admin L2D

L2D Page (120)

‘ต่างชาติ’ ทิ้งหุ้นไทยเดือนพ.ย. ‘หมื่นล้าน’ เศรษฐกิจถ่วงการฟื้นตัว

ต่างชาติเทขายหุ้นไทยต่อเนื่อง เดือนพ.ย.เงินไหลออกแรงสุดในภูมิภาค ท่ามกลางกังวลเศรษฐกิจ–การเมืองภายในประเทศ
แม้ตลาดหุ้นโลกจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงปลายปี แต่ภาพของตลาดหุ้นไทยยังคงอึมครึม เมื่อแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติยังไม่หยุดลง โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่เม็ดเงินไหลออกอย่างหนักตลอดช่วงวันที่ 1–26 พฤศจิกายน รวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ถือเป็นการขายสุทธิที่สูงกว่าหลายตลาดในภูมิภาค สะท้อนความไม่มั่นใจต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยและปัจจัยเฉพาะตัวที่กดดันตลาดต่อเนื่อง

ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า แม้เดือนพฤศจิกายนจะเป็นช่วงที่เงินทุนโลกหมุนเข้าสู่กลุ่มหุ้นคุณค่า (Value) อย่างโดดเด่น แต่หุ้นไทยกลับถูกขายสุทธิถึง 337 ล้านดอลลาร์ หรือราว 10,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดหุ้นโลกเองก็มีความผันผวนสูง โดยหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐปรับตัวลงแรงและแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่าสิบปี เนื่องจากความกังวลด้าน Valuation ที่เริ่มตึงตัว ทำให้นักลงทุนเร่งปรับพอร์ตออกจากหุ้นเติบโต (Growth) เข้าสู่หุ้นคุณค่าในหลายภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยซึ่งควรเป็นหนึ่งในตลาดที่ได้ประโยชน์จากกระแสการหมุนเงินดังกล่าว กลับถูกเทขายหนักจากความกังวลภายในประเทศ ทั้งข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง และสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะสงขลา ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของภูมิภาค ทำให้นักลงทุนเริ่มมองว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปีนี้อาจเผชิญความเสี่ยงชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้

บรรยากาศในเดือนธันวาคมก็อาจไม่คึกคักนัก เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาวของนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายบางลงและความผันผวนลดทอนลงตามฤดูกาล โดยตลาดยังคงจับตาความชัดเจนด้านการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการเลือกตั้งและทิศทางนโยบายใหม่ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยดึงเงินทุนต่างชาติให้เริ่มกลับมาในปีถัดไปได้

วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย มองว่า ภาพระยะยาวของฟันด์โฟลว์ยังมีความท้าทาย เนื่องจากในรอบ 6–7 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยสะสมรวมกว่า 6–7 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นว่ากระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดไทยมาอย่างต่อเนื่อง การจะให้เงินทุนกลับมาอย่างจริงจังจำเป็นต้องเห็นสัญญาณบวกชัดเจนในเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการเติบโต กำไรบริษัทจดทะเบียน และศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจไทย ซึ่งปัจจุบันยังเติบโตในระดับต่ำ โดยไตรมาส 3 ปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียงระดับ 1% กว่า ๆ เท่านั้น ขณะที่ความหวังในไตรมาส 4 อาจสะดุดจากผลกระทบน้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ

ด้านมุมมองของสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย ชี้ว่า ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน นักลงทุนต่างชาติเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกจากความเสี่ยงกรณี US Government Shutdown ซึ่งทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐขาดช่วงประกาศ พร้อมทั้งความกังวลว่าหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐอาจตึงตัวใกล้เคียงช่วงฟองสบู่ปี 2000 ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ตลาดเกิดแรงขายทำกำไร โดยตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงราว 4% ส่วนตลาดหุ้นไทยร่วงลงประมาณ 3–4% ในช่วงครึ่งเดือนแรก

แต่หลังจากกลางเดือนเป็นต้นไป บรรยากาศเริ่มปรับดีขึ้นตามความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในเดือนธันวาคม ซึ่งช่วยให้เม็ดเงินบางส่วนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง โดยกสิกรไทยประเมินว่าตลาดอาจประเมินการลดดอกเบี้ยต่ำไป และเห็นโอกาสที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้งในปีหน้า สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทย คาดว่าสิ้นปีนี้มีโอกาสปิดใกล้ระดับ 1,275 จุด และขยับขึ้นสู่ช่วงประมาณ 1,375 จุดในปีหน้า หากบรรยากาศลงทุนและเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวตามคาด

L2D Page (119)

กลุ่มเดินเรือฟื้นแบบค่อยเป็นค่อยไป หวั่นสงครามทะเลแดง-ช่องแคบฮอร์มุซฉุด

ต่างชาติเทขายหุ้นไทยต่อเนื่อง เดือนพ.ย.เงินไหลออกแรงสุดในภูมิภาค ท่ามกลางกังวลเศรษฐกิจ–การเมืองภายในประเทศ
แม้ตลาดหุ้นโลกจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงปลายปี แต่ภาพของตลาดหุ้นไทยยังคงอึมครึม เมื่อแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติยังไม่หยุดลง โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่เม็ดเงินไหลออกอย่างหนักตลอดช่วงวันที่ 1–26 พฤศจิกายน รวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ถือเป็นการขายสุทธิที่สูงกว่าหลายตลาดในภูมิภาค สะท้อนความไม่มั่นใจต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยและปัจจัยเฉพาะตัวที่กดดันตลาดต่อเนื่อง

ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า แม้เดือนพฤศจิกายนจะเป็นช่วงที่เงินทุนโลกหมุนเข้าสู่กลุ่มหุ้นคุณค่า (Value) อย่างโดดเด่น แต่หุ้นไทยกลับถูกขายสุทธิถึง 337 ล้านดอลลาร์ หรือราว 10,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดหุ้นโลกเองก็มีความผันผวนสูง โดยหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐปรับตัวลงแรงและแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่าสิบปี เนื่องจากความกังวลด้าน Valuation ที่เริ่มตึงตัว ทำให้นักลงทุนเร่งปรับพอร์ตออกจากหุ้นเติบโต (Growth) เข้าสู่หุ้นคุณค่าในหลายภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยซึ่งควรเป็นหนึ่งในตลาดที่ได้ประโยชน์จากกระแสการหมุนเงินดังกล่าว กลับถูกเทขายหนักจากความกังวลภายในประเทศ ทั้งข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง และสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะสงขลา ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของภูมิภาค ทำให้นักลงทุนเริ่มมองว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปีนี้อาจเผชิญความเสี่ยงชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้

บรรยากาศในเดือนธันวาคมก็อาจไม่คึกคักนัก เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาวของนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายบางลงและความผันผวนลดทอนลงตามฤดูกาล โดยตลาดยังคงจับตาความชัดเจนด้านการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการเลือกตั้งและทิศทางนโยบายใหม่ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยดึงเงินทุนต่างชาติให้เริ่มกลับมาในปีถัดไปได้

วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย มองว่า ภาพระยะยาวของฟันด์โฟลว์ยังมีความท้าทาย เนื่องจากในรอบ 6–7 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยสะสมรวมกว่า 6–7 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นว่ากระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดไทยมาอย่างต่อเนื่อง การจะให้เงินทุนกลับมาอย่างจริงจังจำเป็นต้องเห็นสัญญาณบวกชัดเจนในเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการเติบโต กำไรบริษัทจดทะเบียน และศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจไทย ซึ่งปัจจุบันยังเติบโตในระดับต่ำ โดยไตรมาส 3 ปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียงระดับ 1% กว่า ๆ เท่านั้น ขณะที่ความหวังในไตรมาส 4 อาจสะดุดจากผลกระทบน้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ

ด้านมุมมองของสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย ชี้ว่า ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน นักลงทุนต่างชาติเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกจากความเสี่ยงกรณี US Government Shutdown ซึ่งทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐขาดช่วงประกาศ พร้อมทั้งความกังวลว่าหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐอาจตึงตัวใกล้เคียงช่วงฟองสบู่ปี 2000 ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ตลาดเกิดแรงขายทำกำไร โดยตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงราว 4% ส่วนตลาดหุ้นไทยร่วงลงประมาณ 3–4% ในช่วงครึ่งเดือนแรก

แต่หลังจากกลางเดือนเป็นต้นไป บรรยากาศเริ่มปรับดีขึ้นตามความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในเดือนธันวาคม ซึ่งช่วยให้เม็ดเงินบางส่วนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง โดยกสิกรไทยประเมินว่าตลาดอาจประเมินการลดดอกเบี้ยต่ำไป และเห็นโอกาสที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้งในปีหน้า สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทย คาดว่าสิ้นปีนี้มีโอกาสปิดใกล้ระดับ 1,275 จุด และขยับขึ้นสู่ช่วงประมาณ 1,375 จุดในปีหน้า หากบรรยากาศลงทุนและเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวตามคาด

L2D Page (118)

'คมนาคม' ยกเครื่องใหญ่ ‘โมเดลถนน-ระบบราง’ รับมือโลกรวน

ภาวะโลกร้อนกับโจทย์ใหญ่ระบบคมนาคมไทย: ทางหลวง–ราง–ทางพิเศษ ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมืออุทกภัยยุคใหม่

ภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้เร่งให้ประเทศไทยเผชิญกับความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงกว่าเดิม ทั้งปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มสูงขึ้น พายุที่ก่อตัวเร็วและเดาทางได้ยาก รวมถึงน้ำหลากที่เข้าท่วมพื้นที่สำคัญอย่างฉับพลัน สถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นภาพสะท้อนชัดเจนของปัญหาเรื้อรังนี้ เมื่อประชาชนกว่า 240,000 คนไม่สามารถอพยพออกจากพื้นที่ได้ รัฐบาลจึงประกาศให้จังหวัดสงขลาเป็นพื้นที่สถานการณ์ฉุกเฉินทันที มีผลตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน จนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2569 ซึ่งใช้กรอบวิธีบริหารจัดการคล้ายกับช่วงที่ประเทศไทยเคยใช้มาตรการฉุกเฉินในสถานการณ์โควิด-19

ท่ามกลางภาวะวิกฤต กระทรวงคมนาคมได้ลงพื้นที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยพบว่าหลายพื้นที่ในอำเภอหาดใหญ่มีถนนและทางรถไฟเก่าเป็นแนวปิดกั้นน้ำ การเปิดช่องระบายน้ำใหม่ โดยวิธีเจาะหรือรื้อโครงสร้างถนนที่ไม่ใช้งานแล้ว จึงเป็นมาตรการเร่งด่วนที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสั่งดำเนินการทันที พร้อมรายงานสถานการณ์ต่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที

ในมิติระยะยาว ปัญหาอุทกภัยที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ผลักดันให้กระทรวงคมนาคมต้องปรับกรอบการออกแบบและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ การพึ่งพาข้อมูลสถิติน้ำท่วมในอดีตซึ่งเคยเป็นพื้นฐานการออกแบบถนนกลับไม่เพียงพออีกต่อไป เนื่องจากปริมาณน้ำหลากสูงสุดในช่วงฤดูฝนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งระดับน้ำทะเลหนุนในพื้นที่ชายฝั่งก็กระทบพื้นที่ลุ่มต่ำมากขึ้น กระทรวงจึงกำหนดเกณฑ์การออกแบบใหม่ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น มุ่งรองรับสถานการณ์น้ำรุนแรงระดับ “น้ำท่วมรอบ 100 ปี” หรือ “300 ปี” เพื่อให้โครงข่ายทางหลวงสามารถเปิดใช้งานได้แม้ในช่วงวิกฤต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาเส้นทางลำเลียงสินค้าและการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน

มาตรการเด่นที่ถูกยกขึ้นมาเป็นโมเดลแก้ปัญหา คือการยกคันทางให้สูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก ถนนหลายสายได้ถูกปรับระดับใหม่ให้สูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดที่เคยเกิดขึ้น เช่น ทางหลวงหมายเลข 3094 ในจังหวัดนครปฐม ที่ถูกยกระดับเพิ่มกว่า 58 เซนติเมตร พร้อมเปลี่ยนผิวจราจรเป็นคอนกรีตเพื่อป้องกันการกัดเซาะและปัญหาจากน้ำทะเลหนุน การออกแบบเช่นนี้ช่วยลดผลกระทบจากน้ำหลากได้อย่างเห็นผล

