admin L2D

L2D Page (167)

ผ่านฉลุย EIA 7 โครงการสำคัญ คมนาคม–น้ำ ช่วยลดจราจร รับมือภัยแล้ง–น้ำหลาก

ไฟเขียว EIA 7 โครงการคมนาคม–น้ำ หนุนโครงสร้างพื้นฐาน ลดรถติด เสริมความมั่นคงรับภัยแล้ง–น้ำท่วม

คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA สำหรับโครงการสำคัญรวม 7 โครงการ ครอบคลุมทั้งด้านคมนาคมขนส่งและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ มุ่งแก้ปัญหาการจราจร ความเดือดร้อนด้านน้ำของประชาชน และยกระดับคุณภาพชีวิตควบคู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

การประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2568 จัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ในส่วนของโครงการด้านคมนาคมขนส่งที่ได้รับความเห็นชอบ EIA ครอบคลุมระบบขนส่งมวลชนจังหวัดนครราชสีมา สายสีเขียว ซึ่งเป็นโครงการสำคัญในการยกระดับการเดินทางในเมืองหลักของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วยลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ปัญหาการจราจร และมลพิษทางอากาศ ขณะที่โครงการทางพิเศษสายเมืองใหม่–เกาะแก้ว–กะทู้ จังหวัดภูเก็ต จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง รองรับการท่องเที่ยว และบรรเทาความแออัดในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของจังหวัด

นอกจากนี้ ยังรวมถึงโครงการก่อสร้างถนนรอบเกาะช้าง ช่วงบ้านบางเบ้า–บ้านสลักเพชร จังหวัดตราด ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยว รวมถึงโครงการทางหลวง 4 ช่องจราจร ทางเลี่ยงเมืองกระบี่ ที่มุ่งแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด และเสริมศักยภาพด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามัน

ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ คณะกรรมการฯ เห็นชอบโครงการอุโมงค์ผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำและบรรเทาผลกระทบจากภัยแล้งในภาคเกษตรและชุมชน ขณะเดียวกัน โครงการทางระบายน้ำหลากเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ลดความเสี่ยงจากอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนหนาแน่น

อีกหนึ่งโครงการสำคัญคืออ่างเก็บน้ำห้วยสะดวงใหญ่ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมุ่งสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงาน EIA สำหรับโครงการทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด อุดมศิลา ในจังหวัดสระบุรี โดยย้ำให้ดำเนินการภายใต้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อชุมชนและทรัพยากรธรรมชาติในระยะยาว

ในเชิงนโยบายพื้นที่ คณะกรรมการฯ ยังเห็นชอบแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2570 ครอบคลุม 38 จังหวัด เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับบริบทและปัญหาเฉพาะของแต่ละพื้นที่ รวมถึงการปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแล

ที่ประชุมยังได้รับทราบความคืบหน้าการประชุมด้านสิ่งแวดล้อมในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งการประชุมอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ และการเจรจาจัดทำมาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยมลพิษจากพลาสติก ซึ่งสะท้อนบทบาทของประเทศไทยในการขับเคลื่อนประเด็นสิ่งแวดล้อมในระดับโลก

นายสุชาติ ชมกลิ่น เน้นย้ำว่า ทุกโครงการที่ได้รับความเห็นชอบต้องดำเนินการตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด มีความโปร่งใส และติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้จริง พร้อมย้ำว่าการออกกฎหมายและนโยบายในอนาคตต้องคำนึงถึงมิติสิ่งแวดล้อมควบคู่เศรษฐกิจ เพื่อให้การพัฒนาประเทศเกิดความสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว

L2D Page (166)

เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตสูงสุดในรอบ 2 ปี GDP ไตรมาส 3 พุ่งขึ้น 4.3%

เศรษฐกิจสหรัฐเร่งตัวแรงสุดในรอบ 2 ปี GDP ไตรมาส 3 โต 4.3% รับแรงหนุนบริโภค–ลงทุนเอกชน

เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3 ของปี 2025 ด้วยอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบสองปี สะท้อนพลังการใช้จ่ายของผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่ยังเดินหน้าได้ดี ท่ามกลางนโยบายการค้าที่ผ่อนคลายลง และการลงทุนด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI)

รายงานจากสำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐ (BEA) ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่ปรับตามเงินเฟ้อแล้ว เพิ่มขึ้นในอัตรา 4.3% ต่อปี สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ และเร่งตัวจากระดับ 3.8% ในไตรมาสก่อนหน้า แม้รายงานจะล่าช้าเนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐบาล แต่ข้อมูลสะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังรักษาโมเมนตัมการเติบโตได้ดีในช่วงกลางปี

แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเพิ่มขึ้นในอัตรา 3.5% ต่อปี โดยเฉพาะภาคบริการ เช่น การดูแลสุขภาพและการเดินทางระหว่างประเทศ ขณะที่การใช้จ่ายด้านยานยนต์ชะลอลงเล็กน้อย สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มระมัดระวังมากขึ้นในบางหมวด

ภาคธุรกิจยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง การลงทุนโดยรวมขยายตัว 2.8% โดยได้รับแรงหนุนหลักจากการใช้จ่ายด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และศูนย์ข้อมูล ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเทคโนโลยี AI และมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ภาคการผลิตโดยรวมยังฟื้นตัวอย่างจำกัด

ด้านการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกสุทธิกลับมาเป็นแรงหนุนสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ราว 1.6 จุดร้อยละ หลังจากผันผวนในช่วงครึ่งแรกของปี อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของดุลการค้าและสินค้าคงคลังทำให้ตัวเลข GDP โดยรวมอาจบิดเบือน นักเศรษฐศาสตร์จึงให้ความสำคัญกับตัวชี้วัด “ยอดขายขั้นสุดท้ายแก่ผู้ซื้อเอกชนในประเทศ” มากขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้น 3% ถือเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบหนึ่งปี และสะท้อนอุปสงค์ที่แท้จริงของภาคเอกชนได้ชัดเจนกว่า

แม้เศรษฐกิจจะเติบโตดี แต่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ รายงานระบุว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อหลักของธนาคารกลางสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.9% ในไตรมาสที่ 3 ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% ส่งผลให้เจ้าหน้าที่เฟดมีความระมัดระวังในการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะปรับลดเพียงครั้งเดียวในปี 2026 หลังจากลดต่อเนื่องในช่วงปลายปีนี้

ธนาคารกลางสหรัฐมองว่า นโยบายการคลังที่ยังสนับสนุนเศรษฐกิจ การลงทุนด้านศูนย์ข้อมูล AI และการบริโภคของครัวเรือนที่ยังไม่สะดุด จะช่วยพยุงการเติบโตในปีหน้า แม้ตลาดแรงงานเริ่มอ่อนตัวและค่าครองชีพที่สูงขึ้นอาจกระทบกำลังซื้อของบางกลุ่ม โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้ต่ำ

ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ห้าในเดือนธันวาคม ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 สะท้อนความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ภาษี และความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินยังตอบรับเชิงบวก ดัชนี S&P 500 ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลดลงเล็กน้อย

ด้านผลประกอบการภาคธุรกิจ รายงานระบุว่ากำไรบริษัทเพิ่มขึ้น 4.2% ในไตรมาสที่ 3 ถือเป็นการปรับขึ้นมากที่สุดของปี และแม้มาร์จิ้นจะเริ่มแคบลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า แต่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ

แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะระบุว่าภาษีนำเข้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดี แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวในอัตรา 2.3% สะท้อนว่าผลกระทบจากภาษีและเงินเฟ้อยังจำกัดการเติบโตในระยะยาว

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า แม้การปิดหน่วยงานรัฐบาลอาจกระทบเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี แต่พื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในปี 2026 จากแรงหนุนด้านการคลัง การลงทุนเทคโนโลยี และการใช้จ่ายของภาคเอกชน

L2D Page (165)

เศรษฐกิจไทยปี 69 ยังหนีไม่พ้นกับดัก‘วิกฤติ’

ปีมะเมียเศรษฐกิจไทย 2569 บนเส้นทางเปราะบาง ระหว่างการประคองตัวกับความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง

ปี 2569 ตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ถูกขนานนามว่าเป็นปีแห่ง “ม้าไฟ” ปีที่ควรเต็มไปด้วยพลัง การเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากแต่มองผ่านเลนส์เศรษฐกิจไทยแล้ว ภาพที่ปรากฏกลับเต็มไปด้วยความเปราะบางและความไม่แน่นอน มากกว่าการทะยานไปข้างหน้าอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง เศรษฐกิจไทยในปีหน้าดูจะยังต้องเผชิญกับเส้นทางที่ขรุขระ และยังห่างไกลจากคำว่า “ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน”

แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะวางกรอบเงินเฟ้อปี 2569 ไว้ที่ระดับ 1-3% สะท้อนความพยายามในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค แต่ตัวเลขเป้าหมายดังกล่าวไม่อาจกลบความจริงที่ว่าปัจจัยเสี่ยงยังคงรายล้อมรอบด้าน ทั้งแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก ราคาพลังงานที่ผันผวน และปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศที่สะสมมาอย่างยาวนาน ความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวอย่างราบรื่น จึงอาจเป็นเพียงภาพฝันที่ยังไปไม่ถึงความเป็นจริง

หนึ่งในความไม่แน่นอนสำคัญคือสถานการณ์การเมืองไทยที่กำลังเดินเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหรือกระบวนการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า ล้วนตั้งคำถามต่อความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจ หากกระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น ก็อาจช่วยประคองความเชื่อมั่นได้ แต่หากเกิดความล่าช้า ความขัดแย้ง หรือปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาล ผลกระทบจะไม่ได้หยุดอยู่แค่ในเชิงการเมือง หากแต่จะสะเทือนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน ภาคธุรกิจ และต้นทุนการตัดสินใจของประชาชนทั้งระบบ

ขณะเดียวกัน ภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มทยอยปรับเพิ่ม แม้ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง แต่ก็ยังแฝงความผันผวนจากราคาพลังงานและปัจจัยภายนอกประเทศ เป็นสัญญาณเตือนว่าการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในระยะต่อไปไม่อาจพึ่งพามาตรการกระตุ้นแบบกว้างขวางหรือหว่านแหได้อีกต่อไป หากขาดการคำนึงถึงเสถียรภาพทางการคลังและผลกระทบในระยะกลางถึงระยะยาว ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพอาจย้อนกลับมาซ้ำเติมเศรษฐกิจมากกว่าการพยุงให้ฟื้นตัว

โจทย์ใหญ่ที่ยังคงเป็นแผลเรื้อรังของเศรษฐกิจไทย คือภาคเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจ แต่กลับเผชิญปัญหาการเข้าถึงสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ภาวะการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ติดลบยาวนานสะท้อนให้เห็นว่ากลไกการเงินกำลังติดขัดอย่างจริงจัง แม้มาตรการลดต้นทุนสินเชื่อที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และภาคธนาคารเตรียมผลักดัน จะช่วยบรรเทาแรงกดดันในระยะสั้น แต่ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย หากไม่ควบคู่กับการยกระดับขีดความสามารถ การปรับตัว และการเพิ่มผลิตภาพของผู้ประกอบการ

บทเรียนสำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบาย คือ ปี 2569 อาจไม่ใช่เวลาของนโยบายประชานิยมระยะสั้น หากแต่เป็นช่วงเวลาที่ประเทศต้องการความชัดเจน ความต่อเนื่อง และความน่าเชื่อถือของนโยบายมากกว่าที่เคย รัฐบาลไม่ว่าจะมาจากชุดใด จำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรักษาวินัยการคลัง ควบคู่กับการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง ทั้งด้านแรงงาน การเงิน และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ท้ายที่สุด เศรษฐกิจไทยจะสามารถก้าวข้ามความเปราะบางในปีหน้าได้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขเงินเฟ้อหรืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับเสถียรภาพทางการเมือง ความพร้อมในการรับมือกับความผันผวน และความต่อเนื่องของนโยบายในระยะยาว หากภาครัฐยังคงมองปัญหาในกรอบระยะสั้น เศรษฐกิจไทยปี 2569 อาจยังไม่พ้นจาก “กับดักวิกฤติ” และทำได้เพียงประคองตัวท่ามกลางความไม่แน่นอน มากกว่าการเดินหน้าไปสู่การเติบโตอย่างแท้จริง

L2D Page (164)

จับตา ‘ทุเรียนลาว’ ชิงส่งออกส่วนแบ่ง ‘ไทย’ ตลาดใหญ่ในจีน

ทุเรียนลาวรุกตลาดจีน โจทย์ท้าทายใหม่ของไทยในสมรภูมิผลไม้พรีเมียม

ตลาดทุเรียนสดในจีนกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อประเทศลาวได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการให้เริ่มส่งออกทุเรียนสดเข้าสู่จีน ส่งสัญญาณการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดผลไม้พรีเมียม โดยนักวิเคราะห์มองว่าลาวมีศักยภาพก้าวขึ้นเป็นคู่แข่งรายใหม่ที่น่าจับตา โดยเฉพาะต่อประเทศไทยซึ่งครองตำแหน่งผู้นำการส่งออกทุเรียนไปจีนมาอย่างยาวนาน

