การส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคม 2568 ดิ่งลงอย่างน่าตกใจถึง 1.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 ข้อมูลล่าสุดนี้ตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้าที่กำลังฉุดรั้งเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่หดตัวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี
แม้ตัวเลขการลดลงนี้จะน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 3.8% แต่ก็สวนทางกับการส่งออกที่เคยเติบโต 2% ในเดือนเมษายนอย่างสิ้นเชิง
สหรัฐฯ และจีน: ตลาดหลักที่ชะลอตัว
ข้อมูลจากกระทรวงการค้าของญี่ปุ่นเผยว่า การส่งออกไปยัง สหรัฐฯ ยังคงน่าเป็นห่วง โดยลดลงถึง 11.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกไปยัง จีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ก็ลดลง 8.8%
ที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ การส่งออกรถยนต์ทั่วโลกของญี่ปุ่นลดลง 6.9% โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกรถยนต์ไปยัง สหรัฐฯ ที่ร่วงหนักถึง 24.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่นคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 28.3% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดไปยังสหรัฐฯ ในปี 2567
เผชิญศึกภาษีซ้ำซ้อน
นอกจากภาษีนำเข้า 25% ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากรถยนต์และเหล็กจากญี่ปุ่นแล้ว ญี่ปุ่นยังต้องเผชิญกับ อัตราภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) 24% สำหรับสินค้าส่งออกอื่นๆ ทั้งหมด ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ ยิ่งเพิ่มความท้าทายให้กับการส่งออกของญี่ปุ่น
BOJ ส่งสัญญาณเตือน เศรษฐกิจซบเซา
ข้อมูลการส่งออกที่น่าผิดหวังนี้ถูกเผยแพร่เพียงหนึ่งวันหลังจากที่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ออกแถลงการณ์นโยบายการเงิน โดยระบุว่า "การเติบโตของเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะชะลอตัว" อันเนื่องมาจากปัจจัยด้านการค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและกำไรของภาคธุรกิจภายในประเทศ
BOJ ยังแสดงความกังวลว่า "เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนอย่างยิ่งว่า นโยบายการค้าและปัจจัยอื่นๆ ในแต่ละประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และเศรษฐกิจโลกจะตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้อย่างไร" โดยการส่งออกที่ลดลงได้ส่งผลกระทบต่อ GDP ของญี่ปุ่นแล้ว ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัว 0.2% ในไตรมาสที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการหดตัวเชิงไตรมาสครั้งแรกในรอบ 1 ปี
ดุลการค้าขาดดุลหนัก การเจรจายังไร้ข้อสรุป
ในเดือนพฤษภาคม การนำเข้าของญี่ปุ่นก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลง 7.7% ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ของรอยเตอร์คาดไว้ ส่งผลให้ดุลการค้าของญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ขาดดุล 6.376 แสนล้านเยน ซึ่งแม้จะน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็ยังคงเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงภาวะการค้าที่อ่อนแอ
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้แสดงความเห็นว่า ญี่ปุ่นเข้มงวดในการเจรจาการค้า หลังจากที่มีการเจรจาถึง 6 รอบระหว่างนายเรียวเซ อากาซาวะ หัวหน้าคณะเจรจาของญี่ปุ่น กับรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ฮาวเวิร์ด ลัตนิก และรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ ได้
สถานการณ์การส่งออกที่ย่ำแย่และการเจรจาการค้าที่ยังไม่คืบหน้า กำลังเป็นแรงกดดันสำคัญต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด