News

L2D Page (169)

น้ำมันดิบทรงตัว หลังเศรษฐกิจสหรัฐโตสูงกว่าคาด โลกยังตึงเครียด

น้ำมันดิบเคลื่อนไหวแคบ เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง แต่ความตึงเครียดโลกยังกดดันตลาด

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเคลื่อนไหวในกรอบแคบ จากการที่นักลงทุนประเมินสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งขยายตัวดีกว่าที่คาด ควบคู่กับความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงตึงเครียด ทั้งกรณีสหรัฐฯ เพิ่มแรงกดดันต่อการส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลา และสถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังคงกระทบโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน

รายงานจากรอยเตอร์ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สัญญาซื้อขายล่วงหน้าปรับลดลง 23 เซนต์ หรือ 0.4% มาอยู่ที่ 62.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ของสหรัฐฯ ลดลง 8 เซนต์ หรือ 0.2% อยู่ที่ระดับ 58.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยทั้งสองสัญญายังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 6% นับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม หลังจากร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปี

โทนี ไซคามอร์ นักวิเคราะห์จาก IG ระบุว่า ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลจากการปรับสมดุลสถานะในตลาดที่มีสภาพคล่องค่อนข้างบาง ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการปิดล้อมการส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลาโดยสหรัฐฯ รวมถึงแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งเกินคาด

ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบสองปีในไตรมาสที่สาม โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่งและการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของภาคการส่งออก

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมทั้งปี ราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยเบรนท์และ WTI คาดว่าจะลดลงประมาณ 16% และ 18% ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากความกังวลว่าอุปทานน้ำมันในปีหน้าจะมีมากกว่าความต้องการ

ในด้านอุปทาน ตลาดยังคงจับตาการหยุดชะงักของการส่งออกน้ำมันจากเวเนซุเอลา ซึ่งถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงราคาน้ำมัน ขณะเดียวกัน การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานอย่างต่อเนื่องระหว่างรัสเซียและยูเครนก็ยังเป็นแรงหนุนต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก ตามรายงานของ Haitong Futures ระบุว่า เรือบรรทุกน้ำมันมากกว่า 12 ลำยังคงจอดรอคำสั่งใหม่ในน่านน้ำเวเนซุเอลา หลังจากสหรัฐฯ ยึดเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ Skipper เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และเล็งเป้าหมายเรืออีกสองลำในช่วงสุดสัปดาห์

เดนนิส คิสเลอร์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการซื้อขายของ BOK Financial กล่าวว่า ความผันผวนของราคาน้ำมันในช่วงวันหยุดถือเป็นภาวะปกติ โดยประเด็นการปิดล้อมเวเนซุเอลายังคงเป็นปัจจัยที่ตลาดให้ความสนใจเป็นพิเศษ

ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวในตลาดเปิดเผยว่า การส่งออกน้ำมันจากคาซัคสถานผ่านท่อส่งน้ำมันแคสเปียน (CPC) มีแนวโน้มลดลงราวหนึ่งในสามในเดือนธันวาคม ซึ่งจะเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024 หลังจากโดรนของยูเครนโจมตีสร้างความเสียหายต่อสิ่งอำนวยความสะดวกที่ท่าเรือส่งออกหลัก

ด้านข้อมูลปริมาณสำรองน้ำมันของสหรัฐฯ จากสถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกา (API) ระบุว่า ปริมาณสำรองน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 2.39 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่น้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ มีกำหนดเผยแพร่ตัวเลขอย่างเป็นทางการในวันจันทร์หน้า ซึ่งล่าช้ากว่าปกติเนื่องจากวันหยุดคริสต์มาส

L2D Page (63)

ไปรษณีย์ไทยคว้าคะแนนความเชื่อมั่น 97.92% ตอกย้ำบทบาทผู้นำโลจิสติกส์

ไปรษณีย์ไทยครองความเชื่อมั่นเกือบ 98% เดินหน้าเสริมศักยภาพรับพีกซีซั่นปลายปี ตอกย้ำผู้นำโลจิสติกส์ไทย