อีกหนึ่งกลไกสำคัญคือการเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำ ถนนจำนวนมากในอดีตติดตั้งท่อลอดและสะพานขนาดเล็กเกินไป ทำให้ระบายน้ำไม่ทันและกลายเป็นจุดอุดตันทันทีที่เกิดน้ำหลาก กรมทางหลวงจึงเร่งสำรวจพื้นที่วิกฤตในลุ่มน้ำสำคัญ เช่น ลุ่มน้ำชี แม่น้ำมูล ตลอดจนพื้นที่ในจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร สุโขทัย และกำแพงเพชร เพื่อขยายช่องเปิดทางน้ำและเพิ่มขนาดอาคารระบายน้ำให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำยุคใหม่

ด้านกรมทางหลวงชนบทเองได้ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมเชิงปฏิบัติการ ทั้งการทำความสะอาดท่อระบายน้ำ การกำจัดวัชพืชที่กีดขวางทางน้ำ รวมถึงการเตรียมสะพานเบลีย์ไว้สำหรับติดตั้งในพื้นที่ที่ถนนถูกน้ำตัดขาดทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ขณะที่การทางพิเศษฯ ก็เร่งบำรุงรักษาท่อระบายน้ำบนทางด่วน ตรวจสอบจุดเสี่ยง และจัดทีมเฝ้าระวังเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมขังอย่างทันท่วงทีในวันที่เกิดฝนตกหนัก

ไม่เพียงแต่เส้นทางถนนเท่านั้นที่เผชิญแรงกดดันจากภาวะโลกร้อน ระบบรางก็เป็นอีกมิติที่ต้องเร่งปรับตัว กรมการขนส่งทางรางได้ศึกษาและจัดทำมาตรฐานระบบระบายน้ำสำหรับโครงสร้างพื้นฐานระบบราง พร้อมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการระยะเร่งด่วนและระยะยาวเพื่อรับมือปัญหาอุทกภัย โดยเตรียมสำรวจความเสียหายและซ่อมแซมโครงสร้างทางรถไฟทันทีหลังน้ำลด รวมถึงปรับปรุงระบบระบายน้ำตามมาตรฐานใหม่ นอกจากนี้ยังได้พัฒนาระบบแจ้งเหตุ DRT Alert เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายหน่วยงาน เช่น สทนช. กรมอุตุนิยมวิทยา และ GISTDA เพื่อใช้ประเมินสถานการณ์น้ำและประกาศเตือนภัยได้อย่างแม่นยำ

หลังเหตุการณ์ผ่านพ้น หน่วยงานด้านรางจะต้องเร่งตรวจสอบโครงสร้าง สะพาน หินโรยทาง พร้อมจำกัดความเร็วหรือหยุดการเดินรถในพื้นที่เสี่ยงจนกว่าจะมั่นใจในระดับความปลอดภัย การเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะถูกนำไปปรับปรุงแผนฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคต

ทั้งระบบถนน ทางราง และทางพิเศษต่างกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ เพื่อปรับตัวให้ทันกับภัยพิบัติยุคใหม่ที่เกิดจากภาวะโลกร้อน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีความยืดหยุ่นและปลอดภัยมากขึ้นไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คือการวางรากฐานใหม่ของระบบคมนาคมไทยให้พร้อมรับมือกับอนาคตที่ท้าทายยิ่งกว่าเดิม.

L2D Page (117)

เศรษฐกิจดิจิทัลไทยปี 68 สะพัด 1.8 ล้านล้านบาท Google ชี้ 'อีคอมเมิร์ซ' แรงขับเคลื่อนหลัก

เศรษฐกิจดิจิทัลไทยโตแกร่ง แม้เศรษฐกิจภายในประเทศเผชิญแรงกดดัน

แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังมีอุปสรรค จากการบริโภคที่ชะลอตัวและภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แต่เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รายงาน e-Conomy SEA Report 2024: From Digital Decade to AI Reality ที่จัดทำโดยกูเกิล เทมาเส็ก และเบนแอนด์คอมพานี ระบุว่า เศรษฐกิจดิจิทัลไทยยังเป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และคาดว่ามูลค่าสินค้ารวม (GMV) จะพุ่งขึ้นถึง 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2568 เพิ่มขึ้น 16% จากปีที่ผ่านมา โดยมีภาคอีคอมเมิร์ซเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อน

อีคอมเมิร์ซยังคงเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค ด้วยอัตราเพิ่มขึ้น 22% และคาดว่ามูลค่าตลาดจะขึ้นแตะ 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีหน้า ปัจจัยสำคัญของการเติบโตมาจากกระแส “วิดีโอคอมเมิร์ซ” ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผู้ขายผ่านวิดีโอมีจำนวนสูงถึง 850,000 ราย เพิ่มขึ้นกว่า 175% ภายในปีเดียว ส่งผลให้ไทยกลายเป็นตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค ด้วยยอดธุรกรรมกว่า 1.3 พันล้านครั้ง โดยกลุ่มแฟชั่นและเครื่องประดับเป็นหมวดสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุด

ปรากฏการณ์นี้ได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างเห็นได้ชัด และเปิดโอกาสใหม่ให้ผู้ขายและแบรนด์ต่างๆ เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้งขึ้นผ่านการผสานการขายสินค้ากับคอนเทนต์ที่ตรงใจผู้ชม เป็นการยืนยันว่าความนิยมด้านไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของคนไทยได้กลายเป็นพลังสำคัญที่ขยายเศรษฐกิจออนไลน์ในวงกว้าง

ขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวออนไลน์ก็ยังคงเติบโต แม้ว่าการท่องเที่ยวโดยรวมจะฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยคาดว่ามูลค่าตลาดจะถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีหน้า เติบโต 6% ปัจจัยหนุนสำคัญคือมาตรการของรัฐบาลในการดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น การขยายสิทธิ์ยกเว้นวีซ่าให้ครอบคลุมกว่า 90 ประเทศ รองรับนักท่องเที่ยวจากอินเดียและตะวันออกกลาง รวมถึงการผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพระดับโลก และการใช้วัฒนธรรมไทยในการสร้างความน่าสนใจในตลาดต่างประเทศ

ภาคบริการทางการเงินดิจิทัล (DFS) ก็เป็นอีกหนึ่งแรงขับสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีแนวโน้มเติบโตในอัตราเร่ง ธุรกิจด้านดิจิทัลเวลธ์คาดว่าจะขยายตัวสูงถึง 29% มูลค่า AUM แตะ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่สินเชื่อดิจิทัลคาดว่ามียอดคงค้างสูงถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2568 เพิ่มขึ้น 21% ด้านการชำระเงินดิจิทัลยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ามูลค่าธุรกรรมรวมจะสูงถึง 1.63 แสนล้านดอลลาร์ สอดคล้องกับการเข้าสู่ระบบธนาคารดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยคาดว่าจะมีธนาคารดิจิทัลใหม่ 3 รายได้รับใบอนุญาตดำเนินงานภายในปี 2569 ซึ่งจะช่วยขยายบริการทางการเงินให้เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้รายย่อยและผู้ประกอบการขนาดเล็กมากขึ้น

ภาคสื่อออนไลน์และบริการดิจิทัลบันเทิงยังคงเติบโตที่ระดับ 8% ด้วยแรงหนุนจากรายได้โฆษณา การขยายตัวของวิดีโอคอมเมิร์ซ และความนิยมของคอนเทนต์ไทยในตลาดโลก โดยกรุงเทพฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางสำคัญที่กำหนดทิศทางเทรนด์ด้านดนตรีและสื่อออนไลน์ของภูมิภาค

นอกจากนี้ บริการขนส่งและส่งอาหารออนไลน์ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยคาดว่ามูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นแตะ 5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568 เติบโต 15% จากปีที่ผ่านมา หลังผ่านช่วงการแข่งขันดุเดือดและการถอนตัวของผู้เล่นรายใหญ่ ตลาดเริ่มเข้าสู่ช่วงสร้างความยั่งยืน แพลตฟอร์มต่างๆ ปรับกลยุทธ์ไปสู่การเพิ่มรายได้และกำไร ผ่านบริการรูปแบบใหม่ เช่น ระบบสมาชิก วอยเชอร์ร้านอาหาร และโฆษณาในแอปพลิเคชัน

แม้เศรษฐกิจไทยจะเผชิญความท้าทายหลายด้าน แต่เศรษฐกิจดิจิทัลยังคงเป็นจุดสว่างสำคัญของประเทศ ด้วยความแข็งแกร่งของอีคอมเมิร์ซ การเติบโตของการท่องเที่ยวออนไลน์ และการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของบริการการเงินดิจิทัลและแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลไทยเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงในปีต่อ ๆ ไป.

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us