News

L2D Page (48)

ส่งออกจีนเดือนกันยายนโตแรงสุดในรอบ 6 เดือน ทุกตลาดนอกสหรัฐขยายตัว เวียดนามพุ่ง 25% หนุนเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวต่อเนื่อง

รายงานจากบลูมเบิร์กระบุว่า การส่งออกของจีนในเดือนกันยายนปี 2568 ขยายตัวถึง 8.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 3.286 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 6 เดือน และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้มาก สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของภาคการค้าจีนที่ยังคงแข็งแกร่ง แม้อยู่ท่ามกลางความตึงเครียดจากสงครามการค้ากับสหรัฐ

ข้อมูลจากกรมศุลกากรจีนระบุว่า ยอดการส่งออกในเดือนกันยายนเป็นระดับสูงสุดของปีนี้ และสูงกว่าคาดการณ์เฉลี่ยที่ 6.6% ของนักวิเคราะห์ที่สำรวจโดยบลูมเบิร์ก ตัวเลขดังกล่าวตอกย้ำว่าภาคการส่งออกของจีนยังไม่ชะลอตัวลงอย่างที่หลายฝ่ายกังวล โดยจีนสามารถขยายการส่งออกได้เกือบทุกตลาดทั่วโลก ยกเว้นเพียงตลาดสหรัฐที่ยังคงหดตัว

การส่งออกไปยังสหรัฐลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่หกติดต่อกัน โดยเดือนกันยายนหดตัวถึง 27% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากมาตรการภาษีศุลกากรที่เข้มงวดขึ้นของวอชิงตัน อย่างไรก็ตาม จีนสามารถชดเชยความสูญเสียในตลาดนี้ได้ด้วยการเร่งขยายยอดขายไปยังตลาดอื่นๆ ทั่วโลก การส่งออกไปยังประเทศนอกสหรัฐเพิ่มขึ้นถึง 14.8% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตเร็วที่สุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการจีนปรับตัวอย่างรวดเร็วด้วยการหาตลาดใหม่และการส่งสินค้าผ่านประเทศที่สาม

ในกลุ่มตลาดที่มีการเติบโตโดดเด่น การส่งออกไปยังทวีปแอฟริกาเพิ่มขึ้นถึง 56% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 ส่วนตลาดลาตินอเมริกาเพิ่มขึ้น 15.2% หลังจากที่ชะลอตัวลงในช่วงกลางปี ขณะที่การส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (อียู) เพิ่มขึ้นกว่า 14% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เติบโตเกือบ 16%

เวียดนามถือเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญที่มีการเติบโตโดดเด่นที่สุด โดยยอดส่งออกของจีนไปยังเวียดนามเพิ่มขึ้นเกือบ 25% แม้จะมีสัญญาณชะลอตัวบางส่วน โดยบริษัทวิจัย Capital Economics ระบุว่า เวียดนามกลายเป็น “ศูนย์กลางการเปลี่ยนเส้นทางอันดับหนึ่ง” ของสินค้าจีน เนื่องจากบริษัทจีนจำนวนมากเลือกใช้เวียดนามเป็นฐานในการส่งต่อสินค้าไปยังตลาดตะวันตก เพื่อลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐ

ด้านการนำเข้าของจีนในเดือนกันยายนก็เติบโตแข็งแกร่งเช่นกัน เพิ่มขึ้น 7.4% จากปีก่อนหน้า สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ สะท้อนถึงการฟื้นตัวของความต้องการในประเทศและการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ และไต้หวัน ทั้งนี้ จีนยังคงมีดุลการค้าเกินดุลอยู่ที่ 9.05 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สถานะของจีนในการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐในระลอกล่าสุด

มิเชลล์ แลม นักเศรษฐศาสตร์ประจำจีนแผ่นดินใหญ่จากสำนักวิจัย Societe Generale SA ให้ความเห็นว่า “การส่งออกของจีนยังคงแข็งแกร่ง แม้เผชิญกับภาษีศุลกากรของสหรัฐ เนื่องจากจีนมีตลาดส่งออกที่หลากหลายและมีความสามารถในการแข่งขันสูง” เธอกล่าวเพิ่มเติมว่าความต้องการจากประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐยังคงมีอยู่มาก ทำให้ผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐมีขอบเขตจำกัด ทั้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังเผชิญกับภาวะเงินฝืดและการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์

จีนมีกำหนดประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจจะเริ่มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ด้วยการเติบโตที่แข็งแกร่งในสองไตรมาสแรก จีนยังคงมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการที่ระดับประมาณ 5% ได้ตามที่รัฐบาลตั้งไว้

L2D Page (47)

ส่งออกรถยนต์ไทยปี 2568 เหลือเพียง 9 แสนคัน ออสเตรเลียเข้มมาตรฐานนำเข้า ดันตลาด HEV–PHEV โต แต่ไทยยังไม่รับอานิสงส์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยว่า การส่งออกรถยนต์ของไทยในปี 2568 มีแนวโน้มลดลงเหลือเพียง 900,000 คัน โดยสาเหตุหลักมาจากออสเตรเลียซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย มีการปรับเปลี่ยนมาตรฐานรถยนต์นำเข้าใหม่ที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้รถยนต์บางรุ่นที่ผลิตจากไทยไม่สามารถผ่านเกณฑ์ได้ ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของไทยไปออสเตรเลียในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้หดตัวลงถึง 17.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่าทิศทางการชะลอตัวนี้จะดำเนินต่อเนื่องไปจนสิ้นปี

ออสเตรเลียได้เริ่มใช้มาตรฐานใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2568 ได้แก่ มาตรฐานประสิทธิภาพการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของรถยนต์ใหม่ (New Vehicle Efficiency Standard: NVES) เพื่อควบคุมปริมาณรถยนต์ที่ปล่อยก๊าซ CO₂ เกินเกณฑ์ เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 และจะเริ่มเก็บค่าปรับจริงในวันที่ 1 กรกฎาคมปีเดียวกัน อีกทั้งยังได้ประกาศใช้มาตรฐานความปลอดภัยใหม่ที่กำหนดให้รถยนต์นำเข้าทุกคันต้องติดตั้งระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking: AEB) ที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐานของออสเตรเลีย เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2568 เป็นต้นมา

มาตรการดังกล่าวส่งผลให้ออสเตรเลียเพิ่มการนำเข้ารถยนต์กลุ่มไฮบริด (HEV) และปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) สูงขึ้นถึง 34.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยส่วนแบ่งตลาดรถยนต์กลุ่มนี้ในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นเป็น 27% สำหรับรถยนต์นั่ง และ 10% สำหรับรถเพื่อการพาณิชย์ ในขณะที่รถยนต์ใช้น้ำมัน (ICE) กลับลดลง 16.4% ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ลดลงถึง 24.6% เนื่องจากรัฐบาลท้องถิ่นในหลายรัฐได้ทยอยยกเลิกมาตรการสนับสนุนการซื้อในปีนี้

แม้ตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกของออสเตรเลียจะเติบโตขึ้นอย่างมาก แต่ไทยกลับไม่ได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มดังกล่าว เนื่องจากรถยนต์ HEV ที่ส่งออกไปบางรุ่นไม่สอดคล้องกับมาตรฐานใหม่ของออสเตรเลีย และในปีนี้ไทยยังไม่มีการส่งออกรถยนต์ PHEV ไปต่างประเทศ ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของไทยในออสเตรเลียลดลงจากปีก่อน 2% ในกลุ่มรถยนต์นั่ง และลดลงถึง 5% ในกลุ่มรถยนต์เพื่อการพาณิชย์

ข้อมูลในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ระบุว่า การส่งออกรถยนต์ HEV และ PHEV จากไทยไปออสเตรเลียลดลงถึง 15.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน สวนทางกับภาพรวมตลาดที่กำลังขยายตัว ปัจจัยสำคัญมาจากการที่ไทยยังไม่มีการผลิตรถยนต์ PHEV สำหรับส่งออก รวมทั้งรถยนต์ HEV ที่ผลิตจากไทยบางรุ่นไม่สามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานใหม่ของออสเตรเลียได้ โดยสถานการณ์นี้ยังเกิดขึ้นกับรถยนต์ HEV และ PHEV จากญี่ปุ่นซึ่งเป็นนักลงทุนหลักในอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย โดยมียอดส่งออกไปออสเตรเลียลดลง 13.8% เช่นกัน

การชะลอตัวของการส่งออกจากทั้งไทยและญี่ปุ่น สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่ค่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นต้องเร่งพัฒนารุ่นรถที่ตอบโจทย์มาตรฐานใหม่ของออสเตรเลีย เพื่อป้องกันไม่ให้เสียส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเติมให้กับคู่แข่งจากจีน เกาหลีใต้ สหรัฐฯ และแอฟริกาใต้ ซึ่งกำลังขยายการส่งออกมายังออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์พลังงานทางเลือก

ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของรถยนต์ที่ส่งออกไปออสเตรเลียจะเข้มงวดขึ้นทุกปี และตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไป มีแนวโน้มว่ารถยนต์ที่สามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานดังกล่าวได้จะเหลือเพียงรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) เท่านั้น ประเด็นนี้จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ค่ายรถยนต์จะต้องตัดสินใจว่าจะยังใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์พลังงานทางเลือกเพื่อส่งออกไปออสเตรเลีย หรือจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีศักยภาพด้านเทคโนโลยีและเงื่อนไขทางการค้าสอดคล้องกว่า เช่น ญี่ปุ่นซึ่งอาจเพิ่มการผลิตเพื่อรักษากำลังภายในประเทศ หลังตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ในระดับสูง

นอกจากนี้ ฐานการผลิตที่มีความได้เปรียบด้านข้อตกลงการค้าเสรี เช่น แอฟริกาใต้ซึ่งมี FTA กับสหภาพยุโรป ก็อาจกลายเป็นทางเลือกใหม่ของค่ายรถยนต์ระดับโลกในการผลิตและส่งออกรถยนต์กลุ่ม HEV และ PHEV เพื่อสร้างขนาดการผลิตที่คุ้มค่า (economies of scale) และรองรับตลาดที่มีความต้องการเทคโนโลยีสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

L2D Page (46)

แผนกโลจิสติกส์และวิศวกรรมทั่วไปเดินหน้าขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพ

แผนกโลจิสติกส์และวิศวกรรมทั่วไปได้จัดการประชุมเพื่อประเมินผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาและกำหนดแนวทางในอนาคต โดยมีการเคลื่อนไหวจำลองและกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมแบบผสมผสาน ทั้งในรูปแบบพบหน้าและออนไลน์ โดยเชื่อมโยงกับหน่วยงานย่อย 14 จุดทั่วทั้งแผนก

ในที่ประชุม พลโทโด วัน เทียน เลขาธิการพรรค กรมการเมืองและโลจิสติกส์ เป็นประธานและกำกับการประชุม พร้อมด้วยพลตรีเหงียน ดิ่ง เจียว และพลตรีหวู วัน เกือง รองกรมการเมืองและโลจิสติกส์ รวมถึงผู้นำและผู้บังคับบัญชาจากหน่วยงานในสังกัดเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

การประชุมได้พิจารณาผลการดำเนินงานของโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการ “ทั้งประเทศแข่งขันสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต พ.ศ. 2566–2573” และโครงการ “ทหาร–ทหารแข่งขันสร้างวัฒนธรรมสำนักงานคู่ควรทหารลุงโฮ พ.ศ. 2562–2568” รวมถึงโครงการ “ร่วมมือกันกำจัดบ้านเรือนชั่วคราวทรุดโทรมทั่วประเทศ พ.ศ. 2568” ซึ่งทั้งหมดดำเนินไปตามแผนงานที่วางไว้และประสบผลสำเร็จในหลายด้าน

ผลการดำเนินงานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญภายใต้การนำของคณะกรรมการพรรคและกรมวิศวกรรม (ซึ่งปัจจุบันคือกรมโลจิสติกส์และวิศวกรรม) โดยมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีความเป็นระบบและทันสมัย การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง กิจกรรมการปรับปรุงคุณภาพชีวิต เช่น การรื้อถอนบ้านเรือนชั่วคราวและการพัฒนาพื้นที่ชนบทใหม่ ได้รับความสำคัญเป็นพิเศษและบรรลุผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้ร่วมกันอภิปรายผลลัพธ์ วิเคราะห์ข้อจำกัด และแลกเปลี่ยนบทเรียนจากการดำเนินงานที่ผ่านมา พร้อมเสนอแนวทางพัฒนาเพื่อยกระดับประสิทธิภาพในระยะต่อไป พลโทโด วัน เทียน ได้มอบรางวัลให้กับหน่วยงานที่มีผลงานโดดเด่นในด้านการดำเนินงานเชิงจำลองและนวัตกรรม

ในช่วงท้ายของการประชุม พลโทโด วัน เทียน ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมบทบาทของคณะกรรมการพรรคและผู้บังคับบัญชาทุกระดับในการผลักดันให้การดำเนินงานตามมติที่ 3672 ว่าด้วยการวางแผนระบบสถาบันวัฒนธรรมในกองทัพบกเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินงาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่และกำลังพลสามารถเข้าถึงข้อมูลและองค์ความรู้ได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เลขาธิการพรรคและคณะกรรมการการเมืองของกรมการขนส่งและเทคโนโลยี ได้เรียกร้องให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเนื้อหาของโครงการ PTTD อย่างใกล้ชิด โดยจัดทำแผนงานและมาตรการที่สอดคล้องกับศักยภาพของแต่ละพื้นที่ พร้อมพัฒนาเนื้อหาและรูปแบบกิจกรรมให้มีความหลากหลายและยืดหยุ่นอยู่เสมอ เพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงานและความต้องการของท้องถิ่นอย่างแท้จริง

L2D Page (45)

EEC รอ รมว.คมนาคมเคาะแนวทางแก้ปมรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน–เมืองการบินอู่ตะเภา

