admin L2D

news-20250506-02

“สุริยะ” เปิดโต๊ะคมนาคมมาเลเซีย เดินหน้ารถไฟเชื่อมพรมแดน-เร่ง MOU ขนส่งข้ามแดนไทย–มาเลย์

การกระชับความสัมพันธ์ด้านคมนาคมระหว่างไทยและมาเลเซียเดินหน้าอีกขั้น หลังนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้การต้อนรับ H.E. Loke Siew Fook รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของมาเลเซียที่เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อหารือความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยงระบบขนส่งระหว่างสองประเทศ

การพบปะครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังการเยือนมาเลเซียของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เมื่อปลายปี 2567 สะท้อนถึงความตั้งใจทางการเมืองร่วมกันของทั้งสองฝ่ายที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดยเฉพาะการเชื่อมต่อในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืน

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นหารือ คือการฟื้นโครงการรถไฟเชื่อมโยงไทย–มาเลเซีย เส้นทาง “สุไหงโก-ลก – รันเตาปังยัง” ซึ่งจะช่วยยกระดับระบบรางให้เป็นหัวใจหลักของการเดินทางและขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน พร้อมผลักดันการพัฒนาเครือข่ายโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังเห็นพ้องร่วมกันถึงความจำเป็นในการเร่งรัดการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจ 2 ฉบับ ได้แก่ ด้านการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (CBTG) และด้านการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดน (CBTP) ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรค เพิ่มความคล่องตัว และสร้างความเสมอภาคในการขนส่งผ่านเส้นทางถนนของทั้งสองฝ่าย

โดยมีเป้าหมายร่วมกันว่าจะผลักดันให้การเจรจาสิ้นสุดและสามารถลงนามในร่าง MOU ทั้งสองฉบับได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2568 พร้อมทั้งสนับสนุนแนวทางการบูรณาการระบบใบขับขี่ดิจิทัลเข้ากับใบขับขี่สากลผ่านกลไกอาเซียน เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการเดินทางและเพิ่มศักยภาพด้านเทคโนโลยีการคมนาคมของภูมิภาคอย่างแท้จริง

ที่มา - thansettakij

news-20250506-01

คมนาคมเร่งเครื่อง 'แหลมฉบังเฟส 3' ดันไทยขึ้นแท่น 'ฮับโลจิสติกส์อาเซียน'

ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 กำลังถูกเร่งเดินหน้าเต็มกำลังภายใต้นโยบาย “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย” โดยกระทรวงคมนาคมตั้งเป้าให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นประตูเศรษฐกิจและศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอาเซียนในอนาคต

ล่าสุด นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา พร้อมสั่งการให้ทุกฝ่ายเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยและความโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจได้รับประโยชน์สูงสุด

ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะช่วยเสริมศักยภาพในการขนส่งทางทะเลของไทย รองรับการเติบโตของการค้าโลก และเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ของประเทศได้อย่างไร้รอยต่อ โดยจะเข้ามาแบ่งเบาภาระของท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ซึ่งแม้จะยังเป็นจุดขนถ่ายสำคัญ แต่กลับมีข้อจำกัดด้านร่องน้ำที่ตื้นและรองรับเรือขนาดใหญ่ได้จำกัด

ข้อมูลจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยระบุว่า ขณะนี้งานก่อสร้างทางทะเล ซึ่งเป็นส่วนแรกของโครงการ มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 67% โดยกิจการร่วมค้า CNNC เป็นผู้ดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกำหนด ส่วนพื้นที่ท่าเรือชายฝั่ง F1 กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมส่งมอบให้บริษัท GPC อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล ในเดือนพฤศจิกายน 2568

ด้านงานก่อสร้างอาคาร ท่าเรือ ระบบถนน และสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นส่วนที่สองของโครงการ กำลังเริ่มต้นขับเคลื่อนโดยบริษัท ซีเอชอีซี (ไทย) จำกัด โดยเริ่มจากสะพานยกระดับก่อนขยายไปยังโครงสร้างหลักอื่น ๆ ในอนาคต ส่วนระบบรถไฟและอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการจัดทำ TOR และจ้างที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบเอกสารประกวดราคา คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ในเร็ว ๆ นี้

เมื่อโครงการเฟส 3 แล้วเสร็จ ท่าเรือแหลมฉบังจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าทางเรือได้อย่างมหาศาล และยกระดับประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางขนส่งทางทะเลของอาเซียน” อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจระดับมหภาค แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับผู้ประกอบการและประชาชนในระดับฐานรากอีกด้วย

ที่มา - khaosod

20250502-03

“ไอศกรีมไทย” เบอร์หนึ่งเอเชีย ครองตลาดโลกด้วยรสชาติและ FTA

ใครจะคิดว่า “ไอศกรีมไทย” จะก้าวขึ้นมาเป็นสินค้าส่งออกแถวหน้าในเวทีโลก แต่วันนี้ประเทศไทยสามารถคว้าแชมป์ประเทศผู้ส่งออกไอศกรีมอันดับ 1 ของเอเชีย และยังติดอันดับ 4 ของโลก รองจากสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรได้อย่างภาคภูมิ ด้วยคุณภาพที่เป็นที่ยอมรับ รสชาติที่ตอบโจทย์ทุกเพศทุกวัย และความสามารถในการปรับตัวต่อกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า แม้โลกการค้าจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่สินค้าไอศกรีมของไทยกลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563–2567) ไทยส่งออกไอศกรีมไปทั่วโลกเฉลี่ยปีละ 106 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวเฉลี่ย 11% ต่อปี และเพียง 2 เดือนแรกของปี 2568 ไทยก็ส่งออกไอศกรีมไปแล้วมูลค่า 22 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความสำเร็จนี้คือความได้เปรียบจากข้อตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ซึ่งช่วยลดหรือยกเว้นภาษีนำเข้าในประเทศคู่ค้า ปัจจุบันไทยมี FTA กับ 18 ประเทศ และสินค้าไอศกรีมไทยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าแล้วจาก 17 ประเทศ เหลือเพียงญี่ปุ่นที่ยังเก็บภาษีในอัตรา 21-29.8% แต่ถึงอย่างนั้น ตลาดญี่ปุ่นก็ยังขยายตัวแบบก้าวกระโดดถึง 827% ในช่วงต้นปีนี้ สะท้อนถึงศักยภาพของสินค้าที่แข็งแกร่งเกินข้อจำกัดด้านภาษี

ภาพรวมการส่งออกไอศกรีมไทยไปยังประเทศคู่ FTA มีมูลค่า 20 ล้านดอลลาร์ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 4% จากปีที่ผ่านมา และคิดเป็นสัดส่วนถึง 87% ของมูลค่าการส่งออกไอศกรีมทั้งหมด โดยเฉพาะตลาดอาเซียนที่ยังคงเป็นพระเอก ขยายตัว 9% นำโดยมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามที่เติบโตแรงแบบก้าวกระโดด เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ฮ่องกง และญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน

ในระยะยาว โชติมามองว่า อุตสาหกรรมไอศกรีมของไทยยังมีโอกาสขยายตัวอีกมาก ด้วยปัจจัยหนุนจากทั้งคุณภาพสินค้า สิทธิประโยชน์ทางภาษี และความหลากหลายของวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในประเทศ หลายบริษัทไอศกรีมระดับโลกจึงเลือกใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตเพื่อป้อนตลาดในภูมิภาคเอเชีย

สำหรับผู้ประกอบการไทย นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่จะต้องยกระดับมาตรฐานการผลิตให้สม่ำเสมอ ใส่ใจในรสชาติที่แตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ พร้อมพัฒนาไอศกรีมฟังก์ชันที่มีส่วนผสมจากสมุนไพร หรือวัตถุดิบสุขภาพที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ เพราะสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นจุดขายสำคัญในตลาดโลก

โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว เหลือเพียงการขยับตัวให้ทัน และใช้ประโยชน์จาก FTA อย่างเต็มที่ เพื่อให้ “ไอศกรีมไทย” ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจของผู้บริโภคในประเทศ แต่เป็นรสชาติที่ทั่วโลกอยากลิ้มลอง

ที่มา - thestandard

20250502-02

“ไทย–ลาว” เปิดเกมรุกโลจิสติกส์ไร้รอยต่อ ปูทางเศรษฐกิจภูมิภาคโตยั่งยืน

ท่ามกลางตัวเลขมูลค่าการค้าชายแดนที่พุ่งทะลุ 976,921 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 5.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ด่านพรมแดนที่เชื่อมต่อกับ สปป.ลาว กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการค้าระหว่างประเทศ ด้วยมูลค่าการค้ารวมกว่า 286,775 ล้านบาท เติบโตถึง 10.1% ภาครัฐจึงเดินหน้าผลักดันแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 เพื่อปลดล็อกขีดจำกัดด้านโลจิสติกส์ และยกระดับศักยภาพของภูมิภาคนี้ให้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการขนส่งระดับภูมิภาค

