News

L2D Page (156)

"โบลิเวีย" ประกาศฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ ยกเลิกอุดหนุนเชื้อเพลิง-จ่อผ่อน คลายค่าเงิน

โบลิเวียประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ หั่นอุดหนุนพลังงานครั้งใหญ่ เดินหน้าปรับระบบค่าเงิน

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ว่า ประธานาธิบดีโรดริโก ปาซ ของโบลิเวีย ประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจในช่วงดึกของคืนวันพุธที่ผ่านมา พร้อมเปิดตัวชุดมาตรการเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการยกเลิกเงินอุดหนุนเชื้อเพลิง และการปรับเปลี่ยนกรอบอัตราแลกเปลี่ยนที่รัฐควบคุมมาเป็นเวลานาน นับเป็นจุดเปลี่ยนเชิงนโยบายที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศในรอบหลายทศวรรษ

มาตรการดังกล่าวสะท้อนการหักเลี้ยวออกจากแนวทางเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมที่โบลิเวียใช้มานานกว่า 20 ปี โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อฟื้นฟูฐานะการคลังของรัฐ ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงเกิน 20% และแรงกดดันจากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ปาซกล่าวในการแถลงพิเศษร่วมกับคณะรัฐมนตรีว่า การยกเลิกเงินอุดหนุนที่ไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้หมายถึงการทอดทิ้งประชาชน แต่เป็นการสร้างระบบเศรษฐกิจที่มีระเบียบ ความเป็นธรรม และความโปร่งใส พร้อมย้ำว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ภาครัฐ เพื่อนำไปกระจายสู่รัฐบาลกลางและท้องถิ่นอย่างเหมาะสม

ผลจากการยกเลิกเงินอุดหนุนส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินปรับเพิ่มขึ้นถึง 86% ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลพุ่งขึ้นมากกว่า 160% ถือเป็นการปรับราคาพลังงานที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยราคาดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 6 เดือน ก่อนที่รัฐบาลจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง สื่อท้องถิ่นรายงานว่าสถานีบริการน้ำมันหลายแห่งในกรุงลาปาซต้องระงับการจำหน่ายชั่วคราว หลังประชาชนเร่งกักตุนเชื้อเพลิงก่อนมาตรการมีผล

โบลิเวียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีราคาน้ำมันอุดหนุนต่ำที่สุดในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การผลิตก๊าซธรรมชาติที่ลดลงอย่างต่อเนื่องได้สร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ส่งผลให้ประเทศเผชิญทั้งภาวะขาดแคลนเชื้อเพลิงและเงินดอลลาร์ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

รัฐบาลยืนยันว่าการลดเงินอุดหนุนจะดำเนินควบคู่กับมาตรการคุ้มครองทางสังคม โดยเตรียมปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 20% ในปีหน้า เป็น 3,300 โบลิเวียโนส หรือราว 479 ดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงเพิ่มเงินช่วยเหลือโครงการ Renta Dignidad สำหรับผู้สูงอายุที่ไม่มีบำนาญ และเงินโบนัสนักเรียนโรงเรียนรัฐบาล ซึ่งทั้งสองโครงการจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 50% นอกจากนี้ ยังมีแผนโอนเงินสดพิเศษให้แก่ครอบครัวเปราะบางที่สุดเพื่อลดผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น

ปาซย้ำว่ามาตรการช่วยเหลือดังกล่าวไม่ใช่การแจกเงินในลักษณะรัฐสวัสดิการทั่วไป แต่เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการตัดสินใจเชิงนโยบายในอดีต

คำสั่งภาวะฉุกเฉินยังให้อำนาจธนาคารกลางในการจัดหาแหล่งสภาพคล่อง ปรับแก้กฎระเบียบภายใน ออกตราสารทางการเงินในต่างประเทศ และทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการทำสวอปค่าเงิน เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการชำระเงิน ซึ่งเป็นแนวทางที่โบลิเวียเพิ่งหารือกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน

ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังประกาศโครงการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยรับประกันเสถียรภาพด้านกฎหมายและภาษีเป็นระยะเวลาสูงสุด 15 ปี และยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในอนาคตจะไม่ถูกนำมาใช้ย้อนหลังกับการลงทุนที่ได้รับการคุ้มครอง เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากนักลงทุนอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังได้รับคำสั่งให้เตรียมเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนรูปแบบใหม่ ซึ่งอาจหมายถึงการยุติระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2554 โดยปัจจุบันค่าเงินโบลิเวียโนถูกตรึงไว้ที่ 6.96 ต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่อัตราในตลาดคู่ขนานขยับขึ้นมาใกล้ระดับ 10 โบลิเวียโนต่อดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนแรงกดดันต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศอย่างชัดเจน

L2D Page (155)

