News

L2D Page (128)

2026 ‘เศรษฐกิจอินเดีย’ ผงาด แต่ยังติดบ่วงประเทศยากจน

อินเดียปี 2026: เศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ผงาดขึ้นอันดับ 4 ของโลก แต่ยังติดบ่วงความยากจนเชิงโครงสร้าง
อินเดียกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ อีกไม่นานจากนี้โดยเฉพาะในปีงบประมาณที่จะสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2026 นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าอินเดียจะผงาดขึ้นเหนือญี่ปุ่น กลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก และที่สำคัญคือจะมีระยะห่างจากเยอรมนี ซึ่งอยู่อันดับ 3 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความก้าวหน้าครั้งนี้ถือว่าโดดเด่นอย่างยิ่ง หากย้อนกลับไปเมื่อเริ่มต้นศตวรรษ ญี่ปุ่นยังเป็นเศรษฐกิจอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา ขณะที่อินเดียไม่ได้อยู่ในแม้แต่สิบอันดับแรกของโลกด้วยซ้ำ

ในช่วงสองทศวรรษ อินเดียเติบโตทะยานขึ้นแซงหน้าประเทศขนาดเศรษฐกิจกลางสำคัญหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นบราซิล เม็กซิโก แคนาดา รวมถึงอดีตเจ้าอาณานิคมอย่างสหราชอาณาจักร โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 อินเดียจะกลายเป็นเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลก รองเพียงแค่สหรัฐอเมริกาและจีนเท่านั้น

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นผ่านการเปลี่ยนแปลงในเมืองใหญ่ทั่วประเทศ อาคารสูงผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบคมนาคมคึกคัก ตลาดหุ้นและตลาดทุนขยายตัวอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญที่สุดคือมีชาวอินเดียหลายร้อยล้านคนสามารถหลุดพ้นจากสถานะ “ยากจนสุดขีด” พร้อมกับชนชั้นกลางที่เติบโตขยายเป็นมากกว่า 400 ล้านคน และยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งเหล่านี้ยืนยันว่าอินเดียได้เดินหน้าอย่างจริงจังบนเส้นทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ

แต่แม้เศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างน่าตื่นตา สถานะของประเทศในภาพรวมกลับยังคงจมอยู่กับความเป็น “ชาติยากจน” เนื่องจากเกณฑ์การวัดความก้าวหน้าของประเทศไม่ได้มีเพียงขนาดจีดีพีเท่านั้น เมื่อวัดด้วย “จีดีพีต่อหัวประชากร” อินเดียยังคงอยู่ในอันดับต่ำมาก เพราะต้องเฉลี่ยมูลค่าทางเศรษฐกิจออกไปให้กับประชากรจำนวนมหาศาลที่มากกว่าญี่ปุ่นถึงกว่า 11 เท่า ส่งผลให้อินเดียรั้งอันดับที่ 126 ของโลก แม้จะเป็นอันดับที่ดีที่สุดในรอบ 25 ปี แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในช่วงล่างของตารางการพัฒนา

ค่าจีดีพีต่อหัวของอินเดียอยู่ที่เพียง 12,132 ดอลลาร์ต่อคน อยู่ในระดับเดียวกับประเทศรายได้ปานกลางล่างอย่างจอร์แดนและอุซเบกิสถาน อีกทั้งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างมีนัยสำคัญ แม้อัตราส่วนประชากรที่ยากจนสุดขีดลดลงจาก 27% เหลือเพียง 5% ภายในสิบปี แต่เมื่อนับเป็นจำนวนจริง อินเดียยังคงมีประชากรมากถึง 75 ล้านคนที่มีชีวิตอยู่ด้วยรายได้ไม่ถึง 3 ดอลลาร์ต่อวัน และอีกกว่า 267 ล้านคนอยู่ภายใต้เส้นความยากจนสำหรับประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ ซึ่งกำหนดไว้ที่รายได้ไม่ถึง 4.20 ดอลลาร์ต่อวัน ตัวเลขนี้มากกว่าจำนวนประชากรทั้งประเทศของเม็กซิโกหลายสิบล้านคน

ปัญหาความยากจนยังเชื่อมโยงกับข้อจำกัดเชิงโครงสร้างในหลายด้าน อินเดียยังอยู่ในอันดับล่างของโลกด้านความหิวโหย โดยอยู่ที่อันดับ 102 จาก 123 ประเทศ และมีคะแนนต่ำในการจัดอันดับด้านสิ่งแวดล้อม การเสรีภาพของสื่อ และดัชนีประชาธิปไตย สะท้อนปัญหาเชิงระบบที่ยังต้องแก้ไขอีกมาก

