News

L2D-Page-78

"ทองคำ" พุ่งแตะ 4,050 ดอลลาร์ หลังเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแรง กลบปัจจัย บวกดีลยุติชัตดาวน์

ทองคำทะยานแตะ 4,050 ดอลลาร์ เศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแรงกลบข่าวดีดีลยุติชัตดาวน์

ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องแตะระดับ 4,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแรง แม้จะมีความคืบหน้าในการเจรจายุติภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลกลาง โดยแรงซื้อทองคำกลับมาคึกคักจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางนโยบายการเงิน

รายงานจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ระบุว่าราคาทองคำขยับขึ้นเป็นวันที่สองติดต่อกัน หลังดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐร่วงลงใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนผลกระทบจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางและราคาสินค้าที่พุ่งสูง กดดันมุมมองต่อเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่ราคาทองคำในตลาดสปอตล่าสุดอยู่ที่ 4,048.69 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเวลา 11.20 น. ตามเวลาสิงคโปร์

ด้านสถานการณ์ทางการเมืองในกรุงวอชิงตันมีสัญญาณบวกหลังกลุ่มวุฒิสมาชิกสายกลางของพรรคเดโมแครตตกลงสนับสนุนร่างข้อตกลงเพื่อเปิดทำการหน่วยงานรัฐบาลอีกครั้ง ซึ่งอาจช่วยยุติวิกฤตชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อมายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การระงับเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องดำเนินนโยบายโดยอาศัยข้อมูลไม่ครบถ้วน ท่ามกลางความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างเงินเฟ้อที่ยังสูงกับตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแรง

วาสุ เมนอน นักกลยุทธ์การลงทุนจาก Oversea-Chinese Banking Corp. ให้ความเห็นว่า เมื่อความเสี่ยงจากการชัตดาวน์ลดลง นักลงทุนจะกลับมาให้ความสำคัญกับทิศทางนโยบายของเฟด หากรัฐบาลกลับมาเปิดทำการและสามารถเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจที่ค้างอยู่ได้ เฟดอาจมีช่องทางในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วขึ้น หากข้อมูลยืนยันว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว

แม้ราคาทองคำจะร่วงลงราว 8% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อกลางเดือนตุลาคม แต่โดยรวมยังเพิ่มขึ้นกว่า 50% ตั้งแต่ต้นปี โดยได้แรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลาง รวมถึงความต้องการจากภาคค้าปลีก

ข้อมูลล่าสุดจากธนาคารกลางจีน (PBOC) ระบุว่า จีนได้เพิ่มการถือครองทองคำในทุนสำรองต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ในเดือนตุลาคม ขณะที่กองทุน ETF ที่อ้างอิงราคาทองคำก็มีเงินไหลเข้าสุทธิติดต่อกันสองวัน ด้านค่าเงินดอลลาร์บลูมเบิร์กอินเด็กซ์ขยับขึ้นเล็กน้อย 0.1% ส่วนราคาซิลเวอร์ แพลทินัม และพัลลาเดียมต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน สะท้อนกระแสการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยที่ยังคงแข็งแรงในภาวะเศรษฐกิจโลกเปราะบาง

L2D-Page-77

นักวิชาการ มธ. หนุนมาตรการ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าออนไลน์ตั้งแต่บาทแรก

นักวิชาการธรรมศาสตร์ หนุนกรมศุลกากรเก็บภาษี E-commerce ทุกชิ้น ชี้คืนความเป็นธรรมให้ SME พร้อมแนะรัฐเร่งเดินหน้า “Customs Quick Big Win”

วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 ผศ.ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความเห็นถึงกรณีที่กรมศุลกากรเตรียมจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce ทุกชิ้นตั้งแต่บาทแรก ซึ่งจะเริ่มมีผลในวันที่ 1 มกราคม 2569 โดยระบุว่า มาตรการดังกล่าวถือเป็นทิศทางที่ดีและควรชื่นชม เพราะที่ผ่านมาไทยได้ยกเว้นการเก็บอากรนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SME ไทยเสียเปรียบผู้ขายจากต่างประเทศ การปรับนโยบายครั้งนี้จึงเป็นการคืนความเป็นธรรมให้แก่ผู้ประกอบการภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการธรรมศาสตร์มองว่า มาตรการทางภาษีเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการจัดการปัญหา แต่ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด เนื่องจากแรงจูงใจหลักที่ทำให้ผู้บริโภคไทยนิยมสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศยังคงอยู่ที่ “ราคา” และ “คุณภาพสินค้า” การเก็บภาษีจึงอาจเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ และรัฐควรดำเนินมาตรการอื่นควบคู่กันไป เช่น การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ แข่งขันได้ในราคา และมีมาตรฐานการผลิตที่เป็นที่ยอมรับ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าไทยมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

ผศ.ดร.เกียรติอนันต์ ยังระบุด้วยว่า มาตรการใหม่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ E-commerce ไทยที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ดังนั้นภาครัฐควรใช้โอกาสนี้ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวหันมาพัฒนาแบรนด์ของตนเอง ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ และสร้างห่วงโซ่อุปทานที่พึ่งพาตนเองได้ เพราะในระยะยาวภาระภาษีจะถูกผลักให้ผู้ประกอบการไทยต้องรับไว้เอง

นอกจากนี้ นักวิชาการยังแสดงความกังวลต่อปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าปริมาณมากที่อาจเกิดขึ้นหลังมาตรการใหม่มีผลบังคับใช้ โดยสินค้าบางส่วนอาจถูกนำมาเก็บในโกดังภายในประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ทำให้การควบคุมของรัฐยากลำบากมากขึ้น จึงเสนอให้กรมศุลกากรมีมาตรการป้องกันและตรวจสอบอย่างเข้มงวดในประเด็นนี้

พร้อมกันนี้ ผศ.ดร.เกียรติอนันต์ ยังกล่าวถึงนโยบาย “Customs Quick Big Win” ที่กรมศุลกากรกำลังผลักดัน ซึ่งมุ่งสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมภายใน 4 เดือน ด้วยการปรับปรุงกฎระเบียบและลดอุปสรรคทางศุลกากร โดยเฉพาะการเร่งรัดพิจารณาอุทธรณ์กว่า 1,000 เรื่อง ผ่านการเพิ่มความถี่ในการประชุมคณะกรรมการอุทธรณ์อย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อให้กระบวนการตัดสินมีความรวดเร็วและโปร่งใสมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า การประชุมบ่อยครั้งอาจไม่เพียงพอ หากกระบวนการยังต้องใช้ “ดุลยพินิจของบุคคล” ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของความล่าช้าและความไม่มั่นใจในระบบ จึงเสนอให้กรมศุลกากรนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการพิจารณาแทนการใช้ดุลยพินิจ เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว โปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ประกอบการ หากสามารถดำเนินการได้จริง ก็จะถือเป็น “Customs Quick Big Win” อย่างแท้จริงของระบบศุลกากรไทย

L2D-Page-76

4 เหตุผล บริษัทปลดคนออก ‘ลดต้นทุน-AI-เศรษฐกิจ-ปิดกิจการ

4 เหตุผล บริษัททั่วโลกเร่งปลดคน: ลดต้นทุน – AI – เศรษฐกิจซบ – ปิดกิจการ ดันยอดเลย์ออฟสหรัฐทะลุ 1 ล้านตำแหน่งใน 10 เดือน

สถานการณ์การจ้างงานทั่วโลกกำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ล่าสุดรายงานจากบริษัทจัดหางาน Challenger, Gray & Christmas เปิดเผยว่า นายจ้างในสหรัฐประกาศ “ลดตำแหน่งงาน” สูงถึง 153,074 ตำแหน่งในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอัตราการเลิกจ้างสูงสุดในรอบกว่า 20 ปี ส่งผลให้ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม–ตุลาคม 2568) มีการปลดพนักงานรวมแล้วกว่า 1.09 ล้านตำแหน่ง เพิ่มขึ้นถึง 65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมากกว่ายอดรวมการเลิกจ้างทั้งปี 2567 ที่อยู่ที่ 761,358 ตำแหน่ง สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่กำลังชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว

รายงานระบุว่า การปลดคนในเดือนตุลาคมมีสาเหตุหลักมาจาก 4 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การลดต้นทุน การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาแทนแรงงาน ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย และการปิดกิจการของบริษัทต่าง ๆ โดยการ “ลดต้นทุน” เป็นเหตุผลหลักที่ถูกอ้างมากที่สุด คิดเป็นกว่า 50,000 ตำแหน่งในเดือนเดียว ขณะที่ “AI” กลายเป็นปัจจัยลำดับสอง ที่ทำให้หลายบริษัทปรับโครงสร้างองค์กร และนำระบบอัตโนมัติมาใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์ ส่งผลให้มีการเลิกจ้างกว่า 31,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม และรวมแล้วกว่า 48,000 ตำแหน่งตั้งแต่ต้นปี

ส่วน “ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว” ทำให้มีการลดพนักงานเพิ่มขึ้นอีกกว่า 21,000 ตำแหน่งในเดือนเดียว รวมตั้งแต่ต้นปีมากกว่า 229,000 ตำแหน่ง ขณะที่ “การปิดกิจการ” ร้านค้า หน่วยงาน และโรงงานต่าง ๆ ส่งผลให้มีการปลดพนักงานกว่า 16,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม และรวมแล้วกว่า 161,000 ตำแหน่งตลอดทั้งปี นอกจากนี้ บริษัทยังมีการประกาศ “ปรับโครงสร้างองค์กร” มากกว่า 7,500 ครั้งในเดือนเดียว และรวมกว่า 108,000 ครั้งในปี 2568 แสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจทั่วสหรัฐกำลังเร่งปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

รายงานยังชี้ถึงอีกปัจจัยสำคัญที่เร่งกระแส “เลย์ออฟ” ในสหรัฐฯ คือโครงการ DOGE (Department of Government Efficiency) หรือ “กระทรวงประสิทธิภาพ” ที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐ โครงการนี้นำไปสู่การลดการจ้างงานในหน่วยงานภาครัฐและผู้รับเหมาที่เกี่ยวข้องแล้วกว่า 293,000 ตำแหน่ง และอาจพุ่งแตะ 400,000 ตำแหน่งภายในสิ้นปี นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่าหากรวมผลกระทบทางอ้อมจากการลดงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล DOGE อาจส่งผลกระทบต่อ “ตำแหน่งงานเกือบ 1 ล้านตำแหน่ง” ทั่วเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดย Usha Haley ศาสตราจารย์จาก Wichita State University เตือนว่า การปรับลดดังกล่าวจะส่งผลระยะยาวต่อภาครัฐอย่างถาวร ไม่ใช่เพียงการหยุดงานชั่วคราว

กระแสเลย์ออฟไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสหรัฐฯ แต่ลามไปทั่วโลก ในสหราชอาณาจักร จำนวน “โครงการเลิกจ้างหมู่” เพิ่มขึ้นถึง 5% ภายในปีเดียว โดยข้อมูลจาก TWM Solicitors ระบุว่ามีโครงการเลิกจ้างหมู่รวมกว่า 3,700 โครงการ ส่งผลกระทบต่อพนักงานราว 267,800 คน ภาคการผลิตได้รับผลกระทบมากที่สุด เพิ่มขึ้นกว่า 12% หรือกว่า 630 โครงการ ขณะที่ภาครัฐ การศึกษา และสาธารณสุขมีการเสนอแผนเลิกจ้างเพิ่มขึ้นสูงถึง 19%

ในยุโรป สถานการณ์ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะเยอรมนีซึ่งกำลังเผชิญ “วิกฤติการเลิกจ้าง” ครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น Volkswagen, Mercedes, Bosch, ZF, Porsche, Ford และ Audi ต่างทยอยลดจำนวนพนักงานลงอย่างต่อเนื่อง ผลการศึกษาของ EY ระบุว่า งานในอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนีกว่า 50,000 ตำแหน่งหายไปภายในเวลาเพียงปีเดียว

Volkswagen อยู่ระหว่างโครงการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยมีแผนลดพนักงานกว่า 35,000 ตำแหน่งทั่วโลก หนึ่งในสี่ของจำนวนนี้อยู่ในเยอรมนี และยังมีการลดค่าจ้างลงอีก 20% ขณะที่ Ford ได้ประกาศปิดโรงงานในเมืองซาร์หลุยส์ ซึ่งเคยมีพนักงาน 7,000 คน เหลือเพียงราว 1,000 คนเพื่อดูแลการปิดโรงงาน ส่วนโรงงานหลักในโคโลญจน์ที่มีพนักงานกว่า 11,000 คน ก็กำลังถูกพิจารณาลดจำนวนอย่างหนัก ด้าน Bosch ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของโลก ได้เริ่มแผนปลดพนักงานรวม 22,000 ตำแหน่ง โดยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 9,000 ตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว เป็นกว่า 13,000 ตำแหน่งในเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ภาพรวมทั้งหมดสะท้อนชัดว่า “การปรับโครงสร้างแรงงาน” กำลังเกิดขึ้นในวงกว้างทั่วโลก ทั้งจากแรงกดดันด้านต้นทุน เศรษฐกิจที่เปราะบาง และการเร่งนำเทคโนโลยี AI มาใช้แทนแรงงานมนุษย์ ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดแรงงานโลกยุคใหม่.

L2D-Page-75

อนาคตเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ผ่าน 3 ซีอีโออุตสาหกรรมและการเงิน จากฐานการผลิตสู่นวัตกรรมขับเคลื่อนอาเซียน ท่ามกลางสมรภูมิ FDI โลกเดือด

ไทย-ญี่ปุ่นร่วมสร้างอนาคตเศรษฐกิจอาเซียน จากฐานการผลิตสู่นวัตกรรมโลกท่ามกลางสมรภูมิ FDI เดือด

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งจากการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ การเร่งเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัล และแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอันยาวนานระหว่างไทยและญี่ปุ่นได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง เวทีเสวนา “Thailand: Shaping ASEAN’s Next Frontier” ซึ่งจัดโดยความร่วมมือระหว่าง Nikkei Asia และ The Standard ภายในงาน The Standard Economic Forum 2025 ได้กลายเป็นพื้นที่สำคัญที่สะท้อนมุมมองจากผู้นำอุตสาหกรรมและการเงินของทั้งสองประเทศ เพื่อร่วมกันวางเส้นทางใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาเซียนให้ก้าวสู่อนาคต

การเสวนานี้นำโดยสามผู้นำทางธุรกิจ ได้แก่ วิกรม กรมดิษฐ์ แห่งอมตะ คอร์ปอเรชัน, โคจิ อิวานามิ ซีอีโอฮอนด้า ประเทศไทย และ บุนเซอิ โอคุโบะ จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา (ในเครือ MUFG) โดยมี โทโยอากิ ฟูจิวาระ จาก Nikkei ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ

วิกรม กรมดิษฐ์ เปิดประเด็นด้วยมุมมองที่ชัดเจนว่า “ผู้นำรัฐบาล” คือปัจจัยชี้ชะตาเศรษฐกิจไทย โดยระบุว่าหากประเทศไทยมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ จีดีพีของประเทศอาจเติบโตได้ถึง 5-6% ต่อปี พร้อมยกตัวอย่างความสำเร็จของอินโดนีเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจและลดคอร์รัปชันได้อย่างจริงจัง เขามองว่าไทยมีจุดแข็งมากมาย ทั้งทำเลทางภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มั่นคง โดยเฉพาะกับญี่ปุ่นและสหรัฐฯ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม แต่ยังขาดนโยบายที่ชัดเจนและการบริหารที่เปิดกว้างเพียงพอ วิกรมเสนอว่า ไทยควรปรับแนวทางการบริหารประเทศให้มีความยืดหยุ่นเหมือนดูไบหรือสิงคโปร์ เปิดรับผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ให้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจ พร้อมสร้างระบบจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างสมดุลระหว่างรัฐและเอกชน