ไปรษณีย์ไทยตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านโลจิสติกส์ของประเทศ หลังได้รับคะแนนความเชื่อมั่นจากผู้ใช้บริการสูงถึง 97.92% ในปี 2568 เพิ่มขึ้นกว่า 6% จากปีก่อน สะท้อนความไว้วางใจที่มีต่อคุณภาพการให้บริการ ระบบงาน และศักยภาพเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมคาดการณ์ว่าปริมาณชิ้นงานในช่วงปลายปีและเทศกาลปีใหม่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากแรงหนุนของอีคอมเมิร์ซและการใช้บริการขนส่งทั้งในและต่างประเทศ

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลอดปี 2568 ไปรษณีย์ไทยมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกมิติ เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยนอกจากคะแนนความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ยังได้รับคะแนนความไว้วางใจ 98.26% และคะแนนภาพลักษณ์องค์กร 95.76% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนการเป็นองค์กรโลจิสติกส์ที่ผู้ใช้บริการหลากหลายกลุ่มเลือกใช้เป็นอันดับหนึ่ง ทั้งในด้านคุณภาพการให้บริการ การพัฒนาระบบดิจิทัล และการขับเคลื่อนกลยุทธ์ Parcel Defined Logistics ที่ออกแบบระบบขนส่งให้เหมาะสมกับพัสดุทุกประเภท

ไปรษณีย์ไทยยังให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และความผูกพันกับผู้ใช้บริการ ผ่านการสื่อสารเชิงคุณค่า เช่น การส่งต่อ “พัสดุใจ” ที่เชื่อมโยงความรู้สึก ความห่วงใย และความหมายดี ๆ ไปถึงผู้รับปลายทาง ควบคู่กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่รองรับการจัดส่งตั้งแต่ขั้นตอนรับฝากจนถึงการนำจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

จากศักยภาพเครือข่ายที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ไปรษณีย์ไทยประเมินว่าปริมาณชิ้นงานในช่วงพีกซีซั่นปลายปีและช่วงปีใหม่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการขยายตัวของภาคธุรกิจและตลาดอีคอมเมิร์ซ พฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์ในช่วงเทศกาล รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่เลือกใช้บริการส่งด่วนพิเศษ EMS และบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) ซึ่งล่าสุดได้ขยายบริการไปยัง สปป.ลาว นอกจากนี้ ยังมีบริการเฉพาะทางเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Travel Lite และ Travel Lite World สำหรับนักท่องเที่ยว รวมถึง EMS Jumbo สำหรับการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก หรือพัสดุที่มีลักษณะพิเศษ

ในด้านการเตรียมความพร้อมเชิงปฏิบัติการ ไปรษณีย์ไทยได้ใช้ศักยภาพของศูนย์ไปรษณีย์ 19 แห่งทั่วประเทศ และเครื่องคัดแยกพัสดุระบบ Cross Belt Sorter ที่สามารถคัดแยกพัสดุได้สูงสุดถึง 240,000 ชิ้นต่อวัน ช่วยให้การเตรียมนำจ่ายเป็นไปอย่างรวดเร็วตลอด 365 วัน ขณะเดียวกัน ยังมีเครือข่ายพนักงานไปรษณีย์กว่า 25,000 คน ที่ให้บริการรับฝากและนำจ่ายโดยไม่มีวันหยุด

ไปรษณีย์ไทยยังเดินหน้าขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ Sustainovation ผ่านการใช้ระบบดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง อาทิ ระบบติดตามพัสดุ บริการส่วนบุคคล กล่องจดหมายดิจิทัล Prompt Post และ Digital Post ID (D/ID) ซึ่งเป็นมาตรฐานการยืนยันตัวตนดิจิทัลระดับประเทศ ช่วยลดการกรอกข้อมูลซ้ำซ้อนและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล รองรับปริมาณการใช้บริการที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายปีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.ดนันท์กล่าวทิ้งท้ายว่า ไปรษณีย์ไทยขอขอบคุณผู้ใช้บริการทุกคนที่ให้ความเชื่อมั่นมาโดยตลอด และในปี 2569 ยังคงพร้อมส่งมอบบริการที่มีคุณภาพ ควบคู่กับการสร้างความสัมพันธ์และส่งต่อความสำเร็จให้กับคนไทยทุกกลุ่ม พร้อมใช้ศักยภาพผู้นำด้านโลจิสติกส์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงต่อไป

L2D Page (167)

ผ่านฉลุย EIA 7 โครงการสำคัญ คมนาคม–น้ำ ช่วยลดจราจร รับมือภัยแล้ง–น้ำหลาก

ไฟเขียว EIA 7 โครงการคมนาคม–น้ำ หนุนโครงสร้างพื้นฐาน ลดรถติด เสริมความมั่นคงรับภัยแล้ง–น้ำท่วม

คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA สำหรับโครงการสำคัญรวม 7 โครงการ ครอบคลุมทั้งด้านคมนาคมขนส่งและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ มุ่งแก้ปัญหาการจราจร ความเดือดร้อนด้านน้ำของประชาชน และยกระดับคุณภาพชีวิตควบคู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

การประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2568 จัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ในส่วนของโครงการด้านคมนาคมขนส่งที่ได้รับความเห็นชอบ EIA ครอบคลุมระบบขนส่งมวลชนจังหวัดนครราชสีมา สายสีเขียว ซึ่งเป็นโครงการสำคัญในการยกระดับการเดินทางในเมืองหลักของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วยลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ปัญหาการจราจร และมลพิษทางอากาศ ขณะที่โครงการทางพิเศษสายเมืองใหม่–เกาะแก้ว–กะทู้ จังหวัดภูเก็ต จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง รองรับการท่องเที่ยว และบรรเทาความแออัดในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของจังหวัด

นอกจากนี้ ยังรวมถึงโครงการก่อสร้างถนนรอบเกาะช้าง ช่วงบ้านบางเบ้า–บ้านสลักเพชร จังหวัดตราด ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยว รวมถึงโครงการทางหลวง 4 ช่องจราจร ทางเลี่ยงเมืองกระบี่ ที่มุ่งแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด และเสริมศักยภาพด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามัน

ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ คณะกรรมการฯ เห็นชอบโครงการอุโมงค์ผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำและบรรเทาผลกระทบจากภัยแล้งในภาคเกษตรและชุมชน ขณะเดียวกัน โครงการทางระบายน้ำหลากเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ลดความเสี่ยงจากอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนหนาแน่น

อีกหนึ่งโครงการสำคัญคืออ่างเก็บน้ำห้วยสะดวงใหญ่ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมุ่งสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงาน EIA สำหรับโครงการทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด อุดมศิลา ในจังหวัดสระบุรี โดยย้ำให้ดำเนินการภายใต้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อชุมชนและทรัพยากรธรรมชาติในระยะยาว

ในเชิงนโยบายพื้นที่ คณะกรรมการฯ ยังเห็นชอบแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2570 ครอบคลุม 38 จังหวัด เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับบริบทและปัญหาเฉพาะของแต่ละพื้นที่ รวมถึงการปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแล

ที่ประชุมยังได้รับทราบความคืบหน้าการประชุมด้านสิ่งแวดล้อมในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งการประชุมอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ และการเจรจาจัดทำมาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยมลพิษจากพลาสติก ซึ่งสะท้อนบทบาทของประเทศไทยในการขับเคลื่อนประเด็นสิ่งแวดล้อมในระดับโลก

นายสุชาติ ชมกลิ่น เน้นย้ำว่า ทุกโครงการที่ได้รับความเห็นชอบต้องดำเนินการตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด มีความโปร่งใส และติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้จริง พร้อมย้ำว่าการออกกฎหมายและนโยบายในอนาคตต้องคำนึงถึงมิติสิ่งแวดล้อมควบคู่เศรษฐกิจ เพื่อให้การพัฒนาประเทศเกิดความสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว

L2D Page (166)

เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตสูงสุดในรอบ 2 ปี GDP ไตรมาส 3 พุ่งขึ้น 4.3%

เศรษฐกิจสหรัฐเร่งตัวแรงสุดในรอบ 2 ปี GDP ไตรมาส 3 โต 4.3% รับแรงหนุนบริโภค–ลงทุนเอกชน

เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3 ของปี 2025 ด้วยอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบสองปี สะท้อนพลังการใช้จ่ายของผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่ยังเดินหน้าได้ดี ท่ามกลางนโยบายการค้าที่ผ่อนคลายลง และการลงทุนด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI)

รายงานจากสำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐ (BEA) ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่ปรับตามเงินเฟ้อแล้ว เพิ่มขึ้นในอัตรา 4.3% ต่อปี สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ และเร่งตัวจากระดับ 3.8% ในไตรมาสก่อนหน้า แม้รายงานจะล่าช้าเนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐบาล แต่ข้อมูลสะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังรักษาโมเมนตัมการเติบโตได้ดีในช่วงกลางปี

แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเพิ่มขึ้นในอัตรา 3.5% ต่อปี โดยเฉพาะภาคบริการ เช่น การดูแลสุขภาพและการเดินทางระหว่างประเทศ ขณะที่การใช้จ่ายด้านยานยนต์ชะลอลงเล็กน้อย สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มระมัดระวังมากขึ้นในบางหมวด

ภาคธุรกิจยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง การลงทุนโดยรวมขยายตัว 2.8% โดยได้รับแรงหนุนหลักจากการใช้จ่ายด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และศูนย์ข้อมูล ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเทคโนโลยี AI และมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ภาคการผลิตโดยรวมยังฟื้นตัวอย่างจำกัด

ด้านการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกสุทธิกลับมาเป็นแรงหนุนสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ราว 1.6 จุดร้อยละ หลังจากผันผวนในช่วงครึ่งแรกของปี อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของดุลการค้าและสินค้าคงคลังทำให้ตัวเลข GDP โดยรวมอาจบิดเบือน นักเศรษฐศาสตร์จึงให้ความสำคัญกับตัวชี้วัด “ยอดขายขั้นสุดท้ายแก่ผู้ซื้อเอกชนในประเทศ” มากขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้น 3% ถือเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบหนึ่งปี และสะท้อนอุปสงค์ที่แท้จริงของภาคเอกชนได้ชัดเจนกว่า

แม้เศรษฐกิจจะเติบโตดี แต่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ รายงานระบุว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อหลักของธนาคารกลางสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.9% ในไตรมาสที่ 3 ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% ส่งผลให้เจ้าหน้าที่เฟดมีความระมัดระวังในการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะปรับลดเพียงครั้งเดียวในปี 2026 หลังจากลดต่อเนื่องในช่วงปลายปีนี้

ธนาคารกลางสหรัฐมองว่า นโยบายการคลังที่ยังสนับสนุนเศรษฐกิจ การลงทุนด้านศูนย์ข้อมูล AI และการบริโภคของครัวเรือนที่ยังไม่สะดุด จะช่วยพยุงการเติบโตในปีหน้า แม้ตลาดแรงงานเริ่มอ่อนตัวและค่าครองชีพที่สูงขึ้นอาจกระทบกำลังซื้อของบางกลุ่ม โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้ต่ำ

ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ห้าในเดือนธันวาคม ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 สะท้อนความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ภาษี และความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินยังตอบรับเชิงบวก ดัชนี S&P 500 ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลดลงเล็กน้อย

ด้านผลประกอบการภาคธุรกิจ รายงานระบุว่ากำไรบริษัทเพิ่มขึ้น 4.2% ในไตรมาสที่ 3 ถือเป็นการปรับขึ้นมากที่สุดของปี และแม้มาร์จิ้นจะเริ่มแคบลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า แต่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ

แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะระบุว่าภาษีนำเข้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดี แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวในอัตรา 2.3% สะท้อนว่าผลกระทบจากภาษีและเงินเฟ้อยังจำกัดการเติบโตในระยะยาว

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า แม้การปิดหน่วยงานรัฐบาลอาจกระทบเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี แต่พื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในปี 2026 จากแรงหนุนด้านการคลัง การลงทุนเทคโนโลยี และการใช้จ่ายของภาคเอกชน

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us