News

news-20250131-03

ผ่านฉลุย! ไทย 'ส่งออกกุ้งทะเลแช่แข็ง' ล็อตแรกด้วย 'รถไฟจีน-ลาว'

กรมประมงเผย ประสบความสำเร็จครั้งสำคัญกับการส่งออกสินค้าประมงแช่แข็งล็อตแรกของไทยผ่านเส้นทางรถไฟจีน-ลาว ส่งถึงประเทศจีนอย่างราบรื่น ถือเป็นตัวเลือกช่องทางขนส่งรูปแบบใหม่สำหรับผู้ส่งออกสินค้าประมงของไทย ที่ตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่า 5c สามารถกระจายสินค้าถึงปลายทางได้สะดวกรวดเร็ว พร้อมทั้งรักษาคุณภาพของสินค้าด้วยระบบห่วงโซ่ความเย็น (Cold Chain) ตอบสนองต่อความต้องการสินค้าสัตว์น้ำที่เพิ่มขึ้นของตลาดจีน

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากกงสุล (ฝ่ายเกษตร) ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 68 ได้มีการลำเลียงสินค้ากุ้งสุกแช่แข็งจากจังหวัดสงขลา น้ำหนักรวม 24 ตัน (มูลค่าประมาณ 3.9 ล้านบาท) ผ่านเส้นทางรถไฟจีน-ลาว ด่านรถไฟโม่ฮาน

โดยการขนส่งในครั้งนี้ ใช้วิธีแบบผสมผสานระหว่างรถบรรทุกและเส้นทางรถไฟจีน-ลาว สามารถลดระยะเวลาในการขนส่งได้ถึง 14 วัน อีกทั้งระบบการขนส่งด้วยเทคโนโลยีห่วงโซ่ความเย็นตลอดเส้นทางนั้นมีศักยภาพช่วยส่งเสริมการขยายตัวเศรษฐกิจและด้านการตลาดสินค้าประมงในรูปแบบทั้งแช่เย็นและแช่แข็ง ให้เข้าถึงตลาดภายในสาธารณรัฐประชาชนจีนได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น โดยยังคงรักษาคุณภาพความสดและความปลอดภัยอาหารของสินค้าประมงของไทย และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนได้มากขึ้น

นายบัญชา กล่าวว่า การส่งออกสินค้าประมงแช่แข็งไทยผ่านด่านรถไฟโม่ฮานในครั้งนี้ นับเป็นตัวอย่างที่ดีแสดงให้เห็นถึงศักยภาพด้านขนส่งสินค้าระหว่างไทยและจีน ที่เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะอำนวยความสะดวกที่สามารถเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าไปยังเมืองและมณฑลต่าง ๆ ของจีน ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยขยายช่องทางการส่งออกให้หลากหลายยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ในช่วงเดือนก.พ. 68 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ จะเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน และจะมีการลงนามในพิธีสารว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ กักกัน และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ ของผลิตภัณฑ์ประมงที่มาจากการเพาะเลี้ยงส่งออกมายังสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

ที่มา - prachachat

news-20250131-02

'คมนาคม' ตั้งงบ 4,500 ล้าน ย้าย 'ที่ตั้งกระทรวง' บูมบางซื่อ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม (สป.คค) จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่ ระยะเวลาดำเนินการ ปี 2569 – 2571 วงเงินรวม 4,500 ล้านบาท

โดยกระทรวงฯ จะนำงบประมาณดังกล่าวมาดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคมทดแทนอาคารที่ปัจจุบันตั้งอยู่บนถนนราชดำเนินนอก เนื่องจากอาคารเดิมนั้นมีรูปแบบอาคารสถาปัตยกรรมที่สวยงามและสมควรที่จะอนุรักษ์ไว้ โดยเป็นส่วนหนึ่งของถนนสายวัฒนธรรมที่ควรมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่สอดคล้องกันตลอดแนวถนนราชดำเนินนอก จึงไม่เหมาะสมที่จะต่อเติม ขยาย หรือทุบ เพื่อสร้างอาคารขึ้นใหม่

