News

L2D Page (83)

รถไฟจีน-ลาว พลิกเกมโลจิสติกส์ หนุนทุเรียนอาเซียนตีตลาดจีนทะลัก

การเดินรถไฟจีน-ลาวกำลังกลายเป็นกลไกสำคัญที่พลิกโฉมเส้นทางการค้าผลไม้ระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีน โดยเฉพาะในตลาดทุเรียนที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด สำนักข่าวซินหัวรายงานจากเมืองคุนหมิง ประเทศจีน ว่า ระบบโลจิสติกส์ที่ผสานเข้ากับเครือข่ายรถไฟและท่าด่านหงอวิ้น อินเตอร์เนชันแนล ซัพพลายเชน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 161,300 ตารางเมตร ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญในการเร่งรัดการขนส่งสินค้าเกษตรจากภูมิภาคสู่จีนแผ่นดินใหญ่

นายหลี่ หรงผิง ประธานบริษัทหงอวิ้น อินเตอร์เนชันแนล ซัพพลายเชน เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปลายปี 2563 บริษัทได้พัฒนาการผสานระบบโลจิสติกส์ทางรางเข้ากับสวนอุตสาหกรรมครบวงจร ช่วยให้บริการต่าง ๆ ครอบคลุมทั้งการจัดเก็บสินค้า การกระจาย การบรรจุหีบห่อ ไปจนถึงการซ่อมบำรุงตู้คอนเทเนอร์ จึงทำให้การเคลื่อนย้ายทุเรียนในฤดูส่งออกที่คึกคักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น ทุเรียนสดน้ำหนักราว 18 ตัน สามารถย้ายจากตู้คอนเทเนอร์รถไฟขึ้นสู่รถบรรทุกได้ภายในเวลาไม่ถึง 40 นาที ก่อนจะกระจายต่อไปยังตลาดค้าส่งผลไม้ในพื้นที่โดยรอบ

ในขณะเดียวกัน นายโอว เต้าชิง หัวหน้าฝ่ายการตลาดของสถานีท่าเรือบกนานาชาติคุนหมิง ระบุว่า รถไฟด่วนขนส่ง “ล้านช้าง–แม่โขง เอ็กซ์เพรส” ซึ่งวิ่งบนเส้นทางรถไฟจีน-ลาว ได้ย่นระยะเวลาการขนส่งทุเรียนจากนครเวียงจันทน์ของลาวถึงคุนหมิง เหลือเพียง 26 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้ผลไม้ยังคงความสดใหม่และคุณภาพรสชาติไม่ลดลง สอดรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของผู้บริโภคชาวจีน

เส้นทางรถไฟจีน-ลาวที่เปิดใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ 3 ธันวาคม 2564 ไม่เพียงสร้างความสะดวกสบายในการเชื่อมโยงการค้าระหว่างจีนกับอาเซียน แต่ยังช่วยแก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับการขนส่งทางรถยนต์และเรือ ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้าที่เกิดจากสภาพอากาศ ระยะเวลาขนส่งที่ยาวนาน หรือความเสียหายของผลไม้ระหว่างทาง

ข้อมูลจากการรถไฟแห่งประเทศจีน สาขาคุนหมิง ระบุว่า จนถึงวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา ปริมาณทุเรียนที่นำเข้าผ่านเส้นทางรถไฟจีน-ลาวสูงกว่า 150,000 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 91% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ารถไฟสายนี้กำลังกลายเป็น “เส้นเลือดหลัก” ของการค้าผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียน ที่กลายเป็นสินค้าหลักจากอาเซียนที่ผู้บริโภคชาวจีนให้ความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน

L2D Page (82)

ไทยเดินหน้าปลดล็อกนำเข้าข้าวญี่ปุ่น หวังแลกโควตาส่งออกข้าวขั้นต่ำ 3 แสนตัน

กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กำลังเดินหน้าผลักดันการส่งออกข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวขาว ซึ่งจะทยอยออกสู่ตลาดในช่วงปลายปีนี้ นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า หนึ่งในแนวทางสำคัญคือการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลักอย่างจีนและญี่ปุ่น โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ไทยกำลังใช้มาตรการผ่อนปรนนำเข้าข้าวญี่ปุ่นในประเทศเพื่อสร้างสมดุลทางการค้า

ตามข้อเสนอของร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย กรมฯ กำลังพิจารณาเพิ่มปริมาณการนำเข้าข้าวญี่ปุ่นเพื่อรองรับความต้องการจริงของธุรกิจร้านอาหาร โดยจะขยายโควตานำเข้าจากเดิมรายละไม่เกิน 100 ตันต่อปี เป็น 200–300 ตันต่อปี เพื่อใช้เป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนในการเจรจากับกระทรวงเกษตรของญี่ปุ่นให้คงโควตานำเข้าข้าวไทยไม่น้อยกว่าปีละ 300,000 ตันเหมือนที่ผ่านมา

นางอารดา ระบุว่า การผ่อนปรนดังกล่าวจะไม่กระทบต่อราคาข้าวในประเทศ เนื่องจากข้าวญี่ปุ่นเป็นพันธุ์เฉพาะที่ชาวนาไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ปลูก อีกทั้งปริมาณการนำเข้าที่ผ่านมามีเพียง 2,000–3,000 ตันต่อปีเท่านั้น จึงไม่กระทบต่ออุปทานโดยรวม ขณะเดียวกัน เกษตรกรไทยก็แสดงการสนับสนุน เนื่องจากแนวทางนี้จะช่วยสร้างประโยชน์ในภาพรวมต่อการส่งออกข้าวไทยมากกว่า

กรมการค้าต่างประเทศเตรียมเดินทางไปยังญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 7–10 กันยายนนี้ เพื่อหารือกับกระทรวงเกษตรของญี่ปุ่น รวมถึงพบปะผู้นำเข้า เพื่อผลักดันให้มีการสั่งซื้อข้าวไทยเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและความปลอดภัยของข้าวไทย โดยยืนยันว่าไม่มีสารตกค้างตามมาตรฐานสากล

นอกจากญี่ปุ่นแล้ว ไทยยังให้ความสำคัญกับตลาดจีน โดยมีการหารือกับบริษัทคอฟโก้ (COFCO) รัฐวิสาหกิจด้านอาหารและเกษตรกรรมของจีน เพื่อเร่งรัดการนำเข้าข้าวจากไทยในส่วนที่เหลืออีก 280,000 ตัน จากสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) จำนวน 1 ล้านตัน คาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดี เนื่องจากปัจจุบันจีนนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยในปีนี้มีอัตราการเติบโตสูงถึง 178%

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการส่งออกข้าวไทยในปี 2568 ยังคงเผชิญความท้าทายสูง โดยตั้งเป้าส่งออกให้ได้ 7.5 ล้านตัน แต่สถิติในช่วง 7 เดือนแรกทำได้เพียง 4.3 ล้านตัน ลดลง 25.09% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 86,412.72 ล้านบาท ลดลงถึง 35.35% จากปีก่อนที่มีมูลค่ากว่า 133,663 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการที่ผลผลิตข้าวโลกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอินเดียที่กลับมาส่งออกตามปกติ คาดว่ามีผลผลิตกว่า 150 ล้านตัน อีกทั้งยังมีปัจจัยกดดันจากการลดลงของคำสั่งซื้อจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ รวมถึงผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและมีความผันผวนสูง

นางอารดา ย้ำว่า แม้จะมีอุปสรรคหลายด้าน แต่กรมฯ จะเร่งเดินหน้าหาตลาดใหม่ ขยายการส่งออก และสร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพข้าวไทย เพื่อรักษาสถานะของไทยในฐานะผู้ส่งออกข้าวรายสำคัญของโลกให้ได้อย่างต่อเนื่อง

L2D Page (81)

เวียดนามทำสถิติส่งออกข้าวปี 2568 ทะลุ 96,800 ล้านบาท แม้มูลค่าลดลงจากปีก่อน

กรุงฮานอย – สำนักข่าวซินหัวรายงานเมื่อวันที่ 4 กันยายนว่า เวียดนามสามารถสร้างรายได้จากการส่งออกข้าวในปี 2568 ได้ทะลุ 96,800 ล้านบาทแล้ว แม้ในเชิงปริมาณการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.88% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี แต่ตัวเลขมูลค่ากลับปรับลดลงถึง 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันของตลาดข้าวโลกที่ผันผวน ทั้งจากภาวะอุปทานและอิทธิพลด้านราคา

