News

L2D-Page-83

อินเดียทุ่ม 6.7 พันล้านดอลลาร์ ปั้นท่าเรือ"รัฐมหาราษฏระ"ดันเป็นฮับทะเลตะวันตก

อินเดียทุ่ม 6.7 พันล้านดอลลาร์ พัฒนาท่าเรือรัฐมหาราษฏระ หนุนศักยภาพโลจิสติกส์ฝั่งตะวันตก เปิดโอกาสผู้ส่งออกไทยเชื่อมตรงมุมไบ

อินเดียประกาศลงทุนมูลค่า 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 56,000 โครรูปี) เพื่อพัฒนาท่าเรือในรัฐมหาราษฏระ โดยมี Adani Ports & SEZ (APSEZ) เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดด้วยวงเงินกว่า 5.1 พันล้านดอลลาร์ เป้าหมายของโครงการคือการขยายขีดความสามารถของท่าเรือ ลดระยะเวลาการขนถ่ายสินค้าและต้นทุนการดำเนินงาน เพื่อยกระดับรัฐมหาราษฏระให้เป็นศูนย์กลางทางทะเลหลักทางฝั่งตะวันตกของประเทศ และผลักดันให้อินเดียก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าทางเรือระดับโลก

การลงทุนครั้งนี้ได้รับการประกาศภายในงาน India Maritime Week 2025 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านท่าเรือและโลจิสติกส์ในพื้นที่มุมไบ–JNPT–Dighi ซึ่งเป็นแนวระเบียงเศรษฐกิจทางทะเลที่สำคัญของอินเดีย การขยายขีดความสามารถดังกล่าวจะช่วยลดระยะเวลาการหมุนเวียนของเรือได้ราว 25–30% (เฉลี่ยลดลง 1 วัน) ลดต้นทุนดำเนินงานลง 8–12% และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของท่าเรืออินเดียขึ้นจากระดับ 35% เป็น 45–50% ขณะเดียวกันยังมีการวางแผนขุดร่องน้ำให้ลึกขึ้นเพื่อรองรับเรือขนาดใหญ่ และยกระดับการเชื่อมโยงกับพื้นที่ตอนในของประเทศ (hinterland connectivity) ผ่านโครงข่ายทางถนน รถไฟ และคลังสินค้า

ก่อนการประกาศลงทุนครั้งนี้ รัฐมหาราษฏระมีท่าเรือหลักอยู่แล้ว ได้แก่ JNPT, Mumbai และ Dighi ซึ่งแม้จะมีบทบาทสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังเผชิญปัญหาความแออัดและข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการขนถ่ายสินค้า การลงทุนของ APSEZ จึงมีเป้าหมายชัดเจนในการแก้ไขจุดอ่อนดังกล่าว โดยคาดว่าปริมาณการขนส่งสินค้าของบริษัทจะเพิ่มจากระดับ 450 ล้านตัน (MMT) ในปีงบประมาณ 2568 ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะกลาง

ในเชิงยุทธศาสตร์ โครงการนี้จะช่วยให้อินเดียสามารถดึงดูดเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศโดยตรง ลดการพึ่งพาท่าเรือกลาง (transshipment hubs) ในประเทศอื่น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์และการส่งออกในเวทีโลก ขณะเดียวกันก็เป็นแรงหนุนต่อการผลิตเพื่อการส่งออก (export-led manufacturing) และการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคของอินเดียตะวันตก

สำหรับประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สคต.) ณ เมืองมุมไบ มองว่า การลงทุนครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญของผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะในภาคสินค้าเกษตรแปรรูป อาหารทะเลแช่เย็นและแช่แข็ง รวมถึงชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เนื่องจากการเชื่อมต่อเส้นทางเดินเรือโดยตรงระหว่างไทยกับชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย จะช่วยลดความจำเป็นในการใช้ท่าเรือกลาง ทำให้ระยะเวลาในการขนส่งสั้นลง ต้นทุนต่อคอนเทนเนอร์ลดลง และช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดไปยังภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียได้รวดเร็วขึ้น

ปัจจุบันไทยพึ่งพาท่าเรือแหลมฉบังเป็นหลัก ซึ่งมีปริมาณการขนส่งกว่า 9.46 ล้าน TEU ต่อปี ขณะที่ท่าเรือกรุงเทพและมาบตาพุตทำหน้าที่รองรับสินค้าบางประเภท การที่อินเดียเร่งพัฒนาท่าเรือในรัฐมหาราษฏระจึงอาจกลายเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการสร้างเส้นทางขนส่งตรง (feeder/direct services) ระหว่างไทยกับอินเดีย รวมทั้งการร่วมลงทุนด้านคลังเย็นและระบบโลจิสติกส์สมัยใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งสองประเทศในระยะยาว

แม้จะมีโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่โครงการนี้ก็มาพร้อมความท้าทาย โดยเมื่ออินเดียสามารถเสริมสร้างฐานโลจิสติกส์และการผลิตภายในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น ผู้จัดหาสินค้าหรือวัตถุดิบบางประเทศอาจเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้นจากผู้ผลิตอินเดีย อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวม การลงทุนมูลค่า 6.7 พันล้านดอลลาร์ในรัฐมหาราษฏระนับเป็นก้าวสำคัญที่ยืนยันบทบาทของอินเดียในฐานะ “ประตูการค้าทางทะเลฝั่งตะวันตก” และเปิดเส้นทางใหม่ให้ไทยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโลจิสติกส์อินเดียเพื่อขยายตลาดในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียและเอเชียใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น.

L2D-Page-82

เปิดแผนสกัดสวมสิทธิส่งออกสหรัฐ ‘พาณิชย์’ ลุยตรวจ 'RVC' 8 พันฉบับต่อเดือน

ครม.เศรษฐกิจเตรียมมาตรการรับมือสหรัฐเข้มงวดถิ่นกำเนิดสินค้า ป้องกันผลกระทบตลาดส่งออก 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์

รายงานจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.ฝ่ายเศรษฐกิจ) เตรียมเสนอชุดมาตรการสำคัญเพื่อรักษาตลาดส่งออกสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 55,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หลังรัฐบาลสหรัฐเข้มงวดการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างเข้มข้น และเริ่มจัดเก็บอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff: RT) ในอัตรา 19% สำหรับสินค้าทุกประเภทที่ส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐ ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา

มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการสูญเสียตลาดส่งออกหลักของไทย หลังพบว่าหากสหรัฐตรวจสอบพบสินค้าสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า (Transshipment) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี อาจถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 40% ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของผู้ประกอบการไทยและภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะคู่ค้าสำคัญ

ทั้งนี้ สหรัฐมีแนวโน้มจะปรับหลักเกณฑ์การพิจารณาถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) จากเดิมที่พิจารณาตามกระบวนการผลิต (Substantial Transformation) มาเป็นการพิจารณาจากสัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content หรือ RVC) เพื่อป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งอาจสร้างความท้าทายใหม่ต่อผู้ส่งออกไทย

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศได้จัดทำโครงการ “เพิ่ม Local Content ไทย สร้างโอกาสใหม่ในตลาดสหรัฐ (RVC-Up)” ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 และต่อเนื่องถึงปี 2569 โดยมีผู้ประกอบการส่งออกสินค้ากลุ่มเป้าหมายประมาณ 6,000 ราย ครอบคลุม 3 แผนงานหลัก

แผนงานสำคัญคือ “UP System” การพัฒนาระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการตรวจสอบ รองรับปริมาณคำขอออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ภายใต้มาตรการใหม่นี้ กรมการค้าต่างประเทศจะเป็นหน่วยงานหลักเพียงแห่งเดียวในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไปยังสหรัฐ

ปัจจุบัน กรมฯ ตรวจสอบคำขอเฉลี่ย 90 ฉบับต่อเดือน ใช้เวลาประมาณ 3 วันต่อฉบับ แต่เมื่อมาตรการใหม่มีผลบังคับใช้ คาดว่าปริมาณคำขอจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 8,000 ฉบับต่อเดือน ทำให้ต้องใช้เวลาตรวจสอบเฉลี่ยถึง 24 วัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนและระยะเวลาการส่งออกของผู้ประกอบการ

เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงพาณิชย์จึงเสนอใช้งบประมาณ 12.9 ล้านบาท จากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ 2569 สำหรับพัฒนาระบบดังกล่าว พร้อมมาตรการเสริมอื่น ๆ ได้แก่ การให้ความรู้ผู้ประกอบการ การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการจัดตั้งคณะกรรมการสาธารณกิจการค้าต่างประเทศ (คสธก.) เพื่อบูรณาการการปราบปรามธุรกิจนอมินีและการดำเนินธุรกิจต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมาย รวมทั้งตรวจสอบเส้นทางการเงินร่วมกับสำนักงาน ปปง.

มาตรการเหล่านี้จะถูกนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเร็ว ๆ นี้ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อพิจารณาเห็นชอบแนวทางของกระทรวงพาณิชย์ในการรับมือกับมาตรการภาษีของสหรัฐ และรักษาความเชื่อมั่นในตลาดส่งออกที่มีความสำคัญสูงสุดต่อเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน

เมื่อโครงการมอเตอร์เวย์ M5 ส่วนต่อขยายรังสิต–บางปะอินเปิดใช้งานเต็มรูปแบบ จะช่วยลดปัญหาการจราจรแออัดบริเวณถนนพหลโยธินและวิภาวดีรังสิต เชื่อมโครงข่ายคมนาคมสำคัญระหว่างกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่าง ๆ ส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว.

L2D-Page-80

โลจิสติกส์จีนสุดล้ำติดปีกขนส่งทุเรียนไทยถึงไวใน 1 วัน

โลจิสติกส์จีนสุดล้ำ “ติดปีก” ขนส่งทุเรียนไทยถึงปลายทางใน 1 วัน

จีนกำลังก้าวกระโดดสู่ยุคใหม่ของโลจิสติกส์อัจฉริยะ ด้วยการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AI, 5G และระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบเข้ามาบริหารจัดการการขนส่งทั้งทางบก ทางราง และทางทะเล ตั้งแต่รถและเครนไร้คนขับ ไปจนถึงระบบตรวจสอบสินค้าแบบเรียลไทม์ เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดขั้นตอนทางศุลกากรและเพิ่มความเร็วในการขนส่งอย่างมหาศาล จนทำให้ผลไม้ไทย โดยเฉพาะ “ทุเรียน” สามารถเดินทางถึงผู้บริโภคชาวจีนได้ภายในเวลาเพียง 1 วัน

หนึ่งในหัวใจสำคัญของความสำเร็จนี้คือ “ด่านรถไฟผิงเสียง” เมืองผิงเสียง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางรางระหว่างจีนกับอาเซียน ด่านแห่งนี้อยู่ห่างจากชายแดนเวียดนามเพียง 14 กิโลเมตร ถือเป็นจุดผ่านแดนที่สั้นที่สุดในการเชื่อมจีนกับภูมิภาคอาเซียน ระบบโลจิสติกส์ครบวงจรของผิงเสียง ครอบคลุมทั้งคลังสินค้า ศูนย์ตรวจสอบสินค้า และการขนส่งทางรถไฟความเร็วสูง ทำให้สินค้าจากไทย เช่น ทุเรียน ขนุน และลำไยอบแห้ง เดินทางเข้าสู่จีนได้รวดเร็วพร้อมรักษาความสดใหม่ไว้ครบถ้วน รถไฟหนึ่งขบวนสามารถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ได้ถึง 25 ตู้ และวิ่งได้สูงสุดวันละ 3 รอบ ช่วยเพิ่มความถี่ในการขนส่งช่วงฤดูผลไม้ที่มีความต้องการสูง

รัฐบาลกว่างซีได้ลงทุนพัฒนา “ด่านอัจฉริยะ” ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะระบบท่าเรือดิจิทัลที่เชื่อมต่อกับทางรถไฟและศุลกากร ทำให้ขั้นตอนตรวจปล่อยสินค้าลดเหลือเพียง 3-4 นาที นับเป็นการยกระดับโลจิสติกส์จีนให้กลายเป็นหนึ่งในระบบที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลก

อีกหนึ่งด่านสำคัญคือ “ด่านโหย่วอี้กวน” ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองผิงเสียงเช่นกัน ถือเป็นด่านทางบกที่มีขนาดใหญ่และมีปริมาณการค้ามากที่สุดระหว่างจีนกับเวียดนาม รถบรรทุกสินค้าผ่านเข้าออกด่านนี้วันละกว่า 1,300-1,500 คัน โดยสินค้านำเข้าหลักคือผลไม้จากอาเซียน โดยเฉพาะทุเรียนไทยที่คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 9 ใน 10 ของทุเรียนทั้งหมดที่เข้าสู่จีน วันหนึ่งมีทุเรียนไทยผ่านด่านนี้มากถึง 220 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 28 ตันต่อตู้

ปัจจุบัน ด่านโหย่วอี้กวนได้รับการยกระดับเป็น “ด่านอัจฉริยะเต็มรูปแบบ” ใช้เทคโนโลยีดาวเทียมนำทาง ระบบสื่อสาร 5G และยานพาหนะขนส่งไร้คนขับ พร้อมด้วยเครนยกตู้คอนเทนเนอร์แบบอัตโนมัติและระบบตรวจสอบด้วยกล้อง AI ด่านสามารถดำเนินงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้การขนส่งสินค้าจากกรุงฮานอยถึงเมืองหนานหนิงใช้เวลาเพียง 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสินค้าสดจากไทยที่ต้องการความรวดเร็ว

ด้านการขนส่งทางทะเล จีนได้สร้าง “ท่าเรืออัจฉริยะอ่าวเป่ยปู้” หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ “อ่าวตังเกี๋ย” ซึ่งรวมกลุ่มท่าเรือหลัก 3 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือชินโจว, ท่าเรือเป๋ยไห่ และท่าเรือฝางเฉิงก่าง โดยเฉพาะท่าเรือชินโจว ถือเป็นท่าเทียบเรือตู้คอนเทนเนอร์อัตโนมัติเต็มรูปแบบแห่งแรกของจีน ทุกขั้นตอนควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ รถขนส่งและเครนยกตู้คอนเทนเนอร์ทำงานแบบไร้คนขับ เชื่อมต่อกับทางรถไฟระเบียงการขนส่งทางบก–ทางทะเลระหว่างประเทศ ทำให้ตู้สินค้าสามารถเคลื่อนจากเรือขึ้นรถไฟได้ภายในไม่กี่นาที

ระบบอัจฉริยะของท่าเรือชินโจวยังติดตั้งกล้อง AI ตรวจจับสิ่งแปลกปลอม ป้องกันอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยในทุกขั้นตอน ปัจจุบันท่าเรืออ่าวเป่ยปู้มีเส้นทางขนส่งทั้งหมด 91 เส้นทาง เชื่อมโยงกับท่าเรือแหลมฉบังของไทยโดยตรง เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่ช่วยให้ผลไม้ไทยเดินทางถึงผู้บริโภคจีนได้อย่างรวดเร็ว สดใหม่ และปลอดภัย

ความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ระหว่างไทยและจีนจึงกลายเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ของอุตสาหกรรมผลไม้ไทย โดยเฉพาะทุเรียนที่เป็นสินค้าดาวเด่นของประเทศ เมื่อระบบขนส่งของจีนสามารถย่นระยะเวลาเหลือเพียง 1 วัน ผลไม้ไทยก็มีโอกาสแข่งขันในตลาดจีนได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งในด้านคุณภาพ ความสด และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ขณะเดียวกัน สินค้าจากจีนที่ส่งมายังไทยก็ได้รับประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ที่พัฒนาอย่างเท่าเทียม สะท้อนให้เห็นถึงยุคใหม่ของ “การค้าชายแดนอัจฉริยะ” ที่ทั้งสองประเทศกำลังร่วมกันผลักดันให้เติบโตอย่างยั่งยืน.

L2D-Page-79

"ด่านรถไฟผิงเสียง-โหย่วอี้กวาน" รุกโลจิสติกส์ ประตูเศรษฐกิจผลไม้ไทยสู่ตลาดจีน

เส้นทางขนส่งผลไม้ไทยผ่านด่านรถไฟผิงเสียง–โหย่วอี้กวาน: ประตูเศรษฐกิจใหม่เชื่อมไทย-จีน-อาเซียน

การขนส่งผลไม้สดของไทยกำลังเปลี่ยนโฉมจากการขนส่งทางเรือสู่เส้นทางบกและรางที่รวดเร็วกว่าเดิม โดยเฉพาะผ่าน “ด่านรถไฟผิงเสียง” และ “ด่านโหย่วอี้กวาน” ซึ่งกลายเป็นเส้นเลือดหลักของการค้าผลไม้ไทยสู่ตลาดจีนและอาเซียนตอนใต้ เส้นทางใหม่นี้ไม่เพียงช่วยรักษาความสดใหม่ของผลไม้ แต่ยังเป็นเครื่องมือยกระดับศักยภาพการแข่งขันของไทยในตลาดโลก ผ่านระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะและพิธีการศุลกากรที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที

ความสดใหม่คือหัวใจของความสำเร็จ
ความสดถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของสินค้าประเภทผลไม้สด ซึ่งมีอายุการเก็บรักษาสั้นและต้องได้รับการดูแลตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บเกี่ยว การบรรจุ ไปจนถึงการขนส่ง หากสามารถส่งถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ผลไม้จะยังคงคุณภาพ รสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการไว้อย่างครบถ้วน ปัจจุบันผู้บริโภคจีนให้ความสำคัญกับความสดและความปลอดภัยของอาหาร ทำให้ผลไม้ไทย เช่น ทุเรียน มังคุด ลำไย และมะม่วง เป็นที่ต้องการสูงในตลาดจีน

จากทางเรือสู่ทางราง: เส้นทางโลจิสติกส์ใหม่ของไทย
ในอดีตการส่งออกผลไม้ไทยไปจีนส่วนใหญ่ใช้การขนส่งทางเรือซึ่งใช้เวลาหลายวัน แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการจำนวนมากหันมาใช้เส้นทางบกและราง เนื่องจากใช้เวลาน้อยกว่าและสามารถรักษาคุณภาพผลไม้ได้ดีกว่า เส้นทางขนส่งหลักเริ่มจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ผ่านจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ มุกดาหาร และนครพนม เข้าสู่ประเทศลาว ต่อไปยังกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ก่อนเข้าสู่สถานีด่งดัง จังหวัดลางเซิน ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าขึ้นรถไฟมุ่งหน้าสู่ด่านผิงเสียงของจีน จากนั้นผลไม้จะถูกกระจายไปยังเมืองใหญ่ทั่วประเทศ

เส้นทางนี้เดิมมีรอบการเดินรถไฟเพียงสามรอบต่อสัปดาห์ แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นทุกวัน และสูงสุดถึงวันละสามรอบ ทำให้การขนส่งผลไม้มีความต่อเนื่องและรวดเร็วขึ้นอย่างมาก

ด่านรถไฟผิงเสียง: ศูนย์กลางโลจิสติกส์เชื่อมจีน-อาเซียน
“ศูนย์โลจิสติกส์ด่านรถไฟผิงเสียง” ตั้งอยู่ในเมืองผิงเสียง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงของจีน ถือเป็นด่านเศรษฐกิจหลักที่เชื่อมจีนกับกลุ่มประเทศอาเซียนโดยตรง และเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “One Belt One Road” ของรัฐบาลจีน ศูนย์แห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 430 หมู่ หรือราว 345 ไร่ของไทย ออกแบบให้เป็นศูนย์โลจิสติกส์ครบวงจร มีทั้งคลังสินค้า ศูนย์ตรวจสอบสินค้า และระบบศุลกากรสมัยใหม่ สามารถรองรับการนำเข้า-ส่งออกได้มากกว่า 2.8 ล้านตันต่อปี

ทำเลของด่านผิงเสียงถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ เนื่องจากอยู่ติดชายแดนเวียดนามเพียง 14 กิโลเมตร และห่างจากสถานีรถไฟด่งดังในจังหวัดลางเซินเพียง 17 กิโลเมตร จึงเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดจากจีนเข้าสู่ภูมิภาคอาเซียน และยังสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายรถไฟจีน-ยุโรป เพื่อขยายตลาดไปยังเอเชียกลางและยุโรปได้อีกด้วย

ด่านผิงเสียงยังเป็นด่านแรกของจีนที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าผลไม้จากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรง รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสใหม่ให้กับผู้ส่งออกไทยในการเข้าถึงตลาดจีนด้วยระยะเวลาที่สั้นลงและขั้นตอนที่สะดวกยิ่งขึ้น

จุดเด่นของระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะ
การขนส่งผลไม้ไทยผ่านด่านผิงเสียงมีข้อได้เปรียบหลักอยู่สามด้านคือ ความรวดเร็วในการรักษาความสด, ประสิทธิภาพด้านปริมาณและต้นทุน, และระบบดิจิทัลที่ช่วยอำนวยความสะดวก รัฐบาลกว่างซีได้ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีโลจิสติกส์ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยใช้ระบบ “ท่าเรือดิจิทัล” ที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างการรถไฟ ศุลกากร และด่านชายแดนแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถดำเนินพิธีการศุลกากรได้ภายใน 3–4 นาที และขบวนรถไฟจากเวียดนามถึงจีนใช้เวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น

ผลไม้ไทยที่ขนส่งผ่านด่านนี้ส่วนใหญ่คือ ทุเรียน ขนุน และลำไยอบแห้ง โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรจีนจะมีการสุ่มตรวจโรคพืชและสารเคมีอย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมมาตรฐานคุณภาพของสินค้า

ด่านผิงเสียง: ศูนย์กลางผลไม้แห่งใหม่ของเอเชีย
ข้อมูลจากกรมศุลกากรจีนระบุว่า ในปี 2567 มีการนำเข้า-ส่งออกผลไม้รวมกว่า 2.45 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าการค้ากว่า 31,000 ล้านหยวน โดยผลไม้นำเข้าที่สำคัญได้แก่ ทุเรียนสด 602,800 ตัน แก้วมังกร 547,200 ตัน และมะม่วง 253,400 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่ส่งมาจากเวียดนามและไทย ขณะที่ผลไม้ที่จีนส่งออกคือ ส้ม องุ่น และลูกแพร์

ฝั่งไทยเอง กรมวิชาการเกษตรรายงานว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 มีการส่งออกทุเรียนสดไปจีนกว่า 912,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 146,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ผ่านเส้นทางด่านผิงเสียงและโหย่วอี้กวาน

ด่านโหย่วอี้กวาน: จากสมรภูมิสู่ประตูเศรษฐกิจ
คู่ขนานกับด่านผิงเสียงคือ “ด่านโหย่วอี้กวาน” หรือ “ด่านมิตรภาพ” ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอระดับเมืองผิงเสียงเช่นกัน ถือเป็นหนึ่งในเก้าด่านสำคัญของจีน และเป็นจุดผ่านแดนทางบกที่มีความคึกคักทางเศรษฐกิจมากที่สุดระหว่างจีนกับเวียดนาม พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นสมรภูมิรบในอดีต แต่ปัจจุบันกลายเป็นประตูเศรษฐกิจแห่งความร่วมมือ โดยเฉพาะในการขนส่งสินค้าเกษตรจากไทย เช่น ทุเรียนและมังคุด ที่นิยมใช้เส้นทางเศรษฐกิจสาย R9 (จากมุกดาหาร) และ R12 (จากนครพนม) เพื่อเข้าสู่ตลาดจีนผ่านด่านโหย่วอี้กวาน

ยกระดับสู่ “ด่านอัจฉริยะ” ด้วยความร่วมมือจีน–เวียดนาม
จีนและเวียดนามได้ร่วมลงนาม “ข้อตกลงว่าด้วยการร่วมผลักดันการก่อสร้างจุดนำร่องด่านอัจฉริยะ” เพื่อพัฒนาด่านโหย่วอี้กวานของจีนและด่านหูหงิของเวียดนามให้เป็นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ทั้งสองฝ่ายนำเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งภาคพื้นดินไร้คนขับ ช่องทางเฉพาะสำหรับรถบรรทุกอัตโนมัติ ระบบแบ่งปันข้อมูลโลจิสติกส์อัจฉริยะ และระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์ เพื่อให้สามารถดำเนินพิธีการศุลกากรแบบ “เบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว” ได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ประจำ

เมื่อโครงการแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2568 ด่านอัจฉริยะโหย่วอี้กวาน–หูหงิจะช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในการขนส่งสินค้าได้อย่างมาก สามารถส่งสินค้าจากหนานหนิงถึงฮานอยภายใน 24 ชั่วโมงเต็ม ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำบทบาทของด่านนี้ในฐานะ “ประตูเศรษฐกิจใหม่ของอาเซียน” ที่เปิดกว้างสู่การค้าผลไม้ไทยในตลาดจีนและภูมิภาคโดยรอบอย่างมั่นคงและยั่งยืน.

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us