admin L2D

L2D Page (98)

คต.นำผู้ส่งออกข้าวบุกญี่ปุ่น กระชับสัมพันธ์ รักษาตลาดนำเข้า 3 แสนตันต่อปี

กรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กระทรวงพาณิชย์ นำโดยนางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมฯ นำคณะผู้ส่งออกข้าวไทยและสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เดินทางเยือนกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 7–11 กันยายน 2568 เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพข้าวไทยให้แก่ตลาดญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกสำคัญของไทย

การหารือครั้งนี้ คณะผู้แทนไทยได้เข้าพบอธิบดีกรมผลิตผลการเกษตร กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการนำเข้าข้าว โดยญี่ปุ่นได้ให้ข้อมูลว่าในเดือนพฤษภาคม 2568 ราคาข้าวในประเทศพุ่งสูงขึ้นถึง 2 เท่าจากปีก่อน แม้ปัจจุบันราคาจะเริ่มปรับลดลง แต่ยังสูงกว่าปีก่อน 1.4 เท่า เนื่องจากผลผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ไทยจึงยืนยันความพร้อมในการเป็นผู้จัดหาข้าวที่มีเสถียรภาพ โดยระบุว่าปีนี้สามารถผลิตข้าวได้กว่า 20–22 ล้านตัน ซึ่งเพียงพอต่อการบริโภคภายในและการส่งออก โดยไทยได้ย้ำถึงความตั้งใจในการส่งออกข้าวคุณภาพดีในราคาที่แข่งขันได้ และขอให้ญี่ปุ่นคงปริมาณการนำเข้าข้าวไทยไว้ที่ 300,000 ตันต่อปีตามเดิม

นอกจากนี้ คณะผู้แทนไทยยังได้เข้าพบบริษัท Overseas Merchandise Inspection Company (OMIC) ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบคุณภาพข้าวนำเข้าของญี่ปุ่น โดย OMIC ได้แสดงความพึงพอใจต่อคุณภาพและมาตรฐานการส่งออกข้าวไทย รวมถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านบรรจุภัณฑ์และการควบคุมสารต้องห้ามที่เข้มงวด พร้อมขอบคุณผู้ส่งออกข้าวไทยที่ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด

ปัจจุบัน ญี่ปุ่นถือเป็นตลาดส่งออกข้าวลำดับที่ 7 ของไทย โดยไทยส่งออกไปยังญี่ปุ่นปีละ 257,000–336,000 ตัน ครองส่วนแบ่งตลาด 37–45% ของการนำเข้าทั้งหมด ญี่ปุ่นมีกำหนดการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศภายใต้พันธกรณีองค์การการค้าโลก (WTO) ประมาณ 770,000 ตันต่อปี โดยมีไทยและสหรัฐฯ เป็นสองแหล่งนำเข้าหลัก การเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสสำคัญในการยืนยันสถานะข้าวไทยในตลาดโลก ตอกย้ำทั้งคุณภาพและความน่าเชื่อถือในการส่งมอบ เพื่อรักษาตลาดญี่ปุ่นให้เป็นฐานที่มั่นสำคัญของผู้ส่งออกไทยต่อไป

L2D Page (97)

ภาษีสหรัฐ เขย่าส่งออกไทย 2.6 หมื่นธุรกิจ กระทบแรงงาน 3 ล้านคน

การตัดสินใจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการปรับขึ้นภาษีศุลกากรถือเป็นแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อระบบการค้าโลก โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยกว่า 26,000 ราย และแรงงานในภาคส่งออกกว่า 3 ล้านคนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและแรงกดดันจากตลาดโลกที่รุนแรงขึ้น

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จัดการประชุม BOT SYMPOSIUM 2025 ภายใต้หัวข้อ “ผลกระทบของสงครามการค้า ภูมิทัศน์ใหม่ของการค้าระหว่างประเทศ และนัยต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทย” เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และผู้ประกอบการได้ร่วมกันถกเถียงถึงผลกระทบและแนวทางรับมือ โดย ดร.นุวัต หนูขวัญ จากสถาบันวิจัยทางเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบหลักที่ไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประการแรก คือผลกระทบโดยตรงจากภาษีนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าสวมสิทธิ์ (transshipment) ที่ถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตที่ใช้วัตถุดิบจากหลายประเทศและต้องส่งต่อไปยังตลาดสหรัฐ ประการที่สอง คือปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่สะดุดลงจากมาตรการกีดกันทางการค้า ทำให้การส่งวัตถุดิบไปประกอบหรือแปรรูปในประเทศที่สามก่อนเข้าสู่ตลาดสหรัฐมีต้นทุนสูงขึ้น ประการที่สาม คือความจำเป็นในการหาตลาดใหม่ แต่การกระจายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ต้องเผชิญการแข่งขันจากผู้ผลิตในประเทศอื่นซึ่งได้เปรียบด้านภาษี และประการสุดท้าย คือความเสี่ยงจากการปรับโครงสร้างห่วงโซ่การผลิตในอนาคต หากสหรัฐบังคับใช้เกณฑ์ Regional Value Content (RCV) ในสัดส่วนสูง 50–60% จะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า จักรกล และอุตสาหกรรมที่มีการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากหลายประเทศ

รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสริมว่า ผลกระทบจากภาษีจะไม่เหมือนกันในทุกอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นราว 19% แต่ยังคงมีบางสินค้าที่ได้รับการยกเว้น เช่น คอมพิวเตอร์และเซมิคอนดักเตอร์ ในขณะที่จีนถูกเก็บในกลุ่มเดียวกันสูงถึง 50–80% ทำให้ผู้ประกอบการไทยยังพอมีช่องว่างในการแข่งขัน แต่สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า กลับเผชิญแรงกดดันหนักจากทั้งมาตรา 232 ของกฎหมายการค้าสหรัฐที่เก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมถึง 50% และมาตรการภายใต้ IEEPA ที่เพิ่มอีก 19% ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างมาก ส่วนอุตสาหกรรมอาหารทะเล แม้ไทยยังได้เปรียบเมื่อเทียบกับอินเดียและอินโดนีเซีย แต่ก็ยังเสียเปรียบประเทศอย่างเอกวาดอร์ที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของเกณฑ์สินค้าสวมสิทธิ์ถือเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากโครงสร้างการผลิตของไทยมีสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศต่ำ (Local Content Requirement: LCR) และต้องพึ่งพาการนำเข้าจากหลายประเทศ หากสหรัฐไม่ยอมรับการนับรวม ASEAN หรือ ASEAN+ ในการคำนวณ RCV ไทยอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในหลายอุตสาหกรรมทันที

สิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือโครงสร้างผู้ส่งออกไทยเองที่เปราะบาง กว่า 42% ของผู้ประกอบการมีอัตรากำไรสุทธิที่ต่ำ ทำให้ไม่มีพื้นที่ในการปรับราคาขายเพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้น อีกทั้งกว่า 75% ของผู้ส่งออกยังไม่กระจายตลาดพอสมควร การพึ่งพาสหรัฐมากเกินไปจึงทำให้ธุรกิจเหล่านี้รับแรงกระแทกโดยตรง

การขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า การแข่งขันทางการค้าโลกไม่ได้อิงเพียงต้นทุนการผลิตหรือคุณภาพสินค้าเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการจัดวางกลยุทธ์ของผู้ประกอบการไทยด้วย ภาครัฐจึงจำเป็นต้องเร่งเจรจาและสร้างความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทาน ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัว กระจายความเสี่ยง และลงทุนในเทคโนโลยีการผลิต เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยท่ามกลางภูมิทัศน์การค้าที่ผันผวนและไม่แน่นอนอย่างยิ่งในปัจจุบัน

L2D Page (96)

ไทยขึ้นแท่นผู้ส่งออกอาหารสุนัข–แมวอันดับ 2 ของโลก ชูจุดแข็งคุณภาพ–ตอบรับเทรนด์คนรักสัตว์เลี้ยง

ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกอาหารสุนัขและแมวอันดับ 2 ของโลก หลังตลาดสัตว์เลี้ยงทั่วโลกเติบโตแรงจากกระแสคนรักสัตว์ที่เพิ่มขึ้น สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มูลค่าการนำเข้าอาหารสุนัขและแมวทั่วโลกในปี 2567 สูงถึง 26,466.28 ล้านดอลลาร์ โดยมีเยอรมนีเป็นผู้นำเข้ามากที่สุด ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร โปแลนด์ และแคนาดา

ในด้านการส่งออก เยอรมนียังคงครองอันดับหนึ่ง ด้วยมูลค่า 3,282.69 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 12.3% ของการส่งออกโลก ส่วนไทยขึ้นมาอยู่อันดับสองด้วยมูลค่า 2,677.03 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 29% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นสัดส่วน 10% ของตลาดโลก โดยมีสหรัฐอเมริกา โปแลนด์ และฝรั่งเศสเป็นคู่แข่งสำคัญ

“พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์” ผู้อำนวยการ สนค. เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอาหารสุนัขและแมวของไทยมีความมั่นคงและศักยภาพขยายตัวต่อเนื่อง ด้วยภาพลักษณ์ด้านคุณภาพและมาตรฐานการผลิตที่เป็นที่ยอมรับ โดยการส่งออกช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 มีมูลค่า 1,685.74 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10.72% ตลาดหลักยังคงเป็นสหรัฐฯ ซึ่งมีสัดส่วน 32.4% หรือ 868.40 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวถึง 47% แม้ต้องเผชิญภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด 19%

ตลาดสำคัญรองลงมาคือ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี และมาเลเซีย ขณะเดียวกันตลาดสหภาพยุโรปขยายตัวโดดเด่น 47% มูลค่า 349.58 ล้านดอลลาร์ โดยมีอิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์เป็นตลาดหลัก ส่วนอาเซียนและเอเชียตะวันออก เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และจีน ก็ยังเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดใหม่ในตะวันออกกลางและยุโรปตะวันออกถือเป็นโอกาสทางการค้าที่น่าจับตา

ความนิยมเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่มขึ้นจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อยู่ลำพังและครอบครัวรุ่นใหม่ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแทนการมีบุตร รวมถึงเทรนด์การเลือกซื้อสินค้าเกรดพรีเมียมและอาหารเชิงฟังก์ชัน เช่น อาหารเสริมสุขภาพ สูตรสำหรับสัตว์สูงวัยหรือสัตว์ป่วย ล้วนหนุนการเติบโตของตลาด ซึ่งผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก หากไทยยังคงพัฒนาคุณภาพและสร้างความแตกต่างต่อเนื่อง ไม่เพียงจะรักษาตำแหน่งอันดับสอง แต่ยังมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลกในอนาคตอันใกล้

L2D-Page-96

“โคเปอร์” ประตูใหม่แห่งยุโรปกลาง ดันส่งออกไทยสู่เส้นทางโลจิสติกส์สีเขียว

ประเทศไทยเดินหน้าผลักดันการส่งออกด้วยเส้นทางใหม่ “แหลมฉบัง – โคเปอร์” โดยหวังใช้ท่าเรือโคเปอร์ (Koper) ในสโลวีเนียเป็นประตูสู่ยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก พร้อมชูจุดขาย “โลจิสติกส์สีเขียว” ที่ช่วยลดระยะเวลาขนส่ง ลดต้นทุน และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ตอบโจทย์ยุโรปที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น

สโลวีเนีย แม้เป็นประเทศขนาดเล็กในยุโรปกลาง มีประชากรราว 2 ล้านคน และ GDP อยู่ที่ประมาณ 72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับมีศักยภาพด้านโลจิสติกส์สูง โดยเฉพาะ “ท่าเรือโคเปอร์” ที่ตั้งอยู่ริมทะเลเอเดรียติก ซึ่งสามารถเชื่อมต่อการขนส่งจากเอเชียเข้าสู่เมืองเศรษฐกิจสำคัญของยุโรปตอนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นออสเตรีย ฮังการี สโลวาเกีย เช็ก โครเอเชีย เซอร์เบีย ไปจนถึงเยอรมนีตอนใต้และสวิตเซอร์แลนด์ รวมแล้วมีประชากรครอบคลุมกว่า 73 ล้านคน และมี GDP รวมเฉลี่ยราว 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 ทีมประเทศไทย นำโดยนางสาวภัทรัตน์ หงษ์ทอง เอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ “Thailand – Slovenia: Advancing Economic Partnership for the Future” ณ กรุงลูบลิยานา เมืองหลวงของสโลวีเนีย โดยมี นางสาวอรอนุช ผดุงวิถี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ กรุงเวียนนา ร่วมอภิปรายในหัวข้อ “Unlocking Trade and Investment Opportunities” เพื่อผลักดันการใช้เส้นทางโลจิสติกส์ใหม่ผ่านท่าเรือโคเปอร์ในการกระจายสินค้าจากไทยเข้าสู่ยุโรปอย่างมีประสิทธิภาพ

สคต. ณ กรุงเวียนนา ระบุว่า เส้นทางนี้มีศักยภาพสูงและอาจกลายเป็น “Game-Changer” สำหรับผู้ส่งออกไทย เพราะสามารถย่นระยะทางและเวลาการขนส่งจากไทยไปยังยุโรปกลางได้อย่างมากเมื่อเทียบกับท่าเรือหลักในยุโรปเหนือ เช่น รอตเตอร์ดัม หรือฮัมบวร์ก อีกทั้งยังเป็นเส้นทางที่ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดยุโรปที่เข้มงวดในเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อย ๆ

นอกจากการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานแล้ว เส้นทางแหลมฉบัง – โคเปอร์ ยังช่วยขยายตลาดสินค้าไทยไปสู่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในยุโรป ที่มีอัตราการเติบโตของ GDP และกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งในกลุ่มประเทศบอลข่าน ยุโรปตะวันออก และยุโรปกลาง

สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจใช้ท่าเรือโคเปอร์เป็นช่องทางใหม่ในการนำสินค้าสู่ยุโรป สคต. ณ กรุงเวียนนา แนะนำให้พิจารณาปรับระบบโลจิสติกส์ให้เหมาะสม พร้อมจับมือกับพันธมิตรท้องถิ่นที่สามารถต่อยอดการกระจายสินค้าไปยังประเทศเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่องและราบรื่น

เส้นทาง “โลจิสติกส์สีเขียว” จากแหลมฉบังสู่โคเปอร์ ไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสการค้าให้กับไทยเท่านั้น แต่ยังสร้างความแตกต่างและความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดยุโรปที่ต้องการสินค้าคุณภาพดี เคลื่อนย้ายได้รวดเร็ว และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us