admin L2D

L2D Page (44)

การส่งออกของไทยเดือนมิถุนายน 2568: เติบโตต่อเนื่องท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการค้า

การส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน 2568 ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งที่ร้อยละ 15.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน โดยมีมูลค่า 28,649.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 938,533 ล้านบาท แรงหนุนสำคัญมาจากการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีใหม่ที่อาจมีผลในอนาคต การชะลอการใช้มาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ผู้นำเข้าเร่งตุนสินค้าไทยไว้ล่วงหน้า

อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนการเติบโตยังคงเป็นภาคอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของเทคโนโลยีดิจิทัลทั่วโลก นอกจากนี้ สินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้สด แช่แข็ง มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม น้ำตาลทราย ไก่แปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยง ก็กลับมาฟื้นตัวและขยายตัวได้ดีในหลายตลาดสำคัญ รวมถึงจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเวียดนาม

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกไทยรวมอยู่ที่ 166,851.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตร้อยละ 15.0 ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 166,914.1 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 11.6 ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลเล็กน้อยที่ 62.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากคิดเป็นเงินบาท มูลค่าส่งออกในช่วงเดียวกันอยู่ที่ 5,578,959 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.6 ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 5,651,241 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 4.6

การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในช่วงเวลาดังกล่าวเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลไม้สดและแปรรูปที่เติบโตในระดับสูงในหลายตลาด เช่น จีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์มีอัตราการเติบโตถึง 124.2% ขณะที่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลัง อาหารสำเร็จรูป และน้ำตาลทรายก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับข้าวและอาหารทะเลกระป๋องที่กลับมาหดตัว

ในด้านสินค้าอุตสาหกรรม การเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 17.6 นำโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง โดยสินค้ากลุ่มนี้ขยายตัวในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม บางหมวดสินค้าสำคัญยังคงเผชิญภาวะหดตัว เช่น รถยนต์และชิ้นส่วน อุปกรณ์กึ่งตัวนำ และเครื่องรับโทรทัศน์

ตลาดส่งออกหลักของไทยส่วนใหญ่ยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่ขยายตัวร้อยละ 41.9 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 21 สะท้อนถึงความต้องการสินค้าด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเบาอย่างต่อเนื่อง จีนและสหภาพยุโรปก็มีการนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ตลาดรองอย่างเอเชียใต้และรัสเซียยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ตลาดบางแห่ง เช่น ออสเตรเลีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา และตะวันออกกลาง กลับมาเผชิญภาวะหดตัวอีกครั้งในเดือนนี้

ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดเริ่มใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ไทยได้ยื่นข้อเสนอใหม่ที่เปิดตลาดมากขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับเชิงบวกจากสหรัฐฯ คาดว่าการเจรจาจะนำไปสู่การลดอัตราภาษีอย่างเหมาะสม ช่วยให้ไทยยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค

ในระยะยาว ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นโอกาสในการยกระดับโครงสร้างการส่งออกของไทยให้ไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และส่งเสริมการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

สำหรับปัจจัยอื่นที่อาจส่งผลต่อทิศทางการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังคงสูง ผลไม้ตามฤดูกาลที่ทยอยออกสู่ตลาด สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง การชะลอการลงทุนเพื่อรอดูผลการเจรจาการค้า และการปรับตัวของผู้ส่งออกให้สอดคล้องกับเงื่อนไขใหม่ของสหรัฐฯ รัฐบาลไทยยังเตรียมมาตรการรองรับเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจและเกษตรกรรมในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป

L2D Page (42)

SCB EIC ชี้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตเหลือเพียง 0.4% ปีหน้า หากปิดดีลภาษีกับสหรัฐฯ ไม่สำเร็จ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวเพียง 1.5% ใกล้เคียงกับประมาณการเดิม แม้จะมีความหวังว่าการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดอัตราภาษีตอบโต้จะประสบผลสำเร็จก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคมนี้ อย่างไรก็ตาม แม้การเจรจาจะได้ผลในบางส่วน อัตราภาษีของไทยก็ยังคงสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ทำให้สินค้าไทยยังเสียเปรียบในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ จะเริ่มส่งผลชัดเจนขึ้น

หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ การเร่งส่งออกสินค้าล่วงหน้า (front-loading) ก่อนการเก็บภาษีใหม่ ทำให้ภาพรวมการส่งออกช่วงต้นปีดูแข็งแกร่ง แต่ในช่วงครึ่งหลังของปี สินค้าหลายรายการ โดยเฉพาะสินค้าที่ถูกเก็บภาษีแบบเฉพาะราย (specific tariffs) เริ่มถูกกระทบหนักขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีแนวโน้มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ให้แก่ประเทศในอาเซียน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งมีอัตราภาษีตอบโต้ต่ำกว่าไทย

SCB EIC ยังเตือนว่า ไทยอาจเผชิญกับความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ใช้ "สินค้าสวมสิทธิ" เช่นเดียวกับกรณีของเวียดนาม ซึ่งทำให้ต้นทุนการค้าสูงขึ้น ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ อาจใช้มาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าที่เข้มงวดขึ้นกับสินค้าส่งออกจากไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีสัดส่วนการนำเข้าสูง ซึ่งจะกระทบผู้ผลิตในหลายอุตสาหกรรมที่พึ่งพาชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ

ในกรณีเลวร้ายที่สุด หากการเจรจากับสหรัฐฯ ล้มเหลว และสหรัฐฯ คงอัตราภาษีตอบโต้ไทยไว้ที่ 36% เท่าเดิม ในขณะที่คู่แข่งอย่างเวียดนามถูกเก็บในอัตราต่ำกว่ามาก (ราว 20%) SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้เพียง 1.1% และอาจลดลงเหลือเพียง 0.4% ในปี 2569 จากผลกระทบของการส่งออกที่หดตัวลงต่อเนื่อง รวมถึงแรงลงทุนจากภาคเอกชนที่อ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเจรจา ก็เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวสูงอย่างสุกร ไก่เนื้อ และข้าวโพด ซึ่งมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าสหรัฐฯ มาก หากไทยต้องเปิดเสรีสินค้าเหล่านี้ จะกระทบเกษตรกรรายย่อยและผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานอย่างกว้างขวาง จึงจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องมีมาตรการรองรับและช่วยเหลือการปรับตัวของภาคการผลิตภายในประเทศอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งพิจารณาประเด็นความมั่นคงทางอาหารควบคู่กันไป

แม้เศรษฐกิจโลกโดยรวมมีสัญญาณฟื้นตัวบางส่วน เช่น เศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวเกินคาดในไตรมาสที่ 2 ที่ 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากแรงส่งของการส่งออกไปยังอาเซียนและยุโรป แต่สหรัฐฯ กลับมีแนวโน้มชะลอการนำเข้า โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเริ่มลดลงจากระดับปกติ หลังจากมีการเร่งนำเข้าล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ส่งผลให้ภาพรวมการค้าโลกยังคงเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง

สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด หลังสหรัฐฯ เร่งกระบวนการเจรจากับคู่ค้ารายใหญ่หลายประเทศ โดยมีการส่งหนังสือแจ้งอัตราภาษีตอบโต้ล่วงหน้า (Reciprocal tariffs) ที่จะเริ่มมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม และกำลังพิจารณาขยายรายการสินค้าที่จะเก็บภาษีเฉพาะรายเพิ่มเติม เช่น ทองแดง ยา และเซมิคอนดักเตอร์ ภายในสิ้นปีนี้

ในด้านนโยบายการเงิน แม้ว่าธนาคารกลางหลายประเทศยังคงท่าทีผ่อนคลาย แต่ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้ารอบใหม่จะส่งผลต่อทิศทางดอกเบี้ยในอนาคต โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังไม่มีสัญญาณเร่งปรับลดดอกเบี้ยในไตรมาส 3 เนื่องจากตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง และผลของภาษีต่อเงินเฟ้อยังไม่ชัดเจน ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยไว้ เนื่องจากกำแพงภาษีอาจกดดันค่าจ้างและชะลอวัฏจักรเงินเฟ้อ

สำหรับไทย SCB EIC คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่อ่อนแรง หากการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่คืบหน้า หรือเกิดแรงกระแทกใหม่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจไทยจะเผชิญแรงกดดันด้านลบเพิ่มขึ้น และอาจทำให้ กนง. ต้องลดดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดไว้

สถานการณ์ในช่วงเวลานี้จึงเป็นจุดชี้ขาดสำคัญของทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ทั้งในด้านการค้าระหว่างประเทศ การลงทุน และความสามารถในการรับมือกับแรงกระแทกจากนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา

L2D Page (41)

ไทยเสี่ยงเสียตลาดสหรัฐฯ หลังถูกเก็บภาษี 36% – ส่งออกปี 2568 อาจพลาดเป้า

สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทยกำลังเผชิญแรงกดดันครั้งใหญ่ หลังจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่า การที่สหรัฐฯ เตรียมเรียกเก็บภาษีตอบโต้ไทยในอัตราสูงถึง 36% ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป จะส่งผลกระทบรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกและการผลิต

สหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยในปี 2567 สัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีมากถึง 18% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศคู่แข่งในเอเชีย จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลงทันที การส่งออกชะลอตัวจะส่งผลต่อเนื่องไปยังห่วงโซ่การผลิต ทั้งสินค้าในขั้นต้น ขั้นกลาง และสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งจะสะเทือนทั้งภาคแรงงาน การลงทุน และเศรษฐกิจภาพรวม

คาดการณ์เบื้องต้นระบุว่า หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตราดังกล่าว อัตราการขยายตัวของการส่งออกไทยในปี 2568 อาจเหลือเพียง 0.5 – 1.5% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 2 – 3% โดยมีค่ากลางที่ 1.0% หรือเท่ากับมูลค่าที่หายไปกว่า 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 153,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันประเทศคู่แข่งจะเร่งรุกตลาดที่ไทยเคยครองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักเดิมหรือตลาดใหม่ที่ไทยกำลังพยายามเจาะเข้าไป นอกจากนี้ หลายประเทศอาจเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และลดนำเข้าสินค้าจากไทย เพื่อรักษาดุลการค้า ซึ่งจะซ้ำเติมสถานการณ์ของผู้ประกอบการไทยในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม

ในระยะกลางและยาว แนวโน้มการลงทุนอาจเปลี่ยนทิศ นักลงทุนอาจพิจารณาย้ายหรือกระจายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีภาษีนำเข้าต่ำกว่า เพื่อบริหารความเสี่ยง ขณะที่ในระยะสั้น ธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ จะชะลอแผนการลงทุนลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จากการวิเคราะห์ของกระทรวงพาณิชย์ พบว่าสินค้าที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง, สินค้าที่ถูกเก็บภาษีสูงตามมาตรา 232, สินค้าที่อยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการทางภาษี และสินค้าที่สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ไปแล้ว

กลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง เช่น เฟอร์นิเจอร์ โคมไฟ เครื่องดนตรี เสื้อผ้าทั้งแบบถักและไม่ถัก กระเป๋าเดินทาง เครื่องจักรไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของเล่น และสินค้าแปรรูปจากพืชผักและผลไม้ ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เพราะพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนมากกว่า 28% ของการส่งออกรวม

ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีภายใต้กฎหมายมาตรา 232 เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ มีอัตราภาษีสูงถึง 50% และ 25% ตามลำดับ โดยปัจจุบันไทยมีมูลค่าสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรานี้กว่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนกลุ่มที่อยู่ระหว่างการพิจารณาก็มีแนวโน้มจะถูกเก็บภาษีเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า อลูมิเนียม เครื่องมือแพทย์ รวมถึงของเล่นและอากาศยาน

สำหรับกลุ่มสุดท้ายคือ “สินค้าดาวร่วง” ซึ่งไทยเริ่มเสียส่วนแบ่งตลาดไปแล้วในปีที่ผ่านมา เช่น สินค้าจากเหล็กกล้า วัตถุจากพืชใช้ถักสาน หรือเส้นใยจากพืชที่ใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ

ในส่วนของความคืบหน้าการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีตอบโต้ ทางนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ว่า ฝ่ายไทยได้ส่งข้อเสนอฉบับปรับปรุงให้สหรัฐฯ พิจารณาแล้วกว่า 99.99% โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินของฝั่งสหรัฐฯ ภายใต้เงื่อนไขที่ไทยได้ปรับปรุงตามข้อเรียกร้องที่เฉพาะเจาะจง คาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ภายในเส้นตาย 1 สิงหาคมนี้ หากสำเร็จ ไทยจะนำข้อตกลงดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการเสนอรัฐสภาพิจารณาเห็นชอบต่อไป

สถานการณ์นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการส่งออก หากแต่ยังชี้ชะตาทิศทางเศรษฐกิจไทยในอนาคตอันใกล้

L2D Page (40)

พาณิชย์รุกขยายตลาดแอฟริกา หารือรวันดา-บุรุนดี หนุนส่งออกสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์ไทย

กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าผลักดันการเปิดตลาดใหม่ในทวีปแอฟริกา โดยเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้พบหารือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐรวันดาและบุรุนดีประจำประเทศไทย ณ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสองประเทศในแอฟริกาตะวันออก ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการขยายบทบาทของไทยในภูมิภาคที่กำลังเติบโตและมีศักยภาพสูง

นายเอกฉัตรกล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ไทยมีเป้าหมายในการขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคใหม่ๆ โดยแอฟริกา โดยเฉพาะรวันดาและบุรุนดี ถือเป็นภูมิภาคดาวรุ่งที่มีแนวโน้มเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ทั้งสองประเทศตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของแอฟริกาตะวันออก ซึ่งสามารถเชื่อมโยงการค้าในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ไทยก็พร้อมเป็นประตูการค้าสำหรับรวันดาและบุรุนดีเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในระหว่างการหารือ ฝ่ายไทยได้แสดงความพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่มั่นคง โดยเน้นกลุ่มสินค้าที่ไทยมีศักยภาพสูงในการส่งออก เช่น วัสดุก่อสร้าง แผงสวิตซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตลอดจนเคมีภัณฑ์ รวมถึงสินค้าเกษตรบางประเภทที่สอดคล้องกับความต้องการพัฒนาของทั้งสองประเทศ ด้านรวันดาซึ่งเป็นประเทศที่มีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างรวดเร็ว ก็มีสินค้าที่ไทยสนใจนำเข้า เช่น กาแฟและชา ขณะที่บุรุนดีเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติหลากหลาย โดยเฉพาะแร่ธาตุหายาก ทองแดง และนิกเกิล

ไทยได้เชิญชวนให้ทั้งรวันดาและบุรุนดีเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าและงานแสดงสินค้าสำคัญของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เช่น งาน Thailand-Global Connect: Seeking New Opportunities amidst Global Trade Challenges ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม งาน Thailand International Logistics Fair 2025 ในเดือนสิงหาคม งาน Bangkok Gems & Jewelry Fair 2025 ในเดือนกันยายน และงาน Thailand Tractor & Agri-Machinery Show: THAITAM ที่วางแผนจัดขึ้นในเดือนธันวาคม ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทั้งสองฝ่ายได้พบปะ พูดคุย และขยายความร่วมมือเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม

กระทรวงพาณิชย์ยังมีสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ซึ่งมีพื้นที่ความรับผิดชอบครอบคลุมรวันดาและบุรุนดีด้วย โดยจะทำหน้าที่เป็นกลไกสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศให้เป็นไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ

ข้อมูลทางการค้าระหว่างไทยกับทั้งสองประเทศในปี 2567 สะท้อนแนวโน้มที่น่าจับตา โดยรวันดาเป็นคู่ค้าอันดับที่ 26 ของไทยในทวีปแอฟริกา มูลค่าการค้าอยู่ที่ 55.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยส่งออกไปรวันดา 4.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 51.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่งออกหลักได้แก่ เคมีภัณฑ์ แผงสวิตซ์และอุปกรณ์ไฟฟ้า รถยนต์และชิ้นส่วน ขณะที่สินค้านำเข้าได้แก่ แร่โลหะ เศษโลหะ อัญมณี เงิน ทอง กาแฟและชา

ส่วนบุรุนดี แม้ยังเป็นตลาดเกิดใหม่และอยู่ในลำดับที่ 51 ของไทยในแอฟริกา แต่ก็มีศักยภาพในการเติบโต มูลค่าการค้ารวมในปี 2567 อยู่ที่ 1.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยทั้งหมดเป็นการส่งออกจากไทย ซึ่งประกอบด้วยรถยนต์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์กระดาษ ส่วนสินค้านำเข้าจากบุรุนดียังอยู่ในระดับต่ำมาก และจำกัดอยู่ในกลุ่มของที่ทำจากเหล็กกล้า สิ่งพิมพ์ และข้าว

การขยายตลาดการค้าสู่แอฟริกา โดยเฉพาะผ่านความร่วมมือกับประเทศอย่างรวันดาและบุรุนดี จึงถือเป็นก้าวสำคัญของไทยในการสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจที่หลากหลาย ลดการพึ่งพาตลาดเดิม และต่อยอดความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์ร่วมกันระหว่างประเทศกำลังพัฒนาในหลายมิติ ทั้งการค้า การลงทุน และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us