admin L2D

L2D Page (171)

เศรษฐกิจไม่ดี/บริษัทไทยลดการจ้าง? เมื่อคนอายุ 30, 40 ปีขึ้นไปอาจหางานยากขึ้น วางแผนเรื่องเงินยังไง

เศรษฐกิจชะลอ–บริษัทไทยลดจ้าง เมื่อวัยทำงาน 30–40+ เริ่มไม่มั่นคง ต้องวางแผนเงินอย่างไรให้รอด

“รับสมัครงาน อายุไม่เกิน 35 ปี” คือข้อความที่ยังพบเห็นได้ทั่วไปในตลาดแรงงานไทย และกลายเป็นแรงกดดันเงียบๆ สำหรับคนทำงานจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่กำลังคิดจะเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนสายอาชีพ หลายคนเลือกจะอยู่ที่เดิมต่อ แม้ไม่พอใจงาน เพราะกลัวว่าหากออกไปแล้วจะกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ยากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น

ในอีกด้านหนึ่ง วัย 30 ไปจนถึง 40 ปีขึ้นไป คือกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ และเข้าใจระบบการทำงาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่องค์กรจำนวนไม่น้อยต้องการ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “อายุสำคัญไหม” แต่คืออายุที่มากขึ้นกำลังกลายเป็นความเสี่ยงในยุคเศรษฐกิจผันผวนหรือไม่ และเราควรเตรียมชีวิตอย่างไรเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนนี้

หากพิจารณาจากประกาศรับสมัครงานจำนวนมาก จะพบว่าการจำกัดอายุยังพบได้บ่อย โดยเฉพาะในตำแหน่งระดับปฏิบัติการหรือพนักงานทั่วไป อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่าอายุอาจไม่ใช่ปัจจัยหลัก หากแต่เป็นเรื่องของทักษะ ความเชี่ยวชาญ และความต้องการของตลาดแรงงานในช่วงเวลานั้นมากกว่า

ข้อมูลจากรายงาน The Midcareer Opportunity ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD สะท้อนภาพที่น่าสนใจว่า เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โอกาสได้รับการจ้างงานมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะผู้สมัครตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป กลุ่มอายุที่นายจ้างมีแนวโน้มรับเข้าทำงานน้อยที่สุดคือช่วงอายุ 55–65 ปี ขณะที่วัย 45–54 ปี ก็เริ่มเผชิญข้อจำกัดมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม กลุ่มอายุ 30–44 ปี กลับเป็นช่วงวัยที่นายจ้างต้องการมากที่สุด เนื่องจากถูกมองว่าสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ และนำประสบการณ์มาสร้างคุณค่าให้กับองค์กรได้ดีกว่าแรงงานที่อายุมากกว่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทย ภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทำให้รูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หลายบริษัทเริ่มลดการจ้างพนักงานประจำ หันไปใช้แรงงานสัญญาจ้าง พนักงานชั่วคราว หรือการจ้างงานแบบไม่เต็มเวลามากขึ้น ข้อมูลจากการสำรวจของ Jobsdb สะท้อนว่า สัดส่วนแรงงานรูปแบบดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่ตำแหน่งพนักงานประจำแบบดั้งเดิมลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ในช่วงเวลาเดียวกัน ยังมีข่าวการเปิดโครงการเกษียณก่อนกำหนดหรือ Early Retire จากองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่ง ซึ่งบางโครงการเปิดรับตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกไม่มั่นคงของแรงงานวัยกลางคน และทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรไทยกำลังมองวัยทำงานกลุ่มนี้อย่างไร

เหตุผลที่ทำให้แรงงานวัย 40 ปีขึ้นไปอาจหางานใหม่ได้ยากขึ้น มักเกี่ยวข้องกับทัศนคติของนายจ้างต่อการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ต้นทุนค่าจ้างที่สูงขึ้นตามอายุงาน ความท้าทายด้านโครงสร้างองค์กรที่หัวหน้ามักอายุน้อยกว่า และการที่แรงงานจำนวนมากยังอยู่ในงานลักษณะเดิมซ้ำๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เทคโนโลยีและ AI สามารถเข้ามาทดแทนได้ง่าย

แม้ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่แรงงานไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ควบคุมได้คือการเตรียมความพร้อมของตัวเอง โดยเฉพาะด้านการเงิน เมื่อความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติ การวางแผนการเงินตั้งแต่วันที่ยังมีรายได้ประจำจึงเป็นสิ่งจำเป็น

การมีเงินสำรองฉุกเฉินเป็นพื้นฐานสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับวัย 40 ปีขึ้นไปที่อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะได้งานใหม่ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวมากกว่าเดิม เงินสำรองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอย่างน้อยหนึ่งถึงสองปี จะช่วยลดแรงกดดันและเปิดโอกาสให้ตัดสินใจเรื่องงานได้ดีขึ้น

ขณะเดียวกัน การทบทวนแผนเกษียณก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินลงทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ จำเป็นต้องประเมินว่าเพียงพอกับเป้าหมายชีวิตหรือไม่ โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มคิดถึงการเกษียณเร็ว การคำนวณค่าใช้จ่ายระยะยาวและผลกระทบจากเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

การลดภาระหนี้ให้น้อยที่สุดก่อนเข้าสู่วัยเกษียณก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน หนี้บ้าน หนี้รถ หรือหนี้บริโภค หากสามารถจัดการให้หมดเร็วขึ้น จะช่วยให้มีสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นในวันที่รายได้ไม่แน่นอน

นอกจากการเงินแล้ว การลงทุนกับตัวเองผ่านการพัฒนาทักษะใหม่ยังเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เทคโนโลยี การเพิ่มทักษะที่ตลาดต้องการ หรือการสร้างรายได้ทางเลือก การเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ย่อมดีกว่ารอให้ถูกบีบให้เปลี่ยนแปลงในวันที่ไม่มีทางเลือก

สุดท้าย แม้งานจะเป็นส่วนสำคัญของชีวิต แต่ “เงิน” คือเครื่องมือที่จะช่วยให้เรารับมือกับความไม่แน่นอนได้ดีขึ้น ต่อให้งานไม่เลือกเรา หากเราวางแผนการเงินไว้ดีพอ ชีวิตก็ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีและทางเลือก

L2D Page (170)

กรมขนส่งฯ รณรงค์ “เช็กก่อนจะช้าไป : เช็กรถ เช็กทาง เช็กคน”เดินทางปีใหม่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

ขนส่งฯ เดินหน้ารณรงค์ปีใหม่ “เช็กก่อนจะช้าไป” ย้ำเตรียมพร้อมก่อนเดินทาง สร้างความปลอดภัยบนถนนตลอดปี

กรมการขนส่งทางบกเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการด้านความปลอดภัยทางถนนรับเทศกาลปีใหม่ 2569 เปิดตัวแคมเปญรณรงค์ “เช็กก่อนจะช้าไป : เช็กรถ เช็กทาง เช็กคน” มุ่งสร้างการตระหนักรู้และปลูกฝังพฤติกรรมการเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง เพื่อยกระดับความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงคมนาคมที่ให้ความสำคัญกับการลดอุบัติเหตุและการสูญเสียบนท้องถนน

นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกได้ผลิตและเผยแพร่สื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ชุดใหม่ภายใต้แนวคิดดังกล่าว ผ่านสื่อโทรทัศน์ควบคู่กับสื่อออนไลน์หลากหลายแพลตฟอร์ม เพื่อสื่อสารให้ประชาชนทุกกลุ่มตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมก่อนเดินทาง โดยเนื้อหามุ่งเน้นการตรวจสอบสภาพรถ การวางแผนเส้นทางอย่างปลอดภัย และความพร้อมของผู้ขับขี่ ทั้งด้านสติ สมาธิ การพักผ่อนที่เพียงพอ และการปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ซึ่งสะท้อนถึงความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วนในการลดความเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน

การรณรงค์ดังกล่าวสอดคล้องกับแผนอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ของกรมการขนส่งทางบก ที่ดำเนินมาตรการเชิงรุกอย่างเข้มข้น ทั้งการกำกับดูแลการให้บริการรถโดยสารสาธารณะ การตรวจสภาพรถก่อนออกให้บริการ การควบคุมพฤติกรรมพนักงานขับรถผ่านระบบ GPS การตรวจความพร้อมของพนักงานขับรถในสถานีขนส่ง และการกำชับผู้ประกอบการให้รักษามาตรฐานความปลอดภัยในระดับสูงสุด

ขณะเดียวกัน กรมการขนส่งทางบกยังสนับสนุนประชาชนที่ใช้รถส่วนบุคคลให้เข้ารับบริการตรวจสภาพรถ ณ จุด “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ที่จัดขึ้นทั่วประเทศ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงจุดบริการร่วม “อาชีวะ–ขนส่ง อาสาช่วยประชาชน เทศกาลปีใหม่ 2569” ซึ่งดำเนินการร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้เดินทาง

อธิบดีกรมการขนส่งทางบกกล่าวเพิ่มเติมว่า การสร้างความปลอดภัยทางถนนเป็นภารกิจที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่เฉพาะในช่วงเทศกาลเท่านั้น กรมฯ จึงมุ่งขยายช่องทางการสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลด้านความปลอดภัยได้อย่างทั่วถึง ทั้งการให้ความรู้ในการตรวจเช็กรถก่อนเดินทาง อินโฟกราฟิกคำแนะนำ และกิจกรรมสร้างการมีส่วนร่วม เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้รถใช้ถนนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและร่วมกันสร้างสังคมการเดินทางที่ปลอดภัย

กรมการขนส่งทางบกขอเชิญชวนประชาชนติดตามรับชมสื่อรณรงค์ภายใต้แคมเปญ “เช็กก่อนจะช้าไป : เช็กรถ เช็กทาง เช็กคน” ผ่านสื่อโทรทัศน์และช่องทางออนไลน์ “ขับขี่ปลอดภัย by DLT” เพื่อร่วมกันเริ่มต้นจากการเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง ส่งต่อความปลอดภัยในทุกวัน และลดการสูญเสียบนท้องถนนอย่างยั่งยืน ตามเป้าหมายการสร้างระบบคมนาคมที่ปลอดภัย มั่นคง และเป็นมิตรต่อประชาชนในทุกมิติ

L2D Page (169)

น้ำมันดิบทรงตัว หลังเศรษฐกิจสหรัฐโตสูงกว่าคาด โลกยังตึงเครียด

น้ำมันดิบเคลื่อนไหวแคบ เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง แต่ความตึงเครียดโลกยังกดดันตลาด

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเคลื่อนไหวในกรอบแคบ จากการที่นักลงทุนประเมินสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งขยายตัวดีกว่าที่คาด ควบคู่กับความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงตึงเครียด ทั้งกรณีสหรัฐฯ เพิ่มแรงกดดันต่อการส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลา และสถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังคงกระทบโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน

รายงานจากรอยเตอร์ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สัญญาซื้อขายล่วงหน้าปรับลดลง 23 เซนต์ หรือ 0.4% มาอยู่ที่ 62.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ของสหรัฐฯ ลดลง 8 เซนต์ หรือ 0.2% อยู่ที่ระดับ 58.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยทั้งสองสัญญายังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 6% นับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม หลังจากร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปี

โทนี ไซคามอร์ นักวิเคราะห์จาก IG ระบุว่า ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลจากการปรับสมดุลสถานะในตลาดที่มีสภาพคล่องค่อนข้างบาง ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการปิดล้อมการส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลาโดยสหรัฐฯ รวมถึงแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งเกินคาด

ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบสองปีในไตรมาสที่สาม โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่งและการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของภาคการส่งออก

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมทั้งปี ราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยเบรนท์และ WTI คาดว่าจะลดลงประมาณ 16% และ 18% ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากความกังวลว่าอุปทานน้ำมันในปีหน้าจะมีมากกว่าความต้องการ

ในด้านอุปทาน ตลาดยังคงจับตาการหยุดชะงักของการส่งออกน้ำมันจากเวเนซุเอลา ซึ่งถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงราคาน้ำมัน ขณะเดียวกัน การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานอย่างต่อเนื่องระหว่างรัสเซียและยูเครนก็ยังเป็นแรงหนุนต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก ตามรายงานของ Haitong Futures ระบุว่า เรือบรรทุกน้ำมันมากกว่า 12 ลำยังคงจอดรอคำสั่งใหม่ในน่านน้ำเวเนซุเอลา หลังจากสหรัฐฯ ยึดเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ Skipper เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และเล็งเป้าหมายเรืออีกสองลำในช่วงสุดสัปดาห์

เดนนิส คิสเลอร์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการซื้อขายของ BOK Financial กล่าวว่า ความผันผวนของราคาน้ำมันในช่วงวันหยุดถือเป็นภาวะปกติ โดยประเด็นการปิดล้อมเวเนซุเอลายังคงเป็นปัจจัยที่ตลาดให้ความสนใจเป็นพิเศษ

ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวในตลาดเปิดเผยว่า การส่งออกน้ำมันจากคาซัคสถานผ่านท่อส่งน้ำมันแคสเปียน (CPC) มีแนวโน้มลดลงราวหนึ่งในสามในเดือนธันวาคม ซึ่งจะเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024 หลังจากโดรนของยูเครนโจมตีสร้างความเสียหายต่อสิ่งอำนวยความสะดวกที่ท่าเรือส่งออกหลัก

ด้านข้อมูลปริมาณสำรองน้ำมันของสหรัฐฯ จากสถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกา (API) ระบุว่า ปริมาณสำรองน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 2.39 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่น้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ มีกำหนดเผยแพร่ตัวเลขอย่างเป็นทางการในวันจันทร์หน้า ซึ่งล่าช้ากว่าปกติเนื่องจากวันหยุดคริสต์มาส

L2D Page (63)

