News

20250428-02

เปิดไทม์ไลน์พัฒนารถไฟฟ้าไทย ปี 2573 มุ่งสู่โครงข่ายครบ 553 กิโลเมตร

ปัจจุบันโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้เปิดให้บริการแล้วทั้งหมด 13 เส้นทาง ครอบคลุมระยะทางรวม 276.84 กิโลเมตร โดยมีจำนวนสถานีทั้งหมด 160 สถานี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าของระบบขนส่งสาธารณะไทยที่กำลังมุ่งสู่การเป็นโครงข่ายหลักของเมืองใหญ่อย่างเต็มรูปแบบ

ในขณะเดียวกัน กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางราง กำลังเร่งศึกษาและวางแผน "M-MAP2" หรือแผนแม่บทขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ต่อเนื่อง เพื่อเติมเต็มโครงข่ายใยแมงมุมให้สมบูรณ์ เชื่อมต่อทุกเส้นทางเข้าด้วยกัน และรองรับการเติบโตของเมืองในอนาคต

นอกจากเส้นทางที่เปิดให้บริการแล้ว ยังมีโครงการรถไฟฟ้าอีก 5 เส้นทางที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง รวมระยะทางกว่า 84 กิโลเมตร โดยความคืบหน้าล่าสุด ณ เดือนมีนาคม 2568 พบว่า หลายโครงการมีความก้าวหน้าไปมาก เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ส่วนต่อขยายช่วงสถานีศรีรัช – เมืองทองธานี ซึ่งมีความก้าวหน้าโดยรวมถึง 94% รวมถึงสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ที่งานโยธาเสร็จสมบูรณ์ 100% แล้ว เหลือเพียงงานระบบไฟฟ้าและเดินรถที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ นอกจากนี้ ยังมีสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ ที่งานโยธาเดินหน้าไปแล้วกว่าครึ่ง และ ARL ช่วงพญาไท – ดอนเมือง ซึ่งรวมอยู่ในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหา

กรมการขนส่งทางรางได้วางเป้าหมายการพัฒนารถไฟฟ้าอย่างชัดเจนภายในปี 2573 โดยมีแผนทยอยเปิดให้บริการเส้นทางใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 จะมีการเปิดสายสีชมพู ส่วนต่อขยายศรีรัช – เมืองทองธานี ระยะทาง 3 กิโลเมตร เพิ่มเข้ามา ทำให้ระยะทางรวมเป็น 279.84 กิโลเมตร ก่อนจะก้าวกระโดดอีกครั้งในปี 2571 ด้วยการเปิดบริการ 4 เส้นทางใหม่ ได้แก่ สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี, สายสีแดง ช่วงรังสิต – มธ.ศูนย์รังสิต, ช่วงตลิ่งชัน – ศาลายา และช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช ซึ่งจะทำให้โครงข่ายรถไฟฟ้ามีระยะทางรวมเพิ่มขึ้นเป็น 355.28 กิโลเมตร

ในปี 2572 จะมีการเปิดให้บริการสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ และสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย – ลำสาลี เพิ่มอีกสองเส้นทาง ทำให้ระยะทางรวมขยับไปที่ 377.38 กิโลเมตร ก่อนจะเข้าสู่หมุดหมายสำคัญในปี 2573 ที่มีแผนเปิดให้บริการเพิ่มอีก 13 เส้นทาง ทั้งสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – บางขุนนนท์, ARL ช่วงพญาไท – ดอนเมือง, สายสีแดงช่วงบางซื่อ – หัวลำโพงและบางซื่อ – มักกะสัน – หัวหมาก รวมถึงโครงการต่อขยายหลายเส้นทางสำคัญ เช่น สายสีเขียวไปยังบางปูและลำลูกกา, สายน้ำเงินไปพุทธมณฑลสาย 4, และสายสีแดงจากหัวลำโพงไปมหาชัย นอกจากนี้ยังมีเส้นทางใหม่อย่างสายสีเทา ช่วงวัชรพล – ทองหล่อ และช่วงพระโขนง – ท่าพระ, สายสีฟ้าช่วงดินแดง – สาทร รวมถึงการต่อขยายสายสีเหลืองช่วงแยกรัชดา – แยกรัชโยธิน

เมื่อทุกโครงการดำเนินการแล้วเสร็จตามเป้าหมายภายในปี 2573 กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีโครงข่ายรถไฟฟ้าที่ครอบคลุมระยะทางรวมถึง 553.41 กิโลเมตร นับเป็นก้าวสำคัญของระบบขนส่งมวลชนไทย ที่จะช่วยพลิกโฉมการเดินทางในเมืองหลวงและพื้นที่ต่อเนื่องอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในแง่ความสะดวก รวดเร็ว และการเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา - bangkokbiznews

20250428-01

จับตาสินค้าเกษตรไทยในยุคทรัมป์ 2.0 : "โอกาส" และ "ความเสี่ยง" ที่ต้องรู้เท่าทัน

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางกระแสความตึงเครียดทางการค้าระลอกใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ภายใต้ยุค "ทรัมป์ 2.0" ซึ่งสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้า และยกเลิกมาตรการยกเว้นภาษีขั้นต่ำ (De Minimis) สำหรับสินค้าจีน ขณะที่จีนเองก็ตอบโต้ด้วยการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตราสูงเช่นเดียวกัน

ข้อมูลจาก Trademap.org ระบุว่า ในปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าเกษตร (HS 01-24) ไปยังสหรัฐฯ รวมมูลค่าสูงถึง 4,759.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยกลุ่มสินค้าหลักที่ครองสัดส่วนสูงสุด ได้แก่ อาหารสุนัขและแมว, ข้าว, ปลาทูน่าปรุงแต่ง, น้ำผลไม้, อาหารปรุงแต่ง, ซอสและเครื่องปรุง, กุ้งปรุงแต่ง, กุ้งแช่แข็ง, ผลไม้และลูกนัตปรุงแต่ง และสับปะรดปรุงแต่ง

สนค. วิเคราะห์ผลกระทบต่อการค้าสินค้าเกษตรไทยในสถานการณ์ใหม่นี้ โดยพบว่า สินค้าบางกลุ่มของไทยมีศักยภาพในการขยายส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ได้อย่างน่าสนใจ อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยงและข้าว ซึ่งปัจจุบันไทยครองสัดส่วนการนำเข้าสูงถึง 38% และ 56% ตามลำดับ และมีโอกาสได้รับอานิสงส์เพิ่มเติมจากการที่สินค้าจีนเผชิญกำแพงภาษีสูงขึ้น นอกจากนี้สินค้าอย่างปลาแมคเคอเรลปรุงแต่ง หน่อไม้ปรุงแต่ง และเนื้อปลาลิ้นหมาก็อยู่ในกลุ่มที่ไทยมีโอกาสช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น

ขณะเดียวกัน สินค้าบางรายการที่ไทยยังมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ไม่สูงนัก เช่น พาสต้าแบบอื่น ๆ (เส้นหมี่, วุ้นเส้น), ปลาหมึกแช่แข็ง, ซอสถั่วเหลือง หรือผักตระกูลถั่วแช่แข็ง ก็ถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโต หากมีการส่งเสริมด้านคุณภาพ การผลิต และการตลาดอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและตอบโจทย์ตลาดอเมริกันที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่ ๆ แทนสินค้าจากจีน

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางโอกาสก็มีความท้าทายที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากสหรัฐฯ เองยังได้ประกาศเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ต่อไทยในอัตราสูงถึง 36% แม้ขณะนี้จะมีการระงับการใช้มาตรการดังกล่าวไว้ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน นับจาก 9 เมษายน 2568 ก็ตาม นอกจากนี้ การที่จีนไม่สามารถส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯ ได้เช่นเดิม ยังอาจทำให้จีนระบายสินค้าจำนวนมากไปยังตลาดอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้สินค้าไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน

ในอีกด้านหนึ่ง สนค. ยังเตือนให้จับตา "การเบี่ยงเบนทางการค้า" ในสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะกลุ่มที่จีนมีศักยภาพสูง และไทยผลิตได้เองแต่ยังไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายใน เช่น กระเทียมสด พืชผักแปรรูป พริกแห้ง ชาเขียว และหอมหัวใหญ่แห้ง สินค้าเหล่านี้มีแนวโน้มว่าจีนอาจส่งออกเข้ามาไทยมากขึ้น หากตลาดสหรัฐฯ ติดกำแพงภาษีสูง ทำให้สินค้าจากจีนไหลทะลักเข้าสู่ประเทศอื่นๆ รวมถึงไทย ซึ่งเกษตรกรและผู้ผลิตในประเทศต้องเตรียมพร้อมรับมือการแข่งขันที่อาจรุนแรงขึ้น ขณะเดียวกันบางกลุ่มอุตสาหกรรมอาจได้ประโยชน์จากวัตถุดิบราคาถูกสำหรับการแปรรูปส่งออก

นายพูนพงษ์ยังเน้นย้ำว่า ความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ 2.0 ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด สนค. ได้วางแผนรับมือในหลายมิติ ทั้งในระยะสั้น เช่น การเข้มงวดมาตรฐานการนำเข้าสินค้าเกษตร เพื่อป้องกันผลกระทบต่อเกษตรกรในประเทศ รวมถึงการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และในระยะยาว เช่น การเร่งรัดเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี กระจายตลาดส่งออกใหม่ๆ และการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของไทย เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางการค้าในเวทีโลกอย่างยั่งยืน

ที่มา - thaipbs

news-20250425-03

'คมนาคม' เปิดใช้ถนนเลี่ยงเมืองปราจีนบุรี หนุนเดินทางสะดวก-ขนส่งคล่องตัว เชื่อมเศรษฐกิจสู่เส้นทางอินโดจีน

กระทรวงคมนาคมเดินหน้าพัฒนาระบบคมนาคมในจังหวัดปราจีนบุรี ล่าสุด นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้เปิดใช้ถนนสายเลี่ยงเมืองเส้นใหม่เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรในเขตตัวเมืองปราจีนบุรี ซึ่งที่ผ่านมามักเกิดความแออัด โดยเฉพาะในเส้นทางที่เชื่อมจากอำเภอบ้านสร้างและอำเภอเมืองไปยังอำเภอศรีมหาโพธิและประจันตคาม ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่ประชาชนต้องสัญจรผ่านใจกลางเมือง

เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท (ทช.) เร่งดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยก ทล.3452 - สี่แยกบ้านสร้าง ปัจจุบันโครงการแล้วเสร็จและเปิดให้ประชาชนใช้งานแล้วอย่างเป็นทางการ ถือเป็นการเปิดเส้นทางทางเลือกใหม่ที่ไม่เพียงช่วยลดความแออัดจากตัวเมือง แต่ยังเพิ่มศักยภาพในการเดินทางและการขนส่งเชิงเศรษฐกิจ รองรับทั้งการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ

นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการก่อสร้างถนนเส้นนี้มีระยะทางรวมกว่า 25 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 2 ตอนหลัก โดยตอนแรกเริ่มตั้งแต่บริเวณตำบลบางบริบูรณ์ถึงตำบลบางเดชะในเขตอำเภอเมือง ระยะทาง 7.2 กิโลเมตร ก่อสร้างเป็นถนนแอสฟัลท์ติกคอนกรีตขนาด 2–4 ช่องจราจร พร้อมไหล่ทาง สะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก 7 แห่ง และระบบสาธารณูปโภคที่ครบถ้วน อาทิ ไฟฟ้าส่องสว่าง ระบบระบายน้ำ และสัญญาณไฟจราจร ใช้งบประมาณรวมประมาณ 900 ล้านบาท

ส่วนตอนที่สองเป็นการต่อขยายถนนจากอำเภอเมืองไปถึงเขตอำเภอบ้านสร้าง มีระยะทางรวม 18.456 กิโลเมตร ดำเนินการก่อสร้างในรูปแบบเดียวกัน พร้อมสะพานคอนกรีตอีก 5 แห่ง และระบบสนับสนุนความปลอดภัยครบครัน โดยใช้งบประมาณประมาณ 900 ล้านบาทเช่นกัน

ถนนสายใหม่นี้จะกลายเป็นเส้นทางสำคัญที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมและผลผลิตการเกษตรจากจังหวัดปราจีนบุรีสู่ประเทศกัมพูชา ผ่านเส้นทางเศรษฐกิจอินโดจีน พร้อมทั้งสนับสนุนโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้

นอกจากนี้ เส้นทางดังกล่าวยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักสู่ “โครงการพัฒนาส่วนพระองค์บางแตน” แหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรกรรมเชิงบูรณาการที่มีบทบาทสำคัญต่อชุมชนในพื้นที่อำเภอบ้านสร้าง ถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าในการเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างเมืองและการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน

ที่มา - nationtv

news-20250425-02

ส่งออก 'มีนาคม' พุ่งทะลุประวัติศาสตร์ “พิชัย” บอกถ้าอยากรู้ไตรมาส 2 ดีไหม ต้องนั่งไทม์แมชชีนไปดู!

การส่งออกของไทยในเดือนมีนาคม 2568 สร้างสถิติใหม่ ทำมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 29,548.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 17.8% ซึ่งถือเป็นการขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 และยังเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบ 36 เดือนนับตั้งแต่เมษายน 2565 ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 28,575.3 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10.2% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าราว 973 ล้านดอลลาร์

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ตัวเลขส่งออกในไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม – มีนาคม) รวมแล้วอยู่ที่ 81,532.3 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15.2% ซึ่งถือว่าเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปี และน่าจะช่วยผลักดันจีดีพีไตรมาสแรกให้ขยายตัวเกิน 3% แต่ยังต้องรอการประกาศจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) อย่างเป็นทางการอีกครั้ง

สำหรับแนวโน้มเดือนเมษายน นายพิชัยคาดว่าน่าจะยังเป็นบวก แม้จะมีแรงกดดันจากภาษีของสหรัฐฯ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะพลิกกลับมาเป็นลบ ส่วนไตรมาส 2 ยังประเมินไม่ได้ พร้อมกล่าวติดตลกว่า “ถ้าอยากรู้ก็ต้องนั่งไทม์แมชชีนไปดู” และเสริมว่าหากไม่มีปัจจัยลบจาก "ภาษีทรัมป์" ที่กำลังจะกลับมาบังคับใช้ การส่งออกไทยจะไปได้สวยอย่างแน่นอน โดยเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 2-3% มีแนวโน้มว่าจะทำได้ดีกว่านั้น เพราะตอนตั้งเป้าก็เผื่อไว้ต่ำไว้ก่อน บอกน้อยได้เยอะจะไม่โดนด่า บอกเยอะแต่ได้น้อยจะถูกวิจารณ์

ในประเด็นความสัมพันธ์การค้ากับสหรัฐฯ รัฐมนตรีพาณิชย์เผยว่า ฝ่ายไทยได้ติดต่อกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) อย่างต่อเนื่อง และมี “สัญญาณดีระดับ 5G” โดยเตรียมเจรจาเรื่องการป้องกันการสวมสิทธิ์ในการส่งออก และคัดกรองสินค้าไทยที่จะเข้าร่วมการเจรจาในอนาคต

ขณะที่นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) มองว่าการส่งออกในไตรมาส 2 ยังมีโอกาสขยายตัวต่อ โดยเฉพาะในช่วงก่อนวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่สหรัฐฯ เตรียมนำภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการกลับมาใช้ ทำให้หลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ มีแนวโน้มเร่งนำเข้าสินค้าจากไทยในช่วงเมษายนถึงมิถุนายนนี้ เว้นแต่จะสามารถเจรจายุติประเด็นภาษีได้ก่อน

ข้อมูลการส่งออกในเดือนมีนาคมยังเผยให้เห็นว่าตลาดสำคัญอย่างสหรัฐฯ มีการนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นถึง 34.3% ขณะที่จีนเพิ่มขึ้น 22.2% ญี่ปุ่น 1.5% และกลุ่มสหภาพยุโรป (27 ประเทศ) เพิ่มขึ้น 4% ด้านอาเซียนเพิ่มขึ้น 13.2% CLMV เพิ่ม 10.1% ขณะที่ตลาดรองอย่างเอเชียใต้ เพิ่มขึ้น 9.2% ตะวันออกกลาง 25.1% แอฟริกา 3.5% ละตินอเมริกา 11.5% รัสเซียและกลุ่ม CIS เพิ่มขึ้นแรงถึง 59.5% และตลาดสหราชอาณาจักรเพิ่ม 7.7% ยกเว้นเพียงตลาดออสเตรเลียที่ปรับตัวลดลง 11.4% ส่วนตลาดอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอย่างน่าจับตามองถึง 232.6%

แม้ว่าภาพรวมจะดูสดใส แต่การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในเดือนมีนาคมกลับหดตัว 3.1% ถือเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 9 เดือน โดยสินค้าเกษตรลดลง 0.5% และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรลดลง 5.7% สินค้าที่ยังไปได้ดีคือ ยางพารา ไก่สดและแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง และผลไม้สดหรือแปรรูป ขณะที่ข้าว มันสำปะหลัง อาหารทะเลแปรรูป และน้ำตาลทรายมีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้ ในช่วง 3 เดือนแรกของปี การส่งออกสินค้าเกษตรโดยรวมยังขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.2%

ในทางกลับกัน การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมกลับโดดเด่น เติบโต 23.5% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 โดยสินค้าเรือธงที่ขยายตัวชัดเจน ได้แก่ คอมพิวเตอร์ รถยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณี แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักร เครื่องปรับอากาศ และหม้อแปลงไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ยังมีบางกลุ่มที่หดตัว เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และเครื่องยนต์สันดาปภายใน

เมื่อดูภาพรวม 3 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นถึง 19.4% ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ชัดเจนว่าภาคอุตสาหกรรมยังคงเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคง

ที่มา - mgronline

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us