การส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน 2568 ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งที่ร้อยละ 15.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน โดยมีมูลค่า 28,649.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 938,533 ล้านบาท แรงหนุนสำคัญมาจากการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีใหม่ที่อาจมีผลในอนาคต การชะลอการใช้มาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ผู้นำเข้าเร่งตุนสินค้าไทยไว้ล่วงหน้า
อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนการเติบโตยังคงเป็นภาคอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของเทคโนโลยีดิจิทัลทั่วโลก นอกจากนี้ สินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้สด แช่แข็ง มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม น้ำตาลทราย ไก่แปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยง ก็กลับมาฟื้นตัวและขยายตัวได้ดีในหลายตลาดสำคัญ รวมถึงจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเวียดนาม
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกไทยรวมอยู่ที่ 166,851.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตร้อยละ 15.0 ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 166,914.1 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 11.6 ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลเล็กน้อยที่ 62.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากคิดเป็นเงินบาท มูลค่าส่งออกในช่วงเดียวกันอยู่ที่ 5,578,959 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.6 ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 5,651,241 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 4.6
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในช่วงเวลาดังกล่าวเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลไม้สดและแปรรูปที่เติบโตในระดับสูงในหลายตลาด เช่น จีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์มีอัตราการเติบโตถึง 124.2% ขณะที่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลัง อาหารสำเร็จรูป และน้ำตาลทรายก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับข้าวและอาหารทะเลกระป๋องที่กลับมาหดตัว
ในด้านสินค้าอุตสาหกรรม การเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 17.6 นำโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง โดยสินค้ากลุ่มนี้ขยายตัวในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม บางหมวดสินค้าสำคัญยังคงเผชิญภาวะหดตัว เช่น รถยนต์และชิ้นส่วน อุปกรณ์กึ่งตัวนำ และเครื่องรับโทรทัศน์
ตลาดส่งออกหลักของไทยส่วนใหญ่ยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่ขยายตัวร้อยละ 41.9 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 21 สะท้อนถึงความต้องการสินค้าด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเบาอย่างต่อเนื่อง จีนและสหภาพยุโรปก็มีการนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ตลาดรองอย่างเอเชียใต้และรัสเซียยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ตลาดบางแห่ง เช่น ออสเตรเลีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา และตะวันออกกลาง กลับมาเผชิญภาวะหดตัวอีกครั้งในเดือนนี้
ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดเริ่มใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ไทยได้ยื่นข้อเสนอใหม่ที่เปิดตลาดมากขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับเชิงบวกจากสหรัฐฯ คาดว่าการเจรจาจะนำไปสู่การลดอัตราภาษีอย่างเหมาะสม ช่วยให้ไทยยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค
ในระยะยาว ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นโอกาสในการยกระดับโครงสร้างการส่งออกของไทยให้ไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และส่งเสริมการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
สำหรับปัจจัยอื่นที่อาจส่งผลต่อทิศทางการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังคงสูง ผลไม้ตามฤดูกาลที่ทยอยออกสู่ตลาด สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง การชะลอการลงทุนเพื่อรอดูผลการเจรจาการค้า และการปรับตัวของผู้ส่งออกให้สอดคล้องกับเงื่อนไขใหม่ของสหรัฐฯ รัฐบาลไทยยังเตรียมมาตรการรองรับเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจและเกษตรกรรมในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป