News

L2D Page (165)

เศรษฐกิจไทยปี 69 ยังหนีไม่พ้นกับดัก‘วิกฤติ’

ปีมะเมียเศรษฐกิจไทย 2569 บนเส้นทางเปราะบาง ระหว่างการประคองตัวกับความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง

ปี 2569 ตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ถูกขนานนามว่าเป็นปีแห่ง “ม้าไฟ” ปีที่ควรเต็มไปด้วยพลัง การเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากแต่มองผ่านเลนส์เศรษฐกิจไทยแล้ว ภาพที่ปรากฏกลับเต็มไปด้วยความเปราะบางและความไม่แน่นอน มากกว่าการทะยานไปข้างหน้าอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง เศรษฐกิจไทยในปีหน้าดูจะยังต้องเผชิญกับเส้นทางที่ขรุขระ และยังห่างไกลจากคำว่า “ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน”

แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะวางกรอบเงินเฟ้อปี 2569 ไว้ที่ระดับ 1-3% สะท้อนความพยายามในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค แต่ตัวเลขเป้าหมายดังกล่าวไม่อาจกลบความจริงที่ว่าปัจจัยเสี่ยงยังคงรายล้อมรอบด้าน ทั้งแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก ราคาพลังงานที่ผันผวน และปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศที่สะสมมาอย่างยาวนาน ความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวอย่างราบรื่น จึงอาจเป็นเพียงภาพฝันที่ยังไปไม่ถึงความเป็นจริง

หนึ่งในความไม่แน่นอนสำคัญคือสถานการณ์การเมืองไทยที่กำลังเดินเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหรือกระบวนการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า ล้วนตั้งคำถามต่อความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจ หากกระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น ก็อาจช่วยประคองความเชื่อมั่นได้ แต่หากเกิดความล่าช้า ความขัดแย้ง หรือปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาล ผลกระทบจะไม่ได้หยุดอยู่แค่ในเชิงการเมือง หากแต่จะสะเทือนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน ภาคธุรกิจ และต้นทุนการตัดสินใจของประชาชนทั้งระบบ

ขณะเดียวกัน ภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มทยอยปรับเพิ่ม แม้ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง แต่ก็ยังแฝงความผันผวนจากราคาพลังงานและปัจจัยภายนอกประเทศ เป็นสัญญาณเตือนว่าการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในระยะต่อไปไม่อาจพึ่งพามาตรการกระตุ้นแบบกว้างขวางหรือหว่านแหได้อีกต่อไป หากขาดการคำนึงถึงเสถียรภาพทางการคลังและผลกระทบในระยะกลางถึงระยะยาว ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพอาจย้อนกลับมาซ้ำเติมเศรษฐกิจมากกว่าการพยุงให้ฟื้นตัว

โจทย์ใหญ่ที่ยังคงเป็นแผลเรื้อรังของเศรษฐกิจไทย คือภาคเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจ แต่กลับเผชิญปัญหาการเข้าถึงสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ภาวะการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ติดลบยาวนานสะท้อนให้เห็นว่ากลไกการเงินกำลังติดขัดอย่างจริงจัง แม้มาตรการลดต้นทุนสินเชื่อที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และภาคธนาคารเตรียมผลักดัน จะช่วยบรรเทาแรงกดดันในระยะสั้น แต่ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย หากไม่ควบคู่กับการยกระดับขีดความสามารถ การปรับตัว และการเพิ่มผลิตภาพของผู้ประกอบการ

บทเรียนสำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบาย คือ ปี 2569 อาจไม่ใช่เวลาของนโยบายประชานิยมระยะสั้น หากแต่เป็นช่วงเวลาที่ประเทศต้องการความชัดเจน ความต่อเนื่อง และความน่าเชื่อถือของนโยบายมากกว่าที่เคย รัฐบาลไม่ว่าจะมาจากชุดใด จำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรักษาวินัยการคลัง ควบคู่กับการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง ทั้งด้านแรงงาน การเงิน และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ท้ายที่สุด เศรษฐกิจไทยจะสามารถก้าวข้ามความเปราะบางในปีหน้าได้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขเงินเฟ้อหรืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับเสถียรภาพทางการเมือง ความพร้อมในการรับมือกับความผันผวน และความต่อเนื่องของนโยบายในระยะยาว หากภาครัฐยังคงมองปัญหาในกรอบระยะสั้น เศรษฐกิจไทยปี 2569 อาจยังไม่พ้นจาก “กับดักวิกฤติ” และทำได้เพียงประคองตัวท่ามกลางความไม่แน่นอน มากกว่าการเดินหน้าไปสู่การเติบโตอย่างแท้จริง

L2D Page (164)

