News

news-20250130-01

'ม.ศรีปทุม' เตรียมพัฒนาหลักสูตร หนุนศักยภาพโลจิสติกส์

ผศ.ดร.ธรินี มณีศรี คณบดีวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU) กล่าวว่าภายในปี 2027 หลักสูตรของ SPU ครอบคลุมทั้งระดับปริญญาตรี โท เอก และหลักสูตรระยะสั้น เพื่อตอบโจทย์อาชีพเร่งด่วน เน้นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง พร้อมเทคโนโลยีสมัยใหม่และกลยุทธ์การจัดการ มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะที่สำคัญในยุคปัจจุบัน ด้วยการพัฒนาหลักสูตร Digital Supply Chain & AI สร้างกำลังคนโลจิสติกส์แห่งอนาคต การพัฒนาหลักสูตรด้านดิจิทัลซัพพลายเชน และ AI เพื่อเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และธุรกิจเกี่ยวเนื่องของไทย สู่อุตสาหกรรมการผลิต 4.0/5.0 อุตสาหกรรมเกษตรมูลค่าสูง ศูนย์กลางอาหารของโลก เพื่อเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ

จากจุดแข็งด้านทรัพยากรธรรมชาติ และวัฒนธรรมอาหารของไทย รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยาและเวชภัณฑ์ สมุนไพร ต้นไม้ ฯลฯ หรือเรียกโดยรวมว่า “สินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ” ที่จำเป็นต้องใช้โซ่อุปทานความเย็น (Cold Chain) ตั้งแต่ต้นน้ำ การรักษาคุณภาพของสินค้าตั้งแต่เกษตรกร กลางน้ำ ผู้ผลิตและแปรรูป และปลายน้ำลูกค้าในตลาดโลก

โดยในปี 2025 นี้ ทางวิทยาลัยฯ ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร จะเปิดตัวหลักสูตรระยะสั้นใหม่ล่าสุดในกลุ่มวิชาเฉพาะทาง ได้แก่ หลักสูตร “โซ่อุปทานอัจฉริยะและการวิเคราะห์ข้อมูล เน้นองค์ความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI เพื่อความยั่งยืน ประกอบด้วยรายวิชาที่เจาะเทรนด์สมัยใหม่ เช่น การจัดการโซ่อุปทานดิจิทัล ระบบอัตโนมัติโซ่อุปทานแบบลีน การวิเคราะห์ข้อมูลโซ่อุปทาน การจำลองสถานการณ์ในโซ่อุปทานเพื่อการตัดสินใจ และการจัดการโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน ผ่านการเรียนกับตัวจริงประสบการณ์จริง ลงมือปฏิบัติกับสถานประกอบการในเครือข่ายพันธมิตร เช่น สมาพันธ์โลจิสติกส์ไทย สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย สมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ รวมถึงเครือข่ายในต่างประเทศ

“จุดเด่นของหลักสูตรคือการสร้างบุคลากรที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ ซึ่งคิดเป็น 13-15% ของจีดีพี โดยการลดต้นทุนเพียง 1% สามารถประหยัดเศรษฐกิจได้กว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ SMEs ไทยเข้าถึงตลาดโลกได้ง่ายขึ้น หลักสูตรนี้ตอบโจทย์การพัฒนา Up-skill และ Re-skill บุคลากร รองรับเศรษฐกิจดิจิทัลและตลาดแรงงานในอนาคต พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งเอเชียอย่างยั่งยืน” ผศ.ดร.ธรินี กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา - khaosod

news-20250127-02

'คมนาคม' ถกกระทรวงญี่ปุ่น 'ปลุกท่าเรือสีเขียว' รับขนส่งสินค้าทางน้ำ

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานกรรมการการท่าเรือฯ เปิดเผยว่า กระทรวงและกทท. ได้เข้าร่วมประชุม​ ณ​ กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยว (Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism: MLIT) ประเทศญี่ปุ่น​

นายชยธรรม์ กล่าวว่า MLIT มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายและขับเคลื่อนการพัฒนาท่าเรือของประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการขนส่งทางทะเล สร้างความเชื่อมโยงทางการค้ากับนานาชาติ

ขณะเดียวกันได้มีนโยบายเพื่อก้าวเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์สำคัญของภูมิภาคเอเซีย ที่สามารถรองรับการขนส่งสินค้าที่มีปริมาณมากและหลากหลายชนิด พร้อมเชื่อมโยงท่าเรือกับระบบขนส่งอื่นๆ เช่น รถไฟ รถบรรทุก และการขนส่งทางอากาศ

นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยภายในท่าเรือโดยการเชื่อมโยงข้อมูลแบบไร้รอยต่อ (Seamless Operation) ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และประเทศในอาเซียนซึ่งถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญของประเทศ

นายชยธรรม์ กล่าวต่อว่า ภายหลังการหารือร่วมกับ MLIT นั้นพบว่ามีนโยบายที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการขับเคลื่อนนโยบายคมนาคมเพื่อโอกาสของประเทศไทย มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมเพื่อสนับสนุนระบบโลจิสติกส์ ลดต้นทุนด้านการขนส่ง สร้างโอกาส เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ MLIT จะเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาท่าเรือให้ทันสมัยแล้วยังส่งเสริมในการพัฒนาท่าเรือควบคู่กับเมือง

สำหรับการนำแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนมาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้เชื่อมต่อกับพื้นที่ริมน้ำ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง ตลอดจนการพัฒนาท่าเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของท่าเทียบเรือตู้สินค้า

ขณะเดียวกันยังส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก และใช้พลังงานหมุนเวียนต่างๆ ตลอดจนการติดตั้งระบบจ่ายไฟฟ้าจากฝั่ง (Shore Power Supply) เพื่อลดมลพิษทางอากาศและเสียงรบกวนจากเรือที่จอดเทียบท่า

"การเข้าพบปะหารือกับ MLIT วันนี้ นับว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการท่าเรือฯ ที่จะนำนโยบายต่างๆ ข้างต้น มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการของท่าเรือกรุงเทพต่อไป" นายชยธรรม์ กล่าว

การพัฒนาท่าเรือท่องเที่ยว การพัฒนาท่าเรือสีเขียว และการพัฒนา การใช้ประโยชน์พื้นที่ท่าเรือกรุงเทพให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นโครงการสำคัญ (Flagship Project) ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมที่จะส่งเสริมศักยภาพของท่าเรือไทยในการเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาค ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของพื้นที่

ที่มา - thansettakij

news-20250127-01

'ดูไบ เวิลด์' หนุนไทยชิงบทฮับโลจิสติกส์ ชี้ช่วยลดเสี่ยงผลการค้าที่แตกแยก

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบหารือกับ สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม ประธานกลุ่มบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท DP World (UAE)  ณ  DP World House เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างการประชุม "World Economic Forum (WEF)"

นอกจากนี้  รัฐบาลยังดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อาทิ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ  Landbridge, โครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น เพื่อผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค

ด้านสุลต่าน อะห์เหม็ด แสดงความเห็นว่าบริษัทฯพร้อมสนับสนุนไทยในการพัฒนาสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ลาดกระบัง ให้เป็น ศูนย์โลจิสติกส์ระดับภูมิภาคแบบหลายรูปแบบ (Multi-modal) สำหรับการค้าข้ามพรมแดนระหว่างจีน อินโดจีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ ผ่านการเชื่อมโยงเครือข่ายทางรถไฟ รวมทั้งโครงการท่าเทียบเรือชุด B ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถรองรับเรือและตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ รองรับการขนส่งและโลจิสติกส์ทั้งระดับประเทศและระดับโลก

นอกจากนี้ DP World พร้อมจะเดินหน้าศึกษาการลงทุนโครงการ Land Bridge เพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาคอาเซียนและเชื่อมโยงไปมหาสมุทรอินเดียและกลุ่มประเทศความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอล หรือ BIMSTEC

ในโอกาสการประชุม WEF ได้มีการนำเสนองานวิจัย  Trade in Transition 2025เผยแพร่โดย Economist Impact และ DP World สาระสำคัญระบุว่า ธุรกิจทั่วโลกสามในสี่กำลังเผชิญกับการปฏิรูป(ยกเครื่อง)ห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการลดขนาดซัพพลายเชนลงเพื่อลดผลกระทบความเสี่ยงต่างๆทางการค้าที่กำลังเพิ่มท่ามกลางความสภาพแวดล้อมโลกที่เต็มไปด้วยความแตกแยก

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์นี้ ซึ่งขับเคลื่อนอยู่บนความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ มีแนวโน้มจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตามนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของรัฐบาลชุดใหม่ในสหรัฐ

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250124-02

'แคนาดา' ประกาศตอบโต้สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้า 1 ก.พ. นี้

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ประกาศว่ารัฐบาลแคนาดาพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ หากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา โดยรัฐบาลจะมุ่งเน้นปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่าง 2 ประเทศ พร้อมทั้งระบุว่าความเจริญรุ่งเรืองของอเมริกาที่ทรัมป์สัญญาเอาไว้ ต้องอาศัยทรัพยากรของแคนาดา

ความเคลื่อนไหวนี้ มีขึ้นหลังจากทรัมป์ระบุกับผู้สื่อข่าวระหว่างลงนามคำสั่งในวันทำงานวันแรก ว่า กำลังคิดจะเก็บภาษีร้อยละ 25 สำหรับการนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ในวันที่ 1 ก.พ. เนื่องจาก 2 ประเทศนี้ไม่ยอมจัดการปัญหาผู้อพยพและยาเสพติดที่ไหลทะลักเข้ามาในสหรัฐฯ

ขณะที่ในวันที่ 2 ของการทำงาน ทรัมป์ใช้โอกาสระหว่างเปิดการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว ประกาศขู่เก็บภาษีนำเข้าจากสหภาพยุโรป โดยทรัมป์ ระบุว่า สหภาพยุโรปและประเทศอื่น ๆ ยังคงมีการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่าขณะนี้รัฐบาลกำลังหารือเกี่ยวกับการเก็บภาษีนำเข้าจากจีนร้อยละ 10 เนื่องจากจีนยังคงปล่อยให้มีการส่งออกเฟนทานิลเข้ามายังสหรัฐฯ ผ่านทางเม็กซิโกและแคนาดา โดยมาตรการดังกล่าวอาจเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.พ. นี้ เช่นกัน

ล่าสุดจีนออกมาเคลื่อนไหว โดยเหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ระบุว่า ไม่มีใครเป็นผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษี และย้ำถึงจุดยืนของจีนในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพื่อตอบโต้คำขู่ของทรัมป์ด้วย

ที่มา - thaipbs

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us