News

L2D-Page-74

พาณิชย์จีนจ่อปรับ "มาตรการคุมส่งออก" สำหรับบ.สหรัฐฯ บางแห่ง

จีนประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมการส่งออกต่อบริษัทสหรัฐฯ หลังเจรจาการค้าคืบหน้า

ปักกิ่ง, 6 พ.ย. (ซินหัว) — กระทรวงพาณิชย์ของจีนเปิดเผยเมื่อวันพุธ (5 พ.ย.) ว่าจะมีการปรับมาตรการควบคุมการส่งออกบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทของสหรัฐฯ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งเป็นไปตามฉันทามติที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุร่วมกันในการเจรจาด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่จัดขึ้น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

ตามประกาศหมายเลข 13 ประจำปี 2025 ที่ออกเมื่อวันที่ 4 มีนาคม และประกาศหมายเลข 21 ประจำปี 2025 ที่ออกเมื่อวันที่ 4 เมษายน จีนได้เพิ่มรายชื่อบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ รวม 31 แห่งไว้ในบัญชีควบคุมการส่งออก โดยห้ามการส่งออกสินค้าประเภทใช้ได้สองทาง (dual-use goods) ไปยังบริษัทเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม จีนได้ตัดสินใจยกเลิกมาตรการควบคุมที่เกี่ยวข้องกับบริษัทของสหรัฐฯ จำนวน 15 แห่ง ซึ่งอยู่ในประกาศหมายเลข 13 ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป ส่วนอีก 16 แห่งที่อยู่ในประกาศหมายเลข 21 จะยังคงระงับการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวไว้ชั่วคราวเป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับข้อตกลงที่ได้จากการเจรจาระดับทวิภาคีระหว่างสองประเทศ

กระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุเพิ่มเติมว่า ผู้ส่งออกที่ต้องการจำหน่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทางให้กับบริษัทที่อยู่ในรายชื่อดังกล่าว จำเป็นต้องยื่นคำขออนุญาตต่อกระทรวงฯ ตามระเบียบว่าด้วยการควบคุมการส่งออก โดยหน่วยงานจะพิจารณาคำขอตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง และออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดอย่างเป็นทางการ

L2D-Page-73

อบจ.กาญจนบุรีเดินหน้า เมืองต้นแบบขนส่งสาธารณะ คาด EV Bus เริ่มบริการปีใหม่นี้

อบจ.กาญจนบุรีเดินหน้าเมืองต้นแบบขนส่งสาธารณะ คาด EV Bus ให้บริการปีใหม่นี้

กาญจนบุรีเดินหน้าปฏิรูปการเดินทางของประชาชน ตั้งเป้าเป็น “เมืองต้นแบบขนส่งสาธารณะ” ด้วยระบบรถโดยสารไฟฟ้า (EV Bus) ที่มีค่าโดยสารเข้าถึงได้และเชื่อมต่อพื้นที่สำคัญทั่วเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมวางแผนพัฒนา “Smart Bus” และขยายเส้นทางในอนาคต เพื่อเป็นโมเดลต้นแบบสำหรับจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดกาญจนบุรีจัดเวทีเปิดตัว “โครงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัย เป็นธรรม โดยการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคจังหวัดกาญจนบุรี” ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี โดยมีนายแพทย์ประวัติ กิจธรรมกูลนิจ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธาน พร้อมด้วยตัวแทนเครือข่ายผู้บริโภคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

นายแพทย์ประวัติเปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวเป็นนโยบายสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้เข้าถึงระบบขนส่งที่ได้มาตรฐาน สะดวก ปลอดภัย และมีค่าใช้จ่ายเหมาะสม โดย อบจ.กาญจนบุรีได้ร่วมมือกับหลายหน่วยงานในการขับเคลื่อนโครงการ EV Bus เส้นทางลาดหญ้า–ท่าม่วง ระยะทาง 30 กิโลเมตร ในรูปแบบซิตี้บัส ครอบคลุมพื้นที่สำคัญ เช่น โรงเรียน หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล และแหล่งธุรกิจ มีจุดจอดประมาณ 80 จุด ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้าง คาดว่าจะสามารถเริ่มให้บริการได้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้

สำหรับค่าโดยสารกำหนดไว้ที่ 20 บาทต่อเที่ยว ใช้งบดำเนินการราว 20 ล้านบาทต่อปี คาดว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ใกล้เคียงกับค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังเตรียมพัฒนาระบบ “Smart Bus” ด้วยแอปพลิเคชันติดตามรถแบบเรียลไทม์ และระบบชำระเงินแบบดิจิทัล (Cashless) เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ผู้โดยสารในระยะต่อไป อีกทั้งยังมีแผนขยายเส้นทางที่สองและสาม ครอบคลุมอำเภอด่านมะขามเตี้ย เมืองกาญจนบุรี และเลาขวัญ เพื่อเชื่อมต่อเส้นทางหลัก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือน ลดจำนวนรถบนถนน และเชื่อมโยงกับระบบรางและแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่

นายแพทย์ประวัติย้ำว่า อบจ.สามารถยอมขาดทุนได้เพื่อสร้างระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ เพราะการปรับบทบาทจากผู้ก่อสร้างสาธารณูปโภคมาเป็นผู้ให้บริการสาธารณะ จะส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง หากโครงการในกาญจนบุรีประสบความสำเร็จ จะกลายเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ พัฒนาในแนวทางเดียวกัน และเกิดผลเชิงโดมิโน่ต่อระบบขนส่งสาธารณะทั่วประเทศ

ด้านนางอมาวลี หนองพรหมมา ผู้รับผิดชอบโครงการฯ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันประชาชนและนักเรียนในกาญจนบุรีประสบปัญหาการเดินทาง หลังจากรถโดยสารสายกรุงเทพฯ–กาญจนบุรีหยุดให้บริการ ทำให้ต้องพึ่งพารถจากจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสะดวกและความปลอดภัยของผู้โดยสาร โดยเฉพาะนักเรียนที่ต้องเดินทางด้วยรถที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น รถกระบะดัดแปลง หรือใช้รถจักรยานยนต์โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ โครงการนี้จึงมุ่งสร้างระบบขนส่งที่ปลอดภัย เท่าเทียม และตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนทุกกลุ่ม

ขณะเดียวกัน นายคงศักดิ์ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยว่า โครงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะใน 12 จังหวัดทั่วประเทศกำลังดำเนินการ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการเดินทางที่ปลอดภัยและทั่วถึง โดยแนวคิดหลักคือการยกระดับขนส่งสาธารณะให้เป็นบริการขั้นพื้นฐานของท้องถิ่น สนับสนุนให้ประชาชนเดินทางได้ทุกวันอย่างปลอดภัย และสอดคล้องกับแนวทาง “3 ลด” ได้แก่ ลดอุบัติเหตุ ลดการใช้รถส่วนบุคคล และลดมลพิษในเมือง

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาเมืองที่ดีไม่จำเป็นต้องทำให้คนซื้อรถยนต์มากขึ้น แต่ต้องสร้างระบบขนส่งที่ดีพอให้ทุกคนอยากใช้บริการ เหมือนแนวคิดของผู้นำท้องถิ่นประเทศโคลัมเบียที่กล่าวว่า “เมืองที่พัฒนาแล้ว ไม่ใช่เมืองที่คนต้องซื้อรถยนต์ส่วนตัว แต่คือเมืองที่ทุกคนเลือกใช้ขนส่งสาธารณะ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าระบบขนส่งสาธารณะคือรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยสภาองค์กรของผู้บริโภคยืนยันพร้อมสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการลักษณะนี้ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ

L2D-Page-72

สร้างแน่ คมนาคม เดินหน้าทางด่วนภูเก็ตตามเดิม คาดเปิดประมูล-สร้างปี 69 เร่งคุยกทพ.เว้นค่าผ่านอุโมงค์

พิพัฒน์ ยืนยัน “อุโมงค์ภูเก็ต” เดินหน้าตามแผน ไม่ชะลอ–ไม่ยกเลิก คาดเปิดประมูลปี 69 เริ่มก่อสร้างภายในปีเดียวกัน