ทรัมป์ให้คำมั่นปี 2026 เศรษฐกิจอเมริกาจะปัง! สวนทางค่าครองชีพสูงลิ่ว

ทรัมป์ประกาศความหวังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2026 สดใส แต่เสียงประชาชนยังไม่เชื่อมั่น ท่ามกลางค่าครองชีพที่กดดัน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา แถลงปราศรัยต่อประชาชนทั้งประเทศเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2025 ณ ห้องทำงานรูปไข่ ทำเนียบขาว โดยใช้โอกาสนี้นำเสนอผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล พร้อมให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ กำลังมุ่งเข้าสู่ “ยุคทองทางเศรษฐกิจ” ในปี 2026 แม้ขณะนี้ประชาชนจำนวนมากยังเผชิญกับภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การปราศรัยใช้เวลาประมาณ 20 นาที โดยทรัมป์เปิดฉากด้วยการโจมตีการบริหารเศรษฐกิจของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยระบุว่าปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพสูงเป็นผลสืบเนื่องจากรัฐบาลชุดก่อน พร้อมยืนยันว่ามาตรการของรัฐบาลปัจจุบันกำลังทยอยแก้ไขปัญหา และทำให้ราคาสินค้าหลายประเภท รวมถึงรถยนต์ เริ่มปรับตัวลดลงแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวด้านการเมืองระหว่างประเทศของสำนักข่าวอัลจาซีรา มองว่าสุนทรพจน์ครั้งนี้มีลักษณะคล้ายการหาเสียงมากกว่าการแถลงนโยบายเชิงโครงสร้าง เนื่องจากไม่มีการประกาศมาตรการใหม่ที่ชัดเจน ไม่ได้กล่าวถึงการผลักดันกฎหมายสำคัญ และหลีกเลี่ยงการลงลึกถึงปัญหาค่าครองชีพที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน

ทรัมป์ยังกล่าวถึงแผนการเสนอชื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คนใหม่ในอนาคตอันใกล้ โดยยืนยันว่าจะเป็นบุคคลที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลง ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระค่าผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย และกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในวงกว้าง

แม้ผู้นำสหรัฐฯ จะยืนยันว่าเศรษฐกิจกำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนกลับสะท้อนมุมมองที่สวนทาง โดยผลสำรวจของ NPR/PBS News/Marist ระบุว่า มีเพียง 36% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่เห็นด้วยกับการบริหารเศรษฐกิจของทรัมป์ ขณะที่ 45% ระบุว่าราคาสินค้ายังเป็นประเด็นเศรษฐกิจที่น่ากังวลที่สุด และกว่า 60% มองแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าด้วยความกังวล โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งเชื่อว่าสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว

ขณะเดียวกัน สำนักข่าว CNN รายงานว่าทรัมป์ได้กล่าวอ้างตัวเลขการลงทุนในสหรัฐฯ สูงถึง 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อมูลบนเว็บไซต์ทำเนียบขาวที่ระบุว่าการลงทุนจริงอยู่ที่ประมาณ 9.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น โดย CNN ระบุว่าตัวเลขดังกล่าวยังอาจถูกประเมินเกินจริง เนื่องจากมีการนับรวมเพียงคำมั่นสัญญาทางการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ไม่ชัดเจน

ในช่วงท้ายของการปราศรัย ทรัมป์ได้กล่าวชื่นชมผลงานด้านนโยบายกำแพงภาษีและการควบคุมผู้อพยพ โดยยืนยันว่าสหรัฐฯ ได้รับความเคารพจากนานาประเทศมากขึ้น และการเข้าเมืองผิดกฎหมายลดลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พร้อมโจมตีรัฐบาลไบเดนว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาพรมแดนในอดีต

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเน้นย้ำข้อตกลงกับบริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่ ซึ่งเขาเชื่อว่าจะช่วยลดราคายาในสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะยาช่วยลดน้ำหนักที่มีราคาเริ่มต้นต่ำลง และการเปิดตัวแพลตฟอร์มออนไลน์ TrumpRx ในปีหน้า เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อยาในราคาพิเศษได้โดยตรง

แม้ทรัมป์จะพยายามสื่อสารภาพความสำเร็จและความหวังทางเศรษฐกิจ แต่บรรยากาศโดยรวมสะท้อนว่าความเชื่อมั่นของประชาชนยังไม่ฟื้นกลับมาอย่างเต็มที่ ท่ามกลางแรงกดดันจากค่าครองชีพและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังคงดำเนินอยู่

L2D Page (154)

พาณิชย์ ไทย-ลาว ถกแผนพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ดันการค้า แตะ 11,000 ล้านดอลลาร์ ปี 2570

พาณิชย์ไทย–ลาว เร่งขยายความร่วมมือเศรษฐกิจ ดันการค้าสองฝ่ายแตะ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2570

กระทรวงพาณิชย์ของไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เดินหน้ากระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า หวังยกระดับบทบาทการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงโลจิสติกส์ในลุ่มน้ำโขง พร้อมผลักดันมูลค่าการค้าทวิภาคีให้บรรลุเป้าหมาย 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570 โดยอาศัยจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การค้าชายแดน และเส้นทางรถไฟลาว–จีน เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมแผนความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ไทย–ลาว ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายมะไลทอง กมมะสิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของ สปป.ลาว เป็นประธานฝ่ายลาว ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าในทุกมิติ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และสนับสนุนการเป็นเส้นทางหลักของการขนส่งสินค้าระหว่างอาเซียนกับจีน

