News

20250502-01

สกพอ. จับมือเมืองเฉิงตู เสริมแกร่งความร่วมมือโลจิสติกส์-การลงทุนในพื้นที่อีอีซี

สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้เปิดบ้านต้อนรับคณะผู้แทนจากเมืองเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน นำโดย Mr. Zeng Hu ผู้อำนวยการสำนักงานท่าเรือและโลจิสติกส์เทศบาลนครเฉิงตู พร้อมคณะกว่า 20 ท่าน ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยมีนายฐานวรรธก์ อรุณพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยี เป็นผู้ให้การต้อนรับและหารือถึงแนวทางความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย

การเยือนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อรับฟังนโยบายและแนวทางการส่งเสริมการลงทุนของไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานรองรับอนาคต

ระหว่างการหารือ คณะผู้แทนจากเฉิงตูได้รับฟังข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของ สกพอ. ในการขับเคลื่อนการลงทุนและสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่อีอีซี รวมถึงโครงการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรม และการพัฒนาทักษะบุคลากร ซึ่งทั้งหมดเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกให้เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาความร่วมมือที่หลากหลาย โดยเฉพาะในด้านการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ เช่น การขนส่งสินค้าทางรางและศูนย์กระจายสินค้า รวมถึงการเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างไทยและจีนในระยะยาว

การพบปะในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้เข้าใจกันมากขึ้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และยกระดับบทบาทของพื้นที่ EEC ให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมแห่งใหม่ของภูมิภาคอาเซียนในอนาคต

ที่มา - siamturakij

20250430-02

สงครามภาษีทรัมป์เขย่าโลกขนส่ง 'ตู้คอนเทนเนอร์ว่างล้นท่าเรือ' ผู้ส่งออกเร่งหาทางรอด

การขนส่งสินค้าทางตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งถือเป็นหัวใจของระบบการค้าโลก กำลังเผชิญคลื่นความปั่นป่วนระลอกใหม่ จากผลกระทบของสงครามภาษีที่นำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากการประกาศใช้มาตรการภาษีที่เข้มข้นต่อประเทศคู่ค้ากว่า 60 ประเทศเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา บรรยากาศการค้าโลกก็กลับเข้าสู่ความไม่แน่นอนอีกครั้ง และที่รุนแรงเป็นพิเศษคือความตึงเครียดกับจีน ซึ่งยังคงถูกเก็บภาษีในระดับสูง แม้จะมีการระงับภาษีชั่วคราวสำหรับประเทศอื่นๆ ก็ตาม

ในเวลาเพียงวันเดียวหลังจากประกาศใช้ภาษีแบบสายฟ้าแลบ สหรัฐฯ กลับระงับการบังคับใช้ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันสำหรับหลายประเทศ ขณะที่จีนไม่ได้รับการยกเว้น และตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีของตนเอง ส่งผลให้ทั้งสองประเทศกำหนดภาษีขั้นต่ำที่สูงถึง 125% ต่อสินค้านำเข้าของกันและกัน สถานการณ์กลับยิ่งซับซ้อนขึ้น เมื่อสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์ ถูกยกเว้นโดยไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน แม้ว่าภาษีเดิมที่เคยใช้กับจีนยังคงมีผลบังคับอยู่

การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเช่นนี้ ทำให้ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าทั่วโลกต้องเร่งประเมินและปรับแผนการขนส่งอย่างต่อเนื่อง รายงานของยูดาห์ เลวีน นักวิเคราะห์จาก Freightos ชี้ว่า การประกาศภาษีระลอกใหม่ได้กดดันให้ยอดการจองตู้คอนเทนเนอร์จากเอเชียลดลงทันที ขณะเดียวกัน การเร่งขนส่งล่วงหน้าก่อนภาษีจะเริ่มมีผล ได้ดันราคาค่าขนส่งจากเอเชียไปยังชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 10% อยู่ที่ 2,465 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต ส่วนเส้นทางไปฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ขยับขึ้น 3% อยู่ที่ 3,647 ดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม เมื่อภาษีมีผลบังคับใช้ ราคาขนส่งจากเซี่ยงไฮ้กลับลดลง 16% สวนทางกับไต้หวันและเวียดนามที่ราคายังคงทรงตัวในระดับสูง สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานที่เริ่มกระจายฐานการผลิตออกจากจีนไปยังประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย

ขณะที่ความไม่แน่นอนยังคงปกคลุมอยู่ ท่าเรือหลายแห่งในจีนเริ่มเผชิญปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ว่างล้นท่า และมีรายงานการยกเลิกเรือเดินสมุทรเพิ่มขึ้นจากความต้องการที่ลดลง ผู้นำเข้าสหรัฐฯ หลายรายตัดสินใจเร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้าไปตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา หวังลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งและความเสี่ยงทางการค้าในปีนี้ ส่งผลให้มีสินค้าคงคลังสะสมเพียงพอในระดับหนึ่ง และเลือกหยุดชั่วคราวเพื่อประเมินทิศทางใหม่

การพักภาษีเป็นเวลา 90 วันนับเป็นโอกาสสำหรับผู้ส่งสินค้าในเส้นทางอื่นที่จะเร่งนำเข้าสินค้าก่อนเส้นตายเดือนกรกฎาคม แต่ก็อาจนำไปสู่การลดลงของคำสั่งซื้อในระยะถัดมา ทำให้ “ฤดูกาลพีค” ของการขนส่งในปีนี้อาจเงียบเหงากว่าที่เคยเป็น เนื่องจากความต้องการถูกดึงไปก่อนหน้าแล้ว

ในเส้นทางเอเชีย–ยุโรป ดัชนีค่าขนส่งระบุว่าราคาลดลง 1% เหลือ 2,365 ดอลลาร์ต่อหน่วยตู้คอนเทนเนอร์ ส่วนเส้นทางเอเชีย–เมดิเตอร์เรเนียน ลดลง 5% เหลือ 2,751 ดอลลาร์ โดยผู้ให้บริการเดินเรือจำเป็นต้องปรับแผนอย่างเร่งด่วน เพื่อเพิ่มบริการจากประเทศอื่นในเอเชียแทนจีน ในขณะที่ยังต้องรับมือกับปัญหาตู้เปล่าที่หมุนเวียนกลับมาไม่ทัน

ความเคลื่อนไหวของสายเรือใหญ่ เช่น Maersk และ Hapag-Lloyd ยิ่งตอกย้ำถึงความไม่ปกติในตลาด ทั้งสองบริษัทประกาศเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษในฤดูพีค โดย Maersk เรียกเก็บ 2,000 ดอลลาร์ต่อ FEU สำหรับสินค้าจากเอเชียไปยังสหรัฐฯ และแคนาดา ตั้งแต่ 15 พฤษภาคม ขณะที่ Hapag-Lloyd ซึ่งเป็นพันธมิตรในโครงการ Gemini Cooperation ก็กำหนดอัตราค่าบริการเท่ากัน มีผลตั้งแต่ 12 พฤษภาคม

แม้ราคาเฉลี่ยของการขนส่งจากเอเชียไปอเมริกาเหนือจะปรับเพิ่มขึ้นในช่วงต้นเดือน แต่ก็เริ่มมีแนวโน้มลดลงอีกครั้งเมื่อแรงผลักจากการเร่งขนส่งล่วงหน้าผ่านพ้นไป ความแตกต่างของราคาในแต่ละเส้นทางและประเทศจึงกลายเป็นสัญญาณสำคัญที่บอกว่าโครงสร้างของห่วงโซ่อุปทานโลกอาจกำลังเปลี่ยนแปลงในระดับลึกกว่าที่เห็น

สำหรับธุรกิจขนส่งและผู้ประกอบการโลจิสติกส์ ปี 2568 จึงเป็นปีแห่งความท้าทายที่จะต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในแบบรายวัน ตั้งแต่การเคลื่อนไหวทางการเมือง จนถึงการวางแผนรับมือกับตู้คอนเทนเนอร์ว่างที่ล้นท่า และเส้นทางที่ไม่แน่นอนอีกต่อไป

ที่มา - thansettakij

20250430-01

ไทยเดินหน้าทดลอง 'โดรนขนส่งสินค้า' ภายในปี 2568 มุ่งสู่ 'โลจิสติกส์อัจฉริยะ'

พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ได้พาสื่อมวลชนลงพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ จังหวัดระยอง เพื่อติดตามการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมโดรน ภายในพื้นที่ UAV Regulatory Sandbox ซึ่งถูกออกแบบมาให้เป็นพื้นที่ทดสอบจริงสำหรับเทคโนโลยีโดรน ทั้งด้านการขนส่ง ระบบการควบคุม และความปลอดภัย

ในขณะเดียวกัน CAAT ยังเร่งขับเคลื่อนแผนงานระดับประเทศ โดยอยู่ระหว่างจัดทำ Drone Master Plan และ Roadmap ที่ครอบคลุมทั้งมิติด้านกฎหมาย นโยบาย การพัฒนาบุคลากร การจัดโครงสร้างพื้นฐาน และความมั่นคง ปูทางไปสู่การใช้โดรนอย่างแพร่หลายในอนาคต ซึ่งในปี 2568 นี้ ไทยตั้งเป้าจะเริ่มทดลองใช้ “โดรนขนส่ง” อย่างเป็นทางการในเขตเมือง โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยได้มีการหารือร่วมกับหลายหน่วยงาน อาทิ ไปรษณีย์ไทย วิทยุการบิน และเอกชนด้านโทรคมนาคม เพื่อเตรียมวางระบบและแผนการดำเนินงานให้พร้อมสำหรับการขออนุญาตเชิงพาณิชย์ในอนาคต

ภายในงาน ยังมีการสาธิตการใช้งานจริงของโดรนขนส่งโดยบริษัทเอกชน พร้อมแสดงระบบบริหารจัดการจราจรทางอากาศสำหรับโดรน (UTM) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการควบคุมการบินให้เป็นไปอย่างปลอดภัยแม้อยู่ในเขตห้วงอากาศควบคุม การเตรียมความพร้อมเช่นนี้ สะท้อนว่าไทยไม่ได้เพียงแค่ติดตามเทคโนโลยีระดับโลก แต่กำลังลงมือปูรากฐานเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมขนส่งไปอีกขั้น

แม้การขนส่งด้วยโดรนจะยังเป็นเรื่องใหม่ แต่ข้อดีของมันกำลังฉายแววเด่นชัดมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านความรวดเร็ว การเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล และต้นทุนพลังงานที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการขนส่งแบบดั้งเดิม โดรนไฟฟ้าไม่มีการปล่อยไอเสีย ช่วยลดมลพิษทางอากาศ และยังสามารถบินตรงข้ามสิ่งกีดขวางหรือเข้าไปในพื้นที่ภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว เป็นการยกระดับความปลอดภัยและความสามารถในการเข้าถึงอย่างแท้จริง

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ข้อจำกัดก็ยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการบรรทุกสินค้าที่ยังจำกัดเฉพาะของชิ้นเล็กน้ำหนักเบา ความเปราะบางต่อสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย รวมไปถึงประเด็นความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงทางไซเบอร์ซึ่งยังต้องอาศัยกฎหมายและระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเพื่อรองรับการใช้งานในวงกว้าง

แม้ต้นทุนเริ่มต้นในการพัฒนาระบบโดรนจะยังสูง แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าหากมีการใช้งานในระดับประเทศได้จริง ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในระบบโลจิสติกส์ภาพรวมได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่ออุตสาหกรรมสำคัญเริ่มนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้งานอย่างจริงจัง

ในมุมของผู้ได้รับประโยชน์ ธุรกิจโลจิสติกส์และอีคอมเมิร์ซนับเป็นกลุ่มแรกที่ตอบรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะสามารถลดเวลาส่งสินค้าและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับภาคสาธารณสุขที่สามารถส่งยา เวชภัณฑ์ หรือเครื่องมือฉุกเฉินไปยังพื้นที่ห่างไกลได้อย่างทันท่วงที ขณะที่ภาคเกษตรกรรมก็เริ่มใช้โดรนในการส่งอุปกรณ์หรือเมล็ดพันธุ์เข้าสู่ไร่นาโดยไม่ต้องใช้แรงงานคนมากเท่าเดิม