ด้านภาคการเงิน บุนเซอิ โอคุโบะ จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่าเศรษฐกิจไทยในอนาคตจำเป็นต้องเดินหน้าด้วย “ยุทธศาสตร์สองขา” ทั้งการเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ควบคู่ไปกับการผลักดันอุตสาหกรรมแห่งอนาคตอย่างศูนย์ข้อมูล (Data Center), เซมิคอนดักเตอร์ และพลังงานสะอาด เพื่อสร้างความหลากหลายและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ เขาย้ำว่า การลงทุนยุคใหม่ไม่ได้มุ่งเพียงขนาดของโรงงาน แต่ต้องสร้าง “ระบบนิเวศทางธุรกิจ” ที่เชื่อมโยงผู้ประกอบการทุกระดับ ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและความร่วมมือข้ามพรมแดน ทั้งนี้ เขาชี้ว่าไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนา 3 ด้านหลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่มีเสถียรภาพ การพัฒนาทักษะบุคลากรด้านเทคโนโลยีขั้นสูง และความชัดเจนของกฎระเบียบการลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคเอกชนและนักลงทุนต่างชาติ

ในอีกมุมหนึ่ง โคจิ อิวานามิ ซีอีโอของฮอนด้า ประเทศไทย แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ โดยกล่าวว่า “ประเทศไทยยังคงเป็นพันธมิตรที่ฮอนด้าไว้วางใจมากที่สุดในอาเซียน” พร้อมยกย่องแรงงานไทยว่าเปี่ยมด้วยความสามารถและจิตวิญญาณแห่งการพัฒนา เขาเปิดเผยว่า ฮอนด้าจะเดินหน้ากลยุทธ์สองแนวทาง คือการพัฒนารถยนต์ไฮบริดควบคู่ไปกับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในทุกระดับ โดยให้ความสำคัญกับต้นทุนการใช้งาน ความทนทาน และมูลค่าขายต่อในระยะยาว นอกจากนี้ ฮอนด้ายังมุ่งลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ผ่านความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและซัพพลายเออร์ เพื่อยกระดับทักษะแรงงานไทยให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุคซอฟต์แวร์และข้อมูล

การเสวนาปิดท้ายด้วยข้อเสนอร่วมจากทั้งสามฝ่ายว่า การสร้างอนาคตเศรษฐกิจไทยให้มั่นคงและยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยนโยบายภาครัฐที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นมากขึ้น วิกรมเสนอแนวคิด “ความร่วมมือไตรภาคี ไทย-ญี่ปุ่น-จีน” โดยใช้เทคโนโลยีและความน่าเชื่อถือของญี่ปุ่น ผสานกับความรวดเร็วและขนาดตลาดของจีน ขณะเดียวกันใช้ประเทศไทยเป็นฐานกลางในการผลิตและพัฒนานวัตกรรมเพื่อส่งออกไปทั่วโลก ทั้งสามผู้นำเห็นพ้องกันว่า หากประเทศไทยสามารถสร้างระบบเศรษฐกิจที่เปิดรับนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก พร้อมรักษาความต่อเนื่องของนโยบาย ก็จะสามารถก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมใหม่แห่งอาเซียนได้ในอนาคตอันใกล้

เวทีเสวนานี้จึงไม่เพียงสะท้อนมุมมองของผู้นำธุรกิจ แต่ยังเป็นการวางหมุดหมายสำคัญของความร่วมมือไทย–ญี่ปุ่น เพื่อผลักดันภูมิภาคอาเซียนให้ก้าวข้ามจาก “ฐานการผลิต” สู่ “ฐานนวัตกรรม” อย่างแท้จริง ท่ามกลางการแข่งขันด้านการลงทุนที่ร้อนแรงบนเวทีเศรษฐกิจโลก.

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us