สาระสำคัญของการหารือครั้งนี้ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เส้นทางรถไฟลาว–จีน โดยลดขั้นตอนและระยะเวลาการขนถ่ายสินค้า อำนวยความสะดวกให้สินค้าจากไทยสามารถเชื่อมต่อสู่ระบบรางได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายรถ พร้อมกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการขนส่งที่ชัดเจน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนและคำนวณต้นทุนได้อย่างแม่นยำ ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Land Linked ของ สปป.ลาว และก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ

ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการจัดทำแผนงานความร่วมมือระยะ 5 ปี ระหว่างปี 2569–2573 เพื่อกำหนดทิศทางการทำงานอย่างเป็นระบบและมีกรอบเวลาที่ชัดเจน โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูกลไกความร่วมมือด้านการเกษตร การยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหารและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ภายใต้แนวคิดการผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดการเผา เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ข้ามพรมแดน

นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถิตินำเข้าและส่งออกของสินค้าสำคัญ เพื่อใช้ในการประเมินสถานการณ์และคาดการณ์ทิศทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งฝ่าย สปป.ลาว ได้ยืนยันว่าการนำเข้าจากไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ภายในประเทศเท่านั้น และไม่มีการส่งต่อไปยังประเทศที่สาม

การประชุมครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยมีคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนของไทย และสภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว เข้าร่วมนำเสนอแนวทางความร่วมมือ พร้อมเตรียมจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนและคณะอนุกรรมการในสาขาที่มีศักยภาพ อาทิ การผลิตและห่วงโซ่อุปทาน การค้าและการสร้างแบรนด์ การท่องเที่ยว นโยบายและกฎระเบียบ การพัฒนาดิจิทัลและ AI รวมถึงการเงิน เพื่อผลักดันความร่วมมืออย่างต่อเนื่องควบคู่กับการประชุมระดับนโยบายของภาครัฐ

ปัจจุบัน สปป.ลาว เป็นคู่ค้าลำดับที่ 7 ของไทยในอาเซียน และอันดับที่ 18 ของโลก โดยในปี 2567 การค้ารวมมีมูลค่ากว่า 8,283 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้ารวมขยายตัวเกือบร้อยละ 19 สะท้อนศักยภาพและโอกาสในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและลาวในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

L2D Page (153)

ขบ.-กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน"ติวเข้มผู้ขับรถขนส่งทั่วไทย ยกมาตรฐานแก้ปัญหาขาดแคลน

ขนส่งฯ ผนึกแรงงาน ปั้นนักขับมืออาชีพ ยกระดับความปลอดภัย แก้ขาดแคลนแรงงานโลจิสติกส์

กรมการขนส่งทางบก ร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เดินหน้ายกระดับศักยภาพผู้ขับรถขนส่งทั่วประเทศ ผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางถนน ควบคู่การแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคโลจิสติกส์ และเสริมความสามารถในการแข่งขันของระบบขนส่งไทยในระยะยาว

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และนายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน พร้อมภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และผู้ประกอบการขนส่ง ได้ร่วมเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ขับรถขนส่งเพื่อยกระดับความปลอดภัยทางถนน และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อผลิตพนักงานขับรถคุณภาพป้อนเข้าสู่ระบบขนส่งของประเทศอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

นายสรพงศ์กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายในการพัฒนาผู้ขับรถทั้งรถโดยสารและรถบรรทุก ให้มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบต่อสังคม ควบคู่กับการปลูกฝังพฤติกรรมการขับขี่อย่างปลอดภัย เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางถนน ลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุ และแก้ปัญหาการขาดแคลนพนักงานขับรถในภาคการขนส่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศ

เขาระบุว่า การพัฒนาผู้ขับรถที่มีคุณภาพต้องครอบคลุมทั้งทักษะวิชาชีพ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และจิตสำนึกด้านความปลอดภัย เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอาชีพพนักงานขับรถขนส่งของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ และรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับการส่งเสริมระบบมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก หรือ Q Mark รวมถึงการยกระดับสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้บริการระบบขนส่งทางบก

ด้านนายสมาสภ์กล่าวว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงานให้ความสำคัญกับการยกระดับแรงงานไทยให้มีสมรรถนะตรงกับความต้องการของตลาด โดยความร่วมมือครั้งนี้จะมุ่งพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมพนักงานขับรถให้ทันสมัย รองรับเทคโนโลยีและยานยนต์รุ่นใหม่ เพื่อให้แรงงานขับรถมีทักษะที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์อย่างแท้จริง

กระทรวงแรงงานยังพร้อมสนับสนุนการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานสำหรับพนักงานขับรถทั้งรถบรรทุกและรถโดยสาร เพื่อยกระดับคุณภาพวิชาชีพ สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการ และเปิดโอกาสความก้าวหน้าในสายอาชีพของผู้ขับรถอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานคุณภาพในภาคการขนส่ง และเตรียมความพร้อมบุคลากรรองรับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจไทยในอนาคต

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us