News

L2D Page (44)

จีนเร่งนำเข้าแร่เหล็ก ทองแดง และถ่านหิน เดือนกันยายน ทำสถิติสูงสุดของปี รับอุปสงค์อุตสาหกรรมแข็งแกร่ง

การนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์หลักของจีนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเดือนกันยายน สะท้อนถึงการฟื้นตัวของกิจกรรมภาคอุตสาหกรรมและความต้องการใช้วัตถุดิบที่ขยายตัวตามฤดูกาลในช่วงฤดูใบไม้ร่วง โดยเฉพาะแร่เหล็ก ทองแดง และถ่านหินที่ทำสถิติสูงสุดของปี ขณะเดียวกัน การนำเข้าถั่วเหลืองปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบสี่เดือน

ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีนระบุว่า จีนมีการนำเข้าแร่เหล็กสูงถึง 116.326 ล้านตันในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปีนี้ ส่วนการนำเข้าถ่านหินเพิ่มขึ้น 7.6% แตะที่ 46 ล้านตัน เนื่องจากการลดกำลังผลิตภายในประเทศทำให้ราคาภายในสูงขึ้น ส่งผลให้การนำเข้าจากต่างประเทศมีความคุ้มค่ามากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่โรงไฟฟ้าเร่งตุนถ่านหินสำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง

การนำเข้าทองแดงและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นถึง 13% จากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากผู้ประกอบการหันไปใช้โลหะที่ผ่านการแปรรูปแล้ว เพื่อทดแทนการขาดแคลนอุปทานของแร่ทองแดงเข้มข้นซึ่งลดลง 6.3% อันเป็นผลมาจากการหยุดชะงักของการทำเหมืองในบางพื้นที่

ในส่วนของสินค้าเกษตร การนำเข้าถั่วเหลืองของจีนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 12.869 ล้านตัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบสี่เดือน สะท้อนความต้องการที่เพิ่มขึ้นของภาคปศุสัตว์และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ภายในประเทศ

ขณะที่การนำเข้าน้ำมันดิบลดลง 4.5% อยู่ที่ 47.252 ล้านตัน แม้ว่าจีนจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยพยุงราคาน้ำมันโลกจากการสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ แต่การนำเข้าชะลอตัวลงในเดือนกันยายน เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันของรัฐหลายแห่งอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุงตามฤดูกาล การนำเข้าก๊าซธรรมชาติลดลงเช่นกัน 6.8% เหลือ 11.04 ล้านตัน เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม

นอกจากนั้น จีนยังเปิดเผยข้อมูลการส่งออกที่ขยายตัวเร็วที่สุดในรอบหกเดือน ซึ่งสะท้อนถึงความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งของภาคการผลิต นักวิเคราะห์มองว่าทิศทางการค้าเชิงบวกนี้อาจช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองของจีนในเวทีการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ ท่ามกลางความตึงเครียดทางเศรษฐกิจที่ยังคงดำเนินต่อเนื่อง

L2D Page (43)

เวียดนามเดินหน้าคุมเข้มนำเข้า ปิดช่องโหว่การค้าผิดกฎหมาย มุ่งสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาค

เว็บไซต์กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม รายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามอยู่ระหว่างการจัดทำร่างกฤษฎีกาฉบับใหม่เพื่อแทนที่กฤษฎีกาเลขที่ 69/2018 ว่าด้วยการบริหารการค้าต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลกิจกรรมการนำเข้าแบบชั่วคราวเพื่อส่งออกกลับ (Temporary Importation for Re-exportation)