วันนี้ (6 พฤศจิกายน 2568) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยันอย่างชัดเจนว่า โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ตยังคงเดินหน้าตามแผนเดิม ไม่มีการชะลอหรือยกเลิกอย่างแน่นอน หลังจากได้มีการทบทวนและหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเตรียมจัดซื้อจัดจ้าง คาดว่าจะสามารถเปิดขายและเปิดซองประมูลได้ภายในปี 2569 และเริ่มต้นการก่อสร้างได้ในปีเดียวกัน

นายพิพัฒน์กล่าวว่า “อยากให้พี่น้องชาวภูเก็ตสบายใจ โครงการนี้ไม่ชะลอ ไม่หยุดแน่นอน เราจะพยายามให้การผ่านอุโมงค์ไม่ต้องเสียเงิน เพื่อให้ประชาชนเดินทางได้สะดวก ปลอดภัย และประหยัดมากที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้กำชับกระทรวงคมนาคมไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องทำให้ประชาชนเดินทางได้สะดวกและลดปัญหารถติดให้ได้มากที่สุด”

สำหรับโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ช่วยยกระดับระบบคมนาคมของจังหวัดให้เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการ โดยแบ่งโครงการออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้–ป่าตอง ระยะทางประมาณ 3.98 กิโลเมตร และระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่–เกาะแก้ว–กะทู้ ซึ่งเป็นทางยกระดับต่อเนื่อง ระยะทางประมาณ 30.6 กิโลเมตร

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวผ่านการศึกษาความเป็นไปได้และรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้วตั้งแต่ปี 2565 ในสมัยที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดและลดอุบัติเหตุบนเส้นทางหลักเชื่อมสนามบินภูเก็ตกับป่าตอง ซึ่งเป็นพื้นที่คับขันของเมืองท่องเที่ยว

นายพิพัฒน์กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการหารือกับ กทพ. ถึงแนวทางยกเว้นค่าผ่านทางในช่วงอุโมงค์ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่าจะไม่เก็บค่าผ่านทาง ส่วนทางยกระดับในระยะที่ 2 จะยังคงมีการจัดเก็บตามปกติ เนื่องจากผู้ใช้ถนนสามารถเลือกใช้เส้นทางได้ว่าจะขึ้นทางยกระดับหรือใช้ถนนสายหลัก

หากสามารถคงรูปแบบโครงการเดิมไว้โดยไม่ต้องจัดทำ EIA ใหม่ จะช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ กระทรวงคมนาคมยืนยันว่าจะเดินหน้าอย่างเต็มที่ เพื่อให้ภูเก็ตยังคงเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่มีระบบคมนาคมทันสมัย ปลอดภัย และรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า อุโมงค์ภูเก็ตจะสร้างแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่กำลังพิจารณารายละเอียดเรื่องการเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งแนวโน้มคือไม่เก็บ เพื่อช่วยลดภาระและถือเป็นการเพิ่มรายได้ทางอ้อมให้กับพี่น้องชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยว” นายพิพัฒน์กล่าวย้ำในตอนท้าย

L2D Page (71)

วิกฤตชัตดาวน์สหรัฐลุกลาม! รมว.คมนาคม สั่งลดเที่ยวบิน 10% ใน 40 สนามบินทั่วประเทศ

สหรัฐวิกฤตชัตดาวน์ยืดเยื้อ! รัฐมนตรีคมนาคมสั่งลดเที่ยวบินทั่วประเทศ 10% หวั่นน่านฟ้าโกลาหล

วันที่ 6 ตุลาคม 2568 เวลา 07.39 น. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ฌอน ดัฟฟี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของสหรัฐฯ ประกาศเตรียมสั่งลดจำนวนเที่ยวบินลงร้อยละ 10 ในสนามบินหลักกว่า 40 แห่งทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันศุกร์นี้ หากรัฐบาลกลางยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงยุติภาวะ “ชัตดาวน์” ได้ หลังสถานการณ์เข้าสู่วันที่ 36 ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

ภาวะชัตดาวน์ครั้งนี้ได้สร้างแรงกดดันรุนแรงต่อระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ เจ้าหน้าที่ควบคุมการบินกว่า 13,000 คน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบิน (TSA) อีกกว่า 50,000 คน ต้องปฏิบัติงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนบุคลากรอย่างหนัก เที่ยวบินทั่วประเทศล่าช้าเป็นวงกว้าง และแถวตรวจความปลอดภัยในหลายสนามบินยาวเหยียดจนเกิดความโกลาหล

