admin L2D

L2D Page (155)

ทรัมป์ให้คำมั่นปี 2026 เศรษฐกิจอเมริกาจะปัง! สวนทางค่าครองชีพสูงลิ่ว

ทรัมป์ประกาศความหวังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2026 สดใส แต่เสียงประชาชนยังไม่เชื่อมั่น ท่ามกลางค่าครองชีพที่กดดัน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา แถลงปราศรัยต่อประชาชนทั้งประเทศเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2025 ณ ห้องทำงานรูปไข่ ทำเนียบขาว โดยใช้โอกาสนี้นำเสนอผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล พร้อมให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ กำลังมุ่งเข้าสู่ “ยุคทองทางเศรษฐกิจ” ในปี 2026 แม้ขณะนี้ประชาชนจำนวนมากยังเผชิญกับภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การปราศรัยใช้เวลาประมาณ 20 นาที โดยทรัมป์เปิดฉากด้วยการโจมตีการบริหารเศรษฐกิจของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยระบุว่าปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพสูงเป็นผลสืบเนื่องจากรัฐบาลชุดก่อน พร้อมยืนยันว่ามาตรการของรัฐบาลปัจจุบันกำลังทยอยแก้ไขปัญหา และทำให้ราคาสินค้าหลายประเภท รวมถึงรถยนต์ เริ่มปรับตัวลดลงแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวด้านการเมืองระหว่างประเทศของสำนักข่าวอัลจาซีรา มองว่าสุนทรพจน์ครั้งนี้มีลักษณะคล้ายการหาเสียงมากกว่าการแถลงนโยบายเชิงโครงสร้าง เนื่องจากไม่มีการประกาศมาตรการใหม่ที่ชัดเจน ไม่ได้กล่าวถึงการผลักดันกฎหมายสำคัญ และหลีกเลี่ยงการลงลึกถึงปัญหาค่าครองชีพที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน

ทรัมป์ยังกล่าวถึงแผนการเสนอชื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คนใหม่ในอนาคตอันใกล้ โดยยืนยันว่าจะเป็นบุคคลที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลง ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระค่าผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย และกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในวงกว้าง

แม้ผู้นำสหรัฐฯ จะยืนยันว่าเศรษฐกิจกำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนกลับสะท้อนมุมมองที่สวนทาง โดยผลสำรวจของ NPR/PBS News/Marist ระบุว่า มีเพียง 36% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่เห็นด้วยกับการบริหารเศรษฐกิจของทรัมป์ ขณะที่ 45% ระบุว่าราคาสินค้ายังเป็นประเด็นเศรษฐกิจที่น่ากังวลที่สุด และกว่า 60% มองแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าด้วยความกังวล โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งเชื่อว่าสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว

ขณะเดียวกัน สำนักข่าว CNN รายงานว่าทรัมป์ได้กล่าวอ้างตัวเลขการลงทุนในสหรัฐฯ สูงถึง 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อมูลบนเว็บไซต์ทำเนียบขาวที่ระบุว่าการลงทุนจริงอยู่ที่ประมาณ 9.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น โดย CNN ระบุว่าตัวเลขดังกล่าวยังอาจถูกประเมินเกินจริง เนื่องจากมีการนับรวมเพียงคำมั่นสัญญาทางการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ไม่ชัดเจน

ในช่วงท้ายของการปราศรัย ทรัมป์ได้กล่าวชื่นชมผลงานด้านนโยบายกำแพงภาษีและการควบคุมผู้อพยพ โดยยืนยันว่าสหรัฐฯ ได้รับความเคารพจากนานาประเทศมากขึ้น และการเข้าเมืองผิดกฎหมายลดลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พร้อมโจมตีรัฐบาลไบเดนว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาพรมแดนในอดีต

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเน้นย้ำข้อตกลงกับบริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่ ซึ่งเขาเชื่อว่าจะช่วยลดราคายาในสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะยาช่วยลดน้ำหนักที่มีราคาเริ่มต้นต่ำลง และการเปิดตัวแพลตฟอร์มออนไลน์ TrumpRx ในปีหน้า เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อยาในราคาพิเศษได้โดยตรง

แม้ทรัมป์จะพยายามสื่อสารภาพความสำเร็จและความหวังทางเศรษฐกิจ แต่บรรยากาศโดยรวมสะท้อนว่าความเชื่อมั่นของประชาชนยังไม่ฟื้นกลับมาอย่างเต็มที่ ท่ามกลางแรงกดดันจากค่าครองชีพและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังคงดำเนินอยู่

L2D Page (154)

พาณิชย์ ไทย-ลาว ถกแผนพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ดันการค้า แตะ 11,000 ล้านดอลลาร์ ปี 2570

พาณิชย์ไทย–ลาว เร่งขยายความร่วมมือเศรษฐกิจ ดันการค้าสองฝ่ายแตะ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2570

กระทรวงพาณิชย์ของไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เดินหน้ากระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า หวังยกระดับบทบาทการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงโลจิสติกส์ในลุ่มน้ำโขง พร้อมผลักดันมูลค่าการค้าทวิภาคีให้บรรลุเป้าหมาย 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570 โดยอาศัยจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การค้าชายแดน และเส้นทางรถไฟลาว–จีน เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมแผนความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ไทย–ลาว ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายมะไลทอง กมมะสิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของ สปป.ลาว เป็นประธานฝ่ายลาว ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าในทุกมิติ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และสนับสนุนการเป็นเส้นทางหลักของการขนส่งสินค้าระหว่างอาเซียนกับจีน

สาระสำคัญของการหารือครั้งนี้ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เส้นทางรถไฟลาว–จีน โดยลดขั้นตอนและระยะเวลาการขนถ่ายสินค้า อำนวยความสะดวกให้สินค้าจากไทยสามารถเชื่อมต่อสู่ระบบรางได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายรถ พร้อมกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการขนส่งที่ชัดเจน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนและคำนวณต้นทุนได้อย่างแม่นยำ ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Land Linked ของ สปป.ลาว และก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ

ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการจัดทำแผนงานความร่วมมือระยะ 5 ปี ระหว่างปี 2569–2573 เพื่อกำหนดทิศทางการทำงานอย่างเป็นระบบและมีกรอบเวลาที่ชัดเจน โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูกลไกความร่วมมือด้านการเกษตร การยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหารและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ภายใต้แนวคิดการผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดการเผา เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ข้ามพรมแดน

นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถิตินำเข้าและส่งออกของสินค้าสำคัญ เพื่อใช้ในการประเมินสถานการณ์และคาดการณ์ทิศทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งฝ่าย สปป.ลาว ได้ยืนยันว่าการนำเข้าจากไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ภายในประเทศเท่านั้น และไม่มีการส่งต่อไปยังประเทศที่สาม

การประชุมครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยมีคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนของไทย และสภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว เข้าร่วมนำเสนอแนวทางความร่วมมือ พร้อมเตรียมจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนและคณะอนุกรรมการในสาขาที่มีศักยภาพ อาทิ การผลิตและห่วงโซ่อุปทาน การค้าและการสร้างแบรนด์ การท่องเที่ยว นโยบายและกฎระเบียบ การพัฒนาดิจิทัลและ AI รวมถึงการเงิน เพื่อผลักดันความร่วมมืออย่างต่อเนื่องควบคู่กับการประชุมระดับนโยบายของภาครัฐ

ปัจจุบัน สปป.ลาว เป็นคู่ค้าลำดับที่ 7 ของไทยในอาเซียน และอันดับที่ 18 ของโลก โดยในปี 2567 การค้ารวมมีมูลค่ากว่า 8,283 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้ารวมขยายตัวเกือบร้อยละ 19 สะท้อนศักยภาพและโอกาสในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและลาวในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

L2D Page (153)

ขบ.-กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน"ติวเข้มผู้ขับรถขนส่งทั่วไทย ยกมาตรฐานแก้ปัญหาขาดแคลน

ขนส่งฯ ผนึกแรงงาน ปั้นนักขับมืออาชีพ ยกระดับความปลอดภัย แก้ขาดแคลนแรงงานโลจิสติกส์

กรมการขนส่งทางบก ร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เดินหน้ายกระดับศักยภาพผู้ขับรถขนส่งทั่วประเทศ ผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางถนน ควบคู่การแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคโลจิสติกส์ และเสริมความสามารถในการแข่งขันของระบบขนส่งไทยในระยะยาว

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และนายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน พร้อมภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และผู้ประกอบการขนส่ง ได้ร่วมเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ขับรถขนส่งเพื่อยกระดับความปลอดภัยทางถนน และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อผลิตพนักงานขับรถคุณภาพป้อนเข้าสู่ระบบขนส่งของประเทศอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

นายสรพงศ์กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายในการพัฒนาผู้ขับรถทั้งรถโดยสารและรถบรรทุก ให้มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบต่อสังคม ควบคู่กับการปลูกฝังพฤติกรรมการขับขี่อย่างปลอดภัย เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางถนน ลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุ และแก้ปัญหาการขาดแคลนพนักงานขับรถในภาคการขนส่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศ

เขาระบุว่า การพัฒนาผู้ขับรถที่มีคุณภาพต้องครอบคลุมทั้งทักษะวิชาชีพ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และจิตสำนึกด้านความปลอดภัย เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอาชีพพนักงานขับรถขนส่งของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ และรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับการส่งเสริมระบบมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก หรือ Q Mark รวมถึงการยกระดับสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้บริการระบบขนส่งทางบก

ด้านนายสมาสภ์กล่าวว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงานให้ความสำคัญกับการยกระดับแรงงานไทยให้มีสมรรถนะตรงกับความต้องการของตลาด โดยความร่วมมือครั้งนี้จะมุ่งพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมพนักงานขับรถให้ทันสมัย รองรับเทคโนโลยีและยานยนต์รุ่นใหม่ เพื่อให้แรงงานขับรถมีทักษะที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์อย่างแท้จริง

กระทรวงแรงงานยังพร้อมสนับสนุนการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานสำหรับพนักงานขับรถทั้งรถบรรทุกและรถโดยสาร เพื่อยกระดับคุณภาพวิชาชีพ สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการ และเปิดโอกาสความก้าวหน้าในสายอาชีพของผู้ขับรถอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานคุณภาพในภาคการขนส่ง และเตรียมความพร้อมบุคลากรรองรับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจไทยในอนาคต

L2D Page (152)

คาดเศรษฐกิจปี 69 โตต่ำรอบ 30 ปี

SCB EIC เตือนเศรษฐกิจไทยปี 2569 เสี่ยงโตต่ำสุดในรอบ 30 ปี นอกช่วงวิกฤติ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง หลังปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568 ลงเหลือ 2% จากเดิม 2.1% ขณะที่ภาพเศรษฐกิจในปี 2569 น่าเป็นห่วงมากกว่า โดยคาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.5% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตต่ำกว่า 2% เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี หากไม่นับรวมช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา

นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า แม้ปี 2569 จะไม่ใช่ปีแห่งวิกฤต แต่เศรษฐกิจไทยกลับมีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำผิดปกติ ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน และไม่ควรปล่อยให้การเติบโตระดับต่ำเช่นนี้กลายเป็นภาวะปกติใหม่ของประเทศ

แรงกดดันสำคัญมาจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดจากสงครามการค้า และผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกันการแข่งขันจากต่างประเทศรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจากจีนที่ส่งเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ส่งผลต่อภาคการผลิตและการส่งออกของไทยโดยตรง

ในประเทศเอง เศรษฐกิจยังเผชิญข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน ทั้งความเปราะบางของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ซึ่งกดดันกำลังซื้อและการลงทุน จำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติแม้จะฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้ แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิดอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ภาครัฐยังเผชิญข้อจำกัดด้านการคลังที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน

SCB EIC ประเมินว่า เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ คณะกรรมการนโยบายการเงินมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ระดับ 1.0% ภายในครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อลดต้นทุนทางการเงินและช่วยบรรเทาแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาท

ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงทางการเมืองยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยหากมีการยุบสภาเร็วกว่ากำหนด จะทำให้การเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2569 ต่ำกว่าปกติ แต่ในอีกด้านหนึ่ง อาจช่วยลดความล่าช้าในการประกาศใช้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี 2570 หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งจะทำให้งบประมาณล่าช้าเพียง 1–2 เดือน

อย่างไรก็ดี หากการเลือกตั้งหรือการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าออกไป ความเสี่ยงที่งบประมาณปี 2570 จะล่าช้าเกินกว่า 3 เดือนจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะกลาง เนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐถูกจำกัดอยู่แล้วจากแรงกดดันด้านการปฏิรูปการคลัง เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณและควบคุมระดับหนี้สาธารณะไม่ให้เกิน 70% ของ GDP

นายยรรยงยังกล่าวเพิ่มเติมว่า SCB EIC คาดหวังให้สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ คลี่คลายลงโดยเร็ว เพื่อเปิดทางให้เงินลงทุนจากต่างประเทศที่เตรียมจะเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีหน้า หากสถานการณ์ยืดเยื้อ อาจส่งผลให้การใช้จ่ายภาครัฐขาดความต่อเนื่อง การเจรจากับสหรัฐฯ ล่าช้า หรือเสียเปรียบมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในอนาคต

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us