admin L2D

L2D Page (23)

คมนาคมเดินหน้าปรับกฎหมายรองรับรถไฟฟ้า 20 บาท พร้อมดันโครงการแลนด์บริดจ์ 1 ล้านล้านบาท

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในเวทีเสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” ถึงทิศทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทางในเขตเมืองหลวงและปริมณฑล

นโยบายดังกล่าวได้เริ่มทดลองใช้ใน 2 เส้นทาง และพบว่ามีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นกว่า 30% สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนที่แท้จริง กระทรวงคมนาคมจึงเร่งผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับนโยบายนี้อย่างถาวร โดยขณะนี้รัฐสภากำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.ขนส่งทางราง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ซึ่งทั้งหมดนี้จะเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ภายในเดือนหน้า

รัฐมนตรีช่วยฯ ยืนยันว่า การสนับสนุนค่าโดยสารรถไฟฟ้าไม่ได้เป็นการนำภาษีของประชาชนในต่างจังหวัดมาชดเชยให้คนกรุงเทพฯ เพราะในความเป็นจริง เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีสัดส่วนการจัดเก็บภาษีถึง 49% ของประเทศ โดยรัฐบาลมีแนวนโยบายดูแลประชาชนแบบองค์รวมทั่วประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือชนบท เช่น การใช้มาตรการเฉพาะในการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาคอย่างเหมาะสม

ในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในระยะ 2–3 ปีข้างหน้า รัฐบาลเตรียมเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งเป็นโครงการเชื่อมโยงการขนส่งทางบกและทางทะเลที่สำคัญระดับภูมิภาค โดยครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช โครงการนี้จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ของประเทศ ลดต้นทุนขนส่งสินค้าโดยเฉพาะทางทะเล ซึ่งถือว่าเป็นช่องทางที่มีต้นทุนต่ำที่สุด โดยมีแผนการลงทุนรวมมากกว่า 1 ล้านล้านบาท ในระยะแรกจะลงทุนกว่า 500,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาท่าเรือน้ำลึก รถไฟทางคู่ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบันรัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างผลักดันร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภา เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการดังกล่าวได้อย่างราบรื่น โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีแผนลงทุนในโครงการรถไฟทางคู่เพื่อเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์กับประเทศเพื่อนบ้าน และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง–สุวรรณภูมิ–อู่ตะเภา) ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและโลก

L2D Page (22)

กอบศักดิ์เผยอินโดฯ ได้ดีลภาษี 19% กับสหรัฐ เหลือไทยชาติเดียวในอาเซียนที่ยังโดนเก็บภาษีเกิน 30%

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุน (FETCO) เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Dr.KOB” ถึงความคืบหน้าของข้อตกลงทางการค้าระหว่างอินโดนีเซียและสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ข้อสรุปว่า สหรัฐจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซียที่อัตรา 19% เท่านั้น ลดลงจากระดับเดิมที่ 32% โดยดร.กอบศักดิ์ชี้ว่านี่คือผลของ “Great Deal” ที่เกิดขึ้นจากการเจรจาที่ตอบโจทย์ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อย่างชัดเจน และสะท้อนแนวทางที่ประเทศอื่น รวมถึงไทย อาจต้องพิจารณาเดินตาม

ในรายละเอียดของข้อตกลง อินโดนีเซียตกลงให้สหรัฐสามารถเข้าถึงตลาดในประเทศที่มีประชากรกว่า 280 ล้านคนแบบเบ็ดเสร็จ ไม่มีอุปสรรคทางภาษีหรือไม่ใช่ภาษี พร้อมทั้งเสนอซื้อสินค้าจากสหรัฐในวงเงินมหาศาล ครอบคลุมทั้งพลังงาน มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์ สินค้าเกษตรอีก 4,500 ล้านดอลลาร์ และยังสั่งซื้อเครื่องบิน Boeing จำนวน 50 ลำ โดยส่วนใหญ่เป็นรุ่น 777 นอกจากนี้ สินค้าส่งออกของสหรัฐเข้าสู่อินโดนีเซียจะได้รับการยกเว้นภาษี ขณะที่สินค้าอินโดนีเซียไปสหรัฐจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 19% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเดิมและดีกว่าหลายประเทศในภูมิภาค

ดร.กอบศักดิ์ระบุว่า ข้อตกลงนี้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่สะท้อนชัดถึงกลยุทธ์ของสหรัฐฯ ที่ต้องการ “Total and Free Access” สำหรับสินค้าของตน แลกกับการลดภาษีให้ประเทศคู่ค้า ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับที่เวียดนามเคยบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐมาก่อนหน้า โดยเวียดนามได้รับภาษีในระดับ 20% นับเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ได้ดีลลักษณะนี้ และอินโดนีเซียเป็นประเทศที่สองที่ประสบความสำเร็จในการต่อรองลดภาษีลงอย่างมีนัยสำคัญ

สิ่งที่น่ากังวลคือ ปัจจุบันประเทศไทยกลายเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียน-5 ที่ยังคงถูกสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสูงกว่า 30% โดยเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ฟิลิปปินส์อยู่ที่ 20% มาเลเซียกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาลดเหลืออย่างน้อย 20% ขณะที่สิงคโปร์แม้จะอยู่ที่ 10% ก็อาจถูกปรับขึ้นในอนาคตให้เทียบเคียงกับกลุ่มประเทศอื่นที่ถูกปรับเพิ่มพร้อมกันกว่า 100 ประเทศ

ดร.กอบศักดิ์เน้นย้ำว่า แม้สหรัฐจะส่งสัญญาณความไม่พอใจต่อไทยมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากไทยสามารถเสนอ “Great Deal” ที่สหรัฐเห็นว่าคุ้มค่าและตอบโจทย์เชิงเศรษฐกิจ จึงเป็นจุดที่ทุกภาคส่วนต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ไทยจะสามารถลดช่องว่างทางภาษีกับประเทศคู่แข่งลงมาได้มากน้อยเพียงใด เพราะอัตราภาษีที่สูงกว่าคนอื่นจะส่งผลอย่างมีนัยในทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีการค้าโลก

L2D Page (20)

แรงกดดันใหม่จากสหรัฐฯ คงภาษีนำเข้า 36% ดันไทยสู่ทางแยก ลดภาษีแลกการเติบโต หรือเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอ

สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศทวีความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง เมื่อสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไว้ที่ระดับสูงถึง 36% ในขณะที่ปรับลดภาษีนำเข้าจากหลายประเทศอื่น โดยเฉพาะเวียดนามซึ่งบรรลุข้อตกลงทางการค้าใหม่กับสหรัฐฯ ทำให้ไทยเผชิญกับแรงกดดันรอบใหม่ที่อาจส่งผลอย่างมีนัยต่อเศรษฐกิจและการส่งออกในระยะกลางถึงยาว

ตลาดหุ้นโลกยังคงแกว่งตัวอย่างระมัดระวัง ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ (EM) แสดงสัญญาณอ่อนตัว หลังมีข่าวว่าทรัมป์เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้ายาและเวชภัณฑ์สูงถึง 200% ซึ่งกระทบต่อกลุ่มประเทศ BRICS ที่อาจต้องเผชิญภาษีเพิ่มอีก 10% การดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รอบใหม่นี้ สะท้อนถึงแนวทาง “America First” ที่กลับมาเป็นจุดศูนย์กลางของนโยบายเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยไม่เว้นแม้แต่พันธมิตรการค้าหลักอย่างไทย

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ วิเคราะห์ว่า การที่สหรัฐฯ เลือกคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในระดับสูง สวนทางกับการปรับลดภาษีให้กับหลายประเทศ ทำให้ไทยถูกบีบเข้าสู่สถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง 2 ทางหลัก คือ การยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 0% แลกกับสิทธิพิเศษทางภาษีตอบแทน หรือต้องยืนหยัดอยู่ในโครงสร้างภาษีปัจจุบันและเสี่ยงต่อการสูญเสียขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลก

แนวทางการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อาจยึดรูปแบบของข้อตกลงที่สหรัฐฯ ทำไว้กับเวียดนามเป็นฐาน เช่น การเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้ามามากขึ้น พร้อมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงสู่ระดับต่ำถึง 0% ซึ่งอาจส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย หากสามารถบรรลุข้อตกลงที่ลดภาษีนำเข้าได้เหลือราว 15-20% อัตราการเติบโตของ GDP ไทยในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1.1-1.4% โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ราว 30%

ในทางกลับกัน หากไทยไม่สามารถตกลงได้และอัตราภาษียังคงอยู่ในระดับ 21-28% เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้เพียงเล็กน้อย หรืออาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว โดยมีการคาดการณ์ว่า GDP ปี 2025 อาจขยายตัวเพียง 0.0-1.0% ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นมากถึง 50% โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้นทุนส่งออกยังสูงและประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามหรืออินโดนีเซียได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเหนือกว่า

ภายใต้แรงกดดันทางการค้าจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไทยอาจจำเป็นต้องทบทวนนโยบายการค้าต่างประเทศอย่างจริงจัง และเร่งหาทางออกที่สมดุลระหว่างการรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กับการไม่เสียอำนาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง และทิศทางนโยบายสหรัฐฯ ยังคงมีผลกระทบในเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคโดยรวม

L2D Page (18)

NSW e-D/O” ยกระดับการนำเข้าสินค้าทางเรือ NT ผนึกกำลังภาครัฐ เดินหน้าสู่ระบบโลจิสติกส์ไร้กระดาษ

บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ร่วมกับกรมศุลกากรและการท่าเรือแห่งประเทศไทย เปิดตัวระบบบริการ “NSW e-D/O” หรือใบสั่งปล่อยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านแพลตฟอร์มกลาง THAI NSW ซึ่งเป็นระบบเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร ณ จุดเดียวของประเทศ การเปิดตัวครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับกระบวนการนำเข้าสินค้าทางเรือของไทยเข้าสู่ยุค Paperless Trade อย่างสมบูรณ์ เพิ่มความโปร่งใส ตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย ลดการใช้เอกสารและขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการ และส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาคในอนาคต

ภายในงานเสวนา "NSW e-D/O กับการยกระดับโลจิสติกส์ไทยสู่ Paperless Trade" ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์พอยต์ ลุมพินี กรุงเทพฯ มีตัวแทนจากภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วม ทั้งภาครัฐ ผู้ประกอบการขนส่ง สายเรือ และโลจิสติกส์ โดยคุณพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี กรมศุลกากร ระบุว่า ระบบ e-D/O ในรูปแบบ B2B ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของแพลตฟอร์ม THAI NSW ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกรมศุลกากรในการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยด้านการค้า พร้อมเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเชื่อมโยงข้อมูลมากยิ่งขึ้น และยังสามารถขยายการเชื่อมต่อสู่ต่างประเทศในอนาคต

คุณทอม เฉลิมกาญจนา ประธานสมาคมเจ้าของและตัวแทนเรือกรุงเทพมหานคร มองว่า e-D/O ไม่ใช่เพียงการแปลงเอกสารกระดาษให้เป็นดิจิทัล แต่คือการปฏิรูปกระบวนการโลจิสติกส์ครั้งสำคัญ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการของสายการเดินเรือ พร้อมเรียกร้องความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อผลักดันการใช้ระบบนี้ให้เกิดผลจริง

ด้านเรือโท ภัทธวุฒิ กนกวรรณากร ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ย้ำว่า e-D/O จะช่วยพลิกโฉมท่าเรือไทยสู่ “Smart Port” โดยระบบใหม่นี้จะช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการ ลดความล่าช้า ลดของเสียจากกระบวนการเดินเอกสาร และเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศอย่างรอบด้าน

ดร.วงกต วิจักขณ์สังสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานดิจิทัลและโซลูชัน NT ระบุว่า ระบบ e-D/O ถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา Sea PCS (Port Community System) ซึ่งจะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำคัญของประเทศ ทั้งยังสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการยกระดับการให้บริการโลจิสติกส์ของไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล และรองรับการค้าโลกในอนาคตอย่างยั่งยืน

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us