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ภายใต้การประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดนครพนม รัฐบาลได้ติดตามความคืบหน้าของโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นทางหลวงหมายเลข 223 ช่วงอำเภอนาแก–บ้านต้อง ที่จะเชื่อมต่อจังหวัดสกลนครกับนครพนม และขยายออกไปถึงสะพานมิตรภาพไทย–ลาวทั้งแห่งที่ 2 และ 3 ซึ่งจะกลายเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลักของภูมิภาคในอนาคต โดยเป้าหมายคือเปิดให้บริการได้ในปี 2570

อีกหนึ่งโครงการสำคัญคือ “ถนนเลียบแม่น้ำโขงนาคาวิถี” ซึ่งเชื่อมสะพานมิตรภาพไทย–ลาว (แห่งที่ 2) กับพระธาตุพนม โครงการนี้นอกจากจะช่วยยกระดับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติแล้ว ยังเป็นการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเลียบริมฝั่งโขงที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค โดยตั้งเป้าเปิดใช้งานพร้อมกันภายในปี 2570 เช่นกัน

สำหรับการพัฒนาระบบราง โครงการรถไฟสายใหม่ “บ้านไผ่–นครพนม” กำลังอยู่ในขั้นตอนการเร่งจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบพื้นที่ เพื่อให้สามารถก่อสร้างและเปิดบริการได้ภายในกรอบเวลาเดียวกัน ซึ่งจะเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้าทางราง เชื่อมโยงจากตอนในของประเทศไปยังชายแดน และข้ามสู่ลาว เวียดนาม จนถึงจีนตอนใต้

รัฐบาลยังผลักดันโครงการปรับปรุงเส้นทาง R12 ช่วงเมืองท่าแขก–ด่านนาเพ้าในลาว โดยขอความร่วมมือให้ สปป.ลาวใช้ผู้รับเหมาไทยในการก่อสร้าง เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องด้านมาตรฐานและเร่งรัดการดำเนินงาน โครงการนี้ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไทยแล้ว และถือเป็นหมุดหมายสำคัญของความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ

ในด้านการคมนาคมทางอากาศ รัฐบาลไทยยังได้หารือกับกระทรวงต่างประเทศ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์สนามบินสะหวันนะเขตในลาว ร่วมกับสายการบินต้นทุนต่ำของไทย เสริมการเดินทางระหว่างประเทศในราคาจับต้องได้ พร้อมเชื่อมโยงกับระบบขนส่งภาคพื้นดินแบบไร้รอยต่อ

อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจคือความคืบหน้าของ “ศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม” ซึ่งออกแบบให้เป็นจุดเชื่อมระบบรางและถนนแบบ Seamless logistics พร้อมพื้นที่ปฏิบัติงานร่วมของหน่วยงานตรวจปล่อยสินค้า (CCA) โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมด้วยตนเอง พร้อมยืนยันว่าโครงการนี้เป็นไปตามแผน และสามารถเชื่อมโยงการทำงานของหน่วยงานรัฐ เช่น การรถไฟฯ กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รูปแบบโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชน (PPP) โดยมีเป้าหมายรองรับการขนส่งสินค้าข้ามแดนจากไทย–ลาว–เวียดนาม–จีนตอนใต้ ผ่านเส้นทาง R12 และสายรถไฟทางคู่ในอนาคต พื้นที่ภายในศูนย์ยังถูกออกแบบให้รองรับการบริการแบบ One Stop Service ทั้งด้านศุลกากร ตรวจคนเข้าเมือง และกักกันโรค โดยงานก่อสร้างภาพรวมคืบหน้าแล้วกว่า 95% และคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2568

สำหรับเอกชนผู้ร่วมลงทุนได้ก่อสร้างคลังสินค้าและศูนย์รวบรวมสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตั้งระบบบริหารจัดการ โดยผู้ร่วมลงทุนจะบริหารและรับความเสี่ยงทางรายได้ตามสัญญาสัมปทานแบบ PPP Net Cost นาน 30 ปี

เมื่อศูนย์แห่งนี้เปิดใช้งานเต็มรูปแบบ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของภาคขนส่ง ลดต้นทุนโลจิสติกส์ และสร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันให้นครพนมกลายเป็น “ฮับโลจิสติกส์แห่งภาคอีสานตอนบน” ที่สามารถเชื่อมโยงเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้อย่างไร้รอยต่อ

ที่มา - bangkokbiznews

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us