News

news-20250612-02

พลิกโฉมโลจิสติกส์ไทย! รถไฟทางคู่ 7 สายรวด ดันไทยสู่ศูนย์กลางขนส่งโลก คาดพร้อมใช้เต็มรูปแบบปี 71

ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการคมนาคมขนส่ง ด้วยโครงการพัฒนาระบบ รถไฟทางคู่ ที่จะเข้ามาพลิกโฉมการเดินทางและขนส่งสินค้า ยกระดับขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์ของประเทศให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้เดินหน้าอย่างเต็มที่ โดยเส้นทางสำคัญอย่าง ขอนแก่น-หนองคาย ได้เปิดประมูลและอนุญาตให้เอกชนเข้าพื้นที่ก่อสร้างแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี และพร้อมเปิดให้บริการได้ในปี 2571

ทำไมรถไฟทางคู่จึงเป็นหัวใจสำคัญ?

เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยมีทำเลที่ตั้งที่ได้เปรียบทางภูมิศาสตร์อย่างมหาศาล ด้วยการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การขนส่งผู้คนและสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบกและทางรางล้วนต้องผ่านประเทศไทย ไม่ว่าจะมุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่ลาวและจีนตอนใต้ หรือลงใต้ไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย

ปัจจุบันความต้องการในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก และประเทศต่างๆ ก็พยายามเชื่อมต่อการขนส่งระหว่างกันในหลายเวที แต่ระบบรถไฟของไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น การเดินรถที่ไม่แม่นยำเพราะส่วนใหญ่ยังเป็นทางเดี่ยว, ความไม่สะดวกในการเชื่อมต่อระหว่างระบบรางกับถนนหรือเรือ, การขาดแคลนที่จอดรถรับ-ส่งผู้โดยสาร หรือลานเทกองสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การขนส่งแบบไร้รอยต่อยังไม่เกิดขึ้นจริง รวมถึงระบบบริหารจัดการที่ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ

หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การขนส่งทางรถจากประเทศต่างๆ จะใช้ไทยเป็นทางผ่านมากขึ้น ซึ่งจะนำมาซึ่งปัญหารถติด ฝุ่นควัน มลพิษ และภาระงบประมาณในการซ่อมแซมถนนที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ด้วยเหตุนี้ การเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางราง และการผลักดันโครงการรถไฟทางคู่ จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพระบบขนส่งของประเทศให้รองรับการขยายตัวของการค้าชายแดน การค้าผ่านแดน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม

ความคืบหน้าของโครงการรถไฟทางคู่

ปัจจุบัน รฟท. ได้พัฒนา รถไฟทางคู่ระยะที่ 1 ซึ่งเป็นทางรถไฟรัศมีกระจายออกไปรอบกรุงเทพมหานคร ระยะทางประมาณ 350-400 กิโลเมตรแล้วเสร็จ และกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ ทางคู่ระยะที่ 2 เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และเติมเต็มเส้นทางที่ขาดหาย (missing link) รวมทั้งหมด 7 เส้นทาง ได้แก่:

  • ขอนแก่น-หนองคาย (167 กิโลเมตร)
  • ปากน้ำโพ-เด่นชัย (281 กิโลเมตร)
  • ชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี (308 กิโลเมตร)
  • ชุมพร-สุราษฎร์ธานี (168 กิโลเมตร)
  • สุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา (321 กิโลเมตร)
  • หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ (45 กิโลเมตร)
  • เด่นชัย-เชียงใหม่ (189 กิโลเมตร)

นอกจากเส้นทางขอนแก่น-หนองคายที่กำลังดำเนินการแล้ว รฟท. ได้เสนออีก 6 โครงการที่เหลือต่อผู้มีอำนาจอนุมัติ ซึ่งขณะนี้กระทรวงคมนาคมได้ให้ความเห็นชอบ และอยู่ระหว่างการรวบรวมความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติดำเนินโครงการต่อไป

ประโยชน์ของรถไฟทางคู่

การมีโครงข่ายรถไฟทางคู่ที่สมบูรณ์ จะช่วยให้การเดินทางและการขนส่งรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น เพราะสามารถเดินรถได้สองทาง ทำให้ผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนการขนส่ง และช่วยให้สินค้าเกษตรหรือสินค้าที่มีอายุสั้นสามารถส่งถึงมือผู้ค้าและผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ รถไฟทางคู่ยังเป็นส่วนสำคัญในการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค สร้างการเชื่อมโยงโครงข่ายการเดินทางและการขนส่งระหว่างเมืองที่เพิ่มขึ้น และมีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง

โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่จึงเป็นนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคมและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่จะเปลี่ยนผ่านจากการขนส่งทางถนนสู่การขนส่งทางรางที่มีต้นทุนต่ำกว่า และใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย หากโครงการทั้งหมดแล้วเสร็จ จะเพิ่มระยะทางให้บริการ สร้างทางเลือกการเดินทางที่ประหยัดและปลอดภัย ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้าง

news-20250612-01

LEO ลุยธุรกิจใหม่! คาด Q2/68 สดใส ดัน Non Freight-Non-Logistics พุ่ง 35% พร้อมปั้นโลจิสติกส์ทางรางไทย-จีน

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นายมานพ ปัจวิทย์ (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO นำเสนอข้อมูลบริษัทในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) บนแพลตฟอร์มออนไลน์

โดยระบุว่า บริษัทฯ มั่นใจผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 มีแนวโน้มดีต่อเนื่อง จากค่าระวางเรือช่วงครึ่งปีหลังมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น ลุยขยายธุรกิจใหม่ Non Freight และ Non-Logistics วางเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ ให้ได้อย่างน้อย 30-35% ของรายได้รวมภายในปี 2568 พร้อมเสริมแกร่งโลจิสติกส์ทางรางไทย-จีน ผลักดันอนาคตเติบโตก้าวกระโดด ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นที่บริษัทฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

news-20250610-03

ไทยเตรียมเปิดโต๊ะเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ลุ้นคลายกำแพงภาษี หนุนหุ้นส่งออก-นิคมฯ คึก

กระแสการผ่อนคลายมาตรการกีดกันทางการค้าเริ่มส่งสัญญาณเชิงบวก หลังจากที่หลายประเทศทยอยเปิดโต๊ะเจรจากับสหรัฐอเมริกา เพื่อหาทางออกจากมาตรการภาษีตอบโต้ที่เคยกดดันการส่งออกและภาคการผลิตทั่วโลกมาหลายปี

ขณะนี้ ประเทศไทยเองก็เดินหน้าเข้าสู่คิวเจรจากับสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยืนยันว่า ทางการสหรัฐฯ ได้ตอบรับความร่วมมือ พร้อมเปิดโอกาสให้มีการหารือด้านภาษีการค้า โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การรักษาผลประโยชน์ของไทยไม่ให้เสียเปรียบชาติอื่นในเวทีการค้าโลก

การเจรจาครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการปลดล็อกข้อจำกัดด้านภาษีของสินค้าส่งออกไทย โดยมีข้อเสนอเบื้องต้น 5 ด้าน ได้แก่ การขยายความร่วมมือในธุรกิจอาหารแปรรูป เพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เช่น พลังงาน ข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว พร้อมทั้งผลักดันให้มีการลดอุปสรรคทางการค้า การบังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างเคร่งครัด และสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนไทยในสหรัฐฯ

การเคลื่อนไหวดังกล่าวจุดกระแสความหวังในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในกลุ่มส่งออกและนิคมอุตสาหกรรมที่เคยถูกกดดันจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่อง นักวิเคราะห์มองว่า หุ้นอย่าง DELTA, CCET, KCE, STGT, STA รวมถึง WHA และ AMATA อาจได้รับแรงหนุนจากความคืบหน้าของการเจรจาครั้งนี้

ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยยังได้หารือกับฝ่ายสหรัฐฯ ซึ่งยินดีให้การสนับสนุนในด้านการประสานงานและจัดการนัดหมาย เพื่อเร่งเริ่มต้นกระบวนการเจรจาอย่างเป็นทางการโดยเร็ว ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับไทยในระยะต่อไป

news-20250610-02

ยอดใช้น้ำมัน 4 เดือนแรกปี 68 พุ่ง 1.2% เจ็ท A1 โตแรงตามอุตฯ ขนส่งทางอากาศ แม้เบนซิน-ดีเซลเริ่มแผ่ว

ภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2568 ขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 159.27 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและการขนส่งที่ยังขับเคลื่อนความต้องการใช้พลังงานในประเทศอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งในกลุ่มที่เติบโตโดดเด่นคือ น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) ซึ่งขยายตัวถึง 14% มาอยู่ที่ 18.78 ล้านลิตรต่อวัน เป็นผลจากการฟื้นตัวของการเดินทางโดยเครื่องบินและการขนส่งสินค้าทางอากาศ โดยแม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงเล็กน้อยที่ 12 ล้านคนใน 4 เดือนแรก แต่กลุ่มสายการบินเชิงพาณิชย์และโลจิสติกส์อากาศยังเดินหน้าเติบโต

ในทางกลับกัน กลุ่มน้ำมันเบนซินกลับเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 31.84 ล้านลิตรต่อวัน ลดลง 0.03% สาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท รวมถึงพฤติกรรมผู้โดยสารที่หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีสัดส่วนถึง 6.11% ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คนแล้ว

ด้านน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ สถานีบริการ อยู่ที่ 68.53 ล้านลิตรต่อวัน ลดลง 1.3% แม้ภาคอุตสาหกรรมจะมีการขยายตัวในช่วงไตรมาสแรก แต่การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ประกอบกับภาระจากมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ที่ยังไม่แน่นอน กดดันความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ

น้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ 95 ยังคงได้รับความนิยมสูงสุด โดยมีปริมาณการใช้อยู่ที่ 19.15 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย จากส่วนต่างราคาที่ยังจูงใจผู้ใช้ แม้จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ตาม

ในส่วนของพลังงานทางเลือก การใช้ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 17.50 ล้านกิโลกรัมต่อวัน ลดลง 0.8% โดยเฉพาะจากภาคปิโตรเคมีและภาคขนส่ง ขณะที่การใช้ในครัวเรือนและอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนการใช้ NGV ยังคงลดลงต่อเนื่อง 15.6% ตามแนวโน้มการลดลงของจำนวนสถานีบริการและจำนวนรถจดทะเบียน

ด้านการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ยอยู่ที่ 1.08 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 3.1% คิดเป็นมูลค่าราว 86,000 ล้านบาทต่อเดือน โดยน้ำมันดิบยังเป็นสัดส่วนหลักที่เพิ่มขึ้น 6.2% ส่วนการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปกลับลดลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 28,000 บาร์เรลต่อวัน

ในขณะที่การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปลดลงเล็กน้อย 0.1% มาอยู่ที่ 153,716 บาร์เรลต่อวัน คิดเป็นมูลค่าราว 13,000 ล้านบาทต่อเดือน โดยยังเน้นการส่งออกน้ำมันเบนซิน ดีเซล และ LPG เป็นหลัก

แม้พลังงานบางกลุ่มจะเริ่มสะดุด แต่ความต้องการใช้น้ำมันในภาพรวมยังคงเดินหน้าได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและโลจิสติกส์ทางอากาศซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญในการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us