admin L2D

L2D Page (144)

ผ่าแผนซื้อคืนรถไฟฟ้า 1.6 แสนล้าน เฟสแรก 4 สาย ยึดโมเดลจ้างเดินรถ 30 ปี

รัฐบาลกำลังเดินหน้าแผนปฏิรูปโครงสร้างระบบรถไฟฟ้าครั้งใหญ่ ด้วยแนวคิดซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าจากเอกชน รวมมูลค่าประมาณ 1.6 แสนล้านบาท เพื่อให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. เป็นเจ้าของโครงข่ายเพียงรายเดียว ภายใต้โมเดล Single Ownership ซึ่งจะช่วยให้รัฐสามารถกำหนดนโยบายค่าโดยสารและระบบตั๋วร่วมได้อย่างเป็นเอกภาพ โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการทำให้ประชาชนสามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าในราคาประหยัด เช่น ค่าโดยสารไม่เกิน 40 บาทตลอดวัน

เดิมแผนซื้อคืนมีกำหนดเสนอคณะรัฐมนตรีในวันที่ 9 ธันวาคม 2568 แต่ต้องเลื่อนออกไป เพราะยังมีประเด็นทางเทคนิคที่ต้องปรับปรุง กระทรวงคมนาคมจึงเตรียมเสนออีกครั้งในวันที่ 16 ธันวาคม โดยในระยะแรกจะเริ่มจากการซื้อคืนสัมปทาน 4 สายหลักที่เป็นรูปแบบ PPP Net Cost ซึ่งเอกชนเป็นผู้ลงทุน ระบบเดินรถ และจัดเก็บรายได้เอง ได้แก่ สายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีชมพู และสายสีเหลือง

สายสีเขียวเป็นโครงการที่มีสัญญาซับซ้อนที่สุด เนื่องจากแบ่งการบริหารระหว่างสัญญาสัมปทานหลัก และสัญญาจ้างเดินรถกับ BTSC ที่มีอายุยาวไปจนถึงปี 2585 ทั้งในส่วนเส้นทางหลักและส่วนต่อขยาย ในขณะที่สายสีน้ำเงินซึ่งอยู่ภายใต้ BEM ยังมีอายุสัมปทานยาวไปถึงช่วงปี 2592–2593 พร้อมภาระการจ่ายผลตอบแทนจากการเดินรถให้ รฟม. ส่วนสายสีชมพูและสายสีเหลืองซึ่งบริหารโดย NBM และ EBM ตามลำดับ เพิ่งเปิดให้บริการไม่นาน จึงยังมีอายุสัมปทานอีกเกือบสามทศวรรษจนถึงปี 2596

เมื่อรวมอายุสัญญาที่ยังเหลืออยู่ของทุกเส้นทาง กระทรวงคมนาคมประเมินว่ามูลค่าการซื้อคืนทั้งหมดอาจสูงถึง 160,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต้องออกแบบโมเดลทางการเงินใหม่เพื่อไม่ให้กระทบต่อเพดานหนี้สาธารณะ รัฐจึงศึกษาสองแนวทางหลัก แนวทางแรกคือการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานคล้าย TFFIF เพื่อระดมเงินจากนักลงทุน อีกแนวทางคือการเปิดสัมปทานใหม่ระยะยาว 30 ปีให้เอกชนนำไปค้ำประกันกู้เงินแทนรัฐ โดยรัฐทยอยชำระค่าซื้อคืนในอนาคต พร้อมจ่ายค่าจ้างเดินรถตามสัญญา วิธีนี้ช่วยลดภาระการกู้เงินโดยตรงของรัฐบาล และยังคงรอยต่อการให้บริการไม่ให้สะดุด

ในภาพรวมภาครัฐยืนยันว่าเอกชนผู้รับสัมปทานทั้ง BTSC และ BEM ไม่ได้คัดค้านแนวทาง Single Ownership แต่ต้องมีการเจรจาเพื่อให้กระทบต่อสิทธิประโยชน์เดิมน้อยที่สุด โดยมีความเป็นไปได้สูงว่าภายหลังซื้อคืนแล้ว รัฐจะว่าจ้างเอกชนเดิมเป็นผู้เดินรถต่อเนื่อง เพื่อให้บริการไม่สะดุดในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ระบบใหม่

จุดเปลี่ยนสำคัญของการปฏิรูปครั้งนี้คือการเปลี่ยนรูปแบบบริหารจาก PPP Net Cost มาเป็น PPP Gross Cost ซึ่งให้รัฐเป็นผู้รับความเสี่ยงด้านรายได้ทั้งหมด ขณะที่เอกชนรับบทบาทเป็นผู้เดินรถและซ่อมบำรุงตามค่าจ้างที่กำหนด ช่วยให้รัฐมีอำนาจเต็มในการกำหนดค่าโดยสาร ระบบตั๋วร่วม และยกเลิกค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนที่เป็นต้นตอสำคัญของค่าโดยสารแพงในปัจจุบัน

ขณะนี้กระทรวงคมนาคมกำลังเร่งเจรจากับเอกชนเพื่อกำหนดมูลค่าซื้อคืน และออกแบบสัญญาใหม่ที่คาดว่าจะเป็นสัญญาระยะยาว 30 ปี โดยในช่วงแรกที่รายได้ยังไม่คุ้มต้นทุน รัฐอาจเจรจาขอเว้นการชำระค่าซื้อคืนหรือค่าจ้างเดินรถบางส่วน ก่อนจะทยอยชำระจนเสร็จภายใน 20–30 ปี หลังจากนั้นเมื่อสัมปทานยุคใหม่ครบกำหนด ไทยอาจเข้าสู่ระบบที่มีผู้ให้บริการเดินรถเพียงรายเดียว หรือมีการเปิดประมูลใหม่อย่างโปร่งใสภายใต้โครงสร้างค่าโดยสารที่รัฐเป็นผู้กำหนดทั้งหมด

แผน Single Ownership จึงไม่ใช่เพียงการซื้อคืนสัมปทาน แต่เป็นความพยายามยกเครื่องระบบรถไฟฟ้าของประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายลดค่าครองชีพ และสร้างระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นธรรม เชื่อมต่อกันได้จริง และมีโครงสร้างรายได้ที่ยั่งยืนมากขึ้นในระยะยาว.

L2D Page (143)

สังคมโลก : เอไอขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เลนซ์ซูม : เอไอ–พลังใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยูเออี จากทะเลทรายสู่อภิมหาโครงสร้างข้อมูลของโลก

ท่ามกลางผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ของกรุงอาบูดาบี ศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ขนาดมหึมาที่มีพื้นที่ราวหนึ่งในสี่ของกรุงปารีสกำลังค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น กลายเป็นหนึ่งในโครงการเทคโนโลยีที่ทะเยอทะยานที่สุดเท่าที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เคยลงทุนมา ความตั้งใจของประเทศไม่ใช่เพียงการสร้างศูนย์ข้อมูล แต่คือการวางรากฐานทางเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ไม่พึ่งพาน้ำมัน เป็นเดิมพันครั้งใหญ่ที่อาจเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจในอนาคต

โครงสร้างอาคารขนาดยาวและเตี้ยที่กำลังก่อสร้างนี้จะเป็นที่ตั้งของศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานสูงถึง 5 กิกะวัตต์ ซึ่งจะกลายเป็นศูนย์ข้อมูลนอกสหรัฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก นายโยฮัน นิเลรุด ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์ของคาซนา ดาตา เซ็นเตอร์ส ในเครือจี42 อธิบายว่า ศูนย์แห่งนี้ถูกออกแบบให้รองรับการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในวงกว้าง ครอบคลุมพื้นที่รัศมี 3,200 กิโลเมตร ซึ่งเป็นบ้านของประชากรกว่า 4,000 ล้านคน

ยูเออีเติบโตจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันตั้งแต่ทศวรรษ 1960 แต่เมื่อความต้องการพลังงานฟอสซิลเริ่มชะลอลง ประเทศจำเป็นต้องหากำลังขับเคลื่อนใหม่ และเอไอถูกวางให้เป็นแกนกลางของเป้าหมายนั้น ยูเออีเป็นหนึ่งในประเทศที่มุ่งหน้าอย่างรวดเร็วในการนำเทคโนโลยีมาใช้โดยร่วมมือกับพันธมิตรนานาชาติ เพื่อให้กลายเป็นผู้นำด้านการใช้งานเอไอในระดับสากล

เฟสแรกของศูนย์เอไอในอาบูดาบีจะดำเนินการโดยโอเพนเอไอ ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐอย่างออราเคิล ซิสโก้ และเอ็นวิเดียเข้ามามีบทบาทสนับสนุน ขณะเดียวกัน ไมโครซอฟท์ก็ตอกย้ำความเชื่อมั่นด้วยการประกาศลงทุนกว่า 15,200 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2572 หลังจากเพิ่งอัดเงินทุนให้จี42 เมื่อปีก่อน ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของยูเออีในเวทีเทคโนโลยีโลกที่เพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อย ๆ

ยูเออีเริ่มวางรากฐานด้านเอไอตั้งแต่ปี 2560 เมื่อแต่งตั้งรัฐมนตรีด้านเอไอคนแรกของโลก และเปิดตัวยุทธศาสตร์เอไอระดับชาติเป็นประเทศที่สองรองจากแคนาดา ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่า เอไอมีศักยภาพเชื่อมโยงกับกิจกรรมเศรษฐกิจแทบทุกมิติ และอาจเปลี่ยนโฉมโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศได้ในระยะยาว