จับตา ‘ทุเรียนลาว’ ชิงส่งออกส่วนแบ่ง ‘ไทย’ ตลาดใหญ่ในจีน

ทุเรียนลาวรุกตลาดจีน โจทย์ท้าทายใหม่ของไทยในสมรภูมิผลไม้พรีเมียม

ตลาดทุเรียนสดในจีนกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อประเทศลาวได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการให้เริ่มส่งออกทุเรียนสดเข้าสู่จีน ส่งสัญญาณการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดผลไม้พรีเมียม โดยนักวิเคราะห์มองว่าลาวมีศักยภาพก้าวขึ้นเป็นคู่แข่งรายใหม่ที่น่าจับตา โดยเฉพาะต่อประเทศไทยซึ่งครองตำแหน่งผู้นำการส่งออกทุเรียนไปจีนมาอย่างยาวนาน

ข้อมูลจากเว็บไซต์สำนักงานศุลกากรจีนระบุว่า ลาวได้รับอนุญาตให้เริ่มส่งออกทุเรียนสดเข้าสู่จีนตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2568 ภายใต้เงื่อนไขต้องปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยพืชอย่างเคร่งครัด นับเป็นประเทศล่าสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เข้าสู่ตลาดทุเรียนจีนอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นจากหลายประเทศในภูมิภาค

นักวิเคราะห์ชี้ว่า จุดแข็งของลาวอยู่ที่ต้นทุนการผลิตที่ต่ำ ทั้งค่าแรงและราคาที่ดิน รวมถึงความได้เปรียบด้านโลจิสติกส์จากเส้นทางรถไฟลาว–จีน ซึ่งเชื่อมต่อกรุงเวียงจันทน์กับเมืองคุนหมิงโดยตรง ช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาในการขนส่งผลไม้สดเข้าสู่ตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ทางการเมืองที่ใกล้ชิดระหว่างลาวกับจีน ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญต่อการขยายการค้าสินค้าเกษตร

ลิม ฉิน คี ที่ปรึกษาสถาบันศึกษาทุเรียนในมาเลเซีย ระบุว่า ระบบโลจิสติกส์ถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญที่สุดของลาว รองลงมาคือแรงงาน ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตั้งราคาทุเรียนสดได้ในระดับที่แข่งขันได้ แม้จะเป็นผลไม้ที่มีราคาสูงในตลาดจีนก็ตาม

ในด้านคุณภาพ ลิมมองว่า รสชาติของทุเรียนลาวแตกต่างจากทุเรียนไทยและเวียดนามเพียงเล็กน้อย เนื่องจากสภาพภูมิอากาศและปริมาณน้ำฝนในภูมิภาคใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงเป็นผู้นำตลาดทุเรียนจีนในปัจจุบัน โดยทุเรียนกว่า 90% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยถูกส่งไปยังจีน ซึ่งเป็นตลาดบริโภคหลักของผลไม้ที่ได้รับการขนานนามว่า “ราชาแห่งผลไม้” และนิยมใช้เป็นของขวัญในโอกาสพิเศษต่าง ๆ

ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีนระบุว่า ในปีที่ผ่านมา จีนนำเข้าทุเรียนมูลค่าสูงถึง 6.99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยประเทศไทยครองส่วนแบ่งตลาดราว 57% รองลงมาคือเวียดนาม 38% ขณะที่กัมพูชา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์มีสัดส่วนการนำเข้าในระดับที่ต่ำกว่า

นักวิเคราะห์มองว่า การเปิดตลาดทุเรียนลาวเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์จีนในการใช้การค้าเป็นเครื่องมือเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือที่เรียกว่า “การทูตทุเรียน” โดยเฉพาะในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้น

ระหว่างการเยือนลาวของนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ในเดือนตุลาคม 2567 จีนได้แสดงจุดยืนสนับสนุนการพัฒนาลาวให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อทางบก ผ่านโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรผ่านเส้นทางรถไฟสายตรงสู่จีน

ราจิฟ บิสวัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเอเชียแปซิฟิกอีโคโนมิกส์ มองว่า การอนุญาตให้ลาวส่งออกทุเรียนสดเข้าสู่จีน จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคี และขยายบทบาทของลาวในห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรของภูมิภาคอาเซียน โดยถือเป็นก้าวสำคัญในการเปิดโอกาสให้ลาวเข้าถึงตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ของจีน

รายงานจากสื่อท้องถิ่นลาวระบุว่า ผู้ปลูกทุเรียนในประเทศเริ่มสำรวจโอกาสทางการค้าและการลงทุนในตลาดจีนตั้งแต่ปี 2567 แต่ยังจำเป็นต้องพัฒนาความรู้ด้านการค้าระหว่างประเทศและการบริหารจัดการ เพื่อขยายการผลิตในเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน

ปัจจุบัน ลาวมีพื้นที่ปลูกทุเรียนประมาณ 125,000 ไร่ มีต้นทุเรียนที่ให้ผลผลิตแล้วราว 10,000 ต้น และตั้งเป้าเพิ่มจำนวนต้นที่สามารถเก็บเกี่ยวได้เป็น 270,000 ต้นภายในปี 2569 เพื่อให้ได้ผลผลิตรวมประมาณ 24,300 ตัน ซึ่งอาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สมรภูมิทุเรียนในตลาดจีนร้อนแรงยิ่งขึ้น และเป็นความท้าทายใหม่ของไทยในฐานะผู้นำตลาดเดิม

L2D Page (163)

“กรมราง” เตรียมพร้อมรับมือการเดินทางช่วง Countdown ปีใหม่ 2569

กรมการขนส่งทางรางเตรียมพร้อมเต็มรูปแบบ รองรับการเดินทางช่วงเคานต์ดาวน์ปีใหม่ 2569

กรมการขนส่งทางรางเดินหน้าประสานความร่วมมือกับหน่วยงานผู้ให้บริการระบบรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อยกระดับความปลอดภัย ลดเหตุขัดข้อง และอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนในช่วงกิจกรรมเคานต์ดาวน์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2569 พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพื่อลดปัญหาการจราจรและเพิ่มความคล่องตัวในการเดินทาง

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับและบริหารจัดการระบบขนส่งทางราง ครั้งที่ 5/2568 ร่วมกับหน่วยงานผู้ให้บริการระบบรางที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมได้ติดตามสถานการณ์และประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ รวมถึงกำหนดแนวทางการแก้ไขและป้องกันปัญหา เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่

จากการรายงานสถิติเหตุขัดข้องของรถไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2568 พบว่ามีเหตุขัดข้องรวม 24 ครั้ง โดยมีสาเหตุจากหลายระบบ เช่น ระบบขับเคลื่อน ระบบเบรก ระบบจ่ายไฟฟ้า จุดสับราง ระบบอาณัติสัญญาณ รวมถึงปัจจัยภายนอก กรมการขนส่งทางรางจึงได้เสนอแนะให้ผู้ให้บริการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน รวมถึงร่วมกันวางแนวทางป้องกันเพื่อลดโอกาสเกิดเหตุขัดข้องในอนาคต

ที่ประชุมยังได้รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าโมโนเรลในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว–สำโรง และสายสีชมพู ช่วงแคราย–มีนบุรี กรณีล้อประคองรถไฟฟ้าหลุดร่วง โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยร่วมกับผู้รับสัมปทาน ได้ดำเนินการเปลี่ยนล้อประคองของขบวนรถทั้งสองสายเรียบร้อยแล้ว รวมถึงได้เร่งแก้ไขกรณีรางนำไฟฟ้าหลุดร่วง ด้วยการเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบ ติดตั้งอุปกรณ์ลดแรงกระแทก และเสริมอุปกรณ์ยึดรางจ่ายไฟฟ้าตามระยะที่กำหนด ซึ่งปัจจุบันได้ติดตั้งแล้วและเปิดให้บริการเดินรถเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2568

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวันสำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งมีผลดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2569 โดยมาตรการดังกล่าวช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน และส่งเสริมการใช้ระบบรางมากขึ้น โดยพบว่าจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บัตร EMV เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

สำหรับการเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางในช่วงเคานต์ดาวน์ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ถึง 1 มกราคม 2569 คาดว่าจะมีประชาชนใช้บริการรถไฟฟ้าจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานีที่อยู่ใกล้พื้นที่จัดกิจกรรมเคานต์ดาวน์และสถานีเชื่อมต่อระบบรถไฟฟ้าหลายสาย กรมการขนส่งทางรางจึงได้ร่วมกับผู้ให้บริการกำหนดแนวทางบริหารจัดการความหนาแน่นของผู้โดยสาร การจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก การเพิ่มจุดจำหน่ายบัตร การปรับทิศทางประตูจัดเก็บค่าโดยสาร และการทำมาตรการควบคุมฝูงชนภายในสถานี ควบคู่กับการเพิ่มความถี่ของขบวนรถในช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารหนาแน่น

ทั้งนี้ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 รถไฟฟ้าทุกเส้นทางจะขยายเวลาให้บริการจนถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2569 พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับผู้จัดกิจกรรมและผู้ให้บริการรถไฟฟ้าในการประชาสัมพันธ์จุดจอดรถ และขอความร่วมมือยกเว้นค่าบริการจอดรถในอาคารและลานจอดแล้วจรของสถานีรถไฟฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อจูงใจให้ประชาชนเลือกเดินทางด้วยระบบรางมากยิ่งขึ้น

กรมการขนส่งทางรางยืนยันว่าจะติดตามและกำกับการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด โดยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ตรวจสอบมาตรการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 เป็นไปอย่างราบรื่น ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ

L2D Page (162)

ปี'69 คาดจีดีพีเกษตร 7.3 แสนล้าน สศก.แนะใช้ 'โดรน-AI' ช่วยเพิ่ม ผลผลิต

สศก.คาดจีดีพีเกษตรปี 2569 แตะ 7.3 แสนล้านบาท แนะเร่งใช้โดรน–AI พลิกเกมเกษตรไทยสู้ความเสี่ยงรอบด้าน

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรไทยในปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 2.0-3.0% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 730,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ที่จีดีพีเกษตรอยู่ที่ราว 700,000 ล้านบาท สะท้อนทิศทางการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศที่ยังคงกดดันภาคเกษตรไทยอย่างต่อเนื่อง

นายพีรพันธ์ คอทอง รักษาราชการแทนเลขาธิการ สศก. เปิดเผยระหว่างการสัมมนาภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2568 และแนวโน้มปี 2569 ภายใต้หัวข้อ “Agrivolution : พลิกเกมเกษตรทันอนาคต” ว่า การขยายตัวของจีดีพีเกษตรในปีหน้า คาดว่าภาคพืชจะเติบโตในกรอบ 2.5-3.5% ภาคปศุสัตว์ขยายตัว 1.0-2.0% ภาคประมงขยายตัว 0.3-1.3% ภาคบริการทางการเกษตรขยายตัว 0.7-1.7% และภาคป่าไม้ขยายตัว 0.2-1.2%

ทั้งนี้ การเติบโตของภาคเกษตรยังต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ำต้นทุนที่เพิ่มขึ้น นโยบายภาครัฐที่มีความต่อเนื่อง การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย รวมถึงความต้องการสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจากประเด็นความมั่นคงทางอาหาร อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ทั้งภัยแล้ง อุทกภัย และวาตภัย ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

นายพีรพันธ์ ระบุว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้า จะขยายตัวราว 3.1% ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่เติบโตเฉลี่ย 3.5% เนื่องจากหลายประเทศต้องใช้งบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาผลกระทบที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เช่น มาตรฐานด้านสุขอนามัยพืชและสัตว์ แรงงาน การลดการปล่อยคาร์บอน มีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทยโดยตรง

ในส่วนของมาตรการภาษีของสหรัฐ แม้ไทยจะถูกจัดเก็บในอัตรา 19% แต่ยังต้องมีการเจรจาเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งอาจส่งผลต่ออัตราภาษีและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย นอกจากนี้ ยังต้องเตรียมรับมือกับมาตรการ EUDR ของสหภาพยุโรป ที่ห้ามนำเข้าและจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า ครอบคลุมสินค้าเกษตรหลักหลายประเภท เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน โกโก้ กาแฟ ถั่วเหลือง ปศุสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากไม้ หากไทยไม่สามารถปรับตัวได้ สินค้าเกษตรอาจเผชิญอุปสรรคทางการค้ามากขึ้น

ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ยังส่งผลต่อต้นทุนการผลิตภาคเกษตรไทย ทั้งราคาปุ๋ย พลังงาน เมล็ดพันธุ์ และค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น กดดันต้นทุนสินค้าเกษตรและความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะเมื่อประเทศคู่แข่งมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า

นายพีรพันธ์ กล่าวย้ำว่า สินค้าเกษตรที่มีต้นทุนสูงขึ้น ย่อมส่งผลต่อการแข่งขันในตลาด ขณะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวยังจำกัดกำลังซื้อ แม้สินค้าอาหารจะเป็นสินค้าจำเป็น แต่การเติบโตของภาคเกษตรในปีหน้าอาจไม่ขยายตัวในระดับสูงมากนัก

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2569 สศก. ประเมินว่าจะขยายตัวในกรอบ 1.2-2.2% โดยมีแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศ เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการส่งเสริมการลงทุน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงจากมาตรการภาษีของสหรัฐ หนี้ครัวเรือน เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว สถานการณ์การเมือง และความผันผวนทางการเงิน ล้วนส่งผลต่อรายได้และภาระหนี้ของเกษตรกรไทย

ในระยะต่อไป ภาคเกษตรไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัว โดยมองหาโอกาสใหม่ เช่น การขยายตลาดไปยังตะวันออกกลาง ควบคู่กับการลงทุนด้านเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นโดรนการเกษตร รถเก็บเกี่ยวอัจฉริยะ ระบบหว่านอัตโนมัติ และเทคโนโลยี AI แม้จะเป็นการลงทุนที่ใช้เงินสูงในระยะแรก แต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเสริมศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว

ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดทิศทางการพัฒนาภาคเกษตร โดยยึดหลัก “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร ผ่านการบริหารจัดการผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการตลาด การส่งเสริมพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง และการขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ภาคเกษตรไทยสามารถรับมือกับความท้าทายและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us