admin L2D

L2D Page (66)

รัฐมหาราษฏระทุ่ม 6.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปฏิวัติท่าเรือสู่ศูนย์กลางทางทะเลตะวันตกของอินเดีย

มหาราษฏระเดินหน้าลงทุน 6.7 พันล้านดอลลาร์ ปรับโฉมท่าเรือสู่ศูนย์กลางทางทะเลฝั่งตะวันตกของอินเดีย

ภายในงาน India Maritime Week 2025 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา รัฐมหาราษฏระได้ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ในภาคการขนส่งทางทะเล มูลค่ารวมกว่า 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 56,000 โครรูปี โดยมีบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่อย่าง Adani Ports & SEZ (APSEZ) เป็นผู้ลงทุนหลัก ด้วยวงเงินสูงถึง 5.1 พันล้านดอลลาร์ การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่มุ่งยกระดับศักยภาพของท่าเรือในรัฐมหาราษฏระ โดยเฉพาะท่าเรือ Dighi และท่าเรือสำคัญอื่นในภูมิภาค เพื่อปฏิวัติระบบโลจิสติกส์ทางทะเลให้มีประสิทธิภาพและสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล

แผนพัฒนาครั้งนี้จะช่วยลดเวลาหมุนเวียนของเรือลงราวร้อยละ 25–30 หรือประมาณหนึ่งวัน ลดต้นทุนดำเนินงานร้อยละ 8–12 และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของท่าเรือขึ้นเป็นร้อยละ 45–50 จากระดับเดิมที่ร้อยละ 35 นอกจากนี้ รัฐยังเตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมโยงกับพื้นที่ตอนใน ทั้งระบบถนน รถไฟ และคลังสินค้า เพื่อเสริมความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน และทำให้มุมไบกลายเป็น “ประตูการค้าทางทะเล” ที่สำคัญของฝั่งตะวันตกอินเดียในระยะกลาง

ท่าเรือมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ต่อเศรษฐกิจอินเดีย เนื่องจากประเทศมีสัดส่วนการค้าระหว่างประเทศที่พึ่งพาการขนส่งทางทะเลในระดับสูง การมีท่าเรือที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ แต่ยังเพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงตลาดโลกของผู้ประกอบการอินเดีย โครงการลงทุนครั้งนี้จึงสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระดับชาติอย่าง Sagarmala และ PM Gati Shakti ซึ่งมุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านท่าเรือและระบบขนส่งหลายรูปแบบ (multimodal connectivity) ให้เป็นแกนหลักของเศรษฐกิจการผลิตเพื่อการส่งออก

ก่อนหน้าการประกาศลงทุน รัฐมหาราษฏระมีท่าเรือหลักอยู่แล้ว เช่น JNPT, Mumbai และ Dighi แต่ยังประสบปัญหาความแออัดและข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการขนส่ง ทำให้ระยะเวลาในการขนถ่ายสินค้ายาวนานและต้นทุนสูง การเข้ามาของ APSEZ และการลงทุนชุดใหม่นี้คาดว่าจะเปลี่ยนโฉมโครงสร้างการขนส่งทางทะเลอย่างมีนัยสำคัญ โดยในระยะสั้นจะมีการขยายพื้นที่ท่าเทียบเรือและขุดร่องน้ำลึกเพื่อรองรับเรือขนาดใหญ่ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการขนถ่ายสินค้าคอนเทนเนอร์และสินค้าขนาดใหญ่ ส่วนในระยะกลาง คาดว่าจะเกิดการเชื่อมโยงที่ดียิ่งขึ้นระหว่างท่าเรือกับพื้นที่เศรษฐกิจตอนใน ส่งผลให้ต้นทุนโลจิสติกส์ลดลงและปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในเชิงเศรษฐกิจมหภาค การลงทุนครั้งนี้มีศักยภาพในการยกระดับขีดความสามารถด้านการส่งออกของอินเดีย และลดการพึ่งพาท่าเรือกลางในต่างประเทศ ขณะที่ในระดับภูมิภาค พื้นที่แนวระเบียงการค้าฝั่งตะวันตกที่เชื่อมระหว่างมุมไบ–JNPT–Dighi จะกลายเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าและจุดถ่ายลำสินค้าสำคัญของประเทศ สามารถรองรับเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศโดยตรงมากขึ้น ส่งผลให้ระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งต่อคอนเทนเนอร์ลดลง

ในระดับระหว่างประเทศ การเสริมศักยภาพท่าเรือของอินเดียจะช่วยเพิ่มบทบาทของประเทศในระบบโลจิสติกส์โลก และเปิดโอกาสใหม่สำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย การมีเส้นทางเดินเรือตรงจากฝั่งตะวันตกของอินเดียมายังไทยโดยไม่ต้องผ่านท่าเรือกลาง จะช่วยลดเวลาและต้นทุนขนส่งได้อย่างมีนัยสำคัญ ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูป อาหารทะเลแช่เย็นและแช่แข็ง รวมถึงชิ้นส่วนอุตสาหกรรม จะได้รับประโยชน์จากการขยายตลาดและเพิ่มความถี่ในการส่งออก

ในปัจจุบัน ไทยยังพึ่งพาท่าเรือแหลมฉบังเป็นหลัก โดยมีปริมาณการขนส่งกว่า 9.46 ล้าน TEU ต่อปี และใช้ท่าเรือกรุงเทพหรือมาบตาพุตในบางประเภทสินค้า การเชื่อมต่อโดยตรงกับท่าเรือมุมไบ–Dighi–JNPT จึงถือเป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ที่จะช่วยให้ผู้ส่งออกไทยลดเวลาการจัดเก็บสินค้าในคลัง เพิ่มความคล่องตัวของห่วงโซ่อุปทาน และขยายตลาดในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การลงทุนมูลค่ามหาศาลในครั้งนี้ ไม่เพียงเปลี่ยนภูมิทัศน์ของภาคการขนส่งทางทะเลของอินเดียเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการก้าวสู่บทบาทผู้นำด้านโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค ที่พร้อมจะเชื่อมต่อเศรษฐกิจเอเชียใต้เข้ากับตลาดโลกอย่างเป็นรูปธรรมในทศวรรษหน้า.

L2D Page (65)

เจรจาภาษีทรัมป์: แบบไหนไทยจึงจะได้ประโยชน์?

ไทยควรเดินเกมอย่างไร ในการเจรจาภาษี “ทรัมป์ดีล” กับสหรัฐฯ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศกรอบการเจรจาการค้าต่างตอบแทนกับหลายประเทศ ภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้า โดยของไทยอยู่ที่ 36% ก่อนที่ภายหลังจะมีการตกลงลดลงเหลือ 19% ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน กรอบดังกล่าวจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเจรจาที่อาจเปลี่ยนทิศทางความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ

แม้กรอบนี้ยังไม่ใช่ “ข้อตกลงจริง” แต่เป็นแนวทางเจรจาเบื้องต้นที่ทั้งสองฝ่ายจะใช้ในการกำหนดขอบเขตและเงื่อนไขหลัก ๆ ของการเปิดตลาด กฎถิ่นกำเนิดสินค้า และการปฏิรูประบบกฎเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ รัฐบาลไทยตั้งเป้าจะเจรจาให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ ก่อนเสนอให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญมาตรา 178 เพื่อให้มีผลทางกฎหมาย

ประเด็นสำคัญแรกคือ “การเปิดตลาด” ซึ่งกรอบเจรจาระบุว่าไทยจะลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% สำหรับสินค้ากว่า 99% ของรายการทั้งหมด เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างสองประเทศ ปัจจุบันกว่า 40% ของสินค้าสหรัฐฯ ที่ไทยนำเข้าอยู่แล้วได้รับอัตราภาษี 0% โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม ส่วนสินค้ากลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบคือสินค้าการเกษตรบางประเภทที่แข่งขันกับสินค้าไทยได้โดยตรง จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการวางแผน “ทยอยเปิดตลาด” เพื่อลดแรงกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ ขณะเดียวกันยังต้องเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าคุณภาพจากต่างประเทศในราคาที่เป็นธรรม

