ความคืบหน้าของโครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 ช่วงบางขุนเทียน–บ้านแพ้ว ซึ่งเป็นเส้นทางยกระดับที่หลายฝ่ายเฝ้าจับตามอง ล่าสุด นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ขณะนี้การจัดทำเอกสารประกาศเชิญชวนเอกชน (RFP) และร่างสัญญาร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP Gross Cost สำหรับการดำเนินงานและบำรุงรักษาระบบ (O&M) ได้เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว คาดว่าจะสามารถเปิดประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมประมูลได้ภายในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 และคาดว่าจะได้ผู้ชนะการประมูลภายในปีเดียวกัน
โครงการนี้เป็นความร่วมมือภาครัฐและเอกชนครอบคลุมระยะเวลาดำเนินงานไม่เกิน 32 ปี โดยแบ่งออกเป็นสองช่วงหลัก ได้แก่ ระยะที่ 1 เป็นการออกแบบและก่อสร้างระบบ รวมถึงองค์ประกอบต่าง ๆ วงเงินประมาณ 1,037 ล้านบาท ใช้เวลาดำเนินการ 2 ปี (2568–2570) ส่วนระยะที่ 2 จะเป็นการบริหารและบำรุงรักษาตลอดระยะเวลา 30 ปี วงเงินรวมราว 14,687 ล้านบาท โดยใช้ระบบเก็บค่าผ่านทางแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow)
โครงการกำหนดอัตราค่าผ่านทางเบื้องต้น เช่น รถยนต์ 4 ล้อ จะเสียค่าผ่านทางเริ่มต้น 10 บาท บวกเพิ่มตามระยะทาง 2 บาทต่อกิโลเมตร ขณะที่รถขนาดใหญ่ เช่น 6 ล้อ หรือมากกว่า ก็จะมีอัตราเริ่มต้นสูงขึ้นตามขนาด โดยมีการประเมินว่าช่วงปีแรกที่เปิดให้บริการจะมีรถใช้ทางกว่า 64,000 คันต่อวัน สร้างรายได้กว่า 1,200 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าจะสะสมยอดจราจรรวม 30 ปีสูงถึง 1,548 ล้านคัน คิดเป็นรายได้รวมจากค่าผ่านทางประมาณ 117,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน กรมทางหลวงยังเตรียมแผนพัฒนา “ที่พักริมทาง” หรือ Rest Area บนมอเตอร์เวย์อีกสองสายหลัก คือ สาย M6 (บางปะอิน–นครราชสีมา) และ M81 (บางใหญ่–กาญจนบุรี) โดยจะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP Net Cost ภายในช่วงปลายปี 2568 เช่นกัน
ในเบื้องต้น M6 จะมี Rest Area ทั้งหมด 15 แห่ง แบ่งการลงทุนออกเป็น 2 สัญญา โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมกว่า 2,100 ล้านบาท และมีค่าดำเนินงานและบำรุงรักษาตลอด 30 ปี อีกประมาณ 7,700 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการบางส่วนต้นปี 2570 และเปิดเต็มรูปแบบในต้นปี 2571
สำหรับ M81 จะมี Rest Area รวม 6 แห่ง ใช้เงินลงทุนก่อสร้างราว 1,460 ล้านบาท และค่าบำรุงรักษาในระยะยาวประมาณ 4,800 ล้านบาท โดยเปิดให้บริการบางส่วนต้นปี 2570 และครบถ้วนภายในต้นปี 2571 เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม กระบวนการออก RFP สำหรับ Rest Area ยังต้องผ่านการพิจารณาหลายขั้นตอน ทั้งการเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม การอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และคณะกรรมการ PPP ซึ่งทั้งหมดกำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงรายละเอียดให้เอื้อต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะการแก้ไขเงื่อนไขก่อสร้างอาคารยกระดับในพื้นที่ Rest Area ที่ก่อนหน้านี้เอกชนแสดงความกังวลในเรื่องความเสี่ยงของปริมาณจราจรที่อาจไม่เป็นไปตามคาด ซึ่งส่งผลต่อความคุ้มค่าในการลงทุน ทำให้กรมทางหลวงต้องเสนอเงื่อนไขใหม่ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยอิงจากปริมาณจราจรจริงก่อนเริ่มสร้างโครงสร้างบางส่วน
การขยับเดินหน้าครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่ไม่เพียงช่วยกระจายการพัฒนาออกจากกรุงเทพฯ สู่ภูมิภาค แต่ยังเป็นการปูทางสู่การพัฒนาเครือข่ายคมนาคมยุคใหม่ ที่ตอบโจทย์ทั้งประสิทธิภาพการเดินทาง ความสะดวกสบาย และศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว