admin L2D

L2D Page (90)

กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าแผนโลจิสติกส์ใหม่ หนุนเกษตรกรแข็งแรง รับการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลง

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมเดินหน้าจัดทำ “แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร (พ.ศ. 2571 - 2575)” เพื่อเป็นแผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่แทนที่แผนเดิมซึ่งจะสิ้นสุดลงในปี 2570 โดยมุ่งเน้นการยกระดับความเข้มแข็งของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ อำนวยความสะดวกในการค้าสินค้าระหว่างประเทศ และนำเทคโนโลยีเข้ามาขับเคลื่อนระบบเกษตรสมัยใหม่

นายวินิต อธิสุข รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เปิดเผยผลการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตรครั้งแรกของปี 2568 ว่า ที่ประชุมได้ติดตามความก้าวหน้าในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ National Single Window (NSW) ซึ่งสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว เช่น การออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าอาเซียนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ATIGA e-Form D) ใบรับรองสุขอนามัยพืชอิเล็กทรอนิกส์ (e-Phyto Certificate) และการอนุญาตผ่านระบบ Single Submission ที่ช่วยลดขั้นตอนการดำเนินงานลงอย่างมาก

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบถึงความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมรองรับเส้นทางรถไฟสายไทย–ลาว–จีน ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งโครงข่ายสำคัญในการขนส่งสินค้าเกษตรระหว่างประเทศ รวมถึงข่าวดีจากการเจรจากับรัฐบาลจีนที่ยอมเปิดเพิ่มด่านนำเข้าสินค้าเกษตรและผลไม้ไทยอีก 3 แห่ง ได้แก่ ด่านทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ด่านภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ และด่านบ้านฮวก จังหวัดพะเยา ซึ่งจะช่วยกระจายเส้นทางการค้าผลไม้ไปยังตลาดจีนได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

กระทรวงเกษตรฯ ยังเดินหน้าสานต่อโครงการสำคัญที่ดำเนินมาแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับสถาบันเกษตรกรให้ก้าวสู่ผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร การพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อลดความสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว การจัดทำต้นทุนโลจิสติกส์ของสินค้าเกษตรหลักอย่างข้าว ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ตลอดจนการพัฒนาระบบขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาคุณภาพสินค้าเกษตรไทย

สำหรับแผนใหม่ที่จะเริ่มใช้ในปี 2571 จะเน้นการยกระดับขีดความสามารถของเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบการให้สามารถบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ได้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งจัดทำฐานข้อมูลด้านโลจิสติกส์การเกษตรของประเทศให้เป็นระบบและใช้ประโยชน์ได้จริง เพื่อตอบโจทย์การแข่งขันในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเตรียมจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Focus Group) ในพื้นที่ 4 ภาคทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงราย สงขลา หนองคาย และชลบุรี ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2568 ถึงพฤษภาคม 2569 เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกมิติ ก่อนจะสรุปและจัดทำร่างแผนฉบับสมบูรณ์ต่อไป

L2D Page (89)

ไทยเดินหน้าหารือเมียนมา หวังผ่อนปรนนำเข้า–ส่งออก และเร่งเปิดด่านแม่สอด–เมียวดี

กรมการค้าต่างประเทศเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงย่างกุ้ง และผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของเมียนมา เพื่อหารือถึงแนวทางผ่อนปรนมาตรการด้านการค้าชายแดน โดยเฉพาะการใช้ใบอนุญาตนำเข้า (Import License) ที่เข้มงวดขึ้นจนส่งผลให้ด่านการค้าชายแดนแม่สอด–เมียวดี ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญของไทยและเมียนมา ต้องปิดทำการมาตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ระบุว่า ประเด็นสำคัญในการเจรจาครั้งนี้ คือการขอให้เมียนมาเร่งเปิดด่านแม่สอด–เมียวดีโดยเร็ว เพื่อให้การค้าระหว่างสองประเทศกลับสู่ภาวะปกติ หลังจากที่ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากความไม่คล่องตัวในการส่งออกและนำเข้า อีกทั้งเมียนมายังได้แนะนำให้ใช้เส้นทางทางเลือก เช่น การขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือระนองไปยังเกาะสอง ก่อนเข้าสู่เมืองย่างกุ้ง แต่เส้นทางนี้มีต้นทุนสูงกว่ามาก จึงเป็นภาระต่อผู้ประกอบการ

ไทยยังได้ยืนยันความพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในกระบวนการนำเข้า–ส่งออก โดยเฉพาะด้านเอกสารและการตรวจสอบ เพื่อให้การค้าดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังหารือร่วมกันถึงการจัดกลุ่มสินค้าที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค ที่ควรได้รับการอำนวยความสะดวกเป็นพิเศษ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและภาคธุรกิจ

ก่อนหน้านี้ ฝ่ายไทยได้หารือกับทูตพาณิชย์เมียนมาและเอกอัครราชทูตเมียนมาในไทยแล้ว โดยได้รับสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับการผ่อนปรนมาตรการ Import License จึงคาดว่าการเจรจาที่กรุงย่างกุ้งครั้งนี้จะมีทิศทางที่ดี อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีสัญญาณว่าเมียนมาจะขยายมาตรการปิดด่านไปยังจุดอื่นนอกเหนือจากแม่สอด–เมียวดี

สำหรับสถานการณ์การค้าชายแดนล่าสุด ตัวเลขระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2568 มูลค่ารวมอยู่ที่ 122,282 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยไทยส่งออก 72,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 50,141 ล้านบาท ส่วนการค้าชายแดนไทย–กัมพูชาช่วงเดียวกันมีมูลค่า 92,006 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.5 เนื่องจากกัมพูชาหันไปพึ่งพาสินค้าจากเวียดนามและจีนมากขึ้น แต่กรมการค้าต่างประเทศมั่นใจว่า หลังไทยมีรัฐบาลใหม่ ความสัมพันธ์ทางการค้ากับกัมพูชาจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง และพร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในการขยายตลาดและเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ

L2D Page (88)

สหรัฐฯ เดินหน้าลดภาษีนำเข้าญี่ปุ่น 16 ก.ย. นี้ ดันอุตสาหกรรมยานยนต์ขยายตัว

สหรัฐอเมริกาออกประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่น โดยเฉพาะรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยมาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 กันยายน 2568 ตามที่เผยแพร่ในเอกสารราชการ Federal Register ซึ่งรับรองคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ภายใต้ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ–ญี่ปุ่น

เรียวเซ อากาซาวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่นและหัวหน้าผู้เจรจาการค้า เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า การลดภาษีดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญในการขจัดอุปสรรคทางการค้า โดยอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์จะปรับจาก 27.5% ลงมาอยู่ที่ 15% ขณะที่ชิ้นส่วนยานยนต์ได้รับสิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขเดียวกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตญี่ปุ่นในตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างชัดเจน

การดำเนินการครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อสัปดาห์ก่อน เพื่อปลดล็อกความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นตลอดเดือนที่ผ่านมา แม้ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ จะบรรลุข้อตกลงในเดือนกรกฎาคมแล้ว แต่ต้องรอการรับรองทางกฎหมายจึงจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ

ในขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้แสดงความตั้งใจต่อสหรัฐฯ ด้วยการลงนามบันทึกความเข้าใจกับโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ โดยให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน

นักวิเคราะห์มองว่าการลดภาษีครั้งนี้จะสร้างแรงกระตุ้นใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น โดยเฉพาะบริษัทรถยนต์รายใหญ่ เช่น โตโยต้า ฮอนด้า และนิสสัน ที่มีฐานการผลิตและเครือข่ายการจำหน่ายในสหรัฐฯ อยู่แล้ว ซึ่งจะสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ผลิตชิ้นส่วนญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน ผลกระทบต่อไทยอาจมีทั้งบวกและลบ ด้านหนึ่ง อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ อาจต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรงขึ้น เนื่องจากสินค้าญี่ปุ่นมีต้นทุนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในอีกด้านหนึ่ง การที่ญี่ปุ่นขยายฐานการผลิตในสหรัฐฯ และภูมิภาค อาจเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่กว้างขึ้น

ในภาพรวม การลดภาษีครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งอาจมีผลต่อสมดุลการค้าโลกในระยะยาว ทั้งในมิติการแข่งขัน การลงทุน และความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะภาคยานยนต์และเทคโนโลยีขั้นสูงที่ทั้งสองประเทศต้องการรักษาความเป็นผู้นำในเวทีโลก

ChatGPT Image Sep 10, 2025, 09_30_39 AM

ก้าวใหม่โลจิสติกส์ไทย–ลาว: สะพานมิตรภาพหนองคาย–เวียงจันทน์ แห่งที่ 2 เปิดเส้นทางการค้าเชื่อมจีน

การขนส่งผลไม้ไทยสู่ตลาดจีนขยายตัวต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มีปริมาณกว่า 1,108 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือราว 27,700 ตัน ผ่านเส้นทางรางมาบตาพุด–หนองคาย–สปป.ลาว–จีน ระยะทางกว่า 1,750 กิโลเมตร กลายเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่ช่วยผลักดันการค้าผลไม้ไทยให้เข้าถึงตลาดปลายทางได้รวดเร็วและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

เพื่อรองรับแนวโน้มที่เติบโต รัฐบาลไทยเดินหน้าหารือร่วมกับ สปป.ลาว และจีน เกี่ยวกับการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย–ลาว หนองคาย–เวียงจันทน์ แห่งที่ 2 โดยมีนายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เป็นประธานการประชุมครั้งแรกของปี 2568 ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านคมนาคม การต่างประเทศ และการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–จีน ซึ่งปัจจุบันระยะที่ 1 มีงานก่อสร้างเสร็จแล้วบางส่วน และอยู่ระหว่างดำเนินการอีกหลายสัญญา ส่วนระยะที่ 2 จากนครราชสีมาไปหนองคาย กำลังเตรียมเปิดประมูลภายในปี 2568 ขณะเดียวกันยังได้เตรียมความพร้อมของฝ่ายไทยก่อนเข้าหารืออย่างเป็นทางการกับ สปป.ลาวในเดือนตุลาคม เพื่อกำหนดท่าทีและข้อสรุปการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ซึ่งจะเชื่อมสถานีนาทา–หนองคาย เข้ากับท่านาแล้งและเวียงจันทน์ใต้

การผลักดันสะพานหนองคาย–เวียงจันทน์ แห่งที่ 2 ไม่เพียงเป็นการเชื่อมต่อโครงข่ายรางระหว่างไทย ลาว และจีน หากยังเป็นกลไกสำคัญในการขยายพลังทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน สู่การเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งและมั่นคงมากขึ้นในอนาคต

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us