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง–สุวรรณภูมิ–อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กิโลเมตร มูลค่า 224,544 ล้านบาท ซึ่งมีการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นเจ้าของโครงการ และบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (กลุ่มซี.พี.) เป็นคู่สัญญา ว่าขณะนี้ EEC อยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มีแนวคิดจะไม่แก้ไขสัญญาเดิม แต่จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือแนวทางแก้ไขปัญหาแทน ทั้งนี้ EEC ยังไม่ได้รับแจ้งรายละเอียดกำหนดการหรือรูปแบบการหารืออย่างเป็นทางการ

ในส่วนของกระบวนการแก้ไขสัญญา หลังสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบร่างสัญญาและมีข้อสังเกต 18 ประเด็น เบื้องต้นทางกลุ่มซี.พี.ได้ทำหนังสือชี้แจงเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการวางหลักประกันสัญญาตามข้อเสนอของอัยการสูงสุดที่ระบุให้ รฟท.กำหนดหลักประกันครอบคลุมมูลค่าความเสี่ยงของงานโยธา ระบบรถไฟ และขบวนรถไฟ พร้อมดำรงมูลค่าหลักประกันไว้อย่างน้อย 2 ปีหลังการเปิดให้บริการเดินรถทั้งระบบ ซึ่งทางกลุ่มซี.พี.ได้ชี้แจงว่าได้จัดวางหลักประกันครอบคลุมครบถ้วนแล้ว การเพิ่มหลักประกันอีกชั้นอาจซ้ำซ้อนและไม่จำเป็น ขณะนี้หนังสือชี้แจงดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของ รฟท. เพื่อส่งต่อให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาต่อไป

อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานอาจล่าช้าออกไปเล็กน้อยหลังจากนายวีริศ อัมระปาล ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการ รฟท. ทำให้ต้องรอการแต่งตั้งรักษาการผู้ว่าการคนใหม่ เพื่อดำเนินการลงนามส่งหนังสืออย่างเป็นทางการ

ขณะเดียวกัน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท ที่มีกองทัพเรือเป็นเจ้าของโครงการ และบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (ซึ่งประกอบด้วย บมจ.การบินกรุงเทพ (BA), บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และ บมจ.ซิโน–ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC)) เป็นผู้ร่วมทุน ก็มีความเคลื่อนไหวสำคัญเช่นกัน หลังเอกชนส่งสัญญาณอาจขอยกเลิกสัญญาเนื่องจากความล่าช้าเกินกว่า 5 ปี นับตั้งแต่ลงนามในปี 2563

แหล่งข่าวจาก EEC เปิดเผยว่า ได้มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างภาครัฐและเอกชน โดย EEC ยินยอมให้มีการปรับแผนการพัฒนาเฟสแรกของสนามบินอู่ตะเภา จากเดิมที่ตั้งเป้ารองรับผู้โดยสาร 12 ล้านคนต่อปี มาเริ่มต้นเพียง 3 ล้านคนต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดการบินหลังวิกฤตโควิด-19 และการแข่งขันจากการขยายสนามบินของบริษัท ทอท. อีกทั้งข้อมูลปัจจุบันระบุว่าสนามบินอู่ตะเภามีผู้โดยสารเพียง 400,000 คนต่อปี ขณะที่อาคารผู้โดยสารหลังใหม่สามารถรองรับได้ราว 2–3 ล้านคนต่อปี ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับการลงทุนในระยะเริ่มต้น หากเปิดบริการแล้วมีอัตราการเติบโตของผู้โดยสารแตะ 70% ของขีดความสามารถ ก็สามารถขยายต่อเป็น 6 ล้านคน และ 8 ล้านคนต่อปี ก่อนจะพัฒนาเต็มศักยภาพที่ 60 ล้านคนต่อปีตามแผนระยะยาวของสัญญา 50 ปี

ในข้อตกลงใหม่นี้ เอกชนจะต้องสละสิทธิ์เงื่อนไขเดิมที่กำหนดให้เริ่มโครงการได้ก็ต่อเมื่อมีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเริ่มดำเนินการแล้ว ขณะที่โครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 และทางขับของสนามบินได้เริ่มต้นแล้ว ซึ่งตามสัญญาเดิม อาคารผู้โดยสารหลังใหม่จะต้องเริ่มสร้างควบคู่ไปด้วย ทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าควรเริ่มโครงการโดยเร็วเพื่อให้เป็นไปตามแผนการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก

สำหรับขั้นตอนต่อไป EEC จะนำเงื่อนไขใหม่เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เพื่อพิจารณาและรับทราบ ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบต่อไป หลังได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองระดับแล้ว จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการปรับแก้สัญญาอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ การเสนอเรื่องดังกล่าวยังต้องรอการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบอร์ด EEC ว่าจะกำหนดทิศทางและแนวทางการดำเนินการต่อไปอย่างไร

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us