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาส่งออกข้าวของเวียดนามขยับขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน เนื่องจากความตึงตัวของอุปทานในตลาดโลก ปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ส่งออกเวียดนาม และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดที่ต้องการข้าวคุณภาพสูง สมาคมอาหารเวียดนาม (VFA) ประเมินว่า ภายในสิ้นปีนี้ เวียดนามจะสามารถส่งออกข้าวได้มากกว่า 8 ล้านตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยืนยันบทบาทของเวียดนามในฐานะผู้ส่งออกข้าวรายสำคัญอันดับต้น ๆ ของโลก

การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดข้าวเวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์การผลิตและการตลาดของรัฐบาลและผู้ประกอบการ โดยเวียดนามพยายามยกระดับคุณภาพการผลิตข้าว เพิ่มมาตรฐานด้านความปลอดภัยอาหาร และผลักดันให้เกษตรกรเข้าสู่ระบบการผลิตที่เน้นความยั่งยืน ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับประเทศคู่ค้าใหม่ ๆ เพื่อกระจายตลาด ลดการพึ่งพิงตลาดดั้งเดิม

แม้ภาพรวมตัวเลขส่งออกจะสะท้อนความสำเร็จ แต่ความท้าทายยังคงอยู่ในเรื่องราคาที่ผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ เช่น อินเดียและไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า หากเวียดนามสามารถรักษาความได้เปรียบด้านคุณภาพและบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถรักษาสถานะในตลาดโลกและเพิ่มโอกาสการเจาะตลาดระดับพรีเมียมได้มากขึ้น

การที่เวียดนามยังคงสามารถเพิ่มปริมาณการส่งออกได้แม้มูลค่าลดลง จึงสะท้อนถึงความยืดหยุ่นของอุตสาหกรรมข้าวในประเทศ และแสดงให้เห็นว่าเวียดนามกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญของการพัฒนาภาคเกษตร ที่ไม่เพียงเน้นปริมาณ แต่ยังมุ่งไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรที่เป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ

L2D Page (80)

จีนเร่งใช้หุ่นยนต์ยึดฐานการผลิตโลก ดันสินค้าสู่ตลาดพรีเมียม

ท่ามกลางแรงกดดันด้านต้นทุนแรงงานที่พุ่งสูงขึ้น จีนกลับสามารถรักษาความได้เปรียบทางการผลิตและขยายส่วนแบ่งการส่งออกในตลาดโลกได้ โดยการเร่งนำ “หุ่นยนต์อุตสาหกรรม” เข้ามาแทนแรงงานในสายการผลิตจำนวนมหาศาล รายงานของ Financial Times ชี้ว่า การพัฒนา “ระบบออโตเมชันราคาถูก” ที่ผลิตในประเทศ ช่วยให้โรงงานจีนผลิตสินค้าได้มากขึ้นในราคาที่ต่ำลง และยังสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ซึ่งโดยปกติประเทศผู้ผลิตจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเมื่อค่าแรงสูงขึ้น

ข้อมูลจากสมาพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ (IFR) เผยว่า โรงงานในจีนติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมกว่า 280,000 ตัวต่อปี คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของการติดตั้งทั่วโลก ส่งผลให้สัดส่วนหุ่นยนต์ต่อแรงงานของจีนก้าวแซงหน้าประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ในยุโรปอย่างเยอรมนี และกำลังไล่ตามเกาหลีใต้ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้มานาน ความสำเร็จนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่มุ่งลงทุนมหาศาลและผลักดันให้เทคโนโลยีหุ่นยนต์กลายเป็นหัวใจสำคัญของภาคการผลิต

ความได้เปรียบของจีนไม่เพียงอยู่ที่จำนวน แต่ยังรวมถึงราคาของหุ่นยนต์ที่ถูกกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจาก MIR Databank ระบุว่าเกือบครึ่งหนึ่งของหุ่นยนต์อุตสาหกรรมโลกถูกผลิตโดยบริษัทจีน ตัวอย่างเช่น Chengdu CRP Robot Technology ที่สามารถเจาะตลาดในประเทศด้วยหุ่นยนต์เชื่อมโลหะราคาย่อมเยา ต่ำกว่าคู่แข่งญี่ปุ่นและยุโรปอย่าง Yaskawa, Fanuc, ABB และ Kuka ถึง 60% นักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics วิเคราะห์ว่า ความสามารถนี้อธิบายได้ว่าทำไมจีนยังคงครองพื้นที่ในอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้น ทั้งที่ค่าแรงในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตัวเลขจาก Harvard Growth Lab ตอกย้ำแนวโน้มดังกล่าว โดยระหว่างปี 2019–2023 จีนไม่เพียงแต่รักษาส่วนแบ่งในสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น แต่ยังขยายตัวได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะหมวดของเล่น เฟอร์นิเจอร์ และสิ่งทอ เช่น สินค้าเบ็ดเตล็ดอย่างไม้กวาด ไม้ถูพื้น และปากกา มีส่วนแบ่งตลาดโลกเพิ่มขึ้น 9% แตะระดับ 52.3% ในรอบสี่ปี ขณะที่เฟอร์นิเจอร์และของเล่นขยับส่วนแบ่งขึ้นแตะ 56.9% ของตลาดโลก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าจีนกำลังยึดฐานการผลิตทั้งในตลาดสินค้าทั่วไปและสินค้าระดับพรีเมียม

กรณีศึกษาในมณฑลเสฉวนสะท้อนภาพนี้ได้อย่างชัดเจน โรงงาน Shuangsheng New Energy Vehicle ใช้หุ่นยนต์ CRP เชื่อมโครงเหล็กสำหรับรถสามล้อไฟฟ้า โดยเพียงสามปีสามารถออโตเมตสายการผลิตได้ครึ่งหนึ่ง หุ่นยนต์หลายสิบตัวเข้ามาแทนแรงงานเชื่อมโลหะที่เคยเรียกค่าแรงสูงถึง 15,000 หยวนต่อเดือน ส่งผลให้ต้นทุนลดลงอย่างมาก โรงงานแห่งนี้สามารถผลิตและส่งออกรถสามล้อไฟฟ้าราคาคันละราว 6,000 หยวน ไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา และสหรัฐฯ ได้อย่างต่อเนื่อง

ซีอีโอของ Shuangsheng อธิบายว่า “ทุกครั้งที่เราใช้หุ่นยนต์หนึ่งตัว ต้นทุนแรงงานลดลงครึ่งหนึ่ง ขณะที่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นทันที” พร้อมย้ำว่าในอดีตจีนอาศัยแรงงานราคาถูกนับพันล้านคนเป็นพลังขับเคลื่อนการผลิต แต่วันนี้การรักษาความได้เปรียบขึ้นอยู่กับ “แรงงานหุ่นยนต์” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่เรื่องไร้ต้นทุน สถิติระบุว่าการจ้างงานในอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นของจีนลดลงถึง 26.5% ระหว่างปี 2011–2023 แม้รัฐบาลพยายามผลักดันให้แรงงานดั้งเดิมพัฒนาทักษะสู่การเป็น “แรงงานปกเสื้อม่วง” หรือช่างเทคนิคหุ่นยนต์ แต่ผลลัพธ์ในเชิงโครงสร้างการจ้างงานยังคงเป็นประเด็นท้าทาย

บทความของ Financial Times สรุปว่า จีนกำลังกลายเป็นโมเดลการผลิตใหม่ของโลกที่พิสูจน์แล้วว่า การเร่งใช้หุ่นยนต์และระบบออโตเมชัน ไม่เพียงช่วยให้แข่งขันในตลาดสินค้าต้นทุนต่ำได้ แต่ยังเปิดทางสู่การครองตลาดสินค้าพรีเมียมระดับโลก คำถามที่ยังคงอยู่คือ โลกจะเดินไปในทิศทางใดเมื่อ “แรงงานหุ่นยนต์” เริ่มแทนที่มนุษย์ในอัตราเร่ง และแรงงานมนุษย์จะหาบทบาทใหม่ของตนเองได้อย่างไรในยุคเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us