ไปรษณีย์ไทยคว้าคะแนนความเชื่อมั่น 97.92% ตอกย้ำบทบาทผู้นำโลจิสติกส์

ไปรษณีย์ไทยครองความเชื่อมั่นเกือบ 98% เดินหน้าเสริมศักยภาพรับพีกซีซั่นปลายปี ตอกย้ำผู้นำโลจิสติกส์ไทย

ไปรษณีย์ไทยตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านโลจิสติกส์ของประเทศ หลังได้รับคะแนนความเชื่อมั่นจากผู้ใช้บริการสูงถึง 97.92% ในปี 2568 เพิ่มขึ้นกว่า 6% จากปีก่อน สะท้อนความไว้วางใจที่มีต่อคุณภาพการให้บริการ ระบบงาน และศักยภาพเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมคาดการณ์ว่าปริมาณชิ้นงานในช่วงปลายปีและเทศกาลปีใหม่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากแรงหนุนของอีคอมเมิร์ซและการใช้บริการขนส่งทั้งในและต่างประเทศ

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลอดปี 2568 ไปรษณีย์ไทยมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกมิติ เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยนอกจากคะแนนความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ยังได้รับคะแนนความไว้วางใจ 98.26% และคะแนนภาพลักษณ์องค์กร 95.76% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนการเป็นองค์กรโลจิสติกส์ที่ผู้ใช้บริการหลากหลายกลุ่มเลือกใช้เป็นอันดับหนึ่ง ทั้งในด้านคุณภาพการให้บริการ การพัฒนาระบบดิจิทัล และการขับเคลื่อนกลยุทธ์ Parcel Defined Logistics ที่ออกแบบระบบขนส่งให้เหมาะสมกับพัสดุทุกประเภท

ไปรษณีย์ไทยยังให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และความผูกพันกับผู้ใช้บริการ ผ่านการสื่อสารเชิงคุณค่า เช่น การส่งต่อ “พัสดุใจ” ที่เชื่อมโยงความรู้สึก ความห่วงใย และความหมายดี ๆ ไปถึงผู้รับปลายทาง ควบคู่กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่รองรับการจัดส่งตั้งแต่ขั้นตอนรับฝากจนถึงการนำจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

จากศักยภาพเครือข่ายที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ไปรษณีย์ไทยประเมินว่าปริมาณชิ้นงานในช่วงพีกซีซั่นปลายปีและช่วงปีใหม่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการขยายตัวของภาคธุรกิจและตลาดอีคอมเมิร์ซ พฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์ในช่วงเทศกาล รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่เลือกใช้บริการส่งด่วนพิเศษ EMS และบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) ซึ่งล่าสุดได้ขยายบริการไปยัง สปป.ลาว นอกจากนี้ ยังมีบริการเฉพาะทางเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Travel Lite และ Travel Lite World สำหรับนักท่องเที่ยว รวมถึง EMS Jumbo สำหรับการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก หรือพัสดุที่มีลักษณะพิเศษ

ในด้านการเตรียมความพร้อมเชิงปฏิบัติการ ไปรษณีย์ไทยได้ใช้ศักยภาพของศูนย์ไปรษณีย์ 19 แห่งทั่วประเทศ และเครื่องคัดแยกพัสดุระบบ Cross Belt Sorter ที่สามารถคัดแยกพัสดุได้สูงสุดถึง 240,000 ชิ้นต่อวัน ช่วยให้การเตรียมนำจ่ายเป็นไปอย่างรวดเร็วตลอด 365 วัน ขณะเดียวกัน ยังมีเครือข่ายพนักงานไปรษณีย์กว่า 25,000 คน ที่ให้บริการรับฝากและนำจ่ายโดยไม่มีวันหยุด

ไปรษณีย์ไทยยังเดินหน้าขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ Sustainovation ผ่านการใช้ระบบดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง อาทิ ระบบติดตามพัสดุ บริการส่วนบุคคล กล่องจดหมายดิจิทัล Prompt Post และ Digital Post ID (D/ID) ซึ่งเป็นมาตรฐานการยืนยันตัวตนดิจิทัลระดับประเทศ ช่วยลดการกรอกข้อมูลซ้ำซ้อนและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล รองรับปริมาณการใช้บริการที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายปีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.ดนันท์กล่าวทิ้งท้ายว่า ไปรษณีย์ไทยขอขอบคุณผู้ใช้บริการทุกคนที่ให้ความเชื่อมั่นมาโดยตลอด และในปี 2569 ยังคงพร้อมส่งมอบบริการที่มีคุณภาพ ควบคู่กับการสร้างความสัมพันธ์และส่งต่อความสำเร็จให้กับคนไทยทุกกลุ่ม พร้อมใช้ศักยภาพผู้นำด้านโลจิสติกส์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงต่อไป

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us