สถานการณ์ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ขนาดของเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างโดดเด่น แต่ความสำเร็จนี้ยังไม่อาจแปรเปลี่ยนคุณภาพชีวิตของประชาชนอีกหลายร้อยล้านคนได้อย่างทั่วถึง การเติบโตทางเศรษฐกิจจึงเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความสำเร็จ ขณะที่การยกระดับความเป็นอยู่ของคนทั้งประเทศยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่อินเดียต้องเผชิญในทศวรรษต่อไป

L2D Page (127)

ไขคำตอบ ทำไมน้ำท่วมหาดใหญ่กระทบเศรษฐกิจไทยรุนแรง GDP วูบเหลือ 1.9% แม้เสียหายเป็นรองปี 54

น้ำท่วมภาคใต้เสียหายกว่า 40,000 ล้านบาทในเดือนเดียว หอการค้าไทยชี้กระทบท่องเที่ยวหนัก ฉุด GDP ปี 2568 เหลือ 1.9%
หอการค้าไทยเปิดเผยผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมใน 10 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชาชนกว่า 2.19 ล้านคน หรือประมาณ 798,600 ครัวเรือน ได้รับความเดือดร้อน โดยจังหวัดสงขลาถูกกระทบมากที่สุด คิดเป็นราว 60% ของความเสียหายทั้งหมด รองลงมาคือ นครศรีธรรมราช และพัทลุง ทั้งนี้แม้การประเมินความเสียหายที่ชัดเจนยังต้องรอข้อมูลเพิ่มเติม แต่รัฐบาลประเมินเบื้องต้นว่าน้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเสียหายสูงถึง 500,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นอุทกภัยครั้งรุนแรงเป็นอันดับสองของไทย รองจากมหาอุทกภัยปี 2554 ที่สร้างความเสียหายกว่า 1.4 ล้านล้านบาท

ในกรอบเวลาเพียงหนึ่งเดือน ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่า ความเสียหายเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000–1,500 ล้านบาทต่อวัน รวมมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท คิดเป็น 0.22% ของ GDP โดยเป็นความเสียหายจากระบบเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก ทั้งกิจกรรมทางการค้า การเดินทาง การขนส่ง และการผลิตในหลายธุรกิจท้องถิ่น

ภาคที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือภาคท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายสูงประมาณ 22,000 ล้านบาท เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงไฮซีซันของจังหวัดท่องเที่ยวในภาคใต้ โดยเฉพาะหาดใหญ่ที่ปกติจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงพฤศจิกายนถึงมกราคม นอกจากนี้ธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหาร และโรงแรมจำนวนมากต้องปิดให้บริการชั่วคราว ส่งผลให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ขาดรายได้และสภาพคล่องอย่างรุนแรง

ความเสียหายยังขยายไปถึงภาคเกษตรกรรมที่ประเมินไว้ราว 10,000 ล้านบาท และภาคการผลิตและสาธารณูปโภคอีกประมาณ 6,840 ล้านบาท สถานการณ์ยิ่งซ้ำเติมด้วยการย้ายการแข่งขันซีเกมส์จากสงขลามายังกรุงเทพฯ ซึ่งทำให้จังหวัดสูญเสียโอกาสการสร้างรายได้ การใช้จ่ายของผู้มาเยือนกว่า 5,000 คน และกระทบต่อภาพลักษณ์ในระดับนานาชาติ

จากการสำรวจผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่พบว่า การฟื้นฟูอาจต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน เนื่องจากทรัพย์สินและสต็อกสินค้าเสียหายหนัก ขาดสภาพคล่อง และโครงสร้างพื้นฐานหลายส่วนยังใช้การไม่ได้ สิ่งที่ภาคธุรกิจต้องการมากที่สุดคือเงินเยียวยาแบบ “เงินสด” ไม่ใช่มาตรการเพิ่มภาระหนี้สิน จึงเสนอให้รัฐบาลเร่งอัดฉีดเงินชดเชยโดยตรง ควบคู่กับการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและจัดทีมฟื้นฟูพื้นที่โดยเร็ว

ผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้ทำให้หอการค้าไทยปรับลดประมาณการ GDP ปี 2568 จาก 2% เหลือ 1.9% โดยแม้การส่งออกคาดว่าจะเติบโต 11.1% และการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น 6.4% แต่การใช้จ่ายภาครัฐที่หดตัวในไตรมาส 3 และปัญหาน้ำท่วมปลายปี ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวกว่าที่คาดไว้