มาตรการใหม่นี้กำหนดให้สินค้าที่นำเข้าแบบชั่วคราวสามารถเก็บรักษาได้สูงสุดไม่เกิน 60 วัน และอนุญาตให้ขยายเวลาได้เพียงสองครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 วัน ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน การกำหนดกรอบเวลาเช่นนี้มุ่งลดการนำเข้าเพื่อการค้าผิดกฎหมาย (Illicit Trade) ซึ่งในอดีตเวียดนามเผชิญปัญหาการใช้ช่องทางการนำเข้าชั่วคราวในการลักลอบค้าข้ามพรมแดน โดยเฉพาะเส้นทางจากนครโฮจิมินห์ไปยังกัมพูชา และเส้นทางนำเข้าสินค้ากลับจากกัมพูชา การควบคุมให้สินค้าผ่านเฉพาะด่านระหว่างประเทศและด่านหลักของประเทศ ถือเป็นแนวทางสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบ ลดความเสี่ยงด้านภาษี และเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

ในทางธุรกิจ มาตรการใหม่นี้อาจสร้างแรงกดดันต่อผู้ประกอบการที่เคยใช้เวียดนามเป็นฐานพักสินค้าระยะยาว แต่ในระยะยาวกลับจะช่วยยกระดับความโปร่งใสทางการค้าและลดโอกาสที่เวียดนามจะถูกใช้เป็นฐานถ่ายลำสินค้า (Transshipment) ที่ผิดกฎหมาย อีกทั้งยังเป็นการลดความเสี่ยงต่อข้อพิพาททางการค้ากับประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งเพิ่งประกาศจัดเก็บภาษีตอบโต้ 20% สำหรับสินค้าจากเวียดนาม และภาษีสูงสุดถึง 40% สำหรับสินค้าที่ถูกระบุว่ามีการถ่ายลำ

ในเชิงยุทธศาสตร์ การปรับกฎหมายครั้งนี้สะท้อนความมุ่งมั่นของเวียดนามในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการค้าและโลจิสติกส์ เพื่อวางรากฐานสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาคและระดับโลก การยกระดับกฎระเบียบให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่คู่ค้าต่างประเทศ และเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมสนับสนุน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

สคต.โฮจิมินห์ ระบุว่า การบังคับใช้กฤษฎีกาฉบับใหม่ที่เข้มงวดขึ้นจะช่วยลดความเสี่ยงจากการลักลอบนำเข้าและหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร ตลอดจนยกระดับความโปร่งใสของระบบอำนวยความสะดวกทางการค้า และสร้างความเชื่อมั่นในกลไกกำกับดูแลการค้าระหว่างประเทศของเวียดนาม ซึ่งจะส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนและการค้าในระดับภูมิภาค

สำหรับผู้ประกอบการไทย สคต.โฮจิมินห์ แนะนำให้ใช้โอกาสนี้ในการยกระดับภาพลักษณ์และสร้างความน่าเชื่อถือของธุรกิจในตลาดเวียดนาม รวมทั้งตลาดเชื่อมโยงอื่น ๆ มาตรการดังกล่าวจะช่วยลดการแข่งขันจากสินค้าลอกเลียนแบบหรือสินค้าที่ผ่านช่องทางผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ประกอบการไทยที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

นอกจากนี้ การที่เวียดนามมีเป้าหมายพัฒนาตนเองเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค จะเปิดโอกาสให้ไทยใช้เวียดนามเป็นจุดกระจายสินค้าสำคัญไปยังกัมพูชา ลาว จีน และตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การกำหนดเส้นทางผ่านด่านศุลกากรหลักและด่านระหว่างประเทศอย่างชัดเจนยังช่วยลดความซับซ้อนและความเสี่ยงจากการค้าชายแดนย่อย ซึ่งมักมีปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้า

ผู้ประกอบการไทยจึงควรวางแผนการนำเข้าและส่งออกให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่ โดยเฉพาะการบริหารระยะเวลาพักสินค้าชั่วคราวไม่ให้เกิน 60 วัน พร้อมจัดเตรียมเอกสารรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin: C/O) อย่างถูกต้องและโปร่งใส เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตีความว่าเป็นการถ่ายลำสินค้า ซึ่งอาจถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% ในตลาดสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป

ในระยะยาว การลงทุนในระบบโลจิสติกส์ การตรวจสอบคุณภาพสินค้า และการปฏิบัติตามมาตรการทางการค้าอย่างเคร่งครัด จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยใช้เวียดนามเป็นฐานกลางทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทาน และต่อยอดศักยภาพของไทยในฐานะพันธมิตรเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างมั่นคง

L2D Page (42)

จีนเข้มควบคุมส่งออกเทคโนโลยีแร่หายาก มีผลบังคับใช้ทันที รับศึกสงครามเทคโนโลยีสหรัฐ

กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศมาตรการใหม่ควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ “แร่หายาก” (Rare Earths) โดยมีผลบังคับใช้ทันที ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการแปรรูป การผลิตแม่เหล็ก อุปกรณ์รีไซเคิล ไปจนถึงชิ้นส่วนและชุดประกอบที่ใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง มาตรการนี้กำหนดห้ามส่งออกไปยังผู้ใช้งานในภาคกลาโหมของต่างประเทศโดยเด็ดขาด และสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จะต้องผ่านการพิจารณาเป็นรายกรณีเท่านั้น

มาตรการดังกล่าวถือเป็นการขยายผลจากระเบียบที่ประกาศเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเคยสร้างความผันผวนในตลาดโลกจากภาวะขาดแคลนวัตถุดิบสำคัญ ก่อนที่จีนจะผ่อนคลายชั่วคราวโดยอนุมัติใบอนุญาตส่งออกให้บางบริษัทในยุโรปและสหรัฐ ภายใต้กฎใหม่นี้ จีนจะเพิ่มการควบคุมต่อเทคโนโลยีการผลิตแม่เหล็กแร่หายากให้ครอบคลุมประเภทแม่เหล็กมากขึ้น รวมถึงห้ามส่งออกส่วนประกอบที่มีแม่เหล็กต้องห้ามอยู่ในผลิตภัณฑ์ ขณะเดียวกัน อุปกรณ์รีไซเคิลแร่หายากจะต้องได้รับใบอนุญาตเช่นกัน ซึ่งถือเป็นการเพิ่มข้อจำกัดใหม่ในบัญชีเทคโนโลยีห้ามส่งออก

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังห้ามบริษัทในประเทศร่วมมือกับต่างชาติในโครงการที่เกี่ยวข้องกับแร่หายากหากไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ และในกรณีที่บริษัทต่างประเทศนำเครื่องจักรหรือชิ้นส่วนจากจีนไปใช้ในกระบวนการผลิต จะต้องยื่นขอใบอนุญาตส่งออกสำหรับผลิตภัณฑ์นั้นก่อนทุกครั้ง

ในแถลงการณ์ กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า ผู้ส่งออกต้องมี “ความตระหนักด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ” มากขึ้น และต้องตรวจสอบว่าสินค้าของตนจัดอยู่ในประเภท “สินค้าใช้ได้สองทาง” (Dual-Use Items) หรือไม่ โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ เทคโนโลยีทางการผลิต โดรน และคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงที่อาจนำไปใช้ทางทหาร ทั้งนี้ ผู้ใช้งานในภาคกลาโหมจะไม่ได้รับใบอนุญาตโดยเด็ดขาด ส่วนการส่งออกที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงจะได้รับการพิจารณาเป็นรายกรณี

จีนเป็นผู้ผลิตและแปรรูปแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก ครอบครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 90% วัตถุดิบกลุ่มนี้มีมากถึง 17 ชนิด และเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) กังหันลม เครื่องบิน และเรดาร์ทางทหาร โดยเฉพาะการผลิตแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets) ที่ใช้ในมอเตอร์ของยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งทำให้มาตรการของจีนมีผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

