admin L2D

news-20250423-01

"คมนาคม" คว้างบกระตุ้นเศรษฐกิจ 4 หมื่นล้าน! พร้อมลุยโครงการลงทุนขนาดเล็ก ก.ค. นี้

กระทรวงคมนาคม ภายใต้การนำของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เตรียมรับจัดสรรงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 4 หมื่นล้านบาท จากวงเงินรวม 1.57 แสนล้านบาท ที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองงบประมาณฯ ได้พิจารณาในส่วนของกระทรวงคมนาคม ซึ่งเดิมเสนอขอไป 6 หมื่นล้านบาท

นายสุริยะ เปิดเผยว่า กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ได้จัดเตรียมโครงการและขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างไว้พร้อมแล้ว เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันการลงทุนระยะสั้น และเร่งให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาด 5-15 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ตามกำหนดในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้ โดยจะต้องรอผลสรุปยอดจัดสรรที่ชัดเจนจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันพรุ่งนี้

นอกจากนี้ นายสุริยะยังกล่าวถึงกรณีที่คิงเพาเวอร์เสนอขอแก้ไขสัญญาร้านค้าปลอดอากรในสนามบินภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ ซึ่งอยู่ในความดูแลของ AOT ว่า ต้องการให้ผู้บริหารทั้งสององค์กรเจรจาเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ทำให้ AOT ยังคงมีรายได้เท่าเดิม โดยหลีกเลี่ยงการเปิดประมูลหรือทำสัญญาใหม่ เนื่องจากยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า AOT จะได้รับผลประโยชน์เท่าเดิมหรือไม่หากมีการเปลี่ยนแปลงสัญญา

news-20250618-01

"ดูไบเวิลด์" รุกหนักอาเซียน! ลงทุนเวียดนาม-ฟิลิปปินส์ต่อเนื่อง พร้อมแสดงเจตจำนงร่วมโปรเจกต์ "แลนด์บริดจ์ไทย"

DP World บริษัทโลจิสติกส์ยักษ์ใหญ่จากดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการดำเนินงานท่าเรือ การบริการทางทะเล และเขตการค้าเสรี กำลังขยายอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เข้าลงทุนในเวียดนามและฟิลิปปินส์อย่างหนักหน่วง พร้อมแสดงความสนใจอย่างยิ่งที่จะร่วมลงทุนใน โครงการแลนด์บริดจ์ ของประเทศไทย

รุกคืบเวียดนาม: เปิดเส้นทาง Mekong Express ย่นเวลาขนส่ง 70%

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา DP World ได้ประกาศความร่วมมือกับ VIMC Container Lines Joint Stock Company (VIMC Lines) ของเวียดนาม เปิดตัวเส้นทางขนส่งทางทะเล-แม่น้ำภายในประเทศสายใหม่ชื่อ "Mekong Express" เส้นทางนี้เชื่อมระหว่างท่าเรือ Can Tho (Cai Cui) และ Cai Mep ซึ่งจะช่วยลดเวลาการขนส่งทางน้ำจากเดิม 48 ชั่วโมง เหลือเพียง 15 ชั่วโมง โดยใช้เส้นทางผสมผสานทั้งทางน้ำและทางทะเล ซึ่งมีระยะทางสั้นกว่าเส้นทางเดิมถึง 70% ทำให้การขนส่งรวดเร็ว ยั่งยืน และคุ้มค่าต้นทุนมากขึ้น

Mekong Express ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับสินค้าแห้งและสินค้าแช่เย็น สามารถขนส่งตู้สินค้าได้หลายร้อย TEU ต่อเที่ยว และรองรับตู้คอนเทนเนอร์แช่เย็นได้จำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายเส้นทางให้บริการไปยัง Saigon Premier Container Terminal (SPCT) ที่ DP World ดำเนินการ และ Saigon Hiep Phuoc Port ภายใต้ VIMC ด้วย การเพิ่มการเชื่อมต่อนี้จะช่วยเสริมสร้างบทบาทของเวียดนามในเครือข่ายโลจิสติกส์ระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เวียดนามใต้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง (MDKER) และภูมิภาคเศรษฐกิจสำคัญทางใต้ (SKER)

ทุ่มงบเสริมแกร่งท่าเรือฟิลิปปินส์: 100 ล้านดอลลาร์ ยกระดับ Manila South Harbour

อีกด้านหนึ่ง DP World ร่วมกับ Asian Terminals Inc. (ATI) พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ได้เสร็จสิ้นโครงการสำคัญในการปรับปรุง Manila South Harbour (MSH) ซึ่งเป็นประตูการค้าระหว่างประเทศชั้นนำของฟิลิปปินส์ ด้วยงบลงทุนประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โครงการนี้ประกอบด้วยการขยายท่าเทียบเรือ 3 ให้ยาวกว่า 600 เมตร ขยายลานจอดรองรับตู้สินค้าได้ถึง 20,000 TEU เพิ่มเครน Ship-to-Shore (STS) ใหม่ 2 ตัว และจัดซื้ออุปกรณ์บนบกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สุลต่านอาเหม็ด บิน สุลาเยม ประธานและซีอีโอของ DP World Group ยืนยันความมุ่งมั่นของ DP World ในการเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลฟิลิปปินส์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการค้าที่สำคัญ การลงทุนในท่าเรือและโลจิสติกส์เหล่านี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับห่วงโซ่อุปทานและสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทของ DP World ในฐานะผู้สนับสนุนการค้าและผู้นำด้านโลจิสติกส์อัจฉริยะ

ผลจากการลงทุนนี้ ทำให้ MSH มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยในปี 2024 จัดการตู้คอนเทนเนอร์เกือบ 1.3 ล้าน TEU เพิ่มขึ้นเกือบ 8% จากปีก่อน และในไตรมาสแรกของปี 2025 ยอดตู้คอนเทนเนอร์ระหว่างประเทศพุ่งสูงกว่า 350,000 TEU เพิ่มขึ้นกว่า 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2024 ซึ่งบ่งชี้ถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นของฟิลิปปินส์

DP World สนแลนด์บริดจ์ไทย: ยืนยันความมั่นใจในโครงการเมกะโปรเจกต์

ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ได้ประชุมร่วมกับบริษัท DP World เพื่อหารือถึงความพร้อมในการลงทุนใน โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ Landbridge (แลนด์บริดจ์)

DP World ยังคงแสดงความสนใจอย่างต่อเนื่องในโครงการนี้ และต้องการนัดหารือกับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อีกครั้งเพื่อยืนยันความพร้อมในการพัฒนาโครงการ ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมั่นใจว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะเดินหน้าตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ โดยขณะนี้ DP World อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ข้อมูลโครงการเพื่อประเมินวงเงินลงทุน และอาจมีการปรับรายละเอียดของแผนลงทุนแต่ละระยะเพิ่มเติมจากผลการศึกษาของฝ่ายไทย

ผลการศึกษาของ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) แบ่งการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ออกเป็น 4 ระยะ:

ระยะที่ 1 (ประมาณ 5.22 แสนล้านบาท): พัฒนาท่าเรือบางส่วน โดยท่าเรือฝั่งระนองรองรับ 6 ล้าน TEU และท่าเรือฝั่งชุมพรรองรับ 4 ล้าน TEU พร้อมพัฒนาโครงการรถไฟและมอเตอร์เวย์ 4 ช่องจราจร คาดก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2573
ระยะที่ 2 (ประมาณ 1.64 แสนล้านบาท): ขยายขีดความสามารถท่าเรือ โดยท่าเรือฝั่งระนองรองรับ 12 ล้าน TEU และท่าเรือฝั่งชุมพรรองรับ 8 ล้าน TEU พร้อมขยายมอเตอร์เวย์เป็น 6 ช่องจราจร คาดก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2576
ระยะที่ 3 (ประมาณ 2.28 แสนล้านบาท): ขยายขีดความสามารถท่าเรือ โดยท่าเรือฝั่งระนองรองรับ 20 ล้าน TEU และท่าเรือฝั่งชุมพรรองรับ 14 ล้าน TEU คาดก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2578
ระยะที่ 4 (ประมาณ 8.51 หมื่นล้านบาท): ขยายขีดความสามารถท่าเรือฝั่งชุมพรให้รองรับ 20 ล้าน TEU พร้อมขยายโครงการพัฒนาพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า (SRTO) คาดก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2581


การที่ DP World ซึ่งเป็นผู้เล่นระดับโลกในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ให้ความสนใจในโครงการแลนด์บริดจ์ของไทย ถือเป็นสัญญาณบวกที่สำคัญ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและวิสัยทัศน์ของโครงการที่จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการค้าและเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้

news-20250612-02

พลิกโฉมโลจิสติกส์ไทย! รถไฟทางคู่ 7 สายรวด ดันไทยสู่ศูนย์กลางขนส่งโลก คาดพร้อมใช้เต็มรูปแบบปี 71

ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการคมนาคมขนส่ง ด้วยโครงการพัฒนาระบบ รถไฟทางคู่ ที่จะเข้ามาพลิกโฉมการเดินทางและขนส่งสินค้า ยกระดับขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์ของประเทศให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้เดินหน้าอย่างเต็มที่ โดยเส้นทางสำคัญอย่าง ขอนแก่น-หนองคาย ได้เปิดประมูลและอนุญาตให้เอกชนเข้าพื้นที่ก่อสร้างแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี และพร้อมเปิดให้บริการได้ในปี 2571

ทำไมรถไฟทางคู่จึงเป็นหัวใจสำคัญ?

เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยมีทำเลที่ตั้งที่ได้เปรียบทางภูมิศาสตร์อย่างมหาศาล ด้วยการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การขนส่งผู้คนและสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบกและทางรางล้วนต้องผ่านประเทศไทย ไม่ว่าจะมุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่ลาวและจีนตอนใต้ หรือลงใต้ไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย

ปัจจุบันความต้องการในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก และประเทศต่างๆ ก็พยายามเชื่อมต่อการขนส่งระหว่างกันในหลายเวที แต่ระบบรถไฟของไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น การเดินรถที่ไม่แม่นยำเพราะส่วนใหญ่ยังเป็นทางเดี่ยว, ความไม่สะดวกในการเชื่อมต่อระหว่างระบบรางกับถนนหรือเรือ, การขาดแคลนที่จอดรถรับ-ส่งผู้โดยสาร หรือลานเทกองสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การขนส่งแบบไร้รอยต่อยังไม่เกิดขึ้นจริง รวมถึงระบบบริหารจัดการที่ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ

หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การขนส่งทางรถจากประเทศต่างๆ จะใช้ไทยเป็นทางผ่านมากขึ้น ซึ่งจะนำมาซึ่งปัญหารถติด ฝุ่นควัน มลพิษ และภาระงบประมาณในการซ่อมแซมถนนที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ด้วยเหตุนี้ การเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางราง และการผลักดันโครงการรถไฟทางคู่ จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพระบบขนส่งของประเทศให้รองรับการขยายตัวของการค้าชายแดน การค้าผ่านแดน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม

ความคืบหน้าของโครงการรถไฟทางคู่

ปัจจุบัน รฟท. ได้พัฒนา รถไฟทางคู่ระยะที่ 1 ซึ่งเป็นทางรถไฟรัศมีกระจายออกไปรอบกรุงเทพมหานคร ระยะทางประมาณ 350-400 กิโลเมตรแล้วเสร็จ และกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ ทางคู่ระยะที่ 2 เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และเติมเต็มเส้นทางที่ขาดหาย (missing link) รวมทั้งหมด 7 เส้นทาง ได้แก่:

  • ขอนแก่น-หนองคาย (167 กิโลเมตร)
  • ปากน้ำโพ-เด่นชัย (281 กิโลเมตร)
  • ชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี (308 กิโลเมตร)
  • ชุมพร-สุราษฎร์ธานี (168 กิโลเมตร)
  • สุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา (321 กิโลเมตร)
  • หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ (45 กิโลเมตร)
  • เด่นชัย-เชียงใหม่ (189 กิโลเมตร)

นอกจากเส้นทางขอนแก่น-หนองคายที่กำลังดำเนินการแล้ว รฟท. ได้เสนออีก 6 โครงการที่เหลือต่อผู้มีอำนาจอนุมัติ ซึ่งขณะนี้กระทรวงคมนาคมได้ให้ความเห็นชอบ และอยู่ระหว่างการรวบรวมความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติดำเนินโครงการต่อไป

ประโยชน์ของรถไฟทางคู่

การมีโครงข่ายรถไฟทางคู่ที่สมบูรณ์ จะช่วยให้การเดินทางและการขนส่งรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น เพราะสามารถเดินรถได้สองทาง ทำให้ผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนการขนส่ง และช่วยให้สินค้าเกษตรหรือสินค้าที่มีอายุสั้นสามารถส่งถึงมือผู้ค้าและผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ รถไฟทางคู่ยังเป็นส่วนสำคัญในการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค สร้างการเชื่อมโยงโครงข่ายการเดินทางและการขนส่งระหว่างเมืองที่เพิ่มขึ้น และมีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง

โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่จึงเป็นนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคมและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่จะเปลี่ยนผ่านจากการขนส่งทางถนนสู่การขนส่งทางรางที่มีต้นทุนต่ำกว่า และใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย หากโครงการทั้งหมดแล้วเสร็จ จะเพิ่มระยะทางให้บริการ สร้างทางเลือกการเดินทางที่ประหยัดและปลอดภัย ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้าง

news-20250612-01

LEO ลุยธุรกิจใหม่! คาด Q2/68 สดใส ดัน Non Freight-Non-Logistics พุ่ง 35% พร้อมปั้นโลจิสติกส์ทางรางไทย-จีน

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นายมานพ ปัจวิทย์ (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO นำเสนอข้อมูลบริษัทในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) บนแพลตฟอร์มออนไลน์

โดยระบุว่า บริษัทฯ มั่นใจผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 มีแนวโน้มดีต่อเนื่อง จากค่าระวางเรือช่วงครึ่งปีหลังมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น ลุยขยายธุรกิจใหม่ Non Freight และ Non-Logistics วางเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ ให้ได้อย่างน้อย 30-35% ของรายได้รวมภายในปี 2568 พร้อมเสริมแกร่งโลจิสติกส์ทางรางไทย-จีน ผลักดันอนาคตเติบโตก้าวกระโดด ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นที่บริษัทฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us