อย่างไรก็ดี กระทรวงฯ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเบิกเงินประมาณในปี 2569 และก่อสร้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการ กระทรวงคมนาคมแห่งใหม่ทันที ซึ่งจะอยู่ในพื้นที่ย่านสถานีกลางบางซื่อ เนื่องจากอนาคตพื้นที่นี้จะเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคม โดยคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างราว 3 ปีแล้วเสร็จ ดังนั้นจึงประเมินว่าจะสามารถย้านอาคารสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคมไปในพื้นที่ใหม่ได้ราวปี 2571

อีกทั้งการก่อสร้างอาคารที่ทำการ กระทรวงคมนาคมแห่งใหม่ จะรองรับบางหน่วยงานต้องไปปฏิบัติงานยังพื้นที่ภายนอกแห่งอื่น รวมถึงหน่วยงานที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น กรมการขนส่งทางราง ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีพื้นที่ตั้งสำนักงาน ขณะเดียวกันเนื่องด้วยกระทรวงฯ มีภารกิจในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลด้านการคมนาคมและโลจิสติกส์ ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้บุคลากร ตลอดจนวัสอุปกรณ์ที่ทันสมัยเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นสำนักงานแห่งใหม่นี้จะเป็นสำนักงานที่ทันสมัย ในคอนเซ็ปต์ “อาคารอัจฉริยะ” หรือ Smart Building

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250131-01

'LEO' ปักธงรายได้ปี 68 โต 20-25% เดินเกมรุกยุทธศาสตร์ 'LEO Go Green'

การเข้าร่วมประชุม World Economic Forum ประจำปี 2568 ของนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีกำหนดการพบหารือกับผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชนชั้นนำใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมการขนส่ง ได้แก่ บริษัท DP World เป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลก ที่ประกอบกิจการด้านการท่าเรือและอาคารผู้โดยสารต่าง ๆ รวมทั้งเทคโนโลยีการให้บริการด้านการเดินเรือทะเล และโลจิสติกส์ ที่มีสาขาธุรกิจทั่วโลกมากกว่า 500 แห่งใน 75 ประเทศ และมีพนักงานมากกว่า 1 แสนคน

เพื่อหาโอกาสการลงทุน และการเปลี่ยนแปลงให้ไทยเป็นโลจิสติกส์ฮับ และศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาคนี้ เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิศาสตร์ที่มีศักยภาพในด้านโลจิสติกส์ เพราะอยู่ระหว่าง 2 คาบมหาสมุทร คือมหาสมุทรอินเดีย และอ่าวไทย  

ซึ่งกระตุ้นการดำเนินธุรกิจของ บมจ. ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ย้ำแผนการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทยังเดินตามแผนยุทธศาสตร์ "LEO Go Green" ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตกำไรขั้นต้น และผลประกอบการให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20-25% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการรับรู้รายได้จากหน่วยธุรกิจใหม่ๆ (New Business Units)เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น

โครงการ Self-Storage และ Wine Storage สาขาพระราม 4 รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่ได้มีการจัดตั้งในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การขนส่งทางรางไปยังประเทศจีน-ลาว ของบริษัท LaneXang Express, การขนส่งสินค้าทางรางภายในประเทศของบริษัท Sritrang LEO Multimodal Logistics, การให้บริการศูนย์โลจิสติกส์และกระจายสินค้าของบริษัท Advantis LEO และการส่งออกสินค้าทุเรียนไปยังประเทศจีนจากบริษัท LEO Sourcing & Supply Chain

ซึ่งบริษัทดังกล่าวเหล่านี้จะทำให้เกิดรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีสัดส่วนของรายได้มาเป็น 30-35% จากยอดรวมของบริษัทฯ ใน 1-2 ปีข้างหน้า รวมถึงโครงการ JV และ M&A อีกหลายโครงการที่อยู่ในแผนธุรกิจในปี 2568

LEO เชื่อมั่นว่า ปี 2568 รายได้และกำไรขั้นต้นของบริษัทจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาจากการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างประเทศไทยกับจีน รวมทั้งธุรกิจของ Non - Logistics Business จะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดแน่นอน นายเกตติวิทย์ กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งในแผนการสำคัญของ LEO ในปี 2568 คือการพัฒนาระบบขนส่งรถไฟจีน - ไทย ด้วยตู้ Reefer Containers ให้เป็นระบบแบบขนส่ง Round Trip มีสินค้าขาไปและขากลับ ระหว่างประเทศจีน - ไทย โดย LEO จะเป็นผู้จัดหาสินค้าส่งออกจากประเทศไทยมายังจีน และทางฝ่ายจีนก็จะช่วยหาสินค้าส่งออกจากประเทศจีนกลับมายังประเทศไทย