มาตรการนี้ออกมาในช่วงที่สหรัฐกำลังพิจารณาขยายการแบนอุปกรณ์ผลิตชิปที่ส่งออกไปยังจีน เพิ่มแรงกดดันทางเทคโนโลยีให้กับปักกิ่ง ขณะที่บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลกอย่าง Samsung Electronics, TSMC และ SK Hynix ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้ ด้านรัฐบาลจีนยืนยันว่า มาตรการที่ประกาศมีขอบเขตจำกัดและมุ่งเป้าชัดเจน พร้อมระบุว่าจะใช้ “มาตรการอำนวยความสะดวก” เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมทั่วไป

นักวิเคราะห์มองว่า การดำเนินการของปักกิ่งครั้งนี้เป็นสัญญาณชัดเจนว่า จีนพร้อมใช้ทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์อย่าง “แร่หายาก” เป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อตอบโต้แรงกดดันจากสหรัฐและพันธมิตรตะวันตก ก่อนหน้านี้ จีนได้ประกาศเพิ่มมาตรการปราบปรามการลักลอบขุดและส่งออกแร่หายาก รวมถึงควบคุมเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อรักษาความมั่นคงแห่งชาติและเสริมความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสองมหาอำนาจ

L2D Page (41)

บราซิลทุบสถิติส่งออกถั่วเหลือง คาดทั้งปีแตะ 110 ล้านตัน จีนยังเป็นตลาดหลัก

สมาคมผู้ส่งออกธัญพืชของบราซิล (Anec) เปิดเผยว่า บราซิลมีแนวโน้มสร้างสถิติใหม่ด้านการส่งออกถั่วเหลืองในปี 2025 โดยคาดว่ายอดรวมทั้งปีจะสูงถึง 110 ล้านตัน หลังจากภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้สามารถส่งออกได้แล้วกว่า 102.2 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าสถิติเดิมที่ทำไว้ในปี 2023 ที่ 101.3 ล้านตัน ส่งผลให้บราซิลตอกย้ำสถานะการเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดของโลก

ปีนี้บราซิลเก็บเกี่ยวผลผลิตถั่วเหลืองได้มากกว่า 170 ล้านตัน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยสำคัญที่หนุนการส่งออกคือความต้องการนำเข้าที่แข็งแกร่งจากจีน ซึ่งยังอยู่ท่ามกลางข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐอเมริกา ทำให้จีนหันมาพึ่งพาถั่วเหลืองจากบราซิลมากขึ้น โดยข้อมูลของ Anec ระบุว่า ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา จีนได้นำเข้าถั่วเหลืองจากบราซิลถึง 6.5 ล้านตัน หรือคิดเป็น 93% ของยอดส่งออกทั้งหมดในเดือนนั้น

ในช่วงปี 2021–2024 สัดส่วนการนำเข้าของจีนเฉลี่ยอยู่ที่ราว 74–76% ของการส่งออกถั่วเหลืองทั้งหมดของบราซิล แต่ในปี 2025 ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 80% สะท้อนให้เห็นถึงการพึ่งพาแหล่งนำเข้าจากบราซิลที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รายงานเดือนตุลาคมของ Anec ยังคาดการณ์ว่า การส่งออกถั่วเหลืองของบราซิลในเดือนนี้จะอยู่ที่ประมาณ 7.12 ล้านตัน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเกือบ 2.7 ล้านตัน และเมื่อรวมกับการส่งออกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมที่คาดว่าจะมีเพิ่มอีกราว 8 ล้านตัน ปริมาณรวมทั้งปีจึงมีแนวโน้มแตะระดับ 110 ล้านตันตามเป้าหมาย

นอกจากถั่วเหลืองแล้ว การส่งออกข้าวโพดของบราซิลก็ขยายตัวต่อเนื่อง โดยเดือนตุลาคมมีปริมาณส่งออกถึง 6 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 380,000 ตัน ส่งผลให้ยอดรวมตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนตุลาคมอยู่ที่ราว 30 ล้านตัน ดันให้บราซิลขึ้นแท่นเป็นผู้ส่งออกข้าวโพดรายใหญ่อันดับสองของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us