ข้อมูลจากเว็บไซต์สำนักงานศุลกากรจีนระบุว่า ลาวได้รับอนุญาตให้เริ่มส่งออกทุเรียนสดเข้าสู่จีนตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2568 ภายใต้เงื่อนไขต้องปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยพืชอย่างเคร่งครัด นับเป็นประเทศล่าสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เข้าสู่ตลาดทุเรียนจีนอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นจากหลายประเทศในภูมิภาค

นักวิเคราะห์ชี้ว่า จุดแข็งของลาวอยู่ที่ต้นทุนการผลิตที่ต่ำ ทั้งค่าแรงและราคาที่ดิน รวมถึงความได้เปรียบด้านโลจิสติกส์จากเส้นทางรถไฟลาว–จีน ซึ่งเชื่อมต่อกรุงเวียงจันทน์กับเมืองคุนหมิงโดยตรง ช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาในการขนส่งผลไม้สดเข้าสู่ตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ทางการเมืองที่ใกล้ชิดระหว่างลาวกับจีน ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญต่อการขยายการค้าสินค้าเกษตร

ลิม ฉิน คี ที่ปรึกษาสถาบันศึกษาทุเรียนในมาเลเซีย ระบุว่า ระบบโลจิสติกส์ถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญที่สุดของลาว รองลงมาคือแรงงาน ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตั้งราคาทุเรียนสดได้ในระดับที่แข่งขันได้ แม้จะเป็นผลไม้ที่มีราคาสูงในตลาดจีนก็ตาม

ในด้านคุณภาพ ลิมมองว่า รสชาติของทุเรียนลาวแตกต่างจากทุเรียนไทยและเวียดนามเพียงเล็กน้อย เนื่องจากสภาพภูมิอากาศและปริมาณน้ำฝนในภูมิภาคใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงเป็นผู้นำตลาดทุเรียนจีนในปัจจุบัน โดยทุเรียนกว่า 90% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยถูกส่งไปยังจีน ซึ่งเป็นตลาดบริโภคหลักของผลไม้ที่ได้รับการขนานนามว่า “ราชาแห่งผลไม้” และนิยมใช้เป็นของขวัญในโอกาสพิเศษต่าง ๆ

ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีนระบุว่า ในปีที่ผ่านมา จีนนำเข้าทุเรียนมูลค่าสูงถึง 6.99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยประเทศไทยครองส่วนแบ่งตลาดราว 57% รองลงมาคือเวียดนาม 38% ขณะที่กัมพูชา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์มีสัดส่วนการนำเข้าในระดับที่ต่ำกว่า

นักวิเคราะห์มองว่า การเปิดตลาดทุเรียนลาวเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์จีนในการใช้การค้าเป็นเครื่องมือเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือที่เรียกว่า “การทูตทุเรียน” โดยเฉพาะในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้น

ระหว่างการเยือนลาวของนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ในเดือนตุลาคม 2567 จีนได้แสดงจุดยืนสนับสนุนการพัฒนาลาวให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อทางบก ผ่านโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรผ่านเส้นทางรถไฟสายตรงสู่จีน

ราจิฟ บิสวัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเอเชียแปซิฟิกอีโคโนมิกส์ มองว่า การอนุญาตให้ลาวส่งออกทุเรียนสดเข้าสู่จีน จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคี และขยายบทบาทของลาวในห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรของภูมิภาคอาเซียน โดยถือเป็นก้าวสำคัญในการเปิดโอกาสให้ลาวเข้าถึงตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ของจีน

รายงานจากสื่อท้องถิ่นลาวระบุว่า ผู้ปลูกทุเรียนในประเทศเริ่มสำรวจโอกาสทางการค้าและการลงทุนในตลาดจีนตั้งแต่ปี 2567 แต่ยังจำเป็นต้องพัฒนาความรู้ด้านการค้าระหว่างประเทศและการบริหารจัดการ เพื่อขยายการผลิตในเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน

ปัจจุบัน ลาวมีพื้นที่ปลูกทุเรียนประมาณ 125,000 ไร่ มีต้นทุเรียนที่ให้ผลผลิตแล้วราว 10,000 ต้น และตั้งเป้าเพิ่มจำนวนต้นที่สามารถเก็บเกี่ยวได้เป็น 270,000 ต้นภายในปี 2569 เพื่อให้ได้ผลผลิตรวมประมาณ 24,300 ตัน ซึ่งอาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สมรภูมิทุเรียนในตลาดจีนร้อนแรงยิ่งขึ้น และเป็นความท้าทายใหม่ของไทยในฐานะผู้นำตลาดเดิม

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us