โดย LEO มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการ End-to-End Global Logistics Service Provider และเครือข่ายของ LaneXang Express ในประเทศจีนและไทย จะสามารถช่วยยกระดับการให้บริการเข้าสู่มาตรฐานสากล ผลักดันให้การขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างจีน-ไทย ให้ประสบความสำเร็จ และสามารถลดต้นทุนค่าขนส่งให้กับผู้ส่งออกและนำเข้าทั้งในประเทศไทยและจีน

ที่มา - share2trade

news-20250130-02

'พาณิชย์' ชงมาตรการคุมนำเข้าข้าวโพด ป้องกัน PM 2.5 ข้ามพรมแดน

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังการประชุมแนวทางการดำเนินการเพื่อลดปัญหา PM 2.5 ข้ามพรมแดน ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ กรมควบคุมมลพิษ กรมวิชาการเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) กรมอาเซียน กรมศุลกากร กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และภาคเอกชน

อาทิ หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ว่าที่ประชุมส่วนใหญ่ได้เห็นชอบในหลักการเบื้องต้นในการพิจารณาหามาตรการในการป้องกันฝุ่น PM 2.5 สำหรับในส่วนที่กรมรับผิดชอบมี 2 แนวทางสำคัญคือ การเสนอให้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์กำหนดมาตรการดูแลการนำเข้าข้าวโพดจากต่างประเทศ เพื่อป้องกันการนำเข้าข้าวโพดที่มีการเผา และการส่งเสริมจูงใจให้กับผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับผู้นำเข้าสินค้าที่ไม่ได้เผา

อย่างไรก็ดี จากแนวทางดังกล่าวกรมจะนำไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็จะเสนอให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) พิจารณาต่อไป เพื่อให้มีการดำเนินการโดยเร็วที่สุด แต่เชื่อว่าสิ่งที่จะทำได้ทันทีคือ การส่งเสริมผู้ส่งออก นำเข้าสินค้าเกษตรไทย เจรจาจับคู่กับผู้ค้า ผู้นำเข้าที่ไม่เผา ซึ่งคาดว่ามีประมาณ 100 ราย

สำหรับมาตรการการกำหนดมาตรการนำเข้าข้าวโพด กรมกำหนดจะต้องแสดงเอกสารประกอบการนำเข้า ทั้งแบบฟอร์มการแจ้งข้อมูลประกอบการนำเข้า ตามที่กำหนด เอกสารรับรองจากหน่วยงานผู้มีอำนาจอย่างเป็นทางการ (Competent Authority : CA) ของประเทศผู้ส่งออก ว่าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่นำเข้าในงวดดังกล่าวเป็นสินค้าที่มาจากแหล่งเพาะปลูกที่ไม่มีการเผา และพิสูจน์ได้ว่าผู้เพาะปลูก/ผู้ส่งออก/ผู้รวบรวมมีระบบการตรวจสอบย้อนกลับ และต้องมีภาพแผนที่แสดงถึงแปลงที่ใช้ในการเพาะปลูกให้ชัดเจน

โดยในเบื้องต้นจะใช้บังคับกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นลำดับแรก ก่อนขยายขอบเขตไปยังสินค้าเกษตรอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้ มั่นใจว่ากระบวนการดังกล่าวจะไม่ขัดต่อหลักการขององค์การการค้าโลก (WTO) และพันธกรณีตาม FTAs ที่ไทยเป็นภาคี และไม่สร้างภาระแก่ผู้ประกอบการจนเกินความจำเป็น อย่างไรก็ดี หลังวันนี้คงต้องมีการคุยเพื่อวางรายละเอียดให้ชัดเจนต่อไป ก่อนนำเสนอให้คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) และคณะรัฐมนตรีเพื่อเห็นชอบต่อไป

ที่มา - prachachat

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us