admin L2D

news-20250516-01

กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจับมือสมาคม TACBA ปั้น “ตัวแทนออกของ” เจนใหม่ รายได้สูงสุด 40,000 บาท

นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการผลักดันนโยบายของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพแรงงานไทย ให้มีทักษะทันสมัย พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานยุคใหม่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีความต้องการบุคลากรคุณภาพเพิ่มขึ้นในทุกปี

เพื่อสนับสนุนนโยบายดังกล่าว กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรเทคโนโลยีชั้นสูงด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (LoSA) ได้ร่วมกับสมาคมตัวแทนออกของรับอนุญาตไทย (TACBA) จัดหลักสูตรอบรม “ตัวแทนออกของเพื่อการส่งออกและนำเข้า” ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อสร้างกำลังแรงงานรุ่นใหม่ที่มีความรู้ ความสามารถ และพร้อมปฏิบัติงานในภาคสนามทันที ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจขนส่งและการค้าระหว่างประเทศที่กำลังขยายตัวต่อเนื่อง และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างมีประสิทธิภาพ

หลักสูตรนี้ใช้ระยะเวลาอบรมรวม 240 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็นภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เริ่มอบรมภาคทฤษฎีตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2568 และต่อเนื่องด้วยการฝึกงานจริงในสถานประกอบการช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2568 โดยเรียนวันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00–17.00 น.

ผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้ทั้งหลักการและการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานตัวแทนออกของ ตั้งแต่การจัดการโลจิสติกส์ในคลังสินค้า การควบคุมต้นทุนการขนส่งในประเทศและต่างประเทศ ความรู้ด้านกฎหมายศุลกากรที่จำเป็นต่อการทำงาน รวมถึงทักษะด้าน e-Logistics ซึ่งเป็นระบบสำคัญที่ธุรกิจโลจิสติกส์ยุคใหม่ต้องใช้

ผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะบัณฑิตจบใหม่ระดับปริญญาตรีที่ต้องการพัฒนาทักษะเพื่อเข้าสู่สายงานโลจิสติกส์ สามารถสมัครเข้าร่วมหลักสูตรนี้ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 11 มิถุนายน 2568 โดยเปิดรับเพียง 50 คนเท่านั้น

สามารถติดต่อสมัครหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายฝึกอบรมและสัมมนา สมาคมตัวแทนออกของรับอนุญาตไทย โทร. 02-661-4005 ถึง 8 หรือมือถือ 083-850-1371 หรือสอบถามที่สถาบัน LoSA โทร. 02-248-4782 ต่อ 2508

โอกาสนี้ถือเป็นอีกก้าวของการสร้างแรงงานคุณภาพเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศในยุคที่การค้าระหว่างประเทศและซัพพลายเชนกลายเป็นหัวใจของความสามารถในการแข่งขันระดับโลก

ที่มา - bangkokbiznews

news-20250515-03

“จีน - สหรัฐ” เปิดโต๊ะเจรจาเศรษฐกิจ หวังฟื้นความเชื่อมั่นโลกการค้า

ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่คลี่คลาย ความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐอเมริกายังคงมีบทบาทสำคัญต่อทิศทางของระบบเศรษฐกิจโลก โดยทั้งสองประเทศมีสัดส่วนผลผลิตรวมมากกว่าหนึ่งในสามของจีดีพีทั่วโลก และมีมูลค่าการค้าระหว่างกันคิดเป็นประมาณหนึ่งในห้าของการค้าโลก

ล่าสุด สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า การหารือระดับสูงด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่จัดขึ้นในนครเจนีวา ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการเปิดเวทีสื่อสารอย่างเป็นทางการ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของโลกที่กำลังอ่อนแรงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและแรงกดดันจากการกีดกันทางการค้า

แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความเห็นต่างในหลายประเด็น แต่การเลือกใช้แนวทางการเจรจาอย่างเท่าเทียมและเคารพซึ่งกันและกัน กลับกลายเป็นสัญญาณบวกที่ทั่วโลกรอคอย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากผลกระทบของมาตรการภาษีฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ ที่ผ่านมา ซึ่งไม่เพียงทำร้ายเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ทั้งในด้านเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทาน ไปจนถึงความเชื่อมั่นในระบบการค้าที่อิงกับกฎระเบียบสากล

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) ต่างเคยเตือนว่า การกีดกันทางการค้าเป็นหนึ่งในภัยคุกคามใหญ่สุดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การเริ่มต้นพูดคุยระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ครั้งนี้จึงมีนัยสำคัญยิ่ง เพราะไม่เพียงลดแรงกดดันในห้วงเวลาสำคัญ แต่ยังช่วยวางรากฐานให้เกิดการเจรจาในระยะยาว ที่อาจนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งทางการค้าอย่างเป็นรูปธรรม

สิ่งสำคัญคือ ทั้งสองฝ่ายต้องยึดมั่นในวิถีทางของการเจรจาที่ต่อเนื่อง สะสมฉันทามติ และเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วม ไม่ใช่เพียงเพื่อประโยชน์ของตนเอง แต่เพื่อเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของเศรษฐกิจโลกโดยรวม

ท่ามกลางแรงกดดันจากประชาคมโลก จีนยังคงแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า พร้อมเปิดประตูสู่การพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ และหวังให้สหรัฐฯ ดำเนินความสัมพันธ์ในลักษณะเดียวกัน เพื่อให้ “ความแตกต่าง” กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “ความร่วมมือ” มากกว่าจะเป็นข้ออ้างของความขัดแย้ง

การหารือในครั้งนี้แม้ยังห่างไกลจากการแก้ปัญหาทั้งหมด แต่ได้ส่งสัญญาณแห่งความหวังว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและการแข่งขัน การเจรจาอย่างเคารพซึ่งกันและกันอาจยังเป็น “คำตอบ” ที่ดีที่สุดสำหรับความท้าทายของยุคสมัย

ที่มา - dailynews

news-20250515-02

แบงก์ชาติย้ำไทยยังไม่เสี่ยงเงินฝืด แต่ครึ่งปีหลังน่าห่วง การลงทุน-ส่งออกอาจสะดุดจากพิษสงครามการค้า

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยืนยันเศรษฐกิจไทยยังไม่มีสัญญาณของภาวะเงินฝืด แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายในระยะสั้น แต่ยังไม่พบการหดตัวของราคาสินค้าในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ธปท. แสดงความกังวลว่าครึ่งหลังของปี 2568 อาจเริ่มเห็นแรงกระแทกจากสงครามการค้าโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อการลงทุนและภาคการส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ

นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. ระบุว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การใช้นโยบายการเงินจะต้อง “ใช้ให้คุ้ม” และรอบคอบ โดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ขณะนี้อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.75% หากลดลงมากกว่านี้อาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเท่าที่ควร เพราะปัจจัยหลักที่ฉุดเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องต้นทุนทางการเงิน แต่เป็นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนที่ยังไม่ฟื้น

“การลดดอกเบี้ยอาจไม่สามารถกระตุ้นการใช้จ่ายหรือการลงทุนได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะเมื่อผู้คนยังไม่มั่นใจในอนาคต ต่อให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลงก็ไม่มีใครกล้าลงมือ” นายปิติกล่าว

ในทิศทางเดียวกัน นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน เปิดเผยว่า ผลกระทบจากสงครามการค้าอาจยังไม่เด่นชัดในช่วงต้นปี แต่แนวโน้มจะรุนแรงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี และอาจลากยาวถึงปี 2569 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ รวมถึงเอสเอ็มอีที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของการผลิต

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และยังเห็นแรงส่งจากการส่งออกที่ฟื้นตัว ทำให้การขยายตัวยังดำเนินต่อได้ แต่ในระยะยาว ธปท. มองว่า หากไม่มีการปรับตัวเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจอาจเผชิญกับข้อจำกัดในการเติบโตต่ำกว่า 3%

นางปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยถูกกดดันจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการค้าโลก อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐฯ และจีนสามารถตกลงเลื่อนการขึ้นภาษีออกไป 90 วัน ถือเป็นสัญญาณบวกที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ชั่วคราว ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม

“แม้มาตรการผ่อนปรนภาษีจะช่วยลดความตึงเครียดได้ในระยะสั้น แต่ผลกระทบต่อ GDP ไทยยังไม่มากนัก ประมาณ 0.1% เท่านั้น” นางปราณีกล่าว พร้อมระบุว่า ต้องติดตามต่อว่าการเจรจาจะออกมาในทิศทางใด และไทยจะได้รับผลกระทบมากหรือน้อยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค

กลุ่มที่น่าจับตามองคือกลุ่มผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงในการเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้านำเข้าอย่างเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งมีเอสเอ็มอีกว่าหลายแสนรายที่จ้างงานรวมกันนับล้านคน โดย ธปท. ระบุว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการจำนวนมากกำลังเผชิญความยากลำบาก และต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนทั้งในด้านการเงิน มาตรการป้องกันการสวมสิทธิ์ และการเข้าถึงตลาดใหม่

ในขณะที่นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. เสริมว่า แม้เงินเฟ้อจะปรับลดต่ำกว่ากรอบเป้าหมายชั่วคราวจากปัจจัยราคาน้ำมันและมาตรการรัฐ แต่ในภาพรวมยังไม่พบสัญญาณของเงินฝืด โดยเงินเฟ้อระยะกลางยังอยู่ที่ประมาณ 1.6% ซึ่งถือว่าอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3%