“เราต้องถามตัวเองว่าหน้าที่ของเราคืออะไร—และสิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของผู้โดยสาร” ดัฟฟีกล่าวกับผู้สื่อข่าว พร้อมยืนยันว่าการลดเที่ยวบินครั้งนี้เป็นมาตรการจำเป็นเพื่อลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินที่กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก

แม้รัฐบาลยังไม่เปิดเผยรายชื่อสนามบินที่ได้รับผลกระทบ แต่คาดว่าจะรวมถึงเมืองหลักที่มีการจราจรทางอากาศหนาแน่นที่สุด เช่น นิวยอร์ก วอชิงตัน ดี.ซี. ชิคาโก แอตแลนตา ลอสแอนเจลิส และดัลลัส การลดเที่ยวบินครั้งนี้คาดว่าจะกระทบมากถึง 1,800 เที่ยวต่อวัน หรือราว 268,000 ที่นั่ง ตามข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์การบิน Cirium

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งสหรัฐฯ (FAA) เตือนว่า หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายภายในสุดสัปดาห์ อาจต้องเพิ่มข้อจำกัดเพิ่มเติมในการบิน ขณะที่สมาคมสายการบิน “Airlines for America” ซึ่งเป็นตัวแทนของสายการบินรายใหญ่ เช่น Delta, United, American Airlines และ Southwest ระบุว่า กำลังหารือกับรัฐบาลเพื่อทำความเข้าใจรายละเอียดของคำสั่งใหม่ และพยายามลดผลกระทบต่อผู้โดยสารและผู้ขนส่งสินค้าให้มากที่สุด โดย FAA จะจัดการประชุมทางโทรศัพท์กับสายการบินต่าง ๆ เพื่อชี้แจงแนวทางปฏิบัติ

วิกฤตชัตดาวน์ในครั้งนี้เกิดจากการที่สภาคองเกรสยังไม่สามารถตกลงกันได้ในร่างกฎหมายงบประมาณ พรรคเดโมแครตยืนยันให้ขยายโครงการเงินอุดหนุนประกันสุขภาพ ขณะที่พรรครีพับลิกันปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าว ทำให้รัฐบาลกลางต้องปิดทำการบางส่วนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ส่งผลให้เจ้าหน้าที่กว่า 750,000 คนถูกพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง และประชาชนรายได้น้อยจำนวนมากขาดความช่วยเหลือด้านอาหารและสวัสดิการขั้นพื้นฐาน

ดัฟฟีเตือนเพิ่มเติมว่า หากการชัตดาวน์ยืดเยื้อต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์ อาจเกิด “ความโกลาหลครั้งใหญ่” และเขาอาจจำเป็นต้องสั่งปิดน่านฟ้าบางส่วนของประเทศชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย สถานการณ์ดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดหุ้น โดยหุ้นของสายการบินใหญ่ เช่น United และ American Airlines ร่วงลงประมาณ 1% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ

สมาคมอุตสาหกรรมการบินประเมินว่า ผู้โดยสารกว่า 3.2 ล้านคนได้รับผลกระทบจากเที่ยวบินล่าช้าหรือถูกยกเลิก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินไม่เพียงพอ โดย FAA ระบุว่าในสนามบินใหญ่ 30 แห่งของประเทศ มีเจ้าหน้าที่ไม่มาปฏิบัติงานถึงร้อยละ 20–40 ส่งผลให้ระบบการบินเข้าสู่ภาวะเสี่ยงสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ดัฟฟีกล่าวปิดท้ายว่า หน่วยงานการบินจำเป็นต้องจำกัดการปล่อยยานอวกาศเชิงพาณิชย์ในบางช่วงเวลา เพื่อป้องกันผลกระทบต่อระบบการบินพลเรือนในช่วงวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งเขาย้ำว่า “นี่คือช่วงเวลาที่เราต้องเลือกความปลอดภัยเหนือทุกสิ่ง.”

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us