สำหรับแนวโน้มปี 2569 ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเหลือ 1.6% โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะช่วยประคองเศรษฐกิจท่ามกลางความเสี่ยงด้านสภาพอากาศและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังสูง

L2D Page (126)

"คมนาคม" ผนึก 20 แบรนด์ยานยนต์ เปิดศูนย์ฯ สงขลา "ซ่อมฟรี-ลดสูงสุด 40%" กู้วิกฤตรถน้ำท่วม

คมนาคมเปิดศูนย์ “คมนาคมร่วมใจ ช่วยรถน้ำท่วม” ที่สงขลา ผนึก 20 แบรนด์รถยนต์–มอเตอร์ไซค์ อัดโปรซ่อมฟรี–ลดสูงสุด 40% บรรเทาภาระชาวใต้หลังน้ำลด

กระทรวงคมนาคมและกรมการขนส่งทางบก เดินหน้าฟื้นฟูยานพาหนะของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ หลังได้รับผลกระทบหนักจากอุทกภัย โดยเปิดศูนย์ประสานงาน “คมนาคมร่วมใจ ช่วยรถน้ำท่วม” ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดสงขลา แห่งที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อเป็นจุดกลางในการตรวจเช็ก ซ่อมแซมเบื้องต้น และประสานงานเข้าสู่ศูนย์บริการมาตรฐาน พร้อมได้รับแรงสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากค่ายรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และภาคอาชีวศึกษามากกว่า 20 องค์กร

นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า ศูนย์ดังกล่าวจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ยานพาหนะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม โดยมีภารกิจหลักคือให้บริการตรวจประเมินฟรี ซ่อมแซมเบื้องต้น และจัดระบบส่งต่อเข้าศูนย์บริการของแต่ละยี่ห้อ ระหว่างนี้สถาบันอาชีวศึกษาจะสนับสนุนแรงงานช่างเทคนิคเพื่อช่วยซ่อมแซมรถพื้นฐานโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งมีการสนับสนุนด้านน้ำมันเครื่องและอุปกรณ์จากภาคเอกชน

ค่ายรถยนต์กว่า 15 แบรนด์ตอบรับเข้าร่วมมอบสิทธิพิเศษอย่างครอบคลุม ทั้งการลดราคาอะไหล่และค่าแรง 30–40% ฟรีค่าตรวจเช็ก ฟรีรถยก รวมถึงสิทธิซ่อมแซมเบื้องต้น โดย Toyota, Isuzu, MG, GWM, Suzuki, Mitsubishi, Honda, Mercedes-Benz, Nissan, Ford, Mazda, GAC AION, BMW/MINI, Deepal, BYD ต่างทยอยประกาศแพ็กเกจช่วยเหลือตามเงื่อนไขของแต่ละค่าย นอกจากนี้ PTG Energy และ Autobacs ยังสนับสนุนน้ำมันเครื่อง PT Maxnitron สำหรับบริการประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

ด้านรถจักรยานยนต์ แต่ละแบรนด์เข้าช่วยเต็มที่เช่นกัน โดย Honda เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง–น้ำมันเฟืองท้ายฟรี และตรวจเช็กหลายรายการ ขณะที่ Yamaha ให้บริการซ่อมและเปลี่ยนอะไหล่ฟรีสำหรับรถที่น้ำท่วม รวมถึงตรวจเช็ก 10 รายการ ส่วน Suzuki และ DECO ต่างจัดส่วนลดค่าอะไหล่และตรวจเช็กฟรีเช่นเดียวกัน

เพื่ออำนวยความสะดวกเพิ่มเติม กรมการขนส่งทางบกยังเปิดพื้นที่ให้ผู้ประสบภัยนำรถมาจอดพักฟรีระหว่างรอดำเนินการ โดยที่สำนักงานขนส่งจังหวัดสงขลา แห่งที่ 1 รองรับได้ 50 คัน และแห่งที่ 2 อำเภอหาดใหญ่ รองรับได้ 20 คัน ทั้งยังเปิดให้สอบถามข้อมูลได้ผ่านสายด่วน 1584 และ Facebook สำนักงานขนส่งจังหวัดสงขลา

อธิบดีกรมการขนส่งทางบกย้ำว่า การร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนพลังของภาครัฐและเอกชนที่พร้อมยืนเคียงข้างประชาชน เพื่อช่วยให้ทุกครอบครัวกลับมามีรถใช้งานและฟื้นฟูการดำเนินชีวิตได้เร็วที่สุด ภารกิจครั้งนี้ถือเป็นส่วนสำคัญในการเยียวยาหลังภัยพิบัติ และสร้างความเชื่อมั่นว่าภาครัฐพร้อมเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมและทั่วถึง.