สำหรับแนวนโยบายการเงินในระยะถัดไป ธปท. ย้ำว่าจะพิจารณาจากแนวโน้มเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยปัจจุบันนโยบายยังอยู่ในระดับผ่อนคลาย ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถช่วยรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากภายนอกประเทศได้ในระดับหนึ่ง

ที่มา - khaosod

news-20250515-01

“พิชัย” เร่งเครื่องตลาดข้าว เตรียมจัดประชุมระดับโลกปลายเดือนนี้ หวังดันส่งออกพุ่ง รับมือผลผลิตใหม่

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งเดินหน้ารุกตลาดข้าวอย่างเต็มที่ เพื่อรองรับผลผลิตใหม่ที่จะทยอยเข้าสู่ตลาด พร้อมประกาศเตรียมจัดงานประชุมข้าวระดับโลก Thailand Rice Convention 2025 ระหว่างวันที่ 25–27 พฤษภาคมนี้ โดยคาดหวังว่าจะช่วยผลักดันการส่งออกข้าวไทยให้เข้าเป้า 7.5 ล้านตัน และสร้างคำสั่งซื้อทันทีไม่น้อยกว่า 100,000 ตัน มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท

นายพิชัยระบุว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศจับตาสถานการณ์ตลาดข้าวโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในบริบทของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก ไทยในฐานะประเทศผู้ผลิตข้าวชั้นนำ จึงจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเป็นแหล่งอาหารสำคัญของโลก โดยเฉพาะในช่วงที่หลายประเทศต้องการหาพันธมิตรทางการค้าเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

การจัดงาน Thailand Rice Convention 2025 ครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่เวทีประชุม หากแต่เป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงผู้ซื้อรายใหญ่จากทั่วโลก ทั้งจากอเมริกาใต้ แอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชีย กับผู้ส่งออกข้าวไทย รวมถึงเกษตรกรและผู้ค้า (trader) ในประเทศ โดยจะเปิดโอกาสให้มีการพบปะ เจรจาธุรกิจ และสร้างความเข้าใจร่วมกันในสถานการณ์ตลาดข้าวปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต

ขณะเดียวกัน เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนของเกษตรกรไทย กระทรวงพาณิชย์ยังได้เดินหน้ามาตรการ “พาณิชย์ลดราคาปุ๋ยเคมีเพื่อเกษตรกร ปี 2568” อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการปรับลดราคาปุ๋ยเคมีมากถึง 79 สูตร เฉลี่ยกระสอบละ 20–50 บาท ครอบคลุมพืชทุกชนิด โดยเฉพาะสูตรที่ใช้กับนาข้าว เช่น 46-0-0, 0-0-60, 16-20-0 และ 15-15-15 ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อสะสมแล้วกว่า 1 ล้านกระสอบ ช่วยลดต้นทุนรวมเกษตรกรไปแล้วกว่า 30 ล้านบาท และจะเดินหน้าไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน

ในอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญ นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เผยว่า หลังจากการจัดงาน TRC แล้ว กรมฯ ยังเตรียมนำผู้ประกอบการค้าข้าวรายย่อยจากแหล่งเพาะปลูกหลักทั่วประเทศ เข้าร่วมจัดแสดงสินค้าในงาน THAIFEX - Anuga Asia 2025 ระหว่างวันที่ 27–31 พฤษภาคมนี้ ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารระดับแนวหน้าของเอเชีย โดยคาดว่าจะสร้างคำสั่งซื้อเพิ่มเติมกว่า 500 ล้านบาท และเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เข้าถึงผู้ซื้อต่างประเทศโดยตรง

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังเตรียมเดินหน้าขยายตลาดส่งออกข้าวไทยในระดับนโยบาย โดยมีแผนจะเดินทางไปเจรจาการค้ากับประเทศผู้นำเข้ารายสำคัญอย่างฟิลิปปินส์และญี่ปุ่นในระยะต่อไป เพื่อยกระดับความร่วมมือทางการค้า และตอกย้ำจุดยืนของไทยในฐานะผู้ส่งออกข้าวที่มีคุณภาพและเสถียรภาพในเวทีโลก

การเดินหมากตลาดข้าวครั้งนี้ของ “พิชัย” จึงไม่เพียงแค่มุ่งหวังให้เกิดยอดส่งออกในระยะสั้น แต่ยังสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการฟื้นฟูรายได้เกษตรกร เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการเกษตร และสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยเป็น “ครัวของโลก” อย่างแท้จริงในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ท้าทาย

ที่มา - thaipost

Facebook Pagelike Widget

The most efficient online logistics media in Thailand.

Contact Info

Follow Us