แม้ยูเออียังคงตามหลังสหรัฐและจีนในการแข่งขันเอไอระดับโลก แต่ประเทศในทะเลทรายแห่งนี้กลับมีข้อได้เปรียบสำคัญ ทั้งเงินทุนมหาศาล พลังงานที่เพียงพอ และความสามารถในการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก เนื่องจากเป็นศูนย์กลางธุรกิจของภูมิภาค และมีประชากรต่างชาติกว่า 90% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งเป็นแม่เหล็กดึงดูดแรงงานทักษะสูงได้อย่างดี

ยูเออียังดำเนินนโยบายสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างสองขั้วสำคัญอย่างสหรัฐและจีน เพื่อให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและอุปกรณ์สำคัญสำหรับเอไอ โดยเฉพาะชิปประมวลผลเฉพาะทางที่จำเป็นต่อศูนย์ข้อมูล

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความคืบหน้าและเงินทุนจำนวนมหาศาลที่ทุ่มลงไป ความสำเร็จในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและซับซ้อนอย่างเอไอยังคงไม่แน่นอน ยูเออีอาจมีทั้งข้อได้เปรียบและความท้าทาย แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ประเทศกำลังพยายามสร้างอนาคตใหม่จากหัวใจของทะเลทราย ที่ซึ่งพลังงานข้อมูลอาจเข้ามาแทนที่บทบาทของพลังงานจากน้ำมันในวันข้างหน้า

L2D Page (142)

Amazon เตรียมลงทุนอินเดีย 35 พันล้านดอลลาร์ภายใน 2030 เน้น AI และโลจิสติกส์

Amazon เดินหน้าทุ่มลงทุน 35 พันล้านดอลลาร์ในอินเดียภายในปี 2030 หนุน AI–คลาวด์–โลจิสติกส์ และอีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบ

Amazon.com ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ในอินเดียวงเงินกว่า 35 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นทศวรรษนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจในทุกมิติ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ การพัฒนา AI ไปจนถึงการขยายเครือข่ายคลังสินค้าและระบบโลจิสติกส์ แผนดังกล่าวถูกเปิดเผยในงานประชุมธุรกิจประจำปีครั้งที่หกของบริษัทที่กรุงนิวเดลี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของอินเดียในฐานะตลาดเชิงกลยุทธ์ของ Amazon

หนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการคือการยกระดับขีดความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ โดยคาดว่า AWS จะขยายการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ที่ปรับแต่งมาสำหรับงาน AI เพิ่มเติมในอินเดีย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เปิดคลาวด์รีเจียนแล้วสองแห่ง และให้คำมั่นลงทุน 4.4 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 แม้ยังไม่ระบุชัดเจนว่าแผนใหม่จะเพิ่มวงเงินดังกล่าวหรือไม่ แต่ทิศทางโดยรวมชี้ว่า AWS จะเร่งเสริมพลังการแข่งขันในตลาดคลาวด์ที่กำลังร้อนแรง

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันจาก Microsoft ซึ่งเพิ่งประกาศลงทุน 17.5 พันล้านดอลลาร์ในอินเดียภายในสี่ปี โดยเน้นการสร้างคลัสเตอร์ดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ในไฮเดอราบัดเพื่อรองรับงานด้าน AI เพิ่มเติม Microsoft มีโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ในหลายเมืองอยู่ก่อนแล้ว และมีพนักงานในอินเดียมากกว่า 22,000 คน สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่เข้มข้นของสองยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคนี้

สำหรับด้านอีคอมเมิร์ซ Amazon จะนำเงินทุนส่วนหนึ่งไปขยายศูนย์กระจายสินค้าและโครงสร้างพื้นฐานจัดส่ง เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีศูนย์กระจายสินค้ามากกว่า 60 แห่งในอินเดีย ขณะที่ Amazon Seller Services ทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2.82 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2024 และยังเติบโตต่อเนื่องในปีนี้อีก 19% ส่งสัญญาณว่าใกล้ถึงจุดคุ้มทุนมากขึ้น

ธุรกิจจำนวนมากในอินเดียยังใช้ Amazon เป็นแพลตฟอร์มส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ โดยมูลค่าการส่งออกที่ Amazon อำนวยความสะดวกสะสมจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 20 พันล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ขยายตัวระดับโลก

โครงการลงทุนครั้งใหญ่ยังคาดว่าจะสร้างผลเชิงบวกต่อการจ้างงานทั่วประเทศ Amazon ประเมินว่าภายในปี 2030 การลงทุนนี้จะสนับสนุนการจ้างงานรวมประมาณ 3.8 ล้านตำแหน่ง ทั้งทางตรง ทางอ้อม ตำแหน่งที่เกิดจากอุปสงค์ และงานตามฤดูกาล เพิ่มขึ้นจากตัวเลข 2.8 ล้านตำแหน่งในปีก่อน สะท้อนถึงผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่สำคัญต่ออินเดียในระยะยาว

L2D Page (141)

ปิดด่าน 138 วัน ฉุด GDP กัมพูชา 2.1% 'การค้า-ท่องเที่ยว-กาสิโน' รายได้หาย

ปิดด่านไทย–กัมพูชา 138 วัน ฉุดเศรษฐกิจหนัก การค้าหาย 8 หมื่นล้าน กระแทก GDP กัมพูชา 2.1%
สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2568 ต่อเนื่องจากเหตุปะทะช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้ด่านชายแดนทั้ง 18 แห่งตลอดแนวชายแดนกว่า 800 กิโลเมตรต้องปิดดำเนินการ โดยพื้นที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมจังหวัดตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานีความเสียหายทางเศรษฐกิจจึงขยายวงกว้างทั้งสองประเทศ

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เปิดเผยผลประเมินตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ถึง 8 ธันวาคม 2568 รวมเวลา 138 วัน พบว่าการส่งออกชายแดนของไทยไปกัมพูชาซึ่งปกติมีมูลค่าปีละกว่า 220,800 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 613 ล้านบาท หายไปรวม 84,640 ล้านบาท การหยุดชะงักดังกล่าวกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทยราว 0.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่มูลค่านำเข้าจากกัมพูชาปกติปีละ 32,000 ล้านบาท ก็หยุดชะงักเช่นกัน ทำให้ฝั่งกัมพูชาสูญเสียรายได้ส่งออกราว 12,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นผลกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.9 เปอร์เซ็นต์

นอกจากการค้าแล้ว อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกิจการกาสิโนของกัมพูชาก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยซึ่งเป็นกลุ่มหลักของประเทศมีมูลค่าปกติปีละประมาณ 42,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 120 ล้านบาท ถูกตัดขาดลงทันที ส่วนรายได้ของกาสิโนกว่า 20 แห่งตามแนวชายแดนที่เคยมียอดหมุนเวียนเดือนละ 200 ล้านบาท ก็หยุดนิ่งตลอดช่วงเวลาเหตุปะทะ

เมื่อรวมผลกระทบจากทั้งการค้า การท่องเที่ยว และกาสิโน ตลอดระยะเกือบห้าเดือน เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบรวมราว 0.5 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ขณะที่เศรษฐกิจกัมพูชาถูกฉุดลงสูงถึง 2.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าหนักกว่าหลายเท่า รศ.ดร.อัทธ์เตือนว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจสร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่กำลังพิจารณาขยายฐานในภูมิภาค โดยอุตสาหกรรมที่เสี่ยงมากที่สุด ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเสื้อผ้า พร้อมชี้ว่าการสู้รบที่ยังไม่จบอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นด้านท่องเที่ยว เนื่องจากประเทศไทยยังเผชิญปัญหาอื่นทั้งสแกมเมอร์และการค้ามนุษย์ รวมถึงอาจต้องเร่งหาตลาดส่งออกใหม่แทนกัมพูชา รวมถึงหาแรงงานต่างชาติทดแทนแรงงานกัมพูชาที่ไม่สามารถเดินทางเข้าไทยได้

ด้านนายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย–กัมพูชา ให้ข้อมูลว่า สถานการณ์ความตึงเครียดที่ยังดำเนินต่อไปไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนว่าจะคลี่คลายในช่วงใด เพราะการปิดด่านครั้งนี้เป็นการปิดแบบเต็มรูปแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแตกต่างจากเหตุการณ์ครั้งก่อนที่ยังเปิดบางส่วน ทำให้ผลกระทบด้านการค้าและการขนส่งสินค้าหนักเท่าเดิมหรือมากกว่า หากสถานการณ์ยุติลงภายในไม่กี่วัน ความเสียหายอาจอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ถ้ายืดเยื้อไปอีกหลายสัปดาห์ ความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจลุกลามไปอีกขั้นจนยากต่อการประเมิน

ขณะนี้นักธุรกิจไทยในกัมพูชายังไม่มีการประชุมหรือหารืออย่างเป็นทางการกับสภาธุรกิจไทย–กัมพูชา เนื่องจากทุกฝ่ายกำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ากิจการไทยในพื้นที่ได้รับความเสียหายเพิ่มเติม แต่ความไม่แน่นอนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us