาลปีใหม่ 2569 เปิดตัวแคมเปญรณรงค์ “เช็กก่อนจะช้าไป : เช็กรถ เช็กทาง เช็กคน” มุ่งสร้างการตระหนักรู้และปลูกฝังพฤติกรรมการเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง เพื่อยกระดับความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงคมนาคมที่ให้ความสำคัญกับการลดอุบัติเหตุและการสูญเสียบนท้องถนน

นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกได้ผลิตและเผยแพร่สื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ชุดใหม่ภายใต้แนวคิดดังกล่าว ผ่านสื่อโทรทัศน์ควบคู่กับสื่อออนไลน์หลากหลายแพลตฟอร์ม เพื่อสื่อสารให้ประชาชนทุกกลุ่มตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมก่อนเดินทาง โดยเนื้อหามุ่งเน้นการตรวจสอบสภาพรถ การวางแผนเส้นทางอย่างปลอดภัย และความพร้อมของผู้ขับขี่ ทั้งด้านสติ สมาธิ การพักผ่อนที่เพียงพอ และการปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ซึ่งสะท้อนถึงความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วนในการลดความเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน

การรณรงค์ดังกล่าวสอดคล้องกับแผนอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ของกรมการขนส่งทางบก ที่ดำเนินมาตรการเชิงรุกอย่างเข้มข้น ทั้งการกำกับดูแลการให้บริการรถโดยสารสาธารณะ การตรวจสภาพรถก่อนออกให้บริการ การควบคุมพฤติกรรมพนักงานขับรถผ่านระบบ GPS การตรวจความพร้อมของพนักงานขับรถในสถานีขนส่ง และการกำชับผู้ประกอบการให้รักษามาตรฐานความปลอดภัยในระดับสูงสุด

ขณะเดียวกัน กรมการขนส่งทางบกยังสนับสนุนประชาชนที่ใช้รถส่วนบุคคลให้เข้ารับบริการตรวจสภาพรถ ณ จุด “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ที่จัดขึ้นทั่วประเทศ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงจุดบริการร่วม “อาชีวะ–ขนส่ง อาสาช่วยประชาชน เทศกาลปีใหม่ 2569” ซึ่งดำเนินการร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้เดินทาง

อธิบดีกรมการขนส่งทางบกกล่าวเพิ่มเติมว่า การสร้างความปลอดภัยทางถนนเป็นภารกิจที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่เฉพาะในช่วงเทศกาลเท่านั้น กรมฯ จึงมุ่งขยายช่องทางการสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลด้านความปลอดภัยได้อย่างทั่วถึง ทั้งการให้ความรู้ในการตรวจเช็กรถก่อนเดินทาง อินโฟกราฟิกคำแนะนำ และกิจกรรมสร้างการมีส่วนร่วม เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้รถใช้ถนนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและร่วมกันสร้างสังคมการเดินทางที่ปลอดภัย

กรมการขนส่งทางบกขอเชิญชวนประชาชนติดตามรับชมสื่อรณรงค์ภายใต้แคมเปญ “เช็กก่อนจะช้าไป : เช็กรถ เช็กทาง เช็กคน” ผ่านสื่อโทรทัศน์และช่องทางออนไลน์ “ขับขี่ปลอดภัย by DLT” เพื่อร่วมกันเริ่มต้นจากการเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง ส่งต่อความปลอดภัยในทุกวัน และลดการสูญเสียบนท้องถนนอย่างยั่งยืน ตามเป้าหมายการสร้างระบบคมนาคมที่ปลอดภัย มั่นคง และเป็นมิตรต่อประชาชนในทุกมิติ

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us