L2D Page (125)

“พิพัฒน์” เดินหน้าจัดระเบียบถนน - ลดต้นทุนขนส่ง สั่งยกระดับความปลอดภัยประชาชน และแก้ปัญหาโลจิสติกส์ทั้งระบบ

“พิพัฒน์” เดินหน้าจัดระบบถนน ลดต้นทุนขนส่ง ยกระดับความปลอดภัย–แก้ปัญหาโลจิสติกส์ทั้งห่วงโซ่

เนื้อหา (เรียบเรียงใหม่ทั้งหมด ไม่มี bullet point):
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการหารือร่วมกับสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และผู้ประกอบการจาก 13 สมาคม เพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาระบบขนส่งทางถนนทั้งด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และต้นทุนโลจิสติกส์ โดยการประชุมจัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 ณ กระทรวงคมนาคม

นายพิพัฒน์กล่าวขอบคุณสหพันธ์ฯ ที่ร่วมสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคใต้ โดยได้จัดส่งรถบรรทุกและถุงยังชีพให้ประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับผลกระทบผ่านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบกจัดทำแผนฟื้นฟูด้านอุปกรณ์รถบรรทุก รวมถึงเจรจากับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเพื่อให้มีส่วนลดค่าซ่อมบำรุงแก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ประสบภัย

ประเด็นสำคัญอีกด้านคือการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งกระทรวงคมนาคมเร่งติดตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยสหพันธ์ฯ เสนอให้มีการจัดพื้นที่บางส่วนภายในท่าเรือเพื่อใช้พักตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้รถหัวลากสามารถนำตู้ลงก่อนแล้วไปทำงานอื่นต่อโดยไม่ต้องรอคิวเป็นเวลานาน แนวทางนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยลดความแออัดได้ ซึ่งนายพิพัฒน์ระบุว่าจะนำเรื่องให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยพิจารณา หากสามารถดำเนินการได้ก็พร้อมสนับสนุนตามข้อเสนอของภาคเอกชน

ในส่วนมาตรการควบคุมน้ำหนักรถบรรทุก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้กรมการขนส่งทางบกบูรณาการร่วมกับกรมทางหลวงและการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำมาตรฐานการชั่งน้ำหนักและระบบบังคับใช้กฎหมายแบบเดียวกันทั่วประเทศ พร้อมทั้งเร่งการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการใช้ถนนของรถเครนให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 เพื่อรองรับการทำงานของภาคขนส่งวิศวกรรมและงานยกขนาดใหญ่

นายทองอยู่ คงขันธ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เสนอประเด็นปัญหานิติบุคคลนอมินีจากต่างประเทศที่เข้ามาดำเนินธุรกิจขนส่งในไทย ซึ่งอาจก่อให้เกิดการหลีกเลี่ยงกฎหมายทั้งด้านการนำเข้า การลำเลียงสินค้า และการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยขอให้ภาครัฐเร่งตรวจสอบและวางมาตรการป้องกันเรื่องนี้ นายพิพัฒน์ได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบกหารือกับสหพันธ์ฯ เพื่อพิจารณาข้อกฎหมายและแนวทางดำเนินการต่อไป

นายทองอยู่ระบุเพิ่มเติมว่าสหพันธ์ฯ ซึ่งประกอบด้วยสมาคมด้านขนส่งและโลจิสติกส์ 13 องค์กรทั่วประเทศ พร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลทั้งในการผลักดันกฎระเบียบที่เอื้อต่อธุรกิจ การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และการตรวจสอบให้ระบบขนส่งโปร่งใสและเป็นธรรม โดยย้ำว่าผู้ประกอบการมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพร้อมสนับสนุนนโยบายกระทรวงคมนาคมทุกด้าน

นายพิพัฒน์กล่าวปิดท้ายว่า กระทรวงคมนาคมพร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากภาคเอกชนเพื่อร่วมกันพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ของไทยให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และแข่งขันได้ในระดับสากล ภาครัฐจะทำหน้าที่กำหนดกรอบกฎหมายและโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นธรรม ขณะที่ผู้ประกอบการเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนระบบขนส่งให้เชื่อมโยงเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งความสำเร็จต้องอาศัยความร่วมมือที่แน่นแฟ้นของทั้งสองฝ่ายในการวางอนาคตร่วมกัน.

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us