อุตสาหกรรมอาหารและการบริการ Delivery ก็ได้รับอานิสงส์จากความเร็วของการส่งสินค้าผ่านทางอากาศ เช่นเดียวกับภาคพลังงานและเหมืองแร่ที่สามารถจัดส่งอุปกรณ์ไปยังไซต์งานทุรกันดารได้อย่างสะดวก ในขณะที่ระบบความช่วยเหลือฉุกเฉินก็จะมีเครื่องมือใหม่ในการเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยพิบัติได้โดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตของเจ้าหน้าที่

สุดท้ายแล้ว เทคโนโลยีโดรนขนส่งกำลังเปลี่ยนโลกของการขนส่งไปอย่างเงียบ ๆ แต่ทรงพลัง และเมื่อประเทศไทยเริ่มทดลองใช้อย่างเป็นระบบในปี 2568 นี้ เราอาจได้เห็นภาพโดรนบินผ่านฟ้าไทย ส่งสินค้าถึงบ้านเราได้ในเวลาไม่กี่นาทีอย่างเป็นเรื่องปกติในอนาคตอันใกล้

ที่มา - it24hrs

20250429-03

'คมนาคม' เตรียมชง ครม. เคาะร่าง พ.ร.บ. รฟม. ฉบับใหม่ รองรับนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

ในเดือนพฤษภาคมนี้ กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ฉบับใหม่ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อผลักดันให้ทันกับแผนดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ภายในเดือนกันยายน 2568 โดยร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผ่านเว็บไซต์ระบบกลางทางกฎหมาย จนถึงวันที่ 2 พฤษภาคมนี้ ก่อนจะรวบรวมความเห็นทั้งหมดเพื่อนำมาปรับปรุงให้เหมาะสม

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่นี้ ถือเป็นกฎหมายเร่งด่วนพิเศษ และคาดว่าจะสามารถเสนอเข้าสู่ที่ประชุมครม.ได้ภายในวันที่ 8 พฤษภาคม จากนั้นจะรอการบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในช่วงวันที่ 11-13 พฤษภาคม 2568 ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ประสานขอเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสมัยวิสามัญ ระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ซึ่งหากดำเนินการตามกรอบเวลาได้สำเร็จ จะทำให้นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายมีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น

ที่ผ่านมา พระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 ถูกใช้งานมาเป็นเวลากว่า 20 ปี และเริ่มไม่สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน ส่งผลให้การดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ขาดความคล่องตัวในหลายมิติ ทั้งในด้านการบริหารจัดการองค์กร การใช้ทรัพย์สินให้เกิดมูลค่าเพิ่ม และการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ

ร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่นี้จึงถูกเสนอขึ้นเพื่อปรับปรุงข้อจำกัดเดิมที่ขัดขวางการพัฒนากิจการรถไฟฟ้า เช่น การขยายขอบเขตนิยามคำว่า “กิจการรถไฟฟ้า” ให้ครอบคลุมภารกิจใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน การปรับแก้บทบัญญัติเกี่ยวกับอำนาจในการใช้ทรัพย์สินเพื่อสร้างรายได้ให้ รฟม. และลดภาระงบประมาณของรัฐ รวมไปถึงการสนับสนุนการให้บริการแบบเชื่อมโยงกับขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่นๆ ผ่านระบบตั๋วร่วม

นอกจากนี้ ยังรวมถึงการแก้ไขข้อจำกัดในเรื่องการบริหารบุคลากรและเงินเดือน ซึ่งเดิมต้องผ่านการเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง ทำให้ขาดความยืดหยุ่นในการจัดการองค์กร และการปรับเพดานวงเงินที่ต้องเสนอ ครม. อนุมัติให้สอดคล้องกับมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน

เป้าหมายของร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้ คือการปลดล็อกข้อจำกัดเก่า เพิ่มขีดความสามารถของ รฟม. ให้สามารถบริหารกิจการได้อย่างทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลได้รวดเร็วขึ้น ทั้งยังสนับสนุนให้เกิดการจัดการระบบขนส่งมวลชนที่เชื่อมต่อกันอย่างแท้จริง ทั้งในแง่การบริการประชาชน และการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ

ประชาชนทั่วไป ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงมีบทบาทสำคัญในการแสดงความคิดเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ เพื่อร่วมกันผลักดันให้การขนส่งมวลชนไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้โดยสารทุกระดับในอนาคตอันใกล้

ที่มา - thansettakij

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us