ส่วนประเด็น “กฎถิ่นกำเนิดสินค้า” จะเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่มีผลต่อผู้ส่งออกไทยโดยตรง เนื่องจากสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเข้มงวดมากขึ้นในการตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้า เพื่อป้องกันการใช้ช่องทางทางภาษีอย่างไม่ถูกต้อง สินค้าที่ต้องการใช้สิทธิ์ภาษีในอัตรา 19% จะต้องมีมูลค่าการผลิตในไทยมากกว่าครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ถือว่าเป็นสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศไทยอย่างแท้จริง นั่นหมายความว่าผู้ประกอบการไทยอาจต้องปรับโครงสร้างการผลิตใหม่ เพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศ และเตรียมระบบตรวจสอบเอกสารที่ชัดเจนมากขึ้น หากรัฐบาลสามารถเจรจาให้กฎนี้มีความยืดหยุ่น เหมาะสมกับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทย จะช่วยลดภาระต้นทุนและเสริมความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกได้มาก

อีกส่วนหนึ่งที่มีผลระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทยคือ “การปฏิรูปกฎเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ” ที่อาจต้องปรับให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของสหรัฐฯ เช่น การยกระดับมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อม การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย และการเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งหลายข้อถือเป็นสิ่งที่ไทยควรทำอยู่แล้ว แต่การเจรจาครั้งนี้จะเร่งให้เกิดการปฏิรูปเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีบางประเด็นที่สังคมตั้งคำถาม เช่น การไม่เก็บภาษีบริการดิจิทัลจากบริษัทสหรัฐฯ หรือการเปิดเสรีการถ่ายโอนข้อมูลข้ามพรมแดน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางข้อมูลและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศ

ดังนั้น ในขณะที่การเจรจากำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงสำคัญ รัฐบาลควรเปิดเผยสาระสำคัญของการเจรจาให้ประชาชนและภาคเอกชนรับรู้มากขึ้น เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้เตรียมความพร้อมและเสนอข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ การสร้างความเข้าใจร่วมกันตั้งแต่ต้นจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและลดแรงต้านจากสังคมในภายหลัง

การเจรจาภาษี “ทรัมป์ดีล” จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลขภาษีเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางหมากระยะยาวของเศรษฐกิจไทยในระบบการค้าโลก การรักษาสมดุลระหว่าง “การเปิดตลาด” กับ “การปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศ” จะเป็นตัวชี้ชะตาว่า ไทยจะได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงใดจากข้อตกลงใหม่นี้ และจะสามารถใช้โอกาสนี้ผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตบนฐานที่มั่นคงได้จริงหรือไม่

L2D-Page-64

“เฟดเอ็กซ์” ขยายขีดความสามารถ การขนส่งสินค้าของประเทศไทย

เฟดเอ็กซ์เสริมศักยภาพขนส่งไทย หนุนบทบาทศูนย์กลางโลจิสติกส์อาเซียน

เฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น (Federal Express Corporation) หนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านการขนส่งด่วน ประกาศขยายขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าของประเทศไทย เพื่อยกระดับความรวดเร็วและความน่าเชื่อถือของการจัดส่ง รองรับความต้องการทางการค้าระหว่างประเทศที่เติบโตต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อระบบห่วงโซ่อุปทานของโลก

การขยายศักยภาพครั้งนี้ครอบคลุมการเพิ่มเที่ยวบินขนส่งสินค้าด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 767 ที่ให้บริการ 5 วันต่อสัปดาห์ ทั้งเส้นทางขาเข้าและขาออกจากประเทศไทย โดยเชื่อมต่อกับศูนย์กลางการปฏิบัติการของเฟดเอ็กซ์ในเมืองกว่างโจว ประเทศจีน ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเครือข่ายโลจิสติกส์ในภูมิภาค

นอกจากนี้ เฟดเอ็กซ์ยังเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างกว่างโจวและปีนัง ให้บริการสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของตลาดมาเลเซียที่กำลังเติบโตจากการกระจายห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ โดยเส้นทางใหม่นี้ช่วยให้ผู้ประกอบการในปีนังได้รับสินค้ารวดเร็วขึ้นประมาณหนึ่งชั่วโมง ส่งผลให้ระยะเวลาการจัดส่งสั้นลงและประสิทธิภาพการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะเดียวกัน เฟดเอ็กซ์ยังได้ปรับเวลาเที่ยวบินตรงระหว่างกัวลาลัมเปอร์และกว่างโจวให้ออกเดินทางช้าลง 2.5 ชั่วโมง เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถขยายเวลาตัดรอบการรับพัสดุได้เพิ่มอีกหนึ่งชั่วโมง การปรับตารางบินนี้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารการขนส่ง และเสริมศักยภาพของเส้นทางขนส่งสินค้าภายในภูมิภาคเอเชีย

ข้อมูลทางการค้าล่าสุดในปี 2567 ระบุว่า มูลค่าการนำเข้าของประเทศไทยอยู่ที่ 10.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.7% จากปีก่อนหน้า ขณะที่มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 10.5 ล้านล้านบาท เติบโต 7.4% เมื่อเทียบกับปี 2566 ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงการเติบโตของกิจกรรมทางการค้า ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยระบบขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้น

นายศศธร ภาสภิญโญ กรรมการผู้จัดการ เฟดเอ็กซ์ ประเทศไทย กล่าวว่า การเพิ่มศักยภาพด้านการขนส่งในครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญในการเสริมบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค พร้อมสร้างการเชื่อมต่อสู่ตลาดโลกที่รวดเร็วและมั่นคงยิ่งขึ้น เฟดเอ็กซ์มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้ธุรกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นใจบนเวทีการค้าโลก

L2D-Page-63

"บล.กสิกรไทย" ชี้ ส่งออกไทยเดือน ก.ย. แข็งแกร่งเกินคาด เติบโตสูงสุดในปีนี้ มุมมอง "เชิง บวก"

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้านโยบายลดค่าครองชีพด้านการเดินทาง โดยยืนยันว่าแนวคิด “รถไฟฟ้า 40 บาทตลอดวัน” จะต้องเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในรัฐบาลชุดนี้ ครอบคลุมทุกเส้นทาง ทุกสี ทุกสาย เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะยาว
กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เร่งศึกษาแนวทางจัดตั้ง “ศูนย์การบริหารจัดการระบบรถไฟฟ้าแบบองค์รวม” หรือ Single Ownership เพื่อรวมระบบรถไฟฟ้าทุกโครงการให้อยู่ภายใต้การบริหารขององค์กรเดียวกัน อำนวยความสะดวกในการกำหนดอัตราค่าโดยสารแบบเหมาจ่ายรายวันให้เชื่อมต่อทุกสายอย่างราบรื่น
ในระยะเริ่มต้นจะนำร่องโครงการค่าโดยสารเหมาจ่ายรายวันในเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วง ซึ่งเป็นโครงการที่ภาครัฐบริหารจัดการเอง โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 ถึง 30 พฤศจิกายน 2569 ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ เพื่อพิจารณาอนุมัติให้เริ่มดำเนินการได้ทันภายในรัฐบาลชุดปัจจุบัน
สำหรับแนวทางการรวมระบบ Single Ownership นั้น รฟม. อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดเรื่องการชดเชยและการซื้อคืนสัมปทานจากเอกชนกลับมาอยู่ในความดูแลของรัฐบาล โดยต้องหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในวันที่ 6 พฤศจิกายน ก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าในวันที่ 11 พฤศจิกายน และเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ 25 พฤศจิกายน เพื่อให้สามารถเริ่มใช้นโยบายได้จริงภายในปีนี้
นอกจากโครงการรถไฟฟ้าแล้ว กระทรวงคมนาคมยังเตรียมออกมาตรการลดค่าครองชีพเพิ่มเติมในส่วนของ “ค่าทางด่วน” โดยอยู่ระหว่างการศึกษานโยบายกำหนดอัตราค่าผ่านทางสูงสุดไม่เกิน 50 บาทตลอดสายต่อครั้ง สำหรับทางพิเศษทุกเส้นทางที่อยู่ในความดูแลของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) โดยคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ภายในสิ้นปี 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางให้กับประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us