สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกที่เริ่มส่งผลกระทบต่อการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ล่าสุดในการสัมมนา “Decode 2025 The Mid-Year Signal ถอดสัญญาณเศรษฐกิจโลก พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทย” นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย แสดงความกังวลว่า แนวโน้มเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังของปีมีความเสี่ยงสูง ทั้งจากภาวะสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะบริเวณช่องแคบฮอร์มุซที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย
ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.5% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 3.1% และปีนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ลงมาอยู่ที่ 1.5–2.0% จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 2.0–2.2% เช่นเดียวกับภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มถดถอย โดยคาดว่าจะหดตัวลงมาอยู่ในช่วง -0.5% ถึง 0.3% ซึ่งเป็นการปรับลดจากกรอบเดิมที่คาดไว้ระหว่าง 0.3–0.9% โดยหนึ่งในปัจจัยหลักคือการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและครอบคลุมมากขึ้น
หอการค้าไทยกำลังติดตามอย่างใกล้ชิดถึงผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งมีความสำคัญต่อโครงสร้างการส่งออกของประเทศ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไทยอาจถูกมองว่าเป็นประเทศทางผ่านของสินค้าจากจีน ทำให้ต้องเผชิญกับมาตรการด้านภาษีที่อาจเข้มงวดขึ้นในอนาคต นายวิศิษฐ์เปิดเผยว่า หอการค้าไทยได้หารือร่วมกับสมาคมการค้าต่างๆ ให้เร่งตรวจสอบโครงสร้างวัตถุดิบของตนเอง โดยเฉพาะสัดส่วนของวัตถุดิบที่ใช้ในประเทศ ซึ่งหากมีสัดส่วนสูงพอ อาจสามารถต่อรองในกรอบเจรจาที่ใกล้เคียงกับเวียดนามได้ โดยใช้โมเดลอัตราภาษีแยกตามประเภทหรือแหล่งผลิต
สถานการณ์สงครามการค้าระลอกใหม่นี้มีความรุนแรงกว่ารอบก่อนหน้า โดยไม่เพียงจำกัดเป้าหมายที่จีนเท่านั้น แต่ยังขยายผลไปยังประเทศที่มีความเชื่อมโยงทางห่วงโซ่อุปทานกับจีน ซึ่งไทยก็อยู่ในข่ายที่ได้รับผลกระทบ ในช่วงครึ่งปีแรก ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยยังเติบโตได้ดีถึง 14.9% แต่ภาคเอกชนประเมินว่าแนวโน้มในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 อาจลดลงอย่างมาก เนื่องจากผู้นำเข้าสหรัฐฯ ได้เร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้าในช่วงเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้ยอดการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในเดือนดังกล่าวสูงถึง 35% จากค่าเฉลี่ย 27% ตลอด 5 เดือนแรกของปี
สัญญาณการชะลอตัวเริ่มปรากฏแล้วในหลายกลุ่มสินค้า อาทิ อัญมณี เครื่องประดับ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และอุปกรณ์สื่อสาร ขณะที่สหรัฐฯ เตรียมประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าชุดใหม่ในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะมีผลทันทีหรือเลื่อนออกไป อย่างไรก็ดี มีแนวโน้มที่สหรัฐฯ จะใช้วิธีจัดเก็บภาษีแบบแยกประเทศ โดยบางประเทศ เช่น อังกฤษและสิงคโปร์ ได้บรรลุข้อตกลงไปแล้ว ส่วนประเทศอื่นรวมถึงเวียดนามยังต้องรอท่าทีอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกัน สหภาพยุโรป (EU) ถูกตั้งอัตราภาษีใหม่สูงถึง 30% ซึ่งเกินความคาดหมายและสะท้อนถึงการเจรจาที่ยังไม่บรรลุผลสมบูรณ์
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ หอการค้าไทยเสนอให้ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันผลักดันเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเร่งส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้ง e-commerce, e-business, AI และ Big Data เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ โดยเฉพาะในภาคเกษตร ซึ่งสามารถใช้เทคโนโลยีโดรนเพื่อลดต้นทุนและทดแทนแรงงาน การนำระบบ Blockchain มาใช้เพื่อตรวจสอบย้อนกลับสินค้าอย่างโปร่งใส รวมถึงการใช้ระบบอัจฉริยะเพื่อควบคุมคุณภาพและป้องกันสินค้าลอกเลียนแบบ
นอกจากนี้ หอการค้ายังชี้ให้เห็นถึงโอกาสในกลุ่ม “อาหารแห่งอนาคต” หรือ Future Food ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และคิดเป็นมูลค่าราว 1 แสนล้านบาท หรือ 10% ของการส่งออกอาหารทั้งหมด กลุ่มที่เติบโตได้ดีประกอบด้วย Functional Food โปรตีนทางเลือก อาหารออร์แกนิก และอาหารสำหรับผู้สูงอายุและทารก รวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยงที่เริ่มมีแนวโน้มเติบโตสูงเช่นกัน
ในระยะยาว แนวทาง Green Economy จะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันที่สำคัญ โดยเน้นให้ธุรกิจติดตั้งระบบพลังงานสะอาด เช่น Solar Rooftop มีการรายงานข้อมูลด้าน ESG และสนับสนุนแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนตามโมเดล BCG ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลกที่มีความซับซ้อนและแข่งขันสูงมากขึ้น
นายวิศิษฐ์กล่าวย้ำในช่วงท้ายว่า ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคด้านภาษี กฎระเบียบ หรือเงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศที่เข้มงวดขึ้นเพียงใด ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวและวางแผนรับมือให้ทันต่อสถานการณ์ โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชนจะเป็นกุญแจสำคัญในการฝ่